Monday, 13 May 2024
ชัยธวัชตุลาธน

‘ก้าวไกล’ มีมติคว่ำ ‘พ.ร.ก. อุ้มหาย’ หวังคุ้ม ปชช. จี้!! ส.ส. หนุนอย่าทำสภาล่ม เตะถ่วงเพื่อตู่

‘ก้าวไกล’ มีมติโหวตคว่ำ พ.ร.ก. อุ้มหาย จี้ ส.ส. รัฐบาลต้องปกป้องประชาชน อย่าทำสภาล่มหรือยื่นศาล รธน. เตะถ่วงเพื่ออุ้มประยุทธ์

(27 ก.พ. 66) นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวถึง กรณีที่สภาผู้แทนราษฎรจะประชุมเพื่อพิจารณา พ.ร.ก. แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายฯ ในวันพรุ่งนี้ (28 ก.พ. 66) นั้น ตนได้แจ้งกรรมการบริหารพรรคก้าวไกล ว่ามีมติโหวตคว่ำ พ.ร.ก. ฉบับนี้ของรัฐบาล และไม่เห็นด้วยกับการยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการออก พ.ร.ก. ชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่

“พ.ร.บ. อุ้มหายฯ เป็นกฎหมายที่ ส.ส. ทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลผลักดันร่วมกันกับภาคประชาสังคม เพื่อคุ้มครองไม่ให้เจ้าหน้าที่รัฐละเมิดสิทธิและร่างกายของประชาชนระหว่างถูกควบคุมตัว ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เคยยืนยันต่อ กมธ. ของสภาเองว่า เจ้าหน้าที่สามารถปฏิบัติตามกฎหมายได้ทันแน่นอน ดังนั้น เมื่อถึงกำหนดที่ พ.ร.บ. อุ้มหายฯ จะต้องบังคับใช้แล้ว การออก พ.ร.ก. เพื่อเลื่อนการบังคับใช้ พ.ร.บ. ในส่วนที่เป็นสาระสำคัญ จึงรับฟังไม่ได้ และชัดเจนอยู่แล้วโดยไม่ต้องถามศาลรัฐธรรมนูญ ว่า พ.ร.ก. ฉบับนี้ออกโดยไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เพราะมิได้เป็นกรณีฉุกเฉิน มีความจำเป็นเร่งด่วนแต่อย่างใด”

‘ชัยธวัช’ ลั่น!! เป็นผู้แทนราษฎร ไม่ควรเมินเฉยต่อปัญหา - ต้องมีสำนึกมโนธรรม

(13 ก.ค. 66) นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล พูดอภิปรายในรัฐสภา วาระการเสนอชื่อบุคคลเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ระบุว่า…

“เรามีความสำนึกว่า ถ้าเมื่อไหร่เกิดปัญหาขึ้นในสังคม แล้วผู้แทนราษฎรทำเป็นมองไม่เห็น เราคงอธิบายตนเองไม่ได้ว่า เรายังมีมโนธรรมสำนึกในฐานะผู้แทนราษฎรอยู่ได้อย่างไร”

‘ก้าวไกล’ กังวล ‘อานนท์’ โดนคุก 4 ปี ชี้!! ปัญหาเกิดจาก 112 จ่อยื่นร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม-สะสางคดีทางการเมืองทั้งหมด

‘ก้าวไกล’ กังวล ‘ทนายอานนท์’ ถูกตัดสินจำคุก 4 ปี ชี้ ปัญหามาจากการใช้ ม.112 ปิดปากประชาชนคนเห็นต่าง เตรียมยื่นร่าง พ.ร.บ. นิรโทษกรรม-สะสางคดีความทางการเมืองทั้งหมดในห้วงความขัดแย้ง เรียกร้อง ‘เศรษฐา’ เดินหน้าบรรเทาการใช้กฎหมายละเมิดสิทธิเสรีภาพ

(26 ก.ย. 66) พรรคก้าวไกลและนายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊กแสดงความเห็น กรณีนายอานนท์ นำภา นักเคลื่อนไหว ถูกศาลอาญาตัดสินจำคุก 4 ปี ในคดีความผิดตามมาตรา 112 จากการปราศรัยหมิ่นเบื้องสูง ว่า…

“คดี 112 ของอานนท์ นำภา สะท้อนปัญหาการใช้กฎหมายละเมิดสิทธิเสรีภาพประชาชน ที่รัฐมิอาจเพิกเฉยอีกต่อไป

วันนี้ ศาลอาญา รัชดาฯ ได้พิพากษาจำคุกอานนท์ นำภา ทนายความด้านสิทธิมนุษยชนและนักกิจกรรมทางการเมือง เป็นเวลา 4 ปี ด้วยความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 จากการปราศรัยเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2563

พรรคก้าวไกลกังวลอย่างยิ่งต่อคำพิพากษานี้ เพราะนี่เป็นอีกครั้งที่พลเมืองไทยถูกตัดสินจำคุกจากการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง อันเป็นเสรีภาพที่ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ และการปราศรัยของอานนท์ ก็เป็นการพูดหลักการและเหตุผล ไม่ควรถือเป็นการดูหมิ่น หมิ่นประมาท และไม่ได้เป็นการแสดงความ ‘อาฆาตมาดร้าย’ ต่อองค์พระมหากษัตริย์

ตลอดเวลาที่ผ่านมา รัฐบาลทุกรัฐบาลพยายามไม่รับรู้ว่ากฎหมาย 112 มีปัญหา แต่นับวัน ปัญหานี้ยิ่งเด่นชัดขึ้น และการใช้ 112 ปิดปากผู้เห็นต่าง กำจัดศัตรูทางการเมือง กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สังคมเริ่มตั้งคำถามถึงบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์กับการเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ จนมาถึงวันนี้ พรรคก้าวไกลเชื่อว่าประชาชนจำนวนมากตระหนักดีว่ากฎหมายอาญามาตรา 112 เป็นส่วนหนึ่งของวิกฤตความขัดแย้งทางการเมือง แม้ว่าผู้มีอำนาจจะยอมรับหรือไม่ก็ตาม

รัฐบาลชุดใหม่บอกว่าจะสร้างความปรองดองในสังคม ซึ่งพรรคก้าวไกลเชื่อว่า สังคมไทยไม่สามารถเดินหน้าไปสู่ความปรองดองได้ โดยปราศจากการสร้างความยุติธรรมและทิ้งปมปัญหานี้ไว้ใต้พรม

ดังนั้น การเสนอปรับปรุงแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 จะยังคงเป็นภารกิจของผู้แทนราษฎรก้าวไกล เพื่อหาทางออกจากความขัดแย้งทางการเมืองด้วยกระบวนการทางประชาธิปไตยและกลไกของระบบรัฐสภา และขอยืนยันว่า การปรับปรุงแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่พรรคเสนอ จะไม่กระทบต่อพระราชสถานะขององค์พระประมุข แต่จะยังส่งเสริมความสัมพันธ์ที่มั่นคงระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับประชาชนในประเทศไทยอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม การแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 จะใช้เวลานาน และไม่ใช่ภารกิจที่จะสำเร็จโดยง่าย หากไม่ได้รับความร่วมมือจากพรรคการเมืองอื่น และถึงแม้จะแก้ได้สำเร็จ ก็ยังมีประชาชนอีกจำนวนมาก ที่ถูกตัดสินจำคุกไปแล้วจากกฎหมายนี้ รวมถึงกฎหมายอื่นๆ ที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือกำจัดและปิดปากผู้เห็นต่างกับอำนาจรัฐ เช่น กฎหมายอาญามาตรา 116 และ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์

เพราะฉะนั้น พรรคก้าวไกลจึงเตรียมยื่นร่าง พ.ร.บ. นิรโทษกรรมคดีการเมือง เพื่อชำระสะสางคดีความทางการเมืองทั้งหมดในห้วงความขัดแย้งตลอดกว่าทศวรรษที่ผ่านมา โดยมีคณะกรรมการอันประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ ทำหน้าที่พิจารณาหลักเกณฑ์การนิรโทษกรรมอย่างเป็นธรรม

สุดท้าย พรรคก้าวไกลขอเรียกร้องไปยังรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ว่าสิ่งที่รัฐบาลสามารถทำได้ทันที เพื่อบรรเทาการใช้กฎหมายละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน คือการออกนโยบายสำหรับคดีการเมืองที่ยังไม่ขึ้นสู่ชั้นศาล ป้องกันไม่ให้มีการฟ้องคดีอย่างมิชอบด้วยกระบวนการและการบังคับใช้โดยใช้กฎหมายที่กลายเป็นการละเมิดเสรีภาพประชาชน ที่ผ่านมา ตำรวจและอัยการมีอำนาจในการพิจารณาสั่งไม่ฟ้องคดี หากเห็นว่าไม่เข้าข่ายความผิดตามกฎหมาย แต่เมื่อเป็นคดีความมั่นคง 112 หรือ 116 ก็มักสั่งฟ้อง ทำให้กลายเป็นภาระของประชาชนที่ต้องเสียทรัพยากรและเวลาต่อสู้ในชั้นศาล

ทั้งหมดนี้ ไม่ใช่การกระทำเพื่อใครคนใดคนหนึ่ง แต่คือการคืนความเป็นนิติรัฐให้กับประเทศไทย คืนความเชื่อมั่นศรัทธาที่ประชาชนมีต่อระบบตุลาการและทุกสถาบันหลักของประเทศ เพราะความอยุติธรรมต่อคนคนหนึ่ง เท่ากับความอยุติธรรมต่อพลเมืองทุกคน”

‘ชัยธวัช’ สั่งห้ามเปิด 22 รายชื่อโหวตหนุน ‘ปูอัด’ หวั่น!! ต่อไปทุกคนจะแสดงความเห็นไม่ได้เต็มที่

(7 ต.ค. 66) ที่โรงแรมอักษร อำเภอแกลง จังหวัดระยอง นายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวชี้แจงในกรณี สส. 22 คน ที่โหวตอุ้ม นายไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ หรือ ‘สส.ปูอัด’ ว่า วันนี้ก็มาเข้าร่วมประชุม แต่ประเด็นการพิจารณาในวันนี้ ผิดร้ายแรงจากกรณีที่ขัดต่อกรรมการบริหารพรรคหรือไม่ ขัดต่ออุดมการณ์ และทำให้พรรคเสื่อมเสียชื่อเสียงอย่างร้ายแรงหรือไม่ ซึ่งเป็นการพิจารณาข้อความผิดคนละกรณีกัน ไม่สามารถพิจารณาซ้ำได้ เพราะเราพิจารณาเรื่องนี้ไปแล้ว ดังนั้น ทุกคนเห็นว่าการแถลงของนายไชยามพวาน ไม่ได้เป็นไปตามมติของกรรมการบริหารพรรค ส่วนช้าไปหรือไม่ ตนมองว่าไม่ได้ช้าไป บางเรื่องก็ต้องทำตามกระบวนการของข้อบังคับพรรค

เมื่อถามถึงกรณีที่มีการเรียกร้องให้เปิด 22 รายชื่อ สส. ที่โหวตอุ้มนายไชยามพวาน นายชัยธวัช ยืนยันว่า เปิดไม่ได้ ตนในฐานะหัวหน้าพรรค ได้เรียกร้องให้มีการลงมติ และเปิดอภิปรายถกเถียงอย่างเต็มที่ เพื่อให้ทุกคนไม่ต้องกังวล ตนเป็นคนกำชับเองว่าเมื่อลงมติไปแล้ว สามารถมีความคิดเห็นแตกต่างกันได้ แต่เมื่อลงมติไปแล้ว ต้องไม่โจมตีเพื่อนที่ลงมติแตกต่างจากตนเอง ไม่เช่นนั้นต่อไปในพรรค เวลาที่เปิดให้ทุกคนแสดงความเห็นอย่างเต็มที่ แม้จะเห็นไม่ตรงกัน ก็จะไม่สามารถทำได้

“ผมในฐานะหัวหน้าพรรค ขอให้ทุกคนไม่เอารายชื่อว่าใครโหวตอะไร มากล่าวหาโจมตีกัน ดังนั้น ผมเองก็เปิดเผยไม่ได้ ก็เป็นคนบอกให้ สส. ไม่ให้ออกมาเปิดเผยเอง เหตุผลก็มีแค่นั้น เราไม่ได้ปกปิดว่าใครมีความเห็นว่าอย่างไร แต่เป็นเรื่องกระบวนการภายในของพรรค และผมยืนยันว่า การที่มีความเห็น การโหวตแตกต่างกันนั้น เป็นข้อเท็จจริงที่มีความชัดเจนไม่เท่ากันของทั้ง 2 กรณี” นายชัยธวัช กล่าว

