Saturday, 19 April 2025
จักรภพเพ็ญแข

'จักรภพ เพ็ญแข' แชร์ 6 ประสบการณ์ติดโควิด วางแผนไว้ว่าถ้าจู่ๆ ตายไปจะฝากอะไรไว้ให้ใครบ้าง 

18 ม.ค. 65 - นายจักรภพ เพ็ญแข ผู้ต้องหาคดีหมิ่นเบื้องสูง โพสต์เฟซบุ๊ก อัปเดตการป่วยโควิด-19 ของตนเองว่า ส่งข่าวพี่น้องที่รักว่า ผลการตรวจ PCR ล่าสุดของผมออกมาเป็น “ลบ” หรือ “negative” แล้วครับ หมดเชื้อ ทำให้สบายใจขึ้นเยอะ แต่สิ่งที่ต้องทำต่อไปอย่างไม่หยุดยั้งคือ การป้องกันตัวเองด้วยวัคซีนเพิ่ม (เมื่อถึงเวลา) การสวมหน้ากาก การหมั่นฆ่าเชื้อ และการปรับกิจกรรมในชีวิตให้เสี่ยงน้อยลง เช่น เลี่ยงการรวมกลุ่มที่ไม่จำเป็น เป็นต้น เพราะเชื้อโรคยังทำงานวิวัฒนาการของมันอยู่ เป็นวอร์รูมที่ยังวางแผนรบ ปรับยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีต่อไปเรื่อยๆ เพื่อหาทางเอาชนะเผ่าพันธุ์มนุษย์ เรายังประมาทและปล่อยการ์ดตกไม่ได้

อยากขอแชร์บทเรียนหลัก ๆ จากคราวนี้เพิ่มเติมครับ เพราะใจผมอยากให้เกิดประโยชน์กับท่านจากทุก ๆ กรรมที่เกิดขึ้นกับตัวผม บางประเด็นก็อาจจะรู้กันแล้ว แต่นี่คือประสบการณ์ขั้นปฐมภูมิ ได้รับมาด้วยตัวเอง ไม่ได้ฟังใครต่อมา ก็น่าจะช่วยอะไรในเผ่าพันธุ์ของเราได้บ้างจากความสดของประสบการณ์

1.) ถ้าพลาดพลั้งเกิดติดขึ้นมา (ซึ่งขอภาวนาอย่าให้ท่านโดนเลย) อย่าตกใจ คุมสติให้ได้ก่อน คิดถึงสถานที่ที่ตัวเองจะแยกอยู่คนเดียวได้และมีคนดูแล หรือไม่มีคนดูแลก็เป็นที่ที่ออกมาทำอาหารหรือกิจกรรมต่าง ๆ ได้เองโดยไม่ต้องเสี่ยงแพร่เชื้อให้ใคร การไม่แพร่เชื้อให้คนอื่นก็เรื่องหนึ่ง ตัวเองก็ต้องระวังไม่ให้รับเชื้อเพิ่มด้วย สถานที่ที่ลงตัวในการกักตัวเองจึงเป็นเรื่องแรกที่ต้องคิด

2.) เวลาที่หมดเชื้อสำหรับผม ไม่ใช่แค่ 10 วัน แต่รวมแล้วเป็น 15 วัน (14 หรือ 15 ก็ได้) ผมจึงแนะนำว่าอดทนกักตัวเองให้ได้นานถึง 14 วันเถอะครับ ยิ่งค่าตรวจ PCR แพงอย่างในเมืองไทย การตรวจบ่อยก็ยิ่งทำให้เสียเงินมาก ตอนนี้ยิ่งต้องระวังทุกบาททุกสตางค์กันอยู่ ผมจึงแนะนำให้อึดยาวไปเลย 2 อาทิตย์จึงค่อยตรวจใหม่

