Friday, 17 May 2024
ชาวยิว

เปิดปูมหลัง เหตุความชัง ‘อิสราเอล-ยิว-ไซออนิสต์’ ที่ไม่จำกัดวงแค่คนมุสลิม ‘คริสต์-ยิว’ นอกไซออนิสต์ ก็ขยาดพฤติกรรมอ้างสิทธิ 3 พันปีตั้งอิสราเอล

เมื่อวันที่ 14 ต.ค. 66 ติ๊กต๊อกช่อง ‘sulaimanwanie’ ได้ลงคลิปวิดีโอของอาจารย์สันติ เสือสมิง หรือ ‘อาลี เสือสมิง’ ประธานคณะอนุกรรมการคณะผู้ทรงคุณวุฒิจุฬาราชมนตรี ฝ่ายนิติศาสตร์อิสลาม สำนักจุฬาราชมนตรี ได้เคยออกมาบรรยายถึงสาเหตุที่ว่า ‘ทำไมมุสลิมถึงไม่ยอมรับประเทศอิสราเอล?’ ในกิจกรรมเปิดโลกอิสลาม ชมรมนิสิตมุสลิม เกษตรศาสตร์ กำแพงแสน เมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2562 โดยกล่าวถึงผ่านข้อคำถามหนึ่งที่มีพูดในบรรยายครั้งนั้น ว่า…

ทำไม ‘อิสลาม’ ถึงเกลียดชังประเทศอิสราเอล และพี่น้อง ‘ชาวยิว’ ผู้นับถือศาสนายูดาห์?

เมื่อปี 1948 ‘เดวิด เบน-กูเรียน’ ประกาศตั้งประเทศอิสราเอลขึ้นในดินแดนของ ‘ชาวปาเลสไตน์’

หากย้อนกลับไปก่อนหน้านั้นในช่วงยุคกลาง เมื่อศาสนาอิสลามได้ประกาศเผยแพร่ขยายออกไปในแอฟริกาเหนือ จนกระทั่งไปถึงประเทศสเปน ซึ่งในสเปนนั้นเคยมีชาวมุสลิมปกครองอยู่อย่างยาวนาน เกือบ 800 ปี

ชาวยิวเป็นกลุ่มชนที่ได้รับการคุ้มครองโดยชาวมุสลิม และชาวยิวที่อยู่ในการปกครองของชาวมุสลิมนั้น มีสถานภาพการดํารงชีวิตมีสิทธิเสรีภาพ มีการครองชีพดีกว่าชาวยิวที่อยู่ในดินแดนยุโรปในช่วงยุคกลาง เพราะชาวยิวในยุโรปนั้นถูกชาวคริสต์กดขี่

***เพราะฉะนั้น ‘คนยิว’ กับ ‘คนมุสลิม’ สามารถอยู่ร่วมกันด้วยดีมาตลอด นับตั้งแต่มีการประกาศศาสนา

‘นบี มุฮัมมัด’ ท่านได้ทําปฏิญญาสังคม หรือ ‘ธรรมนูญปกครอง’ โดยดึงชาวยิวมาร่วมเป็นพลเมืองในรัฐมะดีนะฮ์ ซึ่งเป็นรัฐอิสลาม และได้เรียกบุคคลเหล่านี้ว่า ‘กลุ่มชนแห่งพันธสัญญา’ ที่ได้รับการคุ้มครองในชีวิตและทรัพย์สิน มีสิทธิเสรีภาพในการถือศาสนา และมีหน้าที่ในการจ่ายภาษีรัชชูปการ เมื่อจ่ายภาษีรัชชูปการแล้วก็ไม่ต้องไปเป็นทหาร และยังคงสามารถนับถือในศาสนาเดิมของตนได้

***บางคนยกเรื่องนี้ เพื่อแสดงให้คนทั่วไปเห็นว่า ชาวมุสลิมไปกดขี่ ไปรีดภาษีจากคนต่างศาสนา แต่ในเมื่อคุณเป็นพลเมืองของรัฐฯ คุณจะไม่จ่ายอะไรเลยเชียวหรือ?

