Saturday, 4 May 2024
ชาวต่างชาติ

เผย 4 เดือนแรก ต่างชาติมาไทยครบล้านคน ชี้ ตัวเลขมากกว่าปีที่แล้วทั้งปี มีหวังช่วยฟื้นศก.

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากมาตรการผ่อนคลายการควบคุมโควิด-19 รัฐบาลได้ประกาศเปิดประเทศเต็มรูปแบบรองรับนักเที่ยวกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในประเทศไทย ส่งผลทำให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาประเทศไทย ตั้งแต่เดือนมกราคม - วันที่ 18 พฤษภาคม 2565 จำนวน 1 ล้านกว่าคน มากกว่าจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาประเทศไทยในปี 2564 ทั้งปี ถึง 5.88 แสนคน 

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2565 จะมีการปรับแผนการผ่อนปรนมาตรการเข้าประเทศเพื่ออำนวยความสะดวกให้ชาวต่างชาติมากยิ่งขึ้น โดยยังคง Thailand Pass แต่ปรับรูปแบบการกรอกข้อมูลให้ง่าย คงเหลือข้อมูลที่จำเป็น ได้แก่ 1. Vaccine 2. Insurance และ 3. Passport ซึ่งสามารถออก QR code ได้ทันทีหลังลงทะเบียนเสร็จ สำหรับคนไทยตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน ยกเลิกระบบ Thailand Pass 

ทั้งนี้ จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศไทยมากขึ้น ส่งผลตัวเลขรายได้ไตรมาสแรกปี 2565 เพิ่มขึ้นกว่าช่วงเดียวกันของปี 2564 กว่า 2,000 % ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19) มีมติให้เปิดสถานประกอบการที่มีลักษณะสถานบริหาร สถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ หรือสถานที่อื่นที่มีลักษณะคล้ายกัน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน เป็นต้นไป ภายใต้มาตรการตรวจคัดกรองผู้ให้บริการอย่างเข้มงวด ซึ่งจะต้องมีการตรวจ ATK ทุก ๆ 7 วัน หรือเมื่อมีอาการและมีความเสี่ยง

ฟังจากปาก ‘ต่างชาติตัวจริง’ ที่ได้มาเยือนไทย ‘ทุกอย่างที่เป็นไทย’ ดึงดูดให้อยากกลับมา

หากใครตามข่าวหรือเข้าโซเชียลบ่อย ๆ ก็คงได้เห็นข่าวที่หลาย ๆ องค์กรทั่วโลกได้จัดอันดับให้ ‘ประเทศไทย’ อยู่ในระดับสูงหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านการท่องเที่ยว, อาหาร, เมืองน่าอยู่, สายการบิน หรือแม้กระทั้งระบบสาธารณะสุข 

แต่หากใครคิดไม่ออก หรือไม่คุ้น แล้วยังมีความแอบเอ๊ะ!! ไม่แน่ใจว่าเคยมีการจัดอันดับให้ไทยด้วยหรือไม่? ก็ไม่เป็นไร เพราะเดี๋ยวจะยกตัวอย่างมาให้ดูกัน

ตัวอย่างล่าสุดสด ๆ ร้อน ๆ ก็คือนิตยสารธุรกิจและท่องเที่ยวอย่าง ‘Business traveller’ จัดอันดับให้ ‘กรุงเทพมหานคร’ เป็นอันดับ 1 ‘เมืองที่น่าพักผ่อนหย่อนใจมากที่สุดในเอเชียแปซิฟิก’ (Best Leisure time city in Asia-Pacific) ต่อเนื่อง 6 ปีซ้อน!! การจัดอันดับครั้งนี้สะท้อนว่าไทยยังเป็นจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกชื่นชอบ

นอกจากนี้ ในการจัดอันดับจากที่เดียวกัน ไทยยังคว้าอันดับ 3 เมืองสำหรับธุรกิจที่ดีที่สุด (Best Business Cities in Asia) ส่วนสายการบินแห่งชาติอย่าง ‘การบินไทย’ ก็ไม่น้อยหน้า ติด Top 3 ประเภทสายการบินที่ดีที่สุดในเอเชีย-แปซิฟิก ด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้หากย้อนกลับไปก่อนหน้านี้อีกสักหน่อย นิตยสาร ‘Time Out’ ก็เคยจัดให้ ‘เยาวราช’ ติดอันดับที่ 8 ในหมวดถนนสุดเจ๋งของโลก ที่รายล้อมไปด้วยวัฒนธรรมและสตรีตฟู้ดที่ถูกใจต่างชาติ

