Friday, 17 May 2024
จิรายุส_ทรัพย์ศรีโสภา

‘บิทคับ’ คว้า Top 3 บริษัทไทยขวัญใจคนรุ่นใหม่ปี 2024 เตรียมขยายตำแหน่งงาน รับ ‘Bull Run-Bitcoin Halving’

เมื่อวานนี้ (25 ม.ค.67) นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด รับรางวัล Top most attractive companies 2024 โดย QGEN Survey ที่สำรวจกลุ่มคนทำงานอายุ 20-40 ปี ในช่วงปลายปี 2566 ที่ผ่านมา ซึ่ง บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป ได้รับการจัดอันดับเป็นลำดับที่ 5 ของบริษัทที่คนรุ่นใหม่อยากร่วมงานด้วยมากที่สุด และนับเป็นบริษัทสัญชาติไทยลำดับที่ 3 รองจาก SCG และ PTT โดยงานประกาศรับรางวัลครั้งยิ่งใหญ่นี้มีบริษัทชั้นนำในประเทศที่ได้เข้ารับรางวัลตามลำดับ ได้แก่ Google, SCG, PTT, LINE Corporation, Bitkub, Agoda, C.P. Group, Toyota, Khotkool และ ThaiBev เป็นต้น 

ทั้งนี้ นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ยังได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 5 ผู้มีชื่อเสียงที่คนไทยอยากร่วมงานด้วยมากที่สุดอีกด้วย 

นายจิรายุส กล่าวว่า การได้รับรางวัล Top most attractive companies 2024 และ Thailand Most Attractive People To Work For 2024 ในครั้งนี้ ถือเป็นความสำเร็จและความภาคภูมิใจของตนและ บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป ที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้มีชื่อเสียงและเป็นบริษัท 1 ใน 5 ที่คนรุ่นใหม่อยากร่วมงานด้วยมากที่สุด สิ่งนี้พิสูจน์ให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความตั้งใจของทุกคนในบริษัทฯ ที่คอยผลักดันและไม่หยุดพัฒนาสิ่งใหม่ๆ 

สำหรับ บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป เป็นกลุ่มบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับ เทคโนโลยีบล็อกเชน และ สินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งมีวัฒนธรรมองค์กรที่มีลักษณะของการลงมือทำงานไว พร้อมปรับเปลี่ยนและเรียนรู้อยู่เสมอ เราให้ความสำคัญกับการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เข้าใจพนักงาน พร้อมดึงศักยภาพการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดควบคู่ไปกับมีความสุขในการทำงาน เช่น รูปแบบการทำงานแบบ Hybrid คือ Work From Anywhere สลับกับการทำงานในออฟฟิศ โดยการนำเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาสนับสนุน เพื่อให้การทำงานมีความสะดวกต่อเนื่องและได้ผลลัพธ์ของงานไม่แตกต่างกับการเข้าออฟฟิศ

นายจิรายุส กล่าวเพิ่มเติมว่า หนึ่งวัฒนธรรมองค์กรที่ บิทคับ ให้ความสำคัญและหลอมรวมให้พนักงานกลายเป็น One Bitkub คือการเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้แสดงศักยภาพและความสามารถของตนภายใต้สภาพแวดล้อมการทำงานที่เปิดกว้าง ยอมรับความแตกต่างหลากหลาย สนับสนุนความหลากหลายทางเพศ เปิดโอกาสให้ทุกเพศสามารถแสดงออกได้อย่างเต็มที่และสร้างสรรค์ และส่งเสริมให้พนักงานพัฒนาตนเองให้มีทักษะที่เหมาะสมกับโลกการทำงานยุคใหม่ ตาม 7 ค่านิยมองค์กร (Bitkub Core Values) ได้แก่…

1. Earn Trust สร้างความเชื่อใจ
2. Passionate & Drive Deep หลงใหลและเชี่ยวชาญ
3. Challenge & Commit ท้าทายและทุ่มเท
4. Strive for Results and Actions มุ่งผลลัพธ์และลงมือทำ
5. Ownership & Beyond รับผิดชอบและมุ่งมั่นช่วยเหลือ
6. Adapt & Innovate พร้อมปรับตัวและสร้างสรรค์สิ่งใหม่
7. Empathy & Collaboration เข้าอกเข้าใจและร่วมมือกัน