คนมุสลิมต้อง ‘จ่ายซะกาต’ (Zakat) หมายถึง การบริจาคทานตามหลักการศาสนาอิสลาม และยังต้องจ่ายภาษีอีกด้วย

ดังนั้น เมื่อคนยิวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพลเมืองภายใต้รัฐอิสลาม คุณก็ควรต้องเสียภาษีรัชชูปการส่วนนี้ด้วย เช่นเดียวกันกับพลเมืองคนอื่นๆ ในรัฐฯ

อีกทั้งเมื่อจ่ายภาษีรัชชูปการ คุณก็จะได้รับข้อยกเว้นไม่ต้องไปเป็นทหารในกองทัพด้วย คุณมีสิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนาด้วย สิ่งนี้เป็นเหมือนพันธสัญญาว่า “เมื่อคุณจ่ายภาษีนี้มา เราจะต้องปกป้องคุ้มครองคุณ”

***สิ่งนี้จึงทำให้ชาวยิวอยู่ร่วมกับชาวมุสลิมมาตราบจนกระทั่งเกิดสงครามกับนครมักกะฮ์ ที่ชาวยิวไปเข้าร่วมกับศัตรูของรัฐอิสลาม ซึ่งเป็นการกระทําที่ผิดสัญญาที่ได้เคยลงสัตยาบันกันเอาไว้ ว่าจะช่วยกันปกป้องรัฐอิสลาม แต่ชาวยิวกลับเป็นหนอนบ่อนไส้ ชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทําให้ชาวยิวถูกเนรเทศออกจากคาบสมุทรอาหรับ

กระนั้น เมื่อพ้นยุคสมัยของศาสดามุฮัมมัดไปแล้ว และเข้าสู่สมัยอาณาจักรของราชวงศ์อุมัยยะฮ์ ได้มีการสถาปนาเมืองดามัสกัสขึ้นเป็นราชธานี ซึ่งในเมืองดามัสกัสนั้นก็มีชุมชนชาวยิวอาศัยอยู่ และชาวยิวก็มีส่วนสําคัญในฐานะพลเมืองในรัฐอิสลาม ที่อยู่กันแบบสุขสบาย ต่อมาเมื่อครั้งสถาปนารัฐเคาะลีฟะฮ์อับบาซียะฮ์ ในนครแบกแดด ชาวยิวก็มีชุมชนอยู่ข้างพระราชวังหลวงของเคาะลีฟะฮ์ เมื่อมุสลิมพิชิตดินแดนในสเปน ที่เมืองกอร์โดบา เมืองกรานาดา ที่เดิมทีเป็นถิ่นฐานของชาวยิว และชาวมุสลิมก็ได้สร้างอาณาจักรอยู่ที่นั่นร่วมกับชาวยิว

***ชาวยิวไม่ได้ถูกกดขี่ในดินแดนของชาวมุสลิม แต่ถูกกดขี่อยู่ในดินแดนของชาวคริสต์ เพราะชาวยิวเป็นผู้สังหาร ‘พระเยซูคริสต์’ บนไม้กางเขน

ชาวยิวอยู่กับชาวมุสลิมมาโดยตลอด จนกระทั่งจักรวรรดิอังกฤษเริ่มล่าอาณานิคม ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้มีการดึงชาวยิวที่อพยพจากดินแดนต่างๆ มารวมกัน เพื่อสร้างนิคมของชาวยิวในดินแดนของชาวปาเลสไตน์ ทำให้ทางสุลต่านแห่งตุรกี ได้ออกมาประกาศว่า “คุณจะไปอยู่ในดินแดนไหนของออตโตมันก็ได้ แต่ไม่ให้ไปอยู่ในดินแดนของปาเลสไตน์”

***แต่ ‘องค์การไซออนิสต์สากล’ ก็ได้ออกมาประกาศเรียกร้องให้ชาวยิวกลับไปสู่ปาเลสไตน์ เพราะเป็นดินแดนแห่งพันธสัญญา

ประเด็นคือ หากจะบอกว่าชาวมุสลิมเกลียดชังประเทศอิสราเอล ต้องขอบอกว่าไม่ใช่เพียงแค่ชาวมุสลิมอย่างเดียว ชาวคริสต์ที่เป็นคนอาหรับนั้นก็รังเกียจประเทศอิสราเอลเช่นกัน เพราะชาวคริสต์ที่เป็นชาวอาหรับที่อาศัยอยู่ในเลบานอนก็มี อาศัยอยู่ในซีเรียก็มี แม้แต่ในเมืองเบธเลเฮม หรือเมืองนาซาเร็ธ ก็มีชาวอาหรับอาศัยอยู่ ซึ่งแม้เขาจะถือในศาสนาคริสต์ แต่เขาก็ไม่ชอบอิสราเอลเหมือนกัน

แม้กระทั่งชาวยิวในนิกายอื่นที่ไม่ใช่พวกไซออนิสต์ ก็มีการประท้วงไม่เห็นด้วยกับการที่ไปตั้งประเทศอิสราเอล เพราะประเทศอิสราเอลนี้เอาเรื่องในเหตุการณ์เมื่อ 3,000 ปีก่อนคริสตกาล มาอ้างว่า “ดินแดนแห่งนี้เป็นของตน”