เท่านั้นยังไม่พอ ข้อมูลจากเว็บไซต์ ‘Travel Daily News’ ระบุว่า ประเทศไทยเป็นอันดับ 1 ของโลก ด้านสถานบริการเพื่อสุขภาพ (Wellness Retreats) และยังได้รับขนานนามว่าเป็น ‘เมืองหลวงของสปาแห่งทวีปเอเชีย’ อีกด้วย

ข้ามมาทางฝั่งของสถานที่ท่องเที่ยว!! หนังสือพิมพ์ ‘Daily Star’ ของประเทศอังกฤษ ได้เปิดเผยว่า หาดซันไรส์ เกาะหลีเป๊ะ ติดอันดับ 6 และ อ่าวมาหยา เกาะพีพี ติดอันดับ 12 จาก 20 อันดับของชายหาดที่สวยที่สุดในโลก

นอกจากนี้ เว็บไซต์ ‘William Russell’ ซึ่งดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการประกันสุขภาพ ชีวิต และรายได้ ก็จัดอันดับให้เกาะพะงัน เป็นที่ 1 ของโลกในด้านปลายทางเพื่อการ Workation 

มาดูด้านอาหารบ้าง ‘ข้าวซอย’ ก็เป็นหนึ่งในซุปที่อร่อยที่สุดในโลก หรือกระทั่งไส้กรอกอีสาน ไข่เจียวปู ก็อร่อยถูกใจ จนต่างชาติยกให้เป็นสุดยอดสตรีตฟู้ดแห่งเอเชีย

ร่ายมาขนาดนี้ อ่านมาถึงตรงนี้ ก็คงคิดว่า…อวยเกินไปหรือเปล่า!! 

แน่นอนว่า คนไทยอาจจะเฉย ๆ เพราะเราคงคุ้นชินและไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไร แต่หากเป็น ‘ชาวต่างชาติ’ ที่อยู่ในไทย ที่ไม่ว่าจะมาท่องเที่ยว พักผ่อนระยะสั้น หรืออยู่ยาว ๆ เขาตื่นเต้นกับสิ่งเหล่านี้ ‘อย่างมาก!!’

จากช่อง YouTube ‘YakcuteTV’ ได้เผยแพร่คลิปวิดีโอความยาว 8.06 นาที โดยเป็นคลิปสัมภาษณ์ความรู้สึกของชาวต่างชาติจากทั่วโลก ที่ได้เข้ามาใช้ชีวิตในประเทศไทย ซึ่งได้ถามหลายคำถาม และได้รับคำตอบหลากมุมที่เมื่อฟังแล้วก็ต้องยิ้มตาม พร้อมยืดอกด้วยความภาคภูมิใจเลยล่ะ

โดยคำถามแรกได้มีการถามถึงความรู้สึกที่อยู่ในประเทศไทยในช่วงล็อกดาวน์ ซึ่งนักท่องเที่ยวหญิงจากประเทศอังกฤษระบุว่า…คนไทยหลายคนที่ได้เจอน่ารักมากจริง ๆ คอยถามตลอดว่าอยากได้อะไรเพิ่มไหม น่ารักมาก นิสัยดีมาก นอกจากนี้เธอยังบอกอีกว่า “บอกตรง ๆ ว่า อยู่ที่นี่ เราได้รับความช่วยเหลือมากกว่าตอนอยู่อังกฤษอีก”

ส่วนชาวต่างชาติผู้ชาย จากประเทศเยอรมนี กล่าวทั้งรอยยิ้มว่า เขาอยู่เมืองไทยตั้งแต่ช่วงต้นปี มีแผนจะไปกัมพูชาและเวียดนาม แต่ดันมาติดอยู่ที่เกาะพะงันช่วงล็อกดาวน์ ถึงแม้ต้องใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา แต่ที่ไทยก็ชิลกว่าที่เยอรมนีหลายเท่า “ดีใจมากที่ได้มาอยู่ประเทศไทย”