3.) เรื่องสำคัญระหว่างกักตัวคือ ทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อลดอาการของโรค โรคนี้จะทำให้เราจับไข้ หรือครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดหัว เจ็บคอหรือคันคอ บางทีมีท้องเสีย อ่อนเพลีย ตั้งสมาธิไม่ค่อยได้ เราจึงต้องทำหลายสิ่งหลายอย่างพร้อมกัน แต่ผมแนะนำได้เฉพาะในสิ่งที่ผมทำ จะสอดคล้องกับตัวท่านหรือไม่ขอให้พิจารณาอย่างแยบคายก่อน ผมกินอาหารทุกอย่างที่เพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย โดยเฉพาะขิงสด มะนาวสด น้ำผึ้ง ลดอาหารที่กระแทกตัวเราเพิ่มขึ้น เช่น ของมัน ของเย็น ๆ อาหารที่ย่อยยาก เป็นต้น ผมลดกินแป้งและเนื้อสัตว์ กินผักผลไม้มากขึ้น บางมื้อกินแต่ผลไม้อย่างเดียวเหมือนโยคีก็มี เลิกกินไอศกรีมของโปรด ดื่มของร้อน ๆ เป็นประจำ (แต่ผมซึ่งไม่ค่อยได้ดื่มชา ก็ดื่มจนเกิดท้องผูก ทำให้เกิดภาวะทั้งท้องเสียและท้องผูกสลับกันไป ใครไม่คุ้นก็พึงระวัง) น้ำร้อนใส่น้ำมะนาวและเกลือก็ดีมาก ต้นทุนถูกและดื่มได้เรื่อย ๆ หลักการใหญ่คือช่วยร่างกายทำลายเชื้อโรคด้วยการเพิ่มภูมิให้กับร่างกายอย่างตั้งใจและต่อเนื่อง

4.) เรื่องยา ผมกินยา 2-3 อย่าง อย่างที่เล่าไปในครั้งก่อน ๆ กินยาจีนเหลียนหัวจากท่านนายกทักษิณ กินยาฝรั่ง Amoxil ที่หมอท้องถิ่นให้ไปซื้อ และบางวันก็กินแอสไพริน ทั้งหมดนี้ไม่ได้มาโฆษณาให้ยาไหน แต่ต้องการจะแนะนำท่านว่า ยังไม่มียาเฉพาะตัวสำหรับโรคนี้ เราจึงต้องกินแบบเก็บเล็กผสมน้อยไปพลางก่อน โดยสังเกตตัวเองอย่างใกล้ชิดเหมือนทำงานวิจัย ว่าอะไรได้ผลและไม่ได้ผลกับตัวเอง เรื่องนี้ยังไม่มีเทวดาที่ไหนมาให้คำตอบที่สมบูรณ์แบบกับเราได้

‘จักรภพ’ เย้ย แผนฟื้นสัมพันธ์ไทย-ซาอุฯ แค่มกุฎราชกุมาร MBS อยากหาพันธมิตรเพิ่ม

28 ม.ค. 65 - นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลสมัคร และอดีตโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลทักษิณ ปัจจุบันอาศัยอยู่ต่างประเทศ ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก

นาย จักรภพ ระบุว่า ข่าวลือและข่าวมโนเกิดขึ้นมากในกรณีซาอุดีอาระเบีย ที่จู่ ๆ ก็เกิดการเยือนกรุงริยาร์ดของฝ่ายไทยขึ้นมา เราควรตั้งคำถามกับตัวเอง 2 ข้อเพื่อให้นำทางเราไปสู่คำตอบ ซึ่งถึงอาจจะยังไม่ใช่คำตอบสุดท้ายแต่ก็ใกล้เข้าไปหน่อย คำถามนั้นคือ :

เบื้องหน้า: สาระจริง ๆ ของการรับระบอบไทยครั้งนี้คืออะไร?
เบื้องหลัง: เกิดขึ้นได้เพราะอะไร?
คำถามที่ 1

อ่านแถลงการณ์ไทย-ซาอุดีอาระเบียให้ละเอียด ในนั้นได้บอกอะไรเราอย่างชัดเจนเกือบทั้งหมดแล้ว ผมจะขอว่าไปทีละข้อ และอาจจะรวบบางข้อเข้าด้วยกัน เพราะหลายข้อเป็นข้อความที่ว่างเปล่าแบบการทูตยุคโบราณเท่านั้น