“ทั้งนี้ ในปี 2567 นี้ บิทคับเตรียมเปิดรับพนักงานเพิ่มขึ้นอีกจำนวนมาก เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมรับกับสถานการณ์ของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลที่ทั่วโลกต่างจับตามอง และคาดการณ์ว่าจะมีการเข้ามาลงทุนอย่างคึกคักมากขึ้น หรือที่เรียกว่า Bull Run (ตลาดกระทิง: ช่วงเวลาที่นักลงทุนส่วนใหญ่ทำการซื้อ มีอุปสงค์มากกว่าอุปทาน ความเชื่อมั่นในตลาดอยู่ในระดับสูง และราคาเพิ่มสูงขึ้น หากในตลาดใดตลาดหนึ่ง คุณเห็นว่าราคามีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว นี่อาจเป็นสัญญาณว่านักลงทุนส่วนใหญ่กำลังเริ่มมองโลกในแง่ดี หรือ ‘มั่นใจ’ ว่าราคาจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ) ตามสถิติที่ผ่านมาที่มักจะเกิดขึ้นภายหลังปรากฏการณ์ Bitcoin Halving (รางวัลจากการขุดที่ลดลงครึ่งหนึ่งทุกๆ 4 ปี เพื่อเป็นการสร้างสมดุลขึ้นในระบบเพื่อป้องกันปัญหาบิตคอยน์เฟ้อในอนาคต) ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้งในช่วงเมษายนปีนี้...

“และขอขอบคุณสำหรับรางวัล Thailand Most Attractive People To Work For 2024 ที่เลือกให้ บิทคับ เป็น 1 ใน 5 ผู้มีชื่อเสียงที่คนไทยอยากร่วมงานด้วยมากที่สุด ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามสนับสนุนและเป็นกำลังใจให้ตัวผมและบริษัทฯ เสมอมา โดยรางวัลนี้เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นความทุ่มเทที่มีต่อบริษัทฯ อย่างเต็มที่ หวังว่าจะสามารถสร้างแรงบันดาลใจในการลงมือทำและมุ่งมั่นไปสู่เป้าหมายให้กับคนรุ่นใหม่ได้ต่อไป" นายจิรายุส กล่าวทิ้งท้าย

‘ท็อป’ ยก ‘ดิจิทัล-กรีน’ เสียงสะท้อนหลักจากเวทีดาวอส หาก ‘ไทย’ ไม่อยากตกขบวน ต้องพัฒนา ‘คน-กลยุทธ์’ ด่วน

ไม่นานมานี้ ‘ท็อป’ จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ผู้เป็นมันสมองหลักของ ‘Bitkub’ ได้เปิดเผยผ่านรายการ Deep talk ว่า หลังจากได้เข้าร่วมการประชุม World Economic Forum 2024 หรือ การประชุมสภาเศรษฐกิจโลก เป็นปีที่ 3 เมื่อวันที่ 15-19 ม.ค.67 ที่ผ่านมา ณ กรุงดาวอส สมาพันธรัฐสวิส ภายใต้แนวคิด ‘Rebuilding Trust’ หรือการฟื้นคืนความเชื่อมั่นให้กลับมา หลังจากที่เศรษฐกิจทั่วโลกเผชิญกับการชะงักงันในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดของโลกที่กระทบต่อระบบเศรษฐกิจและการเติบโตของจีดีพีของโลกแล้ว

ท็อป เผยว่า โจทย์สำคัญต่อจากนี้ คือ โลกจะทำยังไงให้ ‘ความเชื่อใจ’ กลับมาได้ โดยหากอ้างถึงคำกล่าวของ ‘หลี่ เฉียง’ นายกรัฐมนตรีจีน จะเห็นถึง 6 โซลูชัน ที่เรียกว่า ‘ทรัสต์ระดับโลก’ ด้วยการกลับมาเริ่มต้นผ่าน...