ขณะที่นักท่องเที่ยวหญิงชาวอังกฤษ บอกเล่าความประทับใจว่า เธอโชคดีมากที่อยู่เมืองไทย คนไทยให้ความร่วมมือเรื่องโควิด-19 ดีมาก “ทุกคนยอมรับว่ามันแย่ แต่ก็ร่วมมือกันดี การ์ดไม่ตก” 

เมื่อถามว่าชอบที่ไหนมากที่สุดในประเทศไทย นักท่องเที่ยวชายชาวอังกฤษ ตอบคำถามอย่างกระตือรือร้นว่า เขาชอบหลายที่ในประเทศไทย เช่น บางลำพู, สวนรถไฟ, ภูเขาทอง, วัดสระเกศ (เคยพาครอบครัวไป) เขาเที่ยวในเมืองไทยเยอะมาก เช่น กาญจนบุรี, เชียงใหม่, หนองคาย, อุดรธานี, โคราช, เกาะเต่า, เกาะสมุย, เกาะพะงัน, ภูเก็ต ตรัง, ฉะเชิงเทรา พร้อมระบุด้วยว่า “ขอพูดในฐานะคนอังกฤษละกัน อย่างแรกเลย คือ เมืองไทยอากาศดีมากครับ ขณะที่การใช้ชีวิตคนลอนดอนจะยุ่งตลอดเวลา แต่จังหวะชีวิตในเมืองไทยยืดหยุ่นกว่า มีความเป็นมิตร ดูสบายๆ ส่วนธรรมชาติของเมืองไทยนั้นงดงาม เหมาะอย่างยิ่งกับชาวตะวันตกอย่างเรา ๆ ครับ” 

นักท่องเที่ยวหญิงชาวสเปน บอกเล่าว่า ถึงแม้ว่าเธอยังไม่ได้ไปเที่ยวทั่วประเทศไทย แต่ว่าที่ชอบมากๆ คือ เกาะพะงัน, เกาะหลีเป๊ะ เพราะบรรยากาศดี ทะเลสวย น้ำใสราวกับกระจก นอกจากนี้ยังระบุอีกว่า “ผู้คนที่นั่น น่ารักมาก ต้อนรับขับสู้อบอุ่นดีมากค่ะ”

ขณะที่นักท่องเที่ยวชายชาวฝรั่งเศส บอกว่า เขาชื่นชอบหลายเกาะในประเทศไทยมากๆ เช่น เกาะพีพี เกาะเต่า เกาะพะงัน ช่วงที่ล็อกดาวน์ ไม่มีนักท่องเที่ยวเลย ธรรมชาติและสิ่งมีชีวิตได้พักหายใจ ซึ่งดีมาก ๆ 

เมื่อถามว่า ชาวต่างชาติชอบอะไรในเมืองไทย นักท่องเที่ยวสาวชาวอังกฤษ พูดพร้อมรอยยิ้ม ว่า เธอชอบคนไทย เพราะคนไทยเป็นมิตรมาก ๆ ต้อนรับขับสู้ดีมากด้วย อีกทั้งคนไทยไม่เคยตัดสินฉัน และแน่นอนว่า อาหารไทยอร่อยมากค่ะ 

ส่วนนักท่องเที่ยวหนุ่มชาวสหรัฐอเมริกา กล่าวพร้อมกับยิ้มว่า วงการสเก็ตบอร์ดในไทยกำลังเติบโต และเขาชอบเล่นสเก็ตบอร์ดมากๆ อีกทั้งชอบทุกอย่างในประเทศไทย เพราะที่นี่ชิลมาก ๆ และมีคนหลากหลายเชื้อชาติ “ตอนที่อยู่เท็กซัส ไม่ค่อยได้เจอใครใหม่ ๆ เลย แต่พอมาอยู่เมืองไทยได้เจอคนหลากหลายเชื้อชาติเลย”

‘จีน’ เตรียมออกวีซ่า ให้ชาวต่างชาติ 15 มี.ค.นี้ หลังปิดพรหมแดนนานกว่า 3 ปี

จีนเริ่มออกวีซ่าให้ชาวต่างชาติใหม่อีกครั้ง ดีเดย์ 15 มี.ค.นี้

สถานเอกอัครราชทูตจีนในสหรัฐอเมริกาออกแถลงการณ์ระบุว่า จีนจะเริ่มออกวีซ่าประเภทต่าง ๆ ให้กับชาวต่างชาติอีกครั้ง ตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคมนี้ หลังจากที่มีการปิดพรมแดนนานเกือบ 3 ปีภายใต้มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างเข้มงวด