เมื่อถามถึงการวิพากษ์วิจารณ์อาจจะมีมุ้งภายในพรรค ที่ส่งผลทำให้คะแนนไม่เท่ากัน นายชัยธวัช กล่าวยืนยันว่า ไม่ใช่ข้อเท็จจริง ส่วนกรณีที่นายศรีสุวรรณ จรรยา ตัวแทนองค์กรรักชาติรักแผ่นดิน ไปร้องเรียนนั้น ตนคิดว่าทั้ง 2 คนที่ถูกกล่าวหา กระบวนการของพรรคจบไปแล้ว พร้อมย้ำว่า หากผู้เสียหายจะถูกฟ้องกลับ สส.และทางพรรคจะเข้าไปช่วยเหลือด้านข้อกฎหมายกับผู้เสียหาย

ถามว่า จะมีการพาผู้เสียหายไปแจ้งความดำเนินคดีอาญาหรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า ไม่ใช่ผู้เสียหายทุกคนจะพร้อมตลอดเวลาในการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม บางคนต้องการเวลากว่าที่จะพร้อม เขาต้องไปเล่าเรื่องซ้ำ ถูกกระทำชำเราซ้ำ แต่เมื่อไหร่ที่ผู้เสียหายพร้อม ซึ่งตอนนี้มีอย่างน้อย 1 รายที่มีความประสงค์จะแจ้งความดำเนินคดีตามกฎหมาย พรรคก็เตรียมนัดผู้เชี่ยวชาญคดีการคุกคามทางเพศ เพื่อให้การช่วยเหลือ

ซักว่า จะลดข้อครหาอย่างไรว่า การขับนายไชยามพวาน เป็นการกลบกระแสผู้ที่อุ้มมติรอบก่อน นายชัยธวัช กล่าวว่า หากพิจารณาจากข้อเท็จจริง ด้วยเหตุและผล ก็เป็นไปตามกระบวนการเช่นนั้น เมื่อเราเห็นว่านายไชยามพวานไม่ได้ทำตามคำสั่งมติกรรมการบริหารพรรค ก็ถือว่ามีความผิดร้ายแรง สส.ในพรรค ก็พิจารณาจากข้อเท็จจริง อันเป็นกระบวนการที่พรรคทำได้ ดังนั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการกลบกระแส เป็นเรื่องที่ตรงไปตรงมา ในเมื่อพรรคกำหนดเงื่อนไขในการลงโทษไปแล้ว แต่สมาชิกพรรคไม่ปฏิบัติตาม ก็นำมาพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง

ส่วนที่มีการขู่จากแฟนเพจเฟซบุ๊กต่างๆ ว่าจะแฉพรรคก้าวไกลเรื่อยๆ นายชัยธวัช กล่าวว่า ไม่เป็นไร ตนยืนยันว่า การที่สังคมมาช่วยตรวจสอบพรรคเรา ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะหลายเรื่องที่ทุกองค์กร การที่มีสังคมมาช่วยตรวจสอบ ทำให้องค์กรโปร่งใสขึ้น เมื่อไหร่ที่สังคมเลิกตรวจสอบพรรคก้าวไกล แสดงว่าสังคมไม่ได้คาดหวังอะไรอีกแล้วกับพรรคก้าวไกล

เมื่อถามว่า พรรคจะกู้ภาพลักษณ์อย่างไร นายชัยธวัช กล่าวว่า เมื่อบุคคลในองค์กรมีปัญหา สิ่งที่ต้องยืนยันคือต้องดำเนินการตรวจสอบและลงโทษ อย่างตรงไปตรงมา ไม่ปกปิด หากผิดร้ายแรงก็ดำเนินการขั้นเด็ดขาด เป็นสิ่งที่พรรคก้าวไกลต้องทำให้สังคมเห็น ไม่ใช่ว่าไปช่วยกันปกปิด เพราะกลัวองค์กรเสียชื่อเสียง ไม่ใช่วัฒนธรรมของพรรคก้าวไกล แน่นอนว่ากระบวนการตรวจสอบก็ต้องมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งกำลังพูดคุยกันอยู่ หลายครั้งเข้าใจในเชิงหลักการ แต่รายละเอียดรูปธรรม คนในสังคมเห็นไม่ตรงกัน เป็นวัฒนธรรมที่เข้าใจไม่ตรงกัน ซึ่งต้องทำให้ชัดเจนขึ้นภายในพรรค นอกจากนี้จะต้องมีมาตรการป้องกันที่ชัดเจนกว่านี้ รวมถึงมีการตรวจสอบเรื่องพวกนี้ เมื่อมีการร้องเรียน เรื่องคุกคามทางเพศ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ผู้สื่อข่าวถามว่า การตรวจสอบทั้ง 2 กรณี ถูกวิจารณ์ว่าไม่มีผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกเข้ามาร่วมตรวจสอบด้วย นายชัยธวัช กล่าวด้วยท่าทีอึกอักว่า ขณะนี้มีการปรับปรุงให้ดีขึ้น โดยเพิ่มสัดส่วนของคณะกรรมการวินัย รวมถึงคณะกรรมการที่มาสอบข้อเท็จจริงชุดเล็ก คือการเพิ่ม สส.หญิงที่มีความรู้เรื่องกฎหมายเข้ามา เพื่อให้ผู้เสียหายเกิดความสบายใจมากขึ้น แน่นอนว่าหลังจากนี้ต้องทำให้ สส. อาจจะมีความอคติ ช่วยเหลือพวกกันเองได้ ต้องลดสัดส่วน สส.เข้ามาเกี่ยวข้อง

“กรณีคุณแจ้ หากมีผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกเข้ามาจริงๆ อาจจะผิดมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ” นายชัยธวัช กล่าว

‘ธนกร’ เห็นด้วย ‘ชัยธวัช’ คุยฝ่ายเห็นต่างนำไปสู่ความปรองดอง แต่ กม.นิรโทษกรรม ต้องไม่เหมารวม คดี ม.112 ลั่น!! ค้านถึงที่สุด