ข้อ 1 ชัดเจนตั้งแต่ข้อแรกนี้เลยว่า งานนี้ไทยเป็นคนไปของอนง้อกับทางซาอุดีอาระเบีย เพราะรองนายกรัฐมนตรีของซาอุดีอาระเบียเป็นผู้ออกจดหมายเชิญนายกรัฐมนตรีไทย ตามประเพณีการทูตแล้ว คนในตำแหน่งเดียวกันหรือเทียบเท่ากันเท่านั้นเขาจะเชิญกัน นายกฯ ต้องเชิญนายกฯ ด้วยกัน ไม่ใช่รองนายกฯ เชิญนายกฯ ซึ่งเท่ากับบอกกลาย ๆ ว่า คนตำแหน่งต่ำกว่าของบ้านฉัน ใหญ่เท่ากับคนตำแหน่งสูงกว่าที่บ้านเธอ ส่งสัญญาณตั้งแต่แรกว่าใครง้อใคร และใครตัวซี้ตัวสั่นรีบวิ่งไปหาเขาเมื่อได้ยินเสียงเคาะกะลา เรารู้ครับว่า เจ้าชายบินซัลมานฯ หรือ MBS คือผู้มีอำนาจจริงในซาอุดีอาระเบีย ถ้าจะคุยให้ได้เรื่องก็ต้องคุยกับคนนี้เท่านั้น เรื่องนี้ใครก็เข้าใจ แต่จะต้องไม่ลืมด้วยว่าประเทศไทยไม่ได้เซ็นสัญญาเป็นคนรับใช้ หรือยอมตัวเป็นชาติไก่รองบ่อนของชาติใดอย่างเป็นทางการ การแสดงความเสมอภาคและเท่าเทียมระหว่างคู่เจรจาคือเกียรติภูมิของชาติอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะในขั้นต้น แต่พออ่านข้อ 1 เลยทำให้คิดว่า หรือคนไทยเราบางคนไม่รู้จักคำว่า เกียรติภูมิ หรือ เกียรติยศ

ข้อ 2 คราวนี้ ไทยเป็นฝ่ายเอ่ยปากแสดงความเสียใจเกี่ยวกับกรณีที่พวกเราเรียกกันว่า คดีเพชรซาอุฯ ขึ้นมาก่อน โดยเฉพาะระบุปีเสียด้วยว่า ระหว่าง พ.ศ. 2532-2533 ทั้งที่เรื่องจริงมันยาวนานกว่านั้นมาก อาจมีเจตนาเพื่อตัดบางกรณีที่ลามต่อเนื่องออกไป เพื่อจะได้ไม่ต้องไปสืบสวนและสอบสวนเพิ่มแบบขยายประเด็น แบบนี้ต้องเรียกว่าตั้งข้อหาตัวเองแบบตำรวจบางคน คือช่วยตั้งข้อหาให้มันแคบเข้าไว้ แต่สาระสำคัญกว่านั้นอยู่ที่ตรงฝ่ายไทยชิงสรุปว่า เท่าที่ผ่านมา ได้ทำคดีนั้นอย่างดีที่สุดแล้ว แต่ยินดีจะเปิดแฟ้มใหม่ให้กับซาอุดีฯ หากมี “หลักฐานเพิ่ม” คำถามที่เกิดขึ้นทันทีคือ หลักฐานใหม่พวกนี้มาจากไหน? มาจากฝ่ายไทยเอง หรือรอให้ฝ่ายซาอุดีฯ เขาจะส่งเป้าชี้มาให้เลยเสร็จสรรพ? เรื่องนี้อ่านแล้วรู้สึกได้เลยว่า ไทยจะยังไม่ได้อะไรเป็นมรรคเป็นผลอย่างที่ใครบางคนฝันกลางวันเอาไว้หรอกครับ ยกเว้นว่าอาจจะได้เอกอัครราชทูตที่ริยาร์ดส่งมาประจำที่กรุงเทพฯ สักคน และก็รอเรื่องอื่นไปจนกว่าทางซาอุดีฯ จะบอกมาอีกทีว่าฉันพอใจกับเรื่องเพชรซาอุฯ รอบใหม่แล้ว นั่นก็เท่ากับว่า การวิ่งไปคราวนี้เป็นเพียงภารกิจรักษาหน้าเท่านั้น คุยได้นิด ๆ ว่าเราจะกลับมามีความสัมพันธ์ทางการทูตกับซาอุดีอาระเบียแล้วนะ ถ้าถามต่อว่าแล้วว่าได้อะไรเป็นรูปธรรมกลับมาบ้าง ก็คงม้วนหน้าหลบเร้นไปตามระเบียบ

‘จักรภพ เพ็ญแข’ โพสต์คลิปขออนุญาตกลับไทย ในรอบ 15 ปี พร้อมกลับเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม - ขอโอกาสรับใช้ชาติ

(28 มี.ค.67) จากกรณีที่ นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้ลี้ภัยในต่างแดน จะเดินทางกลับประเทศ โดยเผยว่า “วันพฤหัสบดีที่ 28 มีนาคม 2567 เวลา 07.35 น. จักรภพ เพ็ญแข กลับไปรับใช้ เมืองไทยครับ”

ล่าสุด เมื่อเวลา 00.57 น. วันที่ 28 มี.ค.67 ตามเวลาประเทศไทย เฟซบุ๊ก จักรภพ เพ็ญแข - Jakrapob Penkair ได้โพสต์คลิปวิดีโอขณะเดินทางไปยังสนามบินเพื่อเดินทางกลับมายังประเทศไทย