แถลงการณ์ของสถานทูตจีนในสหรัฐระบุว่า จีนจะยกเลิกข้อจำกัดด้านวีซ่าสำหรับสถานที่ต่าง ๆ รวมถึงเกาะไห่หนานและเรือสำราญที่แล่นผ่านท่าเรือเซี่ยงไฮ้ นอกจากนี้ การเดินทางเข้ากวางตุ้งโดยไม่ต้องขอวีซ่าสำหรับชาวต่างชาติจากฮ่องกงและมาเก๊าก็จะกลับมามีผลใช้อีกครั้งหนึ่งด้วยเช่นกัน
จีนได้ยกเลิกนโยบายโควิดเป็นศูนย์ในเดือนธันวาคมปีก่อน และเปิดพรมแดนในเดือนมกราคม ซึ่งทำให้มีการเดินทางเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ขณะที่ผู้นำประเทศได้ส่งสัญญาณถึงชัยชนะเหนือการแพร่ระบาดของโควิด-19

‘ททท.’ เผย ต่างชาติทะลักเที่ยวไทยช่วงสงกรานต์ 305,000 คน ยอดจองพุ่ง!! 14,220 เที่ยวบิน คาดเงินสะพัด 1.2 แสนล้าน

(5 เม.ย.66) นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า สถานการณ์นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2566 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-31 มีนาคม มีจำนวนสะสม อยู่ที่ 6,465,737 คน เพิ่มขึ้น 1,199% เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565 แบ่งเป็นเดือนมกราคม มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 2,144,948 คน เดือนกุมภาพันธ์ 2,113,550 คน และเดือนมีนาคม 2,207,239 คน สร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสม 256,194 ล้านบาท

จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสมเกือบ 6.5 ล้านคนใน 3 เดือนแรกที่ผ่านมา พบว่าส่วนใหญ่ 56.8% เป็นนักท่องเที่ยวจากเอเชียตะวันออก รองลงมาคือยุโรป 26.5% และอื่นๆ อาทิ อินเดีย สหรัฐ ออสเตรเลีย อิสราเอล แคนาดา และซาอุดีอาระเบีย อีก 16.7% โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทย สูงสุด 5 อันดับแรก ในช่วง 3 เดือนแรก ได้แก่ 1.มาเลเซีย 902,621 คน 2.รัสเซีย 566,425 คน 3.จีน 517,242 คน 4.เกาหลีใต้ 441,028 คน และ 5.อินเดีย 320,887 คน

“ตลาดนักท่องเที่ยวจีนถือเป็นพระเอกของภาคท่องเที่ยวไทยในปี 2566 คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าไทยมากเป็นอันดับ 1 จำนวนไม่น้อยกว่า 5 ล้านคน มีแนวโน้มปิดที่ 7-8 ล้านคน ขึ้นอยู่กับปริมาณเที่ยวบินในช่วงตารางบินฤดูหนาว 2566/2567 รองลงมาคือตลาดมาเลเซีย วางเป้าหมายไว้ที่ 4 ล้านคน อินเดีย 2 ล้านคน ส่วนรัสเซียและเกาหลีใต้ คาดมีไม่น้อยกว่า 1 ล้านคน” นายยุทธศักดิ์กล่าว

ต่างชาติเข้าเที่ยวไทยพุ่ง 525%
นายยุทธศักดิ์กล่าวว่า สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 305,000 คน เพิ่มขึ้น 525% เทียบจากปี 2565 ที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 48,814 คน และเพิ่มขึ้น 58% จากปี 2562 ที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 522,357 คน สร้างรายได้ทางการท่องเที่ยวประมาณ 5,030 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 630% จากปี 2565 ที่มีรายได้ 689 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 60% ของปี 2562 ที่มีรายได้ประมาณ 8,321 ล้านบาท

สนามบินไฟลต์ว่อนสงกรานต์
รายงานข่าวจาก บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. แจ้งว่า ทอท.ประมาณการการจราจรทางอากาศช่วงเทศกาลสงกรานต์ ระหว่างวันที่ 11-17 เมษายน 2566 ณ ท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่ง ของ ทอท. ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ท่าอากาศยานภูเก็ต และท่าอากาศยานหาดใหญ่ จะมีเที่ยวบินรวมประมาณ 14,220 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 59.62% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นเที่ยวบินระหว่างประเทศ ประมาณ 7,500 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 219.20% และเที่ยวบินภายในประเทศ ประมาณ 6,720 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 2.44% คาดว่าจะมีผู้โดยสารใช้บริการประมาณ 2.37 ล้านคน เพิ่มขึ้น 137.48%