(26 พ.ย. 66) นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล เดินสายไปพบและรับฟังความเห็น ฝ่ายต่างๆ ทั้งคนเสื้อแดง กลุ่มพันธมิตรฯ กปปส. ว่า ถือเป็นเรื่องที่ดีที่นายชัยธวัช ไปรับฟังทุกฝ่าย ก่อนพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่ระหว่างรอเปิดสมัยประชุมสภา ซึ่งจะทำให้แต่ละฝ่ายเข้าใจเนื้อหาเกี่ยวกับร่าง พ.ร.บ. นิรโทษกรรมคดีทางการเมืองดีมากขึ้น หากมีวัตถุประสงต์หวังให้เป็นจุดเริ่มต้นทำให้เกิดกระบวนการปรองดองทางการเมือง จะต้องเป็นการดำเนินการเพื่อคนทุกฝ่าย ทุกกลุ่ม ไม่ใช่มีผลประโยชน์เฉพาะกลุ่มตัวเองแอบแฝง ควรทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ

เมื่อถามว่า แต่ดูเหมือนร่างกฎหมายนิรโทษกรรมของพรรคก้าวไกล จะมุ่งปลดล็อกคดีมาตรา 112 นายธนกร กล่าวว่า กฎหมายดังกล่าวหากจะสร้างความปรองดองแก่ทุกฝ่ายทางการเมือง ที่เห็นต่างถือว่ายอมรับได้ แต่ต้องไม่ใช่ความผิดจากการกระทำที่ความรุนแรง และต้องไม่ละเมิดกฎหมายความมั่นคงแห่งรัฐ โดยเฉพาะประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่มีไว้เพื่อปกป้องประมุขแห่งรัฐ สถาบันพระมหากษัตริย์ผู้ใดจะล่วงละเมิดมิได้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องการเมือง ตนไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งหากจะมีการนิรโทษความผิดในมาตรา112

“หากพรรคก้าวไกลจะผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรม เพื่อช่วยกลุ่มผู้สนับสนุนให้พ้นความผิดในมาตรา112 นั้น ผมขอคัดค้าน เพราะเป็นการเหยียบย่ำจิตใจคนไทยทั้งชาติที่รัก เทิดทูนสถาบันฯ การเดินสายรับฟังความเห็นคนทุกสีเสื้อ ทุกกลุ่มของก้าวไกล แต่จะนำมาอ้างว่าทุกฝ่ายเห็นด้วยคงไม่ใช่ ผมเชื่อว่า สภาก็จะไม่เห็นด้วย จึงขอให้พรรคก้าวไกลพูดให้ชัดในเรื่องนี้ หากรวมคดีม.112 ด้วย ผมรับไม่ได้และขอคัดค้านแน่นอน” นายธนกร กล่าว

‘ชัยธวัช’ เชื่อ!! คดีแก้ ม.112 ไม่ถึงขั้นยุบพรรค ชี้ ไม่สามารถนำไปสู่การล้มล้างการปกครองได้

(20 ธ.ค.66) - นายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการต่อสู้ในคดีที่ศาลรัฐธรรมนูญเตรียมพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาพรรคก้าวไกล และพฤติกรรมล้มล้างการปกครอง หลังมีความพยายามเสนอร่างแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ว่า ฝ่ายกฎหมายได้เตรียมพร้อมและส่งเอกสารชี้แจงเพื่อประกอบการไต่สวน ในวันที่ 25 ธ.ค. นี้ เชื่อว่าการกระทำของพรรคก้าวไกลไม่เป็นความผิดตามคำร้อง แต่ต้องรอและหวังว่าเมื่อไต่สวนแล้ว หากไม่มีการไต่สวนเพิ่ม คาดว่าศาลจะนัดวิจิจฉัยในช่วงปลายเดือน ม.ค. หรือ ต้น ก.พ.67

“ผมไม่กังวลว่าจะไปถึงการยุบพรรคเพราะคดีนี้เป็นการร้องให้ยุติการกระทำ ไม่สามารถไปไกลถึงเรื่องยุบพรรคได้ ทั้งนี้พรรคต่อสู้เต็มที่ และการเสนอร่างกฎหมายใดๆ ไม่สามารถนำไปสู่การล้มล้างการปกครองได้ เพราะกระบวนการทางนิติบัญญัติมีกรอบชัดเจนว่าไม่สามารถขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญได้” นายชัยธวัช กล่าว

นายชัยธวัช กล่าวย้ำด้วยว่า ในกระบวนการตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญนั้น สามารถเกิดได้ทั้งก่อนหรือหลังประกาศใช้ โดยศาลรัฐธรรมนูญ ดังนั้นการเสนอร่างกฎหมายเพื่อแก้ไขกฎหมายใด ไม่เฉพาะมาตรา 112 เท่านั้น ซึ่งในกระบวนการทางนิติบัญญัติไม่สามารถนำไปสู่การล้มล้างการปกครองได้ด้วยตัวของร่างกฎหมายนั้นๆ

'พีระพันธุ์' เผย ไม่แปลกฝ่ายค้านจ้องตรวจสอบรัฐบาลเข้มข้น ย้ำ!! เป็นเรื่องปกติ พร้อมแนะ พิจารณางบปี 67 ควรจะจบให้เร็ว

(21 ธ.ค. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ประกาศจะตรวจสอบรัฐบาลอย่างเข้มข้นหลังได้รับโปรดเกล้าฯ เป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ว่า เป็นเรื่องปกติ ฝ่ายค้านก็ต้องตรวจสอบเข้มข้นทุกยุคทุกสมัยอยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด ถ้าเขาบอกว่าไม่ตรวจสอบเลยถึงจะประหลาด เป็นเรื่องปกติในการทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ส่วนที่มองกันว่าฝ่ายค้านอาจไม่เป็นเอกภาพเท่าไหร่นั้น ก็แล้วแต่คนจะมอง อย่างไรก็ตาม ตนไม่ได้เป็น สส. ไม่ทราบรายละเอียดทางสภา 

เมื่อถามถึงกรณีพรรคฝ่ายค้านขอเลื่อนการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 67 จากวันที่ 3-5 ม.ค. เป็นวันที่ 9-11 ม.ค.67 นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ไม่ทราบ เป็นเรื่องของสภา ในส่วนของรัฐบาลก็ทำปกติ สภาจะเห็นว่าอย่างไรก็เป็นเรื่องที่สภาไปหารือกันเอง 