ประเด็นคือ ชาวยิวนั้น เดิมเป็นลูกหลานของ ‘ยิตซ์ฮาก’ (นบีอิสฮาก) บุตรของ ‘อับราฮัม’ ที่กำเนิดกับ ‘นางซาร่า’ ซึ่งเดินทางมาจากเมืองหนึ่งในเมโสโปเตเมีย ที่อยู่ในอิรัก สู่ ‘ดินแดนคานาอัน’ ของชาวคานาอัน ซึ่งชาวคานาอันนั้น เดิมทีเมื่อ 2,500 ปีก่อนคริสตกาล ได้ไปผสมรวมกับชาวเมืองที่มาจากเกาะครีตมาขึ้นที่เมืองเพทรัส หรือปารัส ซึ่งต่อมาได้มีการเรียกกลุ่มคนที่อยู่ที่เมืองปารัส ว่า ‘ปารัสชีอะห์’ เรียกดินแดนตรงนี้ว่า ‘ปีรัสเทียร์’ ซึ่งคือ ‘ปาเลสไตน์’

ดังนั้น คนปาเลสไตน์ ก็คือลูกผสมระหว่างคานาอันกับปาเลสไตน์ เขาว่ากันว่า เมื่อเราไปตรวจดีเอ็นเอของชาวปาเลสไตน์ จะพบว่า ชาวปาเลสไตน์ในปัจจุบันนี้นั้น มีผลดีเอ็นเอตรงกับคนเมื่อประมาณ 3,000 ปีก่อนคริสตกาล หรือตั้งแต่สมัยฟินิเชียนนั่นเอง

เพราะชาวปาเลสไตน์ไม่เคยถูกขับไล่ให้ไปไหนเลย มีแต่ชาวยิวเท่านั้นที่แตกแยกย้าย กระจัดกระจายไปทั่วทุกดินแดนทั่วโลก ในขณะที่ชาวปาเลสไตน์ก็ยังคงอยู่ในดินแดนปาเลสไตน์

‘2 มหาเศรษฐีเชื้อสายยิว’ ประกาศงดให้ทุนสนับสนุน ‘ม.ฮาร์วาร์ด’ อ้าง!! ผิดหวังต่อท่าทีของสถาบัน ปมสงครามอิสราเอล-ปาเลสไตน์

เมื่อวันที่ 17 ต.ค. 66 ‘เลส เว็กซ์เนอร์’ มหาเศรษฐีเชื้อสายยิวระดับพันล้าน และเป็นผู้ก่อตั้ง ‘วิกตอเรีย ซีเคร็ต’ (Victoria's Secret) บริษัทออกแบบและจำหน่ายชุดชั้นในระดับ Luxury ประกาศถอนเงินทุนสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สถาบันการศึกษาชั้นนำของสหรัฐฯ

‘มูลนิธิเว็กซ์เนอร์’ ซึ่งมีแนวคิดสนับสนุนชาวยิว ก่อตั้งโดย ‘เลส เว็กซ์เนอร์’ เอง มีความผูกพันอย่างลึกซึ้งกับมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ชี้แจงว่า การตัดสินใจดังกล่าวสืบเนื่องมาจากท่าทีของมหาวิทยาลัย ที่แสดงออกต่อการโจมตีพลเรือนอิสราเอลของกลุ่มฮามาส

ขณะเดียวกัน กลุ่มนักลงทุน ผู้บริหารและผู้บริจาครายสำคัญ ๆ ของสถาบันการศึกษาชั้นนำของสหรัฐฯ ก็เรียกร้องให้มหาวิทยาลัยในกลุ่ม ‘ไอวีลีก’ แสดงท่าทีที่ชัดเจนมากขึ้น ในการสนับสนุนอิสราเอลและประณามพฤติกรรมต่อต้านชาวยิว

ในแถลงการณ์ของมูลนิธิเว็กซ์เนอร์ ที่มีผู้นำไปโพสต์บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ (ทวิตเตอร์) ได้กล่าวหาว่า กลุ่มผู้บริหารของ ‘ฮาร์วาร์ด’ นั้น แสดงท่าทีที่ ‘คลุมเครือ’ และ ‘ผิวเผิน’ ต่อประเด็นการโจมตีอิสราเอลของกลุ่มฮามาส ซึ่งทางมูลนิธิได้ยืนยันว่า แถลงการณ์ดังกล่าวเป็นของจริง โดยในแถลงการณ์ระบุว่า…

“เนื่องจากฮาร์วาร์ดไม่แสดงความชัดเจนในการเลือกข้างทางศีลธรรม มูลนิธิเว็กซ์เนอร์จึงขอประกาศว่าขอยุติความร่วมมือต่าง ๆ ที่เคยมีกับวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเคนเนดี เนื่องจากแนวทางและค่านิยมของแต่ละฝ่ายไม่สอดคล้องกัน”