แบ่งเป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศ ประมาณ 1.37 ล้านคน เพิ่มขึ้น 561.76% และผู้โดยสารภายในประเทศ ประมาณ 1 ล้านคน เพิ่มขึ้น 26.08% อย่างไรก็ตาม เมื่อการจราจรทางอากาศที่เกิดขึ้นจริงในช่วงเทศกาลสงกรานต์ของปี 2562 ก่อนเกิดโควิด-19 พบว่าปริมาณเที่ยวบินและผู้โดยสารยังคงติดลบ เที่ยวบินรวมลดลง 18.47% เที่ยวบินระหว่างประเทศลดลง 20.90% เที่ยวบินภายในประเทศลดลง 15.59% ขณะที่ประมาณการผู้โดยสารรวมลดลง 17.39% ผู้โดยสารระหว่างประเทศลดลง 20.96% และผู้โดยสารภายในประเทศลดลง 11.91%

‘ตร.’ คุมตัว 2 ต่างชาติสอบเข้ม ปม ‘นักธุรกิจเยอรมัน’ หายตัวไป ล่าสุด ‘ทีมสืบฯ’ พบพิรุธเส้นทางการเงิน คาด!! อาจเอี่ยวคดีนี้ 

(10 ก.ค. 66) ศูนย์ข่าวศรีราชา - ผบก.สส.ภาค 2 นำทีมบุกตรวจค้นบ้านพัก 1 ในผู้ต้องสงสัยชาวต่างชาติเกี่ยวข้องการหายตัวไปของนักธุรกิจอสังหาฯ ชาวเยอรมันช่วงกลางดึกที่ผ่านมา หลังเชิญตัวชาวต่างชาติ 2 รายสอบปากคำ แต่ยังไม่ให้การใดๆ ส่วนผู้สูญหายยังไม่รู้ชะตากรรม

จากกรณีการหายตัวไปของ นายฮันส์ ปีเตอร์ แรลเตอร์ มัค (MR.HANS PETER RALTER MACK) อายุ 62 ปี นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชาวเยอรมัน พร้อมรถยนต์เมอร์เซเดส เบนซ์ คูเป้ อี 350 สีบรอนซ์เทา หมายเลขทะเบียน ญศ 7146 กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่เมื่อวันที่ 4 ก.ค.ที่ผ่านมา จนภรรยาต้องประกาศตั้งรางวัลให้ผู้พบเห็นรถยนต์เป็นเงินจำนวน 100,000 บาท และเจอตัวผู้สูญหายจะให้รางวัลสูงถึง 3,000,000 บาท

โดยระบุว่าสามีหายไปหลังออกจากบ้านไปพูดคุยกับนายหน้าชาวต่างชาติที่รู้จักกันไม่นานเกี่ยวกับการซื้อขายที่ดินบนเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี มูลค่าหลายร้อยล้านบาท ก่อนจะมีการตามเจอรถยนต์ซึ่งถูกนำมาจอดทิ้งที่ลานจอดรถข้างคอนโดฯ ภายในซอยเขาน้อย เมืองพัทยา และมีผู้พบเห็นว่ามีผู้หญิงนั่งมาด้วย

จนนำสู่การตรวจสอบอย่างละเอียดภายในรถเบนซ์คันดังกล่าว แต่เจ้าหน้าที่ได้ออกมาเปิดเผยว่า ส่อแววร้าย เพราะพบว่าภายในรถยนต์มีการน้ำยาบางชนิดเข้ามาทำความสะอาดเบาะ และอีกหลายจุด ซึ่งเชื่อว่าเป็นความพยายามในการทำลายหลักฐาน และจากการตรวจสัญญาณโทรศัพท์มือถือครั้งสุดท้ายของผู้สูญหายพบพิกัดบริเวณแนวชายแดน จ.สระแก้ว นั้น