1.ผู้นำโลกต้องพูดคุยกันมากกว่านี้ เพื่อแชร์มายเซ็ตในการขับเคลื่อนโลกไปด้วยกัน

2.แต่ละประเทศไม่ควรออกนโยบายระดับมหภาคระดับประเทศที่ขัดแข้งขัดขา เพราะโลกเราเชื่อมโยงกันมากกว่าที่เราคิด ซึ่งควรต้องคำนึงถึงว่า จะออกกฎเกณฑ์อย่างไรให้ได้ประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย

3.สร้างความแข็งแกร่งให้กับซัพพลายเชนทั่วโลก เพื่อทำให้เทรดดิ้งพาร์ตเนอร์ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกัน

4.ภาคพลังงานต้องถูกเปลี่ยนแปลงไปสู่รูปแบบการผลิต ให้เป็น ‘สีเขียว’ โดยด่วนและต้องทำให้กรีนฮับที่ตอนนี้กระจุกตัวอยู่ในยุโรปกระจายตัวไปยังภูมิภาคอื่นด้วย เพื่อผลักดันให้ทุกคนเปลี่ยนแปลงไปสู่กรีนซัพพลายเชนอย่างราบรื่นที่สุด

5.โลกกำลังเข้าสู่การปฏิวัติทางเทคโนโลยี ‘ดิจิทัล’ หรือ 4th Industrial Revolution ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ดังนั้น จะทำยังไงให้ไม่เกิดการแย่งชิงและร่วมกันคิดค้นเทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่ๆ รวมทั้งผลิตบุคลากรที่มีความสามารถเข้าสู่ตลาด

สุดท้ายคือ 6.สร้างความเท่าเทียมระหว่างความสัมพันธ์ระหว่าง Global North รวมทั้งกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว และ Global South ซึ่งประกอบด้วย แอฟริกา, อเมริกาใต้ ประเทศกำลังพัฒนาในเอเชีย ซึ่งเกิดความไม่เท่าเทียม จาก Climate Tech เทคโนโลยีที่ควบคุมหรือลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกระจุกตัวอยู่ใน Global North รวมไปถึงตัวเลขการลงทุนทิ้งห่าง แล้วจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังได้อย่างไรในเมื่อโลกที่แตกเป็นเศษส่วนและกำลังเกิดการเปลี่ยนผ่านกันอย่างมหาศาล

ท็อป กล่าวอีกว่า ผู้นำทุกคนในเวทีดาวอสเห็นตรงกันว่า ในปี 2567 จะเป็นปีที่โลกจะเข้าสู่จุด ‘สมดุล’ มากขึ้น เริ่มจากตัวเลขเงินเฟ้อเริ่มลดลงในทุกประเทศทั่วโลก ตามด้วยการลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กำลังจะเกิดขึ้นในโลก ทั้งการกระจายขั้วอำนาจ และ ‘เทรดแพทเทิร์น’ ที่จะเปลี่ยนกฎของโลกธุรกิจไปอย่างสิ้นเชิง

ท็อป กล่าวต่อว่า ในปีที่ผ่านมาธีมของ ‘ดิจิทัล เซอร์วิส’ และ ‘กรีน’ มีการเติบโตอย่างเร็ว ยิ่ง ‘กรีน’ ที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในภาคพลังงานนั้นเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 300% ในปีที่ผ่านมา ดังนั้น สัดส่วนของจีดีพีจะมีโอกาสเติบโตนับต่อจากนี้ มาจากการเปลี่ยนแปลงธุรกิจ และการซื้อขายผ่านเศรษฐกิจดิจิทัลที่จะเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ

ดังนั้น จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘กรีนโปรเจกต์’ จะทำให้เกิดกฎใหม่ของโลกธุรกิจ ที่เข้ามาบีบเค้นให้บริษัทที่ไม่คำนึงถึง ‘ธุรกิจสีเขียว’ ให้ไม่สามารถส่งออกหรือนำเข้า ธนาคารไม่ปล่อยกู้ หรือถึงขั้นโดนแซงก์ชัน ทำให้เม็ดเงินกลุ่มเก่าเข้าสู่กลุ่มใหม่ และสร้างกำไรให้กับธุรกิจที่ใส่ใจเรื่องกรีนมากขึ้น ซึ่งจะสามารถเรียกเม็ดเงินลงทุนจากกลุ่มสถาบันเข้ามาลงทุนมากขึ้น เพราะโลกที่กำลังเคลื่อนที่ไปสู่การเปลี่ยนแปลงของเรื่อง ‘กรีนซัพพลายเชน’ นั้น ต้องขับเคลื่อนด้วยเงินลงทุนจากกลุ่มสถาบันที่ต้องอาศัยเงินทุนสูงถึง 5 ล้านล้านดอลลาร์ทุกปี ไปจนถึงปี 2050 ซึ่งคิดเป็น 5% ของจีดีพีโลกเพื่อให้โลกบรรลุเป้าหมายร่วมกัน

ในเรื่องเกี่ยวกับ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI กลายเป็นหัวข้อใหญ่ที่ถูกพูดถึง โดย ท็อป เผยว่า ในปี 2566 คือ ปีแห่งการทดลองเล่น AI แต่ปีนี้เป็นปีของการใช้จริง และ AI จะเป็นจุดกำเนิดของจริงสำหรับ Future of Job และ Future of Growth เพราะตลอดปีที่ผ่านมาโลกของเราอยู่กับที่ ไม่มีใครเป็น Growth Engine หรือผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกรายใหม่ เว้นแต่อินเดียที่เติบโตเป็น The new winner ปีนี้จึงต้องมี Growth Engine ใหม่ที่จะปลดล็อก

ฉะนั้น ทุกเสียงในที่ประชุมดาวอส จึงมองว่า AI เป็น The most powerful of technology หรือ ที่สุดของเทคโนโลยีอันทรงพลังที่ไม่ได้มีมานานแล้วตั้งแต่ยุคอินเทอร์เน็ต ซึ่งจะเข้ามาปลดล็อก Productivity ใหม่ให้กับโลก และจะเป็น The New Driver สิ่งที่ขับเคลื่อนโลกต่อไป

ในแง่ของ AI กับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับผู้คนในอนาคตนั้น ท็อป เผยว่า การทำงานที่จะถูก Automated หรือควบคุมโดยขบวนการอัตโนมัติด้วย AI มากขึ้น ซึ่งกระทบมากที่สุดต่อคนที่ทำงานด้วย ‘สมอง’

ยกตัวอย่างกลุ่ม White-Collar Worker หรือคนที่ทำงานโดยที่ใช้มันสมองเป็นหลักนั้น น่าห่วงเพราะอีก 5 ปี ข้างหน้า 44% ของทักษะมนุษย์จะไม่สามารถใช้ได้อีกต่อไป ถึงกระนั้นก็ไม่ใช่ทุกงานที่ AI จะสามารถทำแทนมนุษย์ และอาจมีตำแหน่งงานใหม่ ๆ ที่ถูกรวมเข้ากับเทคโนโลยี AI

นอกจากนี้ วิวัฒนาการของ AI จะขยายวงมากขึ้น จะมีการใส่ ‘ศีลธรรม’ ลงไปใน AI เพื่อดีไซน์ให้ AI มีศีลธรรมควบคู่ไปด้วย เพราะถ้าไม่มีการป้องกันเทคโนโลยีที่กำลังพลุ่งพล่านแล้ว ความเสี่ยงจะเกิดขึ้นในแง่ของการถูกนำมาใช้ในด้านลบ จึงต้องมีการกำหนดกรอบว่าอะไรไม่ควรล้ำเส้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้นำทั่วโลกต้องช่วยกันกำหนดกฎเกณฑ์ของ AI

ในด้าน ‘รูปแบบการค้าใหม่’ (New Trade Pattern) ท็อป เผยว่า จะมีความน่าสนใจโดยอาเซียนเป็นจุดโฟกัส ซึ่งอาเซียนกำลังจะมี 3 สิ่งใหม่ที่น่าจะเกิดขึ้นในปี 2025 ได้แก่...