โดยภายในคลิป นายจักรภพ กล่าวว่า “สวัสดีครับ พี่น้องชาวไทยที่รักทุกคน ผมจักรภพ เพ็ญแข ออกจากเมืองไทยมาเมื่อ 15 ปีที่แล้ว และวันนี้กำลังจะเดินทางกลับเมืองไทย ไปพบกลับพี่น้องชาวไทยที่รักและคิดถึงมานาน ผมออกมาอยู่ต่างประเทศ เพราะมีเหตุผลทางด้านการเมือง ผมเชื่อว่าพี่น้องหลายท่านคงทราบดี ตอนนี้ผมกำลังนั่งรถที่เพื่อนขับพาไปสนามบิน ไปขึ้นเครื่องบินกลับบ้าน จะไปถึงเมืองไทยวันพฤหัสบดี ที่ 28 มีนาคม เวลา 07.35 น. เดินทางตรงไปเลย

ผมนึกขึ้นได้ว่า ผมหายไปนานเหลือเกิน จู่ ๆ โผล่หน้ามา พี่น้องหลายท่านก็มีสิทธิ์จะถามว่า เกิดอะไรขึ้น ตอนหายก็หายไป ตอนมาก็มา เล่าสู่กันฟังได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น ผมก็ขอเรียนสั้น ๆ ว่า เรามีความขัดแย้งทางการเมืองกันอยู่ตอนนั้น ผมก็ถืออยู่ข้างหนึ่ง พี่น้องอีกจำนวนมากก็ถืออยู่อีกข้างหนึ่ง แล้วเราก็เกิดความขัดแย้ง จนผมออกมาอยู่นอกประเทศ เพราะมีความคงในเรื่องอันตราย สวัสดิภาพส่วนตัว หลังจากนั้นผมก็ติดตามเหตุการณ์ในบ้านเมืองไม่เคยทิ้งเลย เหมือนอยูในประเทศไทย ทุกวัน ๆ ตลอด 15 ปีนี้ แต่ไม่สามารถกลับเมืองไทยได้ เนื่องจากว่าเหตุการณ์ยังไม่เอื้ออำนวยให้

ผมไปอยู่ต่างประเทศ 15 ปี ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของโลกในทุกเรื่อง ทำให้สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นมาคือ ห่วงประเทศไทย ผมก็เป็นคนไทย รักประเทศไทย ความรักของเราแสดงออกในรูปแบบที่ต่างกัน ผมเองไปทางการเมือง ท่านอื่นก็ไปทางอื่น ๆ ที่สุจริต ทำงานหนักเพื่อประเทศชาติโดยหน้าที่ ผมคิดว่าผมสามารถเก็บเกี่ยวประสบการณ์เหล่านี้กลับบ้านได้ เอาไปใช้ในการเตรียมประเทศไทยในยามที่โลกกำลังเปลี่ยนแปลงแบบจำหน้าไม่ได้ ไม่ว่าจะเรื่องภูมิอากาศ เรื่องการเมือง AI แม้แต่เรื่องโรคภัยไข้เจ็บ
แล้วถามว่าความคิดต่าง ๆ ที่เคยมีในอดีต ที่ทำให้เกิดความขัดแย้งเนี่ย จะว่ายังไง ผมก็ต้องตอบอย่างนี้ครับว่า คนเราทุกคน มันได้คิดหลังจากเวลาผ่านไปช่วงระยะหนึ่ง 10 กว่าปีนี้ทำให้ผมได้คิดว่า เราคนไทยจะขัดแย้งกันทำไม ในเมื่อโลกกำลังเปลี่ยนแปลง ประเทศไทยควรรวมเป็นหนึ่งเดียว ความหลากหลายทางความคิดเป็นเรื่องดี ไม่น่าจะเป็นเหตุให้ทะเลาะ ผมจึงเอาตัวเองนี่แหละครับเป็นจุดเริ่มต้น ไม่ไปบอกให้ใครทำแล้ว เมื่อเราคิดเราต้องทำก่อน

ผมถึงเดินทางกลับประเทศไทยวันนี้ ไม่ใช่ว่าจะไปเดินปร๋อที่ไหนสบายนะครับ กลับไปเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม มีคดีเกิดขึ้นหลายคดี ผมต้องกลับไปมอบตัว และก็ไปขอให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตามที่เป็นตามกฎหมาย และผมก็หวังว่าผมจะสามารถสู้คดีได้ อธิบายตัวเองได้ และออกมาสู่อิสรภาพมารับใช้บ้านเมืองได้