ล่าสุด ผู้สื่อข่าวรายงานว่าช่วงกลางดึกคืนที่ผ่านมา (9 ก.ค.) พล.ต.ต.ธีระชัย ชำนาญหมอ ผบก.สส.ภาค 2 พร้อมด้วย พ.ต.อ.ทวี กุดแถลง ผกก.สภ.หนองปรือ และเจ้าหน้าที่ทีมสืบสวนได้เชิญตัวชาวต่างชาติ 2 ราย ซึ่งเดินทางมาพร้อมทนายความเพื่อให้ปากคำเพิ่มเติม แต่ทั้งหมดยังคงปิดปากเงียบและยืนยันว่าจะให้ทนายความเป็นผู้จัดการเท่านั้น

โดยก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เชิญตัว 1 ในผู้ต้องสงสัยเป็นหญิงชาวต่างชาติเข้ามาให้ปากคำแล้ว แต่ยังยืนยันว่าจะให้ทนายความเป็นผู้ดำเนินการเช่นกัน

จากนั้น พล.ต.ต.ธีระชัย ชำนาญหมอ ผบก.สส.ภาค 2 ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนภาค 2 สนธิกำลังร่วมเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนจังหวดชลบุรี เจ้าหน้าที่สืบสวนตำรวจท่องเที่ยว และเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง นำหมายค้นที่ 129/2566 เข้าไปตรวจค้นภายในบ้านเลขที่ 21/302 หมู่บ้านโชคชัย การ์เด้น 2 ม.10 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง ซึ่งเป็นบ้านของ 1ในผู้ต้องสงสัยแต่ยังไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ

อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจทีมสืบสวนได้พบเส้นทางการเงินที่ผิดปกติ รวมจำนวนกว่า 2 ล้านบาท ที่อาจมีส่วนเกี่ยวโยงกับคดีดังกล่าว แต่จะต้องรอรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม ขณะที่ นายฮันส์ ปีเตอร์ แรลเตอร์ มัค ยังไม่ทราบชะตากรรมว่าเป็นตายร้ายดีเช่นไร

เหตุผลที่ทำให้ประเทศไทยติด 1 ใน 10 ประเทศ ที่ ‘ชาวต่างชาติ’ อยากมาใช้ชีวิตอยู่มากที่สุดในโลก

(21 ก.ค.66) ดร.วิริยะ ฤาชัยพาณิชย์ ได้โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

ประเทศไทยติดหนึ่งใน 10 ประเทศที่ ‘ชาวต่างชาติ’ อยากมาใช้ชีวิตอยู่มากที่สุดในโลก 

มีแฟนเพจถามว่า สถิติพวกนี้จริงหรือ? ประเทศเราดีขนาดนั้นจริงหรือ?

เรื่องนี้จริงครับ คนต่างประเทศที่อยากย้ายถิ่นมาอยู่เมืองไทยมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ครับ 

ไม่ใช่แค่ ชาวยุโรป หรือชาวอเมริกัน

แม้แต่ จีน เมียนมา ลาว เวียดนาม ที่มีเงินก็มาซื้อคอนโดมิเนียมในไทยมากขึ้นเรื่อย ๆ ครับ 

จากประสบการณ์ที่ผมเคยไปอยู่มาหลายประเทศ ผมคิดว่าประเทศไทยน่าอยู่มาก เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ เพราะว่า...

1.) คนไทยใจดี
2.) ค่าครองชีพไม่สูงเลย เมื่อเทียบกับสาธารณูปโภค น้ำ ไฟ อินเตอร์เน็ต ซึ่งดีมาก 
3.) ความปลอดภัยสูง ไม่มีแผ่นดินไหว พายุไต้ฝุ่น ภูเขาไฟระเบิด น้ำท่วม หรือภัยธรรมชาติแบบรุนแรง 
4.) และที่ ดีมากๆ คือ สาธารณสุขดีเยี่ยมครับ

'รัฐบาล' เผยครึ่งปีแรก 66 มูลค่าการลงทุนต่างชาติแตะห้าหมื่นล้าน ส่วนตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเติบโตกว่า 3 เท่า จากยอดปี 65 ทั้งปี