เมื่อถามย้ำว่า การเลื่อนออกไปจะทำให้งบประมาณที่จะออกมาล่าช้าไปอีกหรือไม่ นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า วันนี้เราก็ใช้งบของปี 67 อยู่แล้ว แต่โดยหลักการมันก็ไม่ควรเท่านั้นเอง ทุกอย่างมันควรจะรีบ จะจบให้เร็ว เรื่องนี้เป็นเรื่องของสภาที่จะต้องหาประโยชน์สูงสุดของประชาชน เพราะทั้งหมดนี้มันคือประโยชน์ของประชาชน ไม่ใช่ประโยชน์ของรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน ซึ่งไม่ว่าเป็นฝ่ายค้านหรือรัฐบาลก็ต้องทำงานร่วมกันเพื่อประชาชน อะไรที่ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุดก็ทำตามนั้น เท่านั้นเอง

‘ชัยธวัช’ ชี้!! งบ'67 เบี้ยหัวแตก ไร้ยุทธศาสตร์ ไม่มีเป้างานชัดเจน  สะท้อน ‘รัฐบาลเศรษฐา’ เป็นเพียงรัฐบาลเพื่อแบ่งปันอำนาจ 

(3 ม.ค.67) ในการประชุมสภาฯ เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 วันแรก ซึ่งพรรคก้าวไกลกำหนดธีมในการอภิปรายครั้งนี้ว่า ‘วิกฤตแบบใด? ทำไมจัดงบแบบนี้’ ชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกลและผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร เป็นผู้อภิปรายคนแรกจากพรรคก้าวไกล กล่าวถึงภาพรวมการจัดทำงบประมาณ 2567 วงเงิน 3.48 ล้านล้านบาทของรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ว่าเป็นไปอย่างสะเปะสะปะ ไร้ยุทธศาสตร์ ไม่มีลำดับความสำคัญ เหมือนรัฐบาลทำงานอย่างไม่มีวาระเป้าหมายชัดเจน

ชัยธวัช ระบุว่า ย้อนไปวันที่ 11 กันยายน 2566 นายกฯ แถลงนโยบายต่อรัฐสภา บอกว่าประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญทั้งในเชิงเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองภายในประเทศ สถานการณ์ของประเทศวันนี้มี 3 วิกฤตสำคัญ คือ (1) วิกฤตรัฐธรรมนูญ (2) วิกฤตเศรษฐกิจ ปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชน (3) วิกฤตความขัดแย้งในสังคม นายกฯ บอกว่าเพื่อแก้ปัญหา สร้างความพร้อม และวางรากฐานอนาคตให้กับคนไทยทุกคน รัฐบาลมีกรอบนโยบายในการบริหารและพัฒนาประเทศตามกรอบความเร่งด่วน 

กรอบระยะสั้น รัฐบาลอ้างว่ามีความจำเป็นที่จะต้องกระตุ้นการใช้จ่าย จุดประกายให้เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจกลับมาเติบโตอีกครั้ง ประกอบกับการเร่งแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของประชาชนอย่างเร่งด่วนและรวดเร็ว กรอบระยะกลางและระยะยาว รัฐบาลจะเสริมขีดความสามารถให้กับประชาชน ผ่านการสร้างรายได้ ลดรายจ่าย สร้างโอกาส ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ให้กับประชาชนทุกคน

ในวันนั้นพรรคก้าวไกลได้อภิปรายท้วงติงไว้ว่า นโยบายของรัฐบาลไม่เหมือนกับที่เคยหาเสียงเอาไว้ ไม่มีความชัดเจน ไม่มีรูปธรรมที่จับต้องได้ ซึ่งนายกฯ ก็บอกปัดเลี่ยงตอบว่าให้รอดูแผนรายกระทรวง จะมีความชัดเจนแน่นอน แต่เมื่อตามไปดูแผนรายกระทรวง กลับพบปัญหาเต็มไปหมด ไม่เป็นไปตามการอ้างของนายกฯ แม้แต่น้อย

เนื้อหาของแผนรายกระทรวง ไม่มีตัวชี้วัดที่ชัดเจน ไม่สามารถวัดความสำเร็จของนโยบายได้จริง หรือไม่เกี่ยวข้องกับเป้าหมายทางนโยบายที่ได้หาเสียงเอาไว้ หลายโครงการพบว่าเป็นโครงการเดิม ๆ ที่กระทรวงทำอยู่แล้วทุกปี เป็นเหล้าเก่าในขวดใหม่ บ้างก็แอบยัดโครงการประจำของกระทรวงเข้ามา แล้วสวมรอยเป็นหนึ่งนโยบายที่รัฐบาลจะทำ สร้างความสะเปะสะปะกันระหว่างสิ่งที่รัฐบาลจะทำกับสิ่งที่เป็นงานประจำที่หน่วยงานทำอยู่แล้วทุกปี

อย่างไรก็ตาม พรรคก้าวไกลไม่ได้โทษหน่วยงานราชการ เพราะการบริหารบ้านเมืองให้บรรลุเป้าหมายในเชิงยุทธศาสตร์เรือธงของรัฐบาล รัฐบาลเองที่ต้องเป็นผู้นำ เพื่อให้ข้าราชการเป็นผู้ตามในการสนองนโยบายอย่างมีทิศทาง

ทั้งนี้ ก่อนเสนอร่าง พ.ร.บ.งบฯ ในวันนี้ เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2566 ครม. ได้มีมติสั่งทบทวน พ.ร.บ. งบ 67 ใหม่ทั้งหมด พร้อมทั้งปรับปรุงแนวทางการจัดทำงบประมาณ และปรับปรุงยุทธศาสตร์ในการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 ซึ่งใช้เวลากว่า 3 เดือนในการปรับปรุง พ.ร.บ.งบประมาณฉบับนี้ แต่สุดท้ายกลับพบว่าหน้าตาของร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฉบับนี้ กลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญใดๆ

ในวันแถลงนโยบาย นายกฯ บอกว่ารัฐบาลมีนโยบายเร่งด่วนซึ่งควรสะท้อนอยู่ในร่าง พ.ร.บ. งบประมาณนี้ แต่กลับต้องผิดหวัง เช่น การแก้ปัญหาหนี้สินทั้งในภาคเกษตร ภาคธุรกิจ และภาคประชาชน แต่ถ้าดูเนื้อใน จะพบว่าเป็นการจัดสรรงบประมาณที่ไม่ได้ตอบโจทย์จริงๆ แม้หัวข้อสวยหรู แต่ไส้ในตอบไม่ได้ว่าจะบรรลุเป้าหมายทางนโยบายอย่างไร ลักษณะเช่นนี้เกิดเต็มไปหมดในร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้

เช่นเดียวกับนโยบายเร่งด่วนในการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว ลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้แก่ประชาชน งบประมาณเพื่อชดเชยหนี้ให้ กฟผ. จากนโยบายลดค่าไฟ ก็ไม่ได้ถูกตั้งเอาไว้ หรือนโยบายเร่งด่วนที่บอกว่าจะให้คนไทยได้มีรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ซึ่งน่าจะต้องทำประชามติถึง 1-2 ครั้งในปีนี้ รัฐบาลก็ไม่ได้ตั้งงบเอาไว้รอ กกต. ของบไป 2,000 ล้านบาท แต่ได้มาแค่ 1,000 ล้านบาท  

ส่วนนโยบายเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งตอนแถลงนโยบายบอกว่าจะไม่กู้ จะบริหารจากงบปกติ แต่วันนี้ชัดเจนแล้วว่าไม่มีการตั้งงบใดๆ ไว้ในร่าง พ.ร.บ.งบ 67 ชัดเจนแล้วว่ารัฐบาลต้องรอว่าจะสามารถเสนอ พ.ร.บ.เงินกู้ 500,000 ล้านบาท เข้าสู่สภาฯ ได้หรือไม่

ถ้าดูภาพรวม ร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 วงเงิน 3,480,000 ล้านบาท จะพบว่าเป็นงบเบี้ยหัวแตก สะเปะสะปะ ไม่มียุทธศาสตร์ เหมือนทำงานอย่างไม่มีวาระเป้าหมายชัดเจน 

หลายเรื่องหน้าปกอาจจะดูดี แต่พอเข้าไปดูไส้ใน พบว่าไม่ได้ยึดโยงกับเป้าหมายทางนโยบาย ส่วนใหญ่เป็นโครงการเดิมๆ แต่เอามาเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนปกใหม่แบบมั่วๆ โครงการเก่าๆ เดิมๆ จับมาโยงกับเป้าหมายใหม่ แถมนับรวมทุกรายจ่ายแล้วเคลมว่าเป็นงบสำหรับการลงทุนใหม่ ที่ชอบทำกันมากที่สุด คืองบตัดถนน กลายเป็นงบโครงการวิเศษที่สามารถตอบโจทย์ได้ทุกยุทธศาสตร์แบบงงๆ

มีโครงการที่ถูกริเริ่มขึ้นใหม่ เพียง 200 โครงการ จากทั้งหมด 2000 โครงการ ซึ่งโครงการใหม่ส่วนใหญ่ก็ได้ริเริ่มมาบ้างแล้วก่อนที่จะมีรัฐบาลนี้ด้วยซ้ำ โดยเป็นโครงการที่หน่วยงานราชการเสนอขึ้นมา ไม่ใช่การผลักดันเพื่อขับเคลื่อนวาระใหม่ของรัฐบาล ดังนั้น เราพบว่าการผลักดันโครงการใหม่ที่สะท้อนวาระของรัฐบาลจริงๆ จึงมีน้อยมาก 

นอกจากนี้ ยังมีปัญหาอื่น เช่น คาดการณ์รายได้เกินจริง เกินไปมากถึงประมาณหนึ่งแสนล้านบาท ทำเช่นนั้นก็เพื่อที่จะเพิ่มแผนรายจ่ายให้ได้สูงขึ้นนั่นเอง แต่ขณะเดียวกัน รายการที่รัฐบาลต้องจ่ายจริงๆ กลับตั้งงบประมาณหรือคาดการณ์ไว้อย่างไม่เพียงพอ เช่น บำเหน็จบำนาญ เงินเดือนราชการ งบสวัสดิการต่างๆ ซึ่งวิธีการนี้ ถอดแบบความักง่ายมาจากรัฐบาลที่แล้วที่ทำแบบนี้เช่นกัน สุดท้ายจึงต้องตั้งงบประมาณรายจ่าย เพื่อชดเชยใช้หนี้เงินคงคลังในภายหลัง 

หลายนโยบายที่หาเสียงเอาไว้ หายไปอย่างไร้ร่องในงบฯอปีนี้ นโยบายเพิ่มเงินเดือนราชการ 10% ค่าชดเชยภาษีรถไฟฟ้า (EV) ค่าไฟชดเชยหนี้ กฟผ. จากนโยบายลดค่าไฟ งบซอฟต์พาวเวอร์ที่โฆษณาไว้ว่าจะตั้งงบกว่า 5,000 ล้านบาท ก็ไม่เห็นในงบฉบับนี้ รายจ่ายที่ไม่ได้ตั้งงบไว้พวกนี้ รวมๆ แล้วไม่น่าจะน้อยกว่า 1 แสนล้านบาท สุดท้ายก็ต้องปัดไปเป็นรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลังในปีถัดไป สุดท้ายก็จะไปใช้เงินจากงบกลาง ทุกอย่างโยนไปใช้งบกลาง รัฐบาลที่แล้วก็ทำแบบนี้

ด้วยสภาพเช่นนี้ เราจึงมองไม่เห็นวาระเป้าหมายของรัฐบาลผ่านการจัดทำ พ.ร.บ. งบประมาณฉบับนี้

อย่างไรก็ตาม การจะบรรลุนโยบายเป้าหมายนั้น ไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณเยอะเสมอไป บางเรื่องเป็น non-budget policy ได้ 

“อย่างเช่น รัฐบาลแถลงนโยบายเร่งด่วนว่า จะสร้างความชอบธรรมในการบริหารราชการแผ่นดินด้วยการฟื้นฟูหลักนิติธรรม (Rule of Law) แต่วันนี้ไม่แน่ใจแล้วว่า รัฐบาลกำลังจะทำให้สถานการณ์เรื่องระบบนิติธรรมนิติรัฐย่ำแย่ลงไปอีกหรือเปล่า เพราะสังคมกำลังถูกตอกย้ำให้ยอมรับกระบวนการยุติธรรมแบบสองมาตรฐาน ถูกตอกย้ำว่าเราต้องยอมรับอยู่ในระบบกฎหมายหรือเรือนจำที่มีไว้ใช้สำหรับประชาชนสามัญที่ไม่ได้มีอำนาจ บารมี หรือฐานะเงินทองเท่านั้น” ชัยธวัชกล่าว

ผู้นำฝ่ายค้านกล่าวว่า ตลอด 3 วันนี้ เพื่อนสมาชิกพรรคก้าวไกลและพรรคฝ่ายค้านทั้งหมด จะอภิปรายแจกแจงชำแหละให้เห็นเป็นรูปธรรมว่าทำไมร่าง พ.ร.บ. งบประมาณฉบับนี้ถึงมีปัญหาอย่างที่กล่าวมา แต่ตนอยากทิ้งท้ายไว้ด้วยว่า ปัญหาของ พ.ร.บ.งบประมาณ ยังสะท้อนปัญหาที่ใหญ่กว่านั้น 

กล่าวคือ ที่เรามองไม่เห็นวาระเป้าหมายของรัฐบาลผ่านการจัดทำ พ.ร.บ. งบประมาณฉบับนี้ สะท้อนให้เห็นว่า เอาเข้าจริงแล้ว รัฐบาลชุดนี้เป็นเพียงรัฐบาลรวมการเฉพาะกิจ ที่ไม่ได้มีวาระเป้าหมายทางนโยบายที่จะขับเคลื่อนร่วมกัน เป็นการรวมการเฉพาะกิจเพื่อแบ่งปันอำนาจกัน แบ่งกันกินแบ่งกันใช้ชั่วคราว

เราจึงเห็นการจัดตั้ง ครม. แบบผิดฝาผิดตัวเต็มไปหมด เพราะไม่ได้แบ่งงานกันตามวาระเป้าหมาย แต่แบ่งกันตามโควตาทางการเมือง วางเจ้ากระทรวงไม่ถูกกับงาน พรรคแกนนำรัฐบาลไม่ได้วางคนบริหารกระทรวง กรม หรือหน่วยงานเพื่อขับเคลื่อนนโยบายเรือธงอย่างบูรณาการ 

เราจึงเห็นการแถลงนโยบายของรัฐบาล การกำหนดแผนงานรายกระทรวง ตลอดจนการจัดสรรงบประมาณอย่างที่ได้กล่าวมา วันนี้จากที่เคยบอกว่า “คิดใหญ่ทำเป็น” บางวันก็กลายเป็น “คิดไปทำไป”, “คิดสั้นไม่คิดยาว” หรือไม่ก็ “คิดอย่างทำอย่าง” 

หากการจัดตั้งรัฐบาลชุดนี้จะมีวาระร่วมกันจริงๆ ตนเห็นว่าคงเป็นวาระเพื่อแก้ปัญหาวิกฤตทางอำนาจของชนชั้นนำ เพราะสภาวะการเข้าสู่อำนาจของรัฐบาลชุดนี้ ได้แสดงออกอย่างโจ่งแจ้งว่านี่เป็นการรวมตัวกันเพื่อรักษาสภาวะเดิมของสังคมไทยเอาไว้ 

เป็นการรวมตัวกันเพื่อพยายามฝืนทวนความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย เป็นการรวมตัวกันเพื่อปกป้องพลังทางสังคมแบบจารีต และต่อต้านพลังทางสังคมใหม่ๆ ที่ต้องการอนาคตที่ดีกว่านี้

ชัยธวัชทิ้งท้ายว่า ก่อนการรัฐประหาร 2549 สังคมไทยได้มีโอกาสเห็นความพยายามของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งและดูจะเป็นความหวังแห่งการเปลี่ยนแปลง ผู้นำทางการเมืองในขณะนั้นเล็งเห็นว่า หากประเทศไทยจะเจริญก้าวหน้ากว่านี้ได้ จำเป็นต้องปฏิรูประบบรัฐราชการ รวมถึงกระบวนการกำหนดนโยบายและระบบงบประมาณ ที่เดิมล้าสมัยและไม่มีประสิทธิภาพ

เราจึงได้เห็นความพยายามที่จะเปลี่ยนระบบงบประมาณ ที่เดิมงบประมาณส่วนใหญ่อยู่ภายใต้การควบคุมของระบบราชการในกระทรวงต่างๆ มาเป็นระบบงบประมาณที่มุ่งเน้นผลงานตามยุทธศาสตร์ของรัฐบาล

ทว่าหลังการรัฐประหาร 2549 เป็นต้นมา รัฐราชการและชนชั้นนำจารีตได้กลับมาควบคุมสังคมไทยอีกครั้ง เราไม่เห็นเจตจำนงและความพยายามของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในการปฏิรูปรัฐไทยอย่างจริงจังอีกเลย เพราะพลังทางการเมืองที่เคยเป็นพลังใหม่ เคยเป็นพลังแห่งการเปลี่ยนแปลง ปัจจุบันกลับเข้าไปร่วมสมาคมเป็นส่วนหนึ่งของอำนาจเก่าแล้ว

ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ที่เรากำลังพิจารณาอยู่นี้ ก็สะท้อนสภาวะทางการเมืองที่เป็นจริงดังว่า เราในฐานะฝ่ายค้าน สุดท้ายอยากสื่อสารไปยังรัฐบาล ว่าเราไม่สามารถอยู่กันแบบเดิมๆ ได้อีกแล้ว รัฐบาลทราบดี หลังรัฐประหาร 2 ครั้ง รัฐราชการรวมศูนย์ของไทยกลับมาเติบโตขยายตัว รวมศูนย์มากขึ้น ดูเฉพาะงบรายจ่ายบุคลากรภาครัฐในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา แทนที่รัฐจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น เรากลับมีบุคลากรภาครัฐเพิ่มขึ้นถึง 500,000 คน มีภาระรายจ่ายที่เกี่ยวข้องกับบุคลากรภาครัฐ 40% ของงบรายจ่ายประจำปี 