ส่วนเรื่องสิ่งที่เคยพูดไว้ เคยเขียนไว้ เคยแสดงออกไว้ ผมไปเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่ผมอยากเรียนท่านว่า ผมได้คิดอะไรใหม่ขึ้นเยอะ และขอให้โอกาสผมสักนิดเถอะครับว่าความคิดใหม่ ๆ จะช่วยประเทศได้ไงบ้าง

อีกไม่กี่ชั่วโมงก็ได้พบกันแล้วครับ ขออนุญาตกลับบ้าน ผมอยู่ข้างนอกพอแล้วครับ”

สัญญาณจาก ‘จ.จักรภพ’ ถึง ‘จ.จารุพงศ์’ ได้เวลากลับบ้าน เติมสีสัน ‘จันทร์ส่องหล้า’

“ผมได้คิดหลังจากเวลาผ่านไป ได้คิดว่าคนไทยจะมัวขัดแย้งกันอีกทำไม โลกมันเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว...”

“ผมอยู่ข้างนอกนานพอแล้ว ครับ ขออนุญาตกลับบ้าน...” 

จักรภพ เพ็ญแข กล่าวผ่านติ๊กต็อก ขณะนั่งรถไปขึ้นเครื่องที่สนามบิน เดินทางกลับจากดูไบสู่มาตุภูมิที่จากไปนาน 15 ปี

วันพฤหัสบดีที่ 28 มี.ค.ที่ผ่านมา ไปรายงานตัวที่กองปราบปรามในฐานะผู้ต้องหาคดีข้อหาอั้งยี่ อาวุธปืน อะไรประมาณนั้น ภาพประทับใจของใครหลายคนก็คือ ภาพที่จักรภพก้มกราบพระบรมฉายาลักษณ์ ในหลวงรัชกาลที่ 10…

ขณะนี้จักรภพมีคดีติดตัวแค่ 2 คดีคือ ไม่ไปรายงานตัวกับ คสช. และ อั้งยี่/อาวุธปืน ส่วนคดีมาตรา 112 นั้นยกฟ้องไปนานแล้ว

จักรภพมั่นใจ เขาน่าจะต่อสู้คดีความ กลับมาเป็นอิสระและทำงานการเมืองและรับใช้ชาติได้ แต่จะไม่ให้กระทบกับพรรค (เพื่อไทย) และรัฐบาล หากกระทบก็จะอยู่เบื้องหลัง…

นับเป็นท่าทีท่วงทำนองที่ต้องยอมรับว่า...รู้ตัวตน รู้ประมาณ ลดอีโก้ที่ในอดีตเราเคยพบว่าจักรภพมีอยู่พอประมาณ และแน่นอนว่าถ้ามีโอกาสจักรภพก็น่าจะเป็นทรัพยากรคนสำคัญของพรรคเพื่อไทยหรือบ้านจันทร์ส่องหล้าได้…

จักรภพยังประกาศที่จะเป็นผู้ประสานให้เพื่อนพ้องน้องพี่ (คนเสื้อแดง) ที่มีคดีความอยู่ต่างประเทศเดินทางกลับบ้าน…ซึ่งตนเปรียบเสมือน ‘หนูลองยา’ ที่อาจทำให้หลายคนมีความมั่นใจที่จะกลับมา…

ก็นับว่าเป็นเจตนาดีของจักรภพ…แต่ก็ต้องกล่าวให้สิ้นกระแสความว่า จักรภพซึ่งมี ‘นายใหญ่’ จันทร์ส่องหล้าอุปการะอยู่นั้น คดีความไม่ได้หนักหนาสาหัสเหมือนอีกหลายคนที่ติดบ่วงคดีมาตรา 112 รวมอยู่ด้วย..ซึ่งนั่นดูเหมือนประตูโอกาสจะปิดเพราะยากที่จะชนะ…

ดังนั้นคนที่จะกลับบ้านได้แบบมีโอกาสหลุดรอดคดีได้ ต้องไม่มีคดี 112 เช่น จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ และจารุวงศ์ ผู้เป็นลูกชาย 

โดยจารุพงศ์นั้นเคยเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยและรมว.มหาดไทย...ที่เคยตั้งขบวนการเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย รับบทเลขาธิการ จักรภพรับบทผู้ประสานงาน ต่อสู้กับรัฐบาล คสช.