(22 ก.ค. 66) น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากการที่รัฐบาลได้ผลักดันและส่งเสริมการลงทุนอย่างจริงจัง ทำให้ใน 6 เดือนแรกของปี 2566 มีผู้สนใจเข้าลงทุนในประเทศเพิ่มต่อเนื่อง และได้มีการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 เมื่อเปรียบเทียบช่วงเวลาเดียวกันปี 2565 โดยอยู่ที่จำนวน 326 ราย รวมมูลค่าการลงทุนทั้งสิ้น 48,927 ล้านบาท สร้างการจ้างงาน 3,222 คน นักลงทุน 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.ญี่ปุ่น 74 ราย เงินลงทุน 17,527 ล้านบาท 2.สหรัฐอเมริกา 59 ราย เงินลงทุน 2,913 ล้านบาท 3. สิงคโปร์ 53 ราย เงินลงทุน 6,916 ล้านบาท 4.จีน 24 ราย เงินลงทุน 11,505 ล้านบาท และ 5. สมาพันธรัฐสวิส 14 ราย เงินลงทุน 1,857 ล้านบาท สำหรับการลงทุนจากชาติอื่น ๆ มีจำนวน 102 ราย เงินลงทุน 8,209 ล้านบาท 

ทั้งนี้ ธุรกิจส่วนใหญ่สอดคล้องกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ นโยบายการส่งเสริมการลงทุน เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ รวมถึงมีการถ่ายทอดเทคโนโลยี และองค์ความรู้เฉพาะด้านโดยตรงให้แก่คนไทย เช่น องค์ความรู้เกี่ยวกับการควบคุมแรงดันหลุมขุดเจาะปิโตรเลียม ขั้นตอนดำเนินการขุดสถานีใต้ดิน การออกแบบระบบไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ในโครงการรถไฟฟ้า การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม เป็นต้น

นอกจากนี้ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ความพยายามของรัฐบาลในการมุ่งส่งเสริมการลงทุนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะเทคโนโลยียานยนต์รูปแบบใหม่ อย่างอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งปัจจุบันตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทยมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในช่วงครึ่งปีแรก (เดือนมกราคม-มิถุนายน) ยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าในไทยมีมากถึง 31,738 คัน โดยมากกว่าถึง 3 เท่าของจำนวนทั้งหมดในปี 2565 

และจากรายงานของ China Association of Automobile Manufacturers (CAAM) พบว่า ไทยถือเป็น 1 ใน 3 ประเทศ ผู้นำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนมากที่สุด เนื่องจากผู้บริโภคมีความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีรูปแบบใหม่มากขึ้น ประกอบกับภาครัฐได้มีการออกมาตรการสนับสนุนให้มีการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ซึ่งเอื้อประโยชน์ให้กับผู้บริโภค รวมถึงมีมาตรการจูงใจให้นักลงทุนสามารถขยายธุรกิจ และใช้ไทยเป็นฐานในการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนในภูมิภาค โดยเมื่อวันที่ 11 ก.ค.ที่ผ่านมา คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI ได้เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการชิ้นส่วนอุตสาหกรรมในประเทศไทยที่มีศักยภาพ เข้าร่วมการเจรจาธุรกิจกับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนอย่างบริษัท BYD ซึ่งมีแผนลงทุนตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ของ BYD แห่งแรกในภูมิภาคอาเซียนที่ไทย นับเป็นการเชื่อมโยงธุรกิจระหว่างบริษัทผลิตรถยนต์โลกกับผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศ เพื่อทำให้เกิดการพัฒนาห่วงโซ่อุปทาน และเป็นการสร้างโอกาสให้ผู้ผลิตในไทยได้มีส่วนร่วมอยู่ในซัพพลายเชนระดับโลก

“นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับการลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ส่งเสริมการพัฒนาทางด้านโครงสร้างพื้นฐาน และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้ประเทศไทย มาอย่างต่อเนื่อง โดยประเทศไทยนับได้ว่ามีศักยภาพและความได้เปรียบที่ดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ รวมทั้ง มีกระบวนการผลิตที่มีคุณภาพสูงตามมาตรฐานสากล มีข้อได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ที่เป็นประโยชน์กับการค้าการลงทุน ซึ่งเมื่อประกอบกับนโยบายของไทยที่เป็นไปตามวิสัยทัศน์ของนายกรัฐมนตรี ตอบรับความท้าทายระดับโลก เช่น ความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม พลังงานสะอาด ทำให้ประเทศไทยได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง” น.ส.รัชดากล่าว

สะพัด!! 'คนไทย-สส.' นัดรับเงินอุดหนุนต่างชาติที่ฝรั่งเศส สานต่อปฏิบัติการล้มล้างการปกครองของชาติตะวันตก

(25 ก.ค.66) จากเพจ 'สานต่อเจตนารมณ์ อาจารย์สมเกียรติ โอสถสภา' ได้โพสต์ข้อความถึงกรณี 'รายการอีเมลของกลุ่มคน ที่ได้ไปนัดพบปะเพื่อรับเงินอุดหนุนต่างชาติที่ฝรั่งเศส' ไว้ดังนี้...

จะเห็นว่ามีรายชื่อคนไทยมากที่สุด มีแม้แต่ สส. 

ตามมาด้วยคนเมียนมา

มีฟิลิปปินส์กับอินโดอีกนิดหน่อย

ไม่มีคนมาเลฯ สิงคโปร์ ลาว กัมพูชา

---------------------------

แสดงให้เห็นว่าประเทศในย่านนี้ ที่เป็นเป้าหมายหลักการแทรกแซง การล้มล้างการปกครองของชาติตะวันตก

คือ ไทย และ เมียนมา

>> ก่อให้เกิดพรรคการเมืองโปรสหรัฐฯ ที่มุ่งทำลายเสาหลักความมั่นคงของประเทศไทยทุกด้าน

>> และการสู้รบหนัก ต่อเนื่อง โดยฝ่ายต่อต้านรัฐบาลในเมียนมา

---------------------------

โดยมีสื่อต่างชาติ และโซเชียลมีเดีย เป็นแนวรบหลักทางสื่อ 

ยิงแอดกันทั้งวัน รู้วิธีใช้ประโยชน์สูงสุดจากอัลกอริทึมของเฟซบุ๊ก ราวกับมีผู้ชี้แนะ

นักข่าวสื่อหลักไทยได้ไปทริปดูงาน ในยุโรปกับสหรัฐฯ แทบทุกปี ตามแผนงานของฝ่าย Press สถานทูต

ม็อบเด็กในฮ่องกงเมื่อ 5-6 ปีก่อน ที่ร้องเพลงชาติสหรัฐฯ ก็แนวเดียวกันนี้แหละ

อาหรับสปริงเมื่อ 10 กว่าปีก่อนก็เหมือนกัน 

---------------------------

จะเห็นว่าช่วงนี้ตัวแทนพรรคเดโมแครต และ think tank สายการเมืองอย่าง Council on Foreign Relations เดือดร้อนกับการเมืองไทยเป็นพิเศษ

แสดงว่าประเทศไทยแก้ไขสถานการณ์มาถูกทางแล้ว

พรรคได้คะแนนอันดับ 2 อันดับ 3 ตั้งรัฐบาล มีให้เห็นทั่วยุโรป

นี่คือเรื่องปกติในการเมืองโลก 

ช็อคมินต์ถือเป็นซอฟต์พาวเวอร์ครับ

‘ชาวต่างชาติ’ ประทับใจ ‘พฤติกรรมคนไทย’ เมื่อได้ยินเสียงเด็กร้องในที่สาธารณะ 

เมื่อวานนี้ (6 ส.ค. 66) เพจเฟซบุ๊ก ‘Vee Chirasreshtha’ ได้โพสต์ข้อความถึงพฤติกรรม นิสัยของคนไทยที่ชาวต่างชาติประทับใจ โดยระบุว่า

“ครอบครัวฝรั่งมาเที่ยวไทย พาลูกเล็ก ๆ ขึ้นรถไฟฟ้า เด็ก ๆ ก็เสียงดัง ดื้อ งอแง แม่ก็พยายามดูลูกไม่ให้รบกวนคนอื่น ปรากฏว่า พอลงจากรถ เขาถ่ายคลิปเล่าว่า คนไทยน่ารักมาก ๆ ที่ไม่มีใครมองเขาด้วยสายตาในเชิงต่อว่า หรือแม้แต่บ่นด่า เพราะในหลายประเทศ ถ้าเด็กงอแงหรือดื้อเสียงดังในรถไฟฟ้า เขาคงโดนต่อว่าไปแล้ว แต่ที่เขาแปลกใจกว่าคือ มีผู้โดยสารคนไทยพยายามพูดคุยทำเสียงให้ลูกเล็ก ๆ ที่งอแงของเขาให้หยุดร้องด้วย ซึ่งเขาประทับใจมาก”


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top