ด้านโฆษกของวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเคนเนดีก็ชี้แจงว่า ทางสถาบันยืนยันอย่างชัดเจนว่า ไม่เห็นด้วยกับการก่อการร้าย และการบุกโจมตีพลเรือนอิสราเอลอย่างโหดเหี้ยมของกลุ่มหัวรุนแรงฮามาส อย่างไรก็ตาม วิทยาลัยก็ขอแสดงความขอบคุณมูลนิธิเว็กซ์เนอร์ ที่ให้การสนับสนุนทุนการศึกษาแก่สถาบันมาตลอด

‘ดัก เอลเมนดอร์ฟ’ คณบดีของวิทยาลัยออกแถลงการณ์กล่าวประณามการโจมตีของกลุ่มฮามาส แต่ก็แสดงความกังวลเรื่องที่มีการข่มขู่ คำพูดแสดงความเกลียดชัง การกลั่นแกล้งออนไลน์และพฤติกรรมแสดงความบ้าคลั่งอื่นๆ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อคนใน ‘ชุมชนฮาร์วาร์ด’

ก่อนหน้ายุติความร่วมมือ มูลนิธิเว็กซ์เนอร์มอบทั้งทุนการศึกษาให้นักศึกษาจากวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเคนเนดีมากว่า 3 ทศวรรษ และจัดให้เจ้าหน้าที่รัฐบาลอิสราเอลเข้าอบรมด้านการบริหารจัดการและความเป็นผู้นำองค์กรจากทางสถาบัน

ด้าน ‘ไอแดน โอเฟอร์’ มหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยลำดับที่ 81 ของโลก เจ้าของบริษัทควอนตัม แปซิฟิก กรุ๊ป และผู้ได้ชื่อว่าเป็นคนที่รวยที่สุดในอิสราเอล พร้อม ‘บาเทีย โอเฟอร์’ ภรรยาของเขา ก็ถอนตัวออกจากคณะกรรมการบริหารวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเคนเนดี ซึ่งครอบครัวของเขามอบทุนการศึกษาแก่ทั้งชาวอิสราเอลและปาเลสไตน์ ให้เข้าเรียนที่นี่มาตั้งแต่ปี 2560

นอกจากนี้ สำนักข่าวของชุมชนชาวยิว ‘เดอะ มาร์เคอร์’ ยังระบุว่า สองสามีภรรยาโอเฟอร์ยังยกเลิกโครงการบริจาคเงินหลายล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แก่สถาบันอีกด้วย

มีผู้แสดงความเห็นว่า การถอนตัวนี้อาจเป็นเพราะ ฮาร์วาร์ดปล่อยให้มีการแสดงออกอย่างอิสระจากกลุ่มนักศึกษาฝั่งปาเลสไตน์ โดย ‘คริสทีน เกย์’ อธิการบดีของฮาร์วาร์ด ชี้แจงว่า มหาวิทยาลัยไม่เห็นด้วยต่อการก่อการร้าย แต่ก็ไม่เห็นด้วยต่อการรังควานหรือข่มขู่ใคร โดยอ้างอิงจากพื้นฐานความเชื่อส่วนบุคคล

เกย์ ยังกล่าวว่า สถาบันยึดมั่นต่อเสรีภาพในการแสดงออกทางความคิด ซึ่งรวมถึงมุมมองที่คนส่วนใหญ่อาจไม่เห็นด้วย หรือแสดงความอุกอาจจนดูเหมือนการล่วงละเมิด

ด้าน โอเฟอร์ แสดงความเห็นว่าคณะผู้บริหารของฮาร์วาร์ด ได้ทำลายความเชื่อมั่นในสถาบันของพวกเขาไปแล้ว ซึ่งทำให้พวกเขาไม่อาจทำใจสนับสนุนสถาบัน และชุมชนของมหาวิทยาลัยได้อีกต่อไป

ครอบครัวโอเฟอร์ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น ถึงเหตุผลที่พวกเขาถอนตัวออกจากการเป็นกรรมการบริหารของวิทยาลัยว่า สืบเนื่องมาจากท่าทีที่ไม่ชัดเจนของกลุ่มผู้บริหารของมหาวิทยาลัยในการสนับสนุนชาวอิสราเอล หลังจากเกิดเหตุการณ์โศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ในดินแดนอิสราเอลเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว รวมทั้งเจตนาที่เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ‘ไม่ยอมรับว่ากลุ่มฮามาสคือองค์การก่อการร้าย’

สองสามีภรรยาโอเฟอร์ระบุว่า ในสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยข้อมูลเท็จที่กระจายไปทั่วแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย สถาบันศึกษาชั้นนำของโลกเหล่านี้ จำเป็นต้องแสดงตัวอย่างชัดเจนว่า คิดเห็นอย่างไรในช่วงเวลาอันวิกฤติเช่นนี้


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top