‘เล็ก เลียบด่วน’ ไล่เลียงดูแล้ว คนที่จะกลับมายกเว้นสองพ่อลูกเรืองสุวรรณแล้ว คนอื่น ๆ ที่อยู่ในสหรัฐฯ-ยุโรป ส่วนใหญ่ก็คงไม่กลับและกลับไม่ได้…เพราะส่วนใหญ่หนีคดีมาตรา 112

ขณะเดียวกันอย่างรายของ ‘จอม เพ็ชรประดับ’ อดีตสื่อมวลชนคนดัง แม้มีเพียงคดีเดียวคือไม่รายงานตัวต่อ คสช. แต่ก็เป็นผู้ลี้ภัยไปแล้ว และไม่เอาทักษิณ ก็คงไม่กลับมา…รวมทั้ง ‘สุนัย จุลพงศธร’ ก็เป็นผู้ลี้ภัยไปแล้วและหลายปีมานี้หาเลี้ยงชีพด้วยการ ‘ด่าเจ้า’ ก็คงไม่กลับมา…

หันมามองคนใกล้ตัวเพื่อไทยและทำมาหากินอยู่ใกล้ไทยคือ…กัมพูชา อย่าง กี้ อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง, วันชนะ เกิดดี และนิสิต สินธุไพร ที่โดนคดีจำคุก 4 ปี ไม่รอลงอาญา คดีล้มประชุมอาเซียนที่พัทยา เมื่อปี 2552 ก็คงไม่กลับมาเช่นเดียวกัน...ยกเว้นมีการออกพ.ร.บ.นิรโทษกรรมและกฎหมายครอบคลุมถึง…

ก็เอาเหอะ...ถึงอย่างไรก็ต้องยอมรับว่า ‘หนูลองยา’ อย่างจักรภพ ก็หวังดีต่อเพื่อนพ้องน้องพี่ ซึ่งวันนี้หลายคนได้ก้าวไกลไปไกลจนยากจะก้าวใหม่แล้ว เพราะ กู่ไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี...เอวัง!!

‘จักรภพ’ ประเดิมงานแรก หลังบินกลับไทยมารับใช้ชาติ จัดทริปทัวร์พา ‘คนเสื้อแดง’ ไปเที่ยวต่างประเทศ

(2 เม.ย.67) นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อดีตแกนนำเสื้อแดง ที่เพิ่งกลับจากการลี้ภัยไปต่างประเทศ โดยอ้างว่าต้องการกลับมารับใช้ชาติ อาสาเป็นตัวกลางพาผู้ลี้ภัยกลับบ้านเกิด

ล่าสุดนายจักรภพ ประเดิมบทบาทใหม่ ด้วยการจัดทัวร์พา ‘คนเสื้อแดง’ ไปเที่ยวต่างประเทศ โดยโพสต์ล่าสุดของนายจักรภพ ระบุว่า “สวัสดีครับ ทริปยุโรปตะวันออก​ ฮังการี​ ออสเตรีย​ เช็ค​ สโลวาเกีย 28 พ.ค.-  4​ มิ.ย.​67 เดินทางด้วยกันไหมครับ ใกล้เต็มแล้วครับ​ มีที่ว่าง​ 8 ที่​ ครับ พบกับคุณจักรภพ​ เพ็ญแข ร่วมเดินทางพร้อมคณะทัวร์”

“ทัวร์เสื้อแดง​ ครั้งที่​ 84 ทัวร์ของคุณจักรภพ​ เพ็ญแข ยุโรปตะวันออก​ ฮังการี​ ออสเตรีย​ เช็ค​ สโลวาเกีย 8​ วัน​ 5​ คืน​ สายการบินเอมิเรตส์ 28 พ.ค.- 4​ มิถุนายน​ 2567”

‘จักรภพ’ พร้อมลุยรายงานตัวที่สำนักงานอัยการสูงสุด รับทราบข้อกล่าวหาคดีอาวุธสงครามใน จ.ฉะเชิงเทรา

(22 เม.ย.67) นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘จักรภพ เพ็ญแข - Jakrapob Penkair’ โดยระบุว่า…

“วันนี้ (22 เม.ย.) ในเวลา 09.00 น. นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จะไปรายงานตัวที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถนนรัชดาภิเษก เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาเกี่ยวกับอาวุธสงครามที่พบในจังหวัดฉะเชิงเทราเมื่อหลายปีก่อน ส่วนในวันพรุ่งนี้ (23 เม.ย.) ในเวลา 10.00 น. จะเดินทางไปในภารกิจเดียวกันที่สำนักงานอัยการสูงสุด จ. พระนครศรีอยุธยา”

‘ดร.ปวิน’ ฟาดเดือด!! ขยะแขยง ‘จักรภพ’ ไม่สนใจปชช. ผูกมิตรกับฝ่ายอำมาตย์

(30 พ.ย. 67) ศ.ดร.ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเกียวโต ได้โพสต์ข้อความถึง นายจักรภพ เพ็ญแข โดยมีใจความว่า ...