ชัยธวัชกล่าวว่า เราไม่สามารถเดินไปสู่อนาคตที่ดีกว่านี้ หากไม่พยายามปฏิรูปรัฐไทยและระบบงบประมาณอย่างจริงจัง พวกเราในฐานะฝ่ายค้าน ไม่อยากเห็น พ.ร.บ.งบประมาณที่เหมือนเดิม ที่ไม่เปลี่ยนแปลงแบบนี้อีกในครั้งต่อไป แม้เป็นฝ่ายค้าน เราพร้อมสนับสนุนรัฐบาลในการปฏิรูประบบราชการและระบบงบประมาณ เพราะเรื่องนี้สำคัญต่อการสร้างอนาคตร่วมกันของพวกเรา

“3 วันต่อจากนี้ พวกเราฝ่ายค้านจะทำหน้าที่ในฐานะผู้แทนราษฎรอย่างสร้างสรรค์และซื่อตรงต่อผลประโยชน์ของประชาชน ขอให้ฝ่ายบริหารเปิดใจรับฟังข้อวิจารณ์และข้อเสนอแนะ โดยหวังว่าการพิจารณางบประมาณของสภา จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากที่สุด แม้เราจะผิดหวังกับร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ฉบับนี้ อย่างถึงที่สุดก็ตาม” ชัยธวัช กล่าว

‘พายัพ’ ซัด ‘ชัยธวัช’ อย่าคิดฝันหวาน จะล้มรัฐบาล เย้ย ‘ก้าวไกล’ เหมาะสมแล้วที่เป็นฝ่ายค้าน ขอให้ทำต่อไปนานๆ 

(3 มี.ค.67) นายพายัพ ปั้นเกตุ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี กล่าวกรณีนายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล และ สส.ของพรรคหลายคนที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยอ้างว่าจะมีนายกฯ 2 คน ว่า เป็นเจตนาหวังผลทางการเมือง ต้องการทำให้เกิดความสับสนหวาดระแวงขึ้นในรัฐบาลและพี่น้องประชาชน จึงขอให้หัวหน้าพรรคและ สส.พรรคก้าวไกลหยุดการกระทำ เลิกยุแยงตะแคงรั่ว ลงทุนตอกลิ่มหวังผลให้รัฐบาลสั่นคลอน

“ขอให้ตื่นกันได้แล้ว อย่าฝันหวานเรื่องการสั่นคลอนรัฐบาลเลย เพราะนายเศรษฐาเป็นคนตั้งใจทำงาน การคิดเช่นนั้นเหมือนฝันกลางแดด พรรคก้าวไกลเหมาะสมที่จะทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ก็ขอให้ทำต่อไปนานๆ จนครบวาระ 4 ปี”

นายพายัพ ยังกล่าวต่ออีกว่า หากมีเวลาว่างก็ควรเอาเวลาเตรียมข้อมูลข้อกฎหมายไว้ต่อสู้คดีล้มล้างการปกครอง อย่าไปห่วงรัฐบาลหรือนายกฯ เลย เพราะพรรคเพื่อไทยต่อสู้ทางการเมืองเพื่อประเทศชาติและประชาชนมายาวนาน จึงมุ่งมั่นที่จะเป็นรัฐบาลเพื่อแก้ไขปัญหาให้ประชาชน พัฒนาประเทศไทย นำพาพี่น้องประชาชนให้หลุดพ้นจากความยากจน และก้าวไปข้างหน้าเทียบเท่านานาอารยประเทศ

‘ธนกร’ ฟาดใส่ ‘ชัยธวัช’ เป็นถึงทนาย ควรดูข้อกฎหมายให้ชัด หลังออกมาพูด ‘ศาลรธน.ไม่มีอำนาจยุบพรรค’ ชี้ มีเจตนาแอบแฝง

(7 เม.ย.67) นายธนกร วังบุญคงชนะ สส.แบบบัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงกรณีที่นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล ระบุว่าตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญปัจจุบัน ไม่มีข้อไหนให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญในการยุบพรรคการเมือง ว่า ก่อนที่นายชัยธวัชจะออกมาพูดแบบชัดถ้อยชัดคำนั้นได้ศึกษาและดูรายละเอียดข้อกฎหมายในรัฐธรรมนูญมาก่อนแล้วหรือไม่ จะเป็นไปได้หรือ ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะยื่นคำร้องไปโดยไม่ทราบว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจ ตนเชื่อว่า กกต.ผู้มีอำนาจหน้าที่โดยตรงในการตรวจสอบ

พรรคการเมืองนั้น รู้บทบาทและข้อกฎหมายเป็นอย่างดี และล่าสุดอดีตกกต. ก็ได้ออกมาชี้แจงแล้วว่า นายชัยธวัชน่าจะเข้าใจคลาดเคลื่อนและหาก กกต.พบว่ามีพรรคการเมืองที่มีพฤติกรรมล้มล้างการปกครองสามารถส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญให้ทำการยุบพรรคได้ รวมถึงตัดสิทธิ์ทางการเมืองกรรมการบริหารพรรคโดยไม่ได้กำหนดกรอบเวลาด้วย

เมื่อถามว่า แต่การออกมาพูดว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจยุบพรรค เหมือนเป็นการลดทอนความเชื่อมั่นต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ นายธนกร กล่าวว่า ตนไม่ทราบเจตนาเบื้องลึกของนายชัยธวัช ว่าต้องการอะไรกันแน่ แต่ขอเรียกร้องให้ทั้งนายชัยธวัช และพรรคก้าวไกลไม่ก้าวล่วงอำนาจศาล ที่มีอำนาจหน้าที่ โดยชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญ เพื่อไม่เป็นการสร้างความสับสน ไม่ไปลดทอนความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อกระบวนการยุติธรรมลง มองว่า ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกันหากทำผิดก็ต้องรับโทษ ซึ่งเป็นบรรทัดฐานเดียวกัน

“คุณชัยธวัช เรียนกฎหมายเป็นถึงทนายความ ก่อนจะพูดอะไรต้องไตร่ตรองและตรวจสอบความถูกต้องให้ดี ไม่ควรพูดเพื่อสร้างความสับสน ทำให้ประชาชนเกิดความไม่มั่นใจในกระบวนการยุติธรรมของประเทศ จึงไม่แน่ใจว่าคุณชัยธวัชมีเจตนาใดแอบแฝงหรือไม่ จึงขอเรียกร้องให้ทุกคนเคารพกฎหมาย หากทำผิดก็ต้องยอมรับ ไม่ควรไปก้าวล่วงศาล หรือใช้วาทกรรมด้อยค่า” นายธนกร กล่าว


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top