1.One Asian Strong ทำให้การหมุนเวียนเม็ดเงินผ่านระบบชำระเงินในอาเซียนเกิดขึ้นได้ง่ายโดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม

2.ระบบโลจิสติกส์ ที่พูดคุยเป็นภาษากฎหมายเดียวกัน ซึ่งจะทำให้การนำเข้าและส่งออกของภูมิภาค ที่ปัจจุบันใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลกนั้นไหลลื่น

3.ความลื่นไหลของคน ด้วย ‘One Visa’ หรือพาสพอร์ตเล่มเดียว จะทำให้ผู้คนไปได้ทั่วทั้งอาเซียน

คำถาม คือ จะทำยังไงให้อาเซียนจับมือกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน และชนะไปด้วยกันทั้งอาเซียน เพราะอย่าลืมว่า สหรัฐฯ เริ่มย้ายฐานการผลิตออกจากจีนและมุ่งเป้ามาที่อาเซียนมากขึ้น ขณะที่ที่จีนก็มองเอเชียเป็น Growth Engine ใหม่ ซึ่งมิตินี้ ถือเป็นการตอกย้ำอย่างชัดเจนว่า ‘อาเซียนกำลังเข้าสู่ปีทอง’ และกำลังจะกลายเป็นขุมทรัพย์ใหม่ ภายใต้มุมมอง อาทิ เศรษฐกิจใต้น้ำที่ถูกค้นพบแค่ 16%, กลุ่มคนทำงานที่อยู่ในวัยกลางคน, การเป็นแหล่งแร่หายาก และที่สำคัญที่สุดคือ ภายในภูมิภาคไม่ทะเลาะกับใคร มีแต่ความสงบสุข

จุดนี้เองจะทำให้บทบาทของอาเซียนบนเวทีโลกเข้มแข็งขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับ ‘ไทย’ ที่ถูกส่องแสงขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่นายกรัฐมนตรี ‘เศรษฐา ทวีสิน’ ทำให้ประเทศไทยกลับมามีแสงส่องสว่างบนเวทีโลก ด้วยการเรียกนักลงทุนเข้ามาในประเทศไทย ภายใต้จุดขายใหม่ จากการเป็นพื้นที่ที่มีความสามัคคี ผู้นำในกลุ่มอาเซียนสื่อสารกัน นอกเหนือจากการเป็นแค่กลุ่มประเทศแรงงานราคาถูก

ดังนั้น นี่อาจเป็นโอกาสที่ใหญ่มากของไทย เพียงแต่ต้องปรับทัพขบวนการตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ตั้งแต่บริษัทเล็กระดับ, SME ไปถึงบริษัทใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ต้องมุ่งสู่ ‘กรีนซัพพลายเชน’ มากขึ้น

ท็อป สรุปตอนท้ายอีกด้วยว่า ‘ดิจิทัล’ และ ‘กรีน’ เป็น 2 คำที่ภาคธุรกิจไทยต้องเริ่มพูดถึงในทุก ๆ หมุดหมายในการดำเนินการ เพื่อคว้าเม็ดเงินลงทุนในระยะยาว ต้องสร้างความตระหนักรู้ในเรื่อง Climate Tech ซึ่งกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะมีบทบาทสำคัญมาก...เศรษฐกิจดิจิทัลและกรีน จะเป็นตัวชูโรง GDP ไทยในอนาคต ประเทศไทยต้องพัฒนาบุคลากรและเตรียมกลยุทธ์ใหม่ ๆ ไว้เพื่อคว้าโอกาส

‘บิทคับ’ ดำเนินการว่าจ้างที่ปรึกษาทางการเงิน เตรียมยื่นเข้าเทรดหุ้น IPO ใน SET ปี 2568

สื่อนอกเผย กระดานเทรดบิทคับ มีแผนเสนอขายหุ้น IPO ในตลาดหุ้นไทยภายในปี 2568 หลังกระแสบิทคอยน์ และตลาดคริปโตฟื้นตัวกลับมาสู่ช่วงเฟื่องฟูอีกครั้ง โดยราคาบิทคอยน์ปรับตัวพุ่งสูงขึ้นระดับ $70000 ต่อเหรียญบิทคอยน์ 

เมื่อไม่นานมานี้ นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Bitkub Capital Group กล่าวกับสำนักข่าวบลูมเบิร์กว่า มีแผนที่จะนำ บิทคับ ออนไลน์ ซึ่งเป็นแพล็ตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลของไทย เข้าจดทะเบียนซื้อขายหุ้น IPO ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหรือ ตลท. ภายในปี 2568 โดยขณะนี้อยู่ในช่วงของการว่าจ้างที่ปรึกษาทางการเงิน

ขณะที่ในส่วนของงวดบัญชีผลประกอบการล่าสุด บริษัทมีกำไรประมาณ 80% โดยปี 2564 บิทคับมีรายได้ 5,510 ล้านบาท กำไร 2,545 ล้านบาท ขณะที่ปี 2565 บริษัทมีรายได้ 2,846 ล้านบาท และกำไร 341 ล้านบาท

โดยก่อนหน้านี้ได้ขายหุ้นจำนวน 9.2% ให้กับ Asphere Innovation เป็นมูลค่าประมาณ 600 ล้านบาท เท่ากับมูลค่าทั้งกิจการ 6,500 ล้านบาท (ขณะที่บริษัท Asphere หรือชื่อเดิมคือ Asiasoft หรือ AS ซึ่งประกอบธุรกิจด้านซอต์ฟแวร์และการให้บริการเกมออนไลน์ในตลาดหุ้นไทย

ทั้งนี้จากความต้องการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อเก็งกำไรเพิ่มขึ้น ควบคู่ไปกับการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาบิทคอยน์ ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 57% แล้วในในปี 2567 นี้

ในขณะที่ดัชนี CoinDesk20 ซึ่งเป็นตัวชี้วัดตลาดคริปโตในวงกว้างเพิ่มขึ้น 49% เมื่อเดือนที่แล้ว ทำให้จำนวนบัญชีที่ใช้งานในประเทศพุ่งถึงระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2565 บลูมเบิร์กกล่าว โดยอ้างอิงข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) ของประเทศไทย

อย่างไรก็ตามกระดานเทรดบิทคับ ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่เดือนมกราคม เนื่องจาก ‘ไบแนนซ์ ไทยแลนด์’ ซึ่งเป็นบริษัทแลกเปลี่ยนคริปโตที่ใหญ่ที่สุดในโลกตามปริมาณการซื้อขาย ซึ่งเป็นหนึ่งในส่วนของธุรกิจดิจิทัลครบวงจรของ ‘กัลฟ์ อินโนวา’ ได้เปิดให้บริการอย่างเป้นทางการ

ทั้งนี้หากย้อนกลับไปในปี 2565 ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ยื่นเสนอซื้อกิจการของบิทคับ ออนไลน์ ในสัดส่วน 51% มูลค่ากว่า 17,850 ล้านบาท แต่ท้ายที่สุดแล้วดีลดังกล่าวก็ถูกยกเลิกไป หลังจากที่บิทคับถูกสำนักงาน ก.ล.ต. สั่งปรับจากความผิดในการสร้างออเดอร์ปริมาณการซื้อขายปลอม และทาง SCB ประเมินว่ามูลค่าหุ้นที่จะลงทุนนั้น ไม่คุ้มค่ากับการลงทุน ด้วยมูลค่าที่แพงกว่าความเป็นจริงมากเกินไป 

และต่อมาทาง SCB ได้จัดตั้งศูยน์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลและยื่นขอใบอนุญาติกับทางสำนักงาน ก.ล.ต. ในชื่อบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX Securities Co., Ltd. ชื่อย่อ INVX (เดิมชื่อ บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์​ จำกัด)) บริษัทภายใต้กลุ่ม SCBX ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2538 ปัจจุบันให้บริการการลงทุนทุกรูปแบบ อาทิ หุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ กองทุน ตราสารหนี้ รวมถึงสินทรัพย์ดิจิทัล ผ่านผู้แนะนำการลงทุน และแพลตฟอร์ม ‘InnovestX Super App’


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top