สิ่งที่จักรภพพูดมันเป็นอะไรที่น่าขยะแขยงมาก นักการเมือง/พรรคการเมือง/รัฐบาล ไม่ต้องสนประชาชนมากนัก เพราะต้องเอาเวลาไปผูกมิตรกับฝ่ายอำมาตย์ ไม่งั้นการเมืองไปต่อไปได้ โถ E ตอแหล การพูดแบบนี้พูดบน basis อะไร ทำไมเจ้าของประเทศถึงกลายมาเป็นของแถม ขณะที่ E พวกอำมาตย์กลายมาเป็นลำดับความสำคัญ มึงจะบอกว่าให้มองการเมืองแบบตามความเป็นจริง อันนี้ยิ่งน่าตกใจกว่า เพราะนั่นหมายความว่า ไอ้ความเป็นจริงที่ edok นี่พูดถึงก็คือ แม้จะมีการเลือกตั้ง แม้ประชาชนได้ออกไปใช้สิทธิของเจ้าของประเทศ แต่ประชาชนไม่มีสิทธิทางการเมือง เพราะนักการเมือง/พรรคการเมือง/รัฐบาล ต้องใส่ใจเอ็นดูอำมาตย์ทางการเมืองมากกว่า 

ถ้างั้น จะเรียกรัฐบาลนี้ ว่าเป็นประชาธิปไตยเหรอ จะเรียกประเทศนี้ว่าประชาธิปไตยทำไม 

‘จักรภพ’ ข้ามขั้ว!! จัดรายการให้ ‘ท็อปนิวส์’ เทปแรก ผลตอบรับดีเกินคาด ชี้!! นี่คือ ‘กูรูด้านต่างประเทศ’

(10 ธ.ค. 67) หลังมีคำวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักกับการไปจัดรายการช่อง TOP NEWS  ของนายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นการโดดไปร่วมงานกับช่องโทรทัศน์ที่มีความเห็นทางการเมืองต่างขั้วอย่างสิ้นเชิง จนหลายฝ่ายจับตาถึงท่าทีของนายจักรภพ ต่อการทำหน้าที่ในครั้งนี้ 

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2567 นายจักรภพ ได้จัดรายการ ร่วมกับนายอุดร แสงอรุณ บรรณาธิการบริหาร สำนักข่าวท็อปนิวส์ เป็นเทปแรก โดยนายจักรภพ ได้วิเคราะห์ 3 สถานการณ์ทางการเมืองต่างประเทศที่กำลังอยู่ในความสนใจของคนทั้งโลก ทั้งเรื่องประธานาธิบดีเกาหลีใต้ นายยุน ซ็อกย็อล ประกาศกฎอัยการศึกท่ามกลางความสงสัยของคนทั้งประเทศและทั่วโลกว่าทำไมต้องทำ ทั้งที่สถานการณ์ไม่ได้เอื้ออำนวย โดยนายจักรภพได้วิเคราะห์เจาะลึกถึง สาเหตุเกิดจากความขัดแย้งกันทางการเมืองภายใน ที่คุกรุ่นมาตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา จนนำไปสู่การประกาศอัยการศึก ซึ่งเป็นเรื่องเกินจินตนาการของคน และถือเป็นการประเมินการสถานการณ์ผิดพลาดอย่างมากของนายยุน ซ็อก ย็อล ที่ต้องหมดอนาคตทางการเมืองในที่สุด 

นายจักรภพ ยังได้วิเคราะห์ถึงสถานการณ์สหรัฐ หลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย และรอพิธีสาบานตนเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ วันที่ 20 มกราคม 2568 โดยขณะนี้ทรัมป์ ก็กำลังเลือกทีมทำงานอย่างเข้มข้น ท่ามกลางการถูกจับตาว่า เขาตั้งคณะรัฐมนตรี ในตำแหน่งสำคัญจากเงาสะท้อนของตัวเอง ไม่ได้ตั้งคนที่จะมาช่วยคิดที่จะมาเติมเต็มใด ๆ โดยเฉพาะเรื่องการแสดงท่าทีต่อจีน และสงครามยูเครน ซึ่งผู้ที่คาดการณ์ว่าจะได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศคือ นายมาร์โก รูบิโอ ซึ่งเป็นคนที่ต่อต้านจีนอย่างหนัก  รวมทั้งประกาศกร้าวก่อนหน้านี้ว่าจะยุติสงครามยูเครนอย่างรวดเร็วด้วย อย่างไรก็ตามขึ้นอยู่กับสมาชิกวุฒิสภาของสหรัฐจะเป็นผู้ตัดสินชี้อีกครั้งว่าเหมาะสมหรือไม่  

นอกจากนี้ นายจักรภพ ยังได้วิเคราะห์ถึงสถานการณ์ในตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นเรื่องมหาอำนาจของมหาอำนาจงัดข้อกันเอง โดยเฉพาะกรณีกบฏซีเรียบุกเข้ายึดเมืองอเลปโป้ ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของรัฐบาลซีเรีย เชื่อมโยงกับการช่วยเหลือของรัสเซีย รวมทั้งสถานการณ์ยูเครน ที่ยังไม่สงบ และจะส่งผลกระทบต่อไทยและต่อโลกอย่างแน่นอน หากทรัมป์ตัดความช่วยเหลือทั้งหมด ขณะที่รัสเซียต้องเข้าไปวุ่นวายทั้งสมรภูมิ ยูเครน และซีเรีย นั่นหมายความว่าจีนซึ่งมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของรัสเซีย จะเป็นผู้อำนาจสูงสุดในการจัดระเบียบโลก 

“และในฐานะที่ประเทศไทยอยู่ใกล้กับจีน เรายิ่งต้องระวังในเรื่องของดุลยภาพ แน่นอนว่าเราอยากคบกับจีน เพราะจีนมีศักยภาพ ขณะเดียวกันเราก็ต้องการคบ และต้องการค้าขายกับคนอื่นด้วย ดังนั้น ไทยจะต้องมีขีดความสามารถในการเลือกข้าง โดยไม่ให้ใครมาว่าเราได้ว่าเลือกทางนี้ไม่เอาทางโน้น ดังนั้นเราต้องจับตาการตัดสินใจของประธานาธิบดี ปูติน แห่งรัสเซีย ต่อสถานการณ์ซีเรียและยูเครน ซึ่งแน่นอนว่านโยบายต่างประเทศของเราจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก” นายจักรภพ กล่าว  

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดรายการ มีผู้เข้าชมเป็นจำนวนมาก และมีการแสดงความคิดเห็นกันอย่างกว้างขวาง ส่วนใหญ่เป็นไปในทิศทางบวก ที่มองว่า นายจักรภพ วิเคราะห์ข่าวได้คม เป็นผู้ที่รู้ลึกรู้จริงด้านต่างประเทศเกินความคาดหมาย และการสื่อสารได้ชัดเจน จะช่วยให้คนไทยได้เข้าใจโลกใบนี้ได้มากขึ้น

‘จักรภพ’ ไม่แปลกใจ ‘อันวาร์’ ตั้ง ‘ทักษิณ’ เป็นที่ปรึกษาปธ. อาเซียน เชื่อรวมชาติอาเซียนได้ด้วยใจไม่ใช่กลไกราชการ เหตุรู้จักผู้นำทุกคน

‘จักรภพ’ เผย ผู้นำอาเซียนรู้จัก ‘ทักษิณ’ หมด ไม่แปลกใจ อันวาร์ ตั้งเป็นที่ปรึกษาปธ. อาเซียน เชื่อ อดีตนายกฯ รวมชาติอาเซียนได้ด้วยใจ ไม่ใช่กลไกราชการ

(20 ธ.ค.67) นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตโฆษกรัฐบาล และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณี ดาโตะ เซอรี อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ได้แต่งตั้ง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นที่ปรึกษาประธานอาเซียน ในปี 2025 ที่รัฐบาลมาเลเซียจะเป็นประธานอาเซียน เพื่อให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการจัดการประชุมระดับนานาชาติ ว่า ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะผู้นำอาเซียนรู้จัก นายกฯ ทักษิณ กันหมด โดยตำแหน่งนี้ก็ตั้งขึ้นเป็นครั้งแรก ไม่มีเงินเดือน ไม่ได้มีตำแหน่งอยู่ในโครงสร้างอาเซียน เป็นตำแหน่งไม่เป็นทางการ นายอันวาร์เชื่อว่า นายกฯ ทักษิณ สามารถรวมชาติอาเซียนได้ด้วยใจ ไม่ใช่กลไกราชการ 

นายจักรภพ กล่าวว่า นายอันวาร์ มองไปล่วงหน้าว่า การแต่งตั้งครั้งนี้ มันน่าจะตรงกับประสบการณ์ของ นายกฯ ทักษิณโดยเฉพาะปัญหาความไม่สงบในประเทศเมียนมาