Wednesday, 3 July 2024
ชาวอเมริกัน

สหรัฐฯ เตือนชาวมะกัน 'เลี่ยงเดินทาง - ออกห่างจากรัสเซีย' หลังพบสัญญาณ ทางการรัสเซียจ้องจับกุมตัว

ไม่นานมานี้ ทางรัฐบาลสหรัฐฯ ได้เตือนว่า รัฐบาลรัสเซียอาจควบคุมตัวพลเมืองอเมริกันที่อาศัยอยู่ในรัสเซียได้ พร้อมเตือนชาวอเมริกันอย่าเดินทางไปรัสเซียในช่วงนี้

กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ออกประกาศเตือนการเดินทางไปรัสเซียของพลเมืองชาวอเมริกัน โดยชี้ว่า ผลจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นหลังรัสเซียส่งทหารไปยังยูเครน ทำให้ทางการรัสเซียเริ่มพุ่งเป้าไปยังพลเมืองชาวอเมริกันมากขึ้น

ดังนั้น กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ จึงย้ำอีกครั้งว่า ขอให้ชาวอเมริกันอย่าพึ่งเดินทางไปยังรัสเซีย ส่วนชาวอเมริกันที่พำนักอยู่ในรัสเซียตอนนี้ ขอให้รีบเดินทางออกนอกประเทศในทันที

ชาวอเมริกันแบนขนมยี่ห้อดัง หลังเด็ก 14 เสียชีวิต เหตุจากการแข่งท้าชิมขนมรสพริกเผ็ดที่สุดในโลก 

ถือเป็นอุทธาหรณ์สำหรับชาวอเมริกัน ที่นิยมทำการตลาดที่เล่นกับความคึกคะนองของวัยรุ่น และการเสพติดกระแสโซเชียลอย่างขาดความยับยั้งชั่งใจ จากข่าวการเสียชีวิตของ แฮริส โวโลบาห์ เด็กชายวัย 14 ปี จากโรงเรียน Doherty Memorial High School ในรัฐแมสซาชูเซตส์ ที่เสียชีวิตอย่างกะทันหัน หลังร่วมการแข่งขันท้าประลองกินขนมข้าวโพดทอดกรอบ Paqui รสเผ็ดจัด ที่ปรุงรสด้วยพริกแคโรไลนา รีเปอร์ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นพริกที่เผ็ดที่สุดในโลก ตามแคมเปญโฆษณาเชิญชวนของแบรนด์ 'One Chip Challenge'

สื่อท้องถิ่นในสหรัฐ รายงานว่า แฮริส โวโลบาห์ ได้เข้าร่วมท้าประลองชิมขนมดังกล่าวเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา ที่โรงเรียนในช่วงเช้า แต่พอคาบบ่าย เขาต้องโทรกลับบ้านไปบอกแม่ว่าเขาปวดท้องอย่างรุนแรง จนถึงขั้นหมดสติในเวลาต่อมา ทางโรงเรียนต้องรีบพาตัวส่งโรงพยาบาล แต่ไม่ทันกาล สุดท้าย แฮริส โวโลบาห์ ก็เสียชีวิตลงในช่วงเย็นวันนั้นเอง

แม้ว่าจะยังไม่มีการสรุปถึงสาเหตุการเสียชีวิตของ แฮริส โวโลบาห์ แต่ทางครอบครัวเชื่อว่าเกิดจากการที่ลูกชายร่วมแคมเปญท้าประลองกินแผ่นข้าวโพดรสเผ็ดจัดนี้อย่างแน่นอน อันเป็นเหตุให้เกิดกระแสเรียกร้องให้แบนขนมยี่ห้อดังทั่วสหรัฐ และหลายห้างดังทั้ง Amazon eBay และร้านค้าปลีก สั่งเก็บสินค้าออกจากชั้นวาง และช่องทางจำหน่ายบนหน้าเว็บไซต์ทั้งหมดแล้ว

Paqui เป็นแบรนด์ขนมอบกรอบประเภทแผ่นข้าวโพดตอร์ติญ่า ซึ่งเป็นแบรนด์ลูกของ Hershey ผู้ผลิตขนมหวานชื่อดัง ต่อมาได้ผลิตแผ่นข้าวโพดรสเผ็ดจัด ที่ผสมพริกแคโรไลนา รีเปอร์ และ พริกนากา ไวเปอร์ ที่เผ็ดติดอันดับโลก มารวมกัน สร้างรสชาติที่เผ็ดอย่างร้อนแรงที่ไม่สามารถกินเพื่อความอร่อยได้เลย

แต่ทว่าทางบริษัทกลับใช้เทคนิคการตลาด สร้างแคมเปญท้าทายผู้บริโภค ประลองความอึดด้วยการกิน Paqui รสเผ็ดจัดในคราวเดียวโดยไม่มีการดื่มน้ำ หรืออาหารอย่างอื่นที่ช่วยลดทอนความเผ็ด ว่าจะสามารถกินได้หมดซองคนเดียวหรือไม่

ต่อมามีการสร้างกระแสไวรัลในโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะใน Tiktok มีวัยรุ่นอเมริกันแชร์คลิปปฏิกิริยาหลังได้ลองชิมขนมรสเผ็ดร้อนแรงกันเป็นจำนวนมาก ที่สนับสนุนการขาย Paqui ได้อย่างแพร่หลาย แม้จะมีคำเตือนบนหน้าซอง และเว็บไซต์ของทางบริษัทว่าแคมเปญนี้สำหรับผู้ใหญ่เท่านั้น แต่ก็มีเด็ก และวัยรุ่นจำนวนไม่น้อย ที่แข่งกินขนมผสมพริกที่ได้ชื่อว่าเผ็ดที่สุดในโลก เพื่อสร้างคอนเทนท์ลงโซเชียล

จนมีข่าวการเสียชีวิตของ แฮริส โวโลบาห์ หลังการกินขนมผสมพริกเผ็ดจัด ที่อาจทำให้ชาวอเมริกันเริ่มฉุกคิดถึงการทำการตลาดเชิงท้าทายเพื่อหวังกระแส และยอดขาย โดยไม่ใส่ใจความปลอดภัยของผู้บริโภค

ซึ่งอันตรายที่เกิดจากการกินพริกที่มีระดับความเผ็ดมากๆ อย่างพริกแคโรไลนารีเปอร์ ที่มีระดับความเผ็ด 1,569,300 สโกวิลล์ สูงกว่าพริกขี้หนูของไทยถึง 15 เท่า นอกจากจะมีผลเสียต่อกระเพาะอาหารและลำไส้แล้ว ยังพบว่าอาจทำให้เกิดอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง จนถึงภาวะหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจหดตัวและภาวะหัวใจวาย ที่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้

ส่วนบ้านเรา แม้ Paqui จะยังไม่มีขายในไทย แต่ก็มีมันฝรั่งทอดกรอบ และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจากต่างประเทศที่มีส่วนผสมของพริกที่มีความเผ็ดร้อนแรงมีจำหน่ายอยู่ทั่วไป ที่ผู้บริโภคควรใช้ความระมัดระวังในการลิ้มลอง

แม้คนไทยจะได้ชื่อว่านิยมอาหารรสเผ็ด แต่พริกที่เผ็ดระดับ พริกแคโรไลนา รีเปอร์, นากา ไวเปอร์ หรือแม้แต่ Ghost Pepper ที่เริ่มแพร่หลายในไทย ล้วนมีระดับความเผ็ดเกิน 1 ล้านสโกวิลล์ นับว่ามีอันตราย ไม่ควรรับประทานจำนวนมากในคราวเดียว แม้จะเป็นเซียนอาหารเผ็ดแค่ไหนก็ตาม  

‘โพลสหรัฐ’ เผย 63% ชาวอเมริกันไม่มั่นใจระบบการเมืองประเทศอีกแล้ว พร้อมเห็นพ้อง 2 พรรคใหญ่ ให้ความสำคัญกับการสู้กัน มากกว่าแก้ปัญหา

(21 ก.ย. 66) ศูนย์วิจัยพิว (Pew Research Center) สถาบันวิจัยของสหรัฐ ที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับประเด็นทางสังคม และความเห็นสาธารณชน ได้เปิดเผยถึงผลการสำรวจความเห็นล่าสุดว่า ผู้ตอบแบบสำรวจ 63 เปอร์เซ็นต์ รู้สึกไม่มั่นใจต่ออนาคตของระบบการเมืองของสหรัฐเลย และมีเพียง 4 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ระบุว่า ระบบการเมืองกำลังดำเนินไปอย่างดีเยี่ยม ทั้งนี้ เมื่อให้มีการอธิบายถึงความรู้สึกตัวเอง เกี่ยวกับระบบการเมืองของประเทศก็พบว่า 79 เปอร์เซ็นต์ ใช้คำวิจารณ์เป็นไปในเชิงลบ ซึ่งคำที่อธิบายที่พบเยอะที่สุดคือคำว่า แตกแยก และทุจริต

นอกจากนี้ การสำรวจยังพบว่า ประชาชนชาวอเมริกันได้รับผลกระทบอย่างยิ่ง ของการแบ่งขั้วพรรคการเมือง โดยชาวอเมริกันมากกว่า 86 เปอร์เซ็นต์เห็นพ้องกันว่า พรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตให้ความสำคัญกับการต่อสู้ซึ่งกันและกัน มากกว่าการแก้ปัญหา นี่ถือเป็นส่วนแบ่งที่เพิ่มขึ้นของสาธารณชนในสหรัฐ และเป็นส่วนแบ่งสูงสุดในรอบ 3 ทศวรรษ ของการเลือกตั้งสหรัฐ กับการไม่ชอบพรรคการเมืองทั้ง 2 พรรค โดยเกือบ 28 เปอร์เซ็นต์ แสดงความเห็นในเชิงลบต่อทั้งพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครต

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยพิวกล่าวว่า การศึกษาวิจัยนี้ อิงจากการสำรวจที่ดำเนินการระหว่างวันที่ 10-16 กรกฎาคม 2023 ในกลุ่มผู้ใหญ่ 8,480 คน และยังมีข้อมูลเพิ่มเติมจากการสำรวจ ที่ดำเนินการระหว่างวันที่ 5-11 มิถุนายน 2023 ในกลุ่มผู้ใหญ่ 5,115 คนด้วย

ชาวอเมริกันกว่า 50% เห็นด้วยให้แบน Tiktok ออกจากสหรัฐฯ หวั่น!! จีนใช้ 'จูงใจ-สร้างอิทธิพล-สอดแนมชีวิต' คนอเมริกัน

(4 พ.ค.67) Business Tomorrow เผยว่า ไม่นานมานี้ ทาง Reuters ร่วมกับบริษัทวิจัยผู้บริโภค Ipsos ได้สอบถามชาวอเมริกัน 1,022 คน ว่าคิดอย่างไรกับกรณีการแบน TikTok ของรัฐบาล?

- 58% เห็นด้วยว่า รัฐบาลจีนใช้ TikTok มาสร้างอิทธิพลต่อชาวอเมริกัน โดยกลุ่มตัวอย่างไม่เห็นด้วยกับข้อความนี้ 13%
- 50% เห็นด้วยกับการแบน TikTok, 32% ไม่เห็นด้วย และที่เหลือ 18% ตอบว่าไม่แน่ใจ
- 46% เห็นด้วยว่า รัฐบาลจีนใช้ TikTok สอดแนมชีวิตของคนอเมริกันทั่วไป
- 60% เห็นด้วยว่า การที่นักการเมืองอเมริกันใช้ TikTok ชักจูงคนไปเลือกตั้งเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม

ทั้งนี้ Reuters ได้ออกตัวก่อนว่า โพลดังกล่าวสอบถามเฉพาะวัยผู้ใหญ่ที่อายุเกิน 18 ปีขึ้นไปเท่านั้น ซึ่งอาจไม่สะท้อนมุมมองของวัยรุ่นต่ำกว่า 18 ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของ TikTok

ปัจจุบัน TikTok มีผู้ใช้งานในสหรัฐอเมริการาว 170 ล้านคน บริษัทมีเวลา 270 วันในการหาผู้ซื้อรายใหม่ ซึ่งบริษัทระบุว่าจะต่อสู้กับกฎหมายนี้ในชั้นศาล

คนอเมริกันเกือบ 30 % มองเรียนจบ ‘ไม่คุ้มค่าครองชีพ’ ชี้!! ค่าเล่าเรียนสูง ทำให้ลังเล ที่จะเรียนต่อ ในระดับปริญญาตรี

(26 พ.ค.67) ผลสำรวจล่าสุดโดยศูนย์วิจัยพิว (Pew Research Center) ของสหรัฐ ระบุว่า ชาวอเมริกันเกือบ 30% มองว่า วุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรี ‘ไม่คุ้มค่า’ ชี้ให้เห็นว่า ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้นได้ส่งผลกระทบต่อมุมมองที่มีต่อการศึกษาระดับอุดมศึกษาของสหรัฐในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา

ประชากรวัยผู้ใหญ่ของสหรัฐฯ เกือบ 50% ในผลสำรวจมองว่า การเรียนปริญญาตรีนั้นคุ้มค่า แต่เฉพาะในกรณีที่ไม่จำเป็นต้องกู้เงินเรียนเท่านั้น ขณะที่มีผู้ตอบแบบสำรวจเพียง 22% ที่ระบุว่า การเรียนปริญญาตรีคุ้มค่าแม้จะต้องเป็นหนี้จากการศึกษาก็ตาม

ผลสำรวจระบุว่า 4 ใน 10 ของชาวสหรัฐกล่าวว่า การเรียนปริญญาตรี 4 ปี ไม่ได้สำคัญมากขนาดนั้นหรือไม่สำคัญเลยในการที่จะมีงานรายได้ดี เมื่อเทียบกับเพียง 25% ของผู้ตอบแบบสอบถามเท่านั้นที่ระบุว่า การเรียนปริญญาตรีสำคัญมากหรือสำคัญอย่างยิ่งต่อการมีงานรายได้ดี

ผลสำรวจดังกล่าวมีขึ้นในขณะที่ค่าเล่าเรียนเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ การชำระคืนเงินกู้ยืมของนักศึกษาชาวสหรัฐหลายล้านคนหวนคืนมาอีกครั้ง และผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจบางอย่างของมหาวิทยาลัยลดลง โดยรวมแล้วแนวโน้มเหล่านี้ทำให้นักศึกษาและผู้ปกครองเผชิญกับการตัดสินใจที่ยากลำบากมากขึ้นเกี่ยวกับการเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา

แบรด โคเฮน คุณพ่อลูกสอง ซึ่งทำอาชีพเจ้าหน้าที่สินเชื่ออาวุโสของ First Heritage Mortgage และเป็นผู้สำเร็จการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า การวิเคราะห์ต้นทุนและผลประโยชน์ได้เปลี่ยนไปในทางที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการเรียนปริญญาตรี 4 ปี เนื่องจากค่าเล่าเรียนสูงขึ้น

ทั้งนี้ รายงานล่าสุดของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แสดงให้เห็นว่า ชาวอเมริกันยังมองว่าการศึกษาเป็นเส้นทางสู่สถานะทางการเงินที่ดีขึ้น และคนส่วนใหญ่ที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป ยังคงมองว่าคุ้มค่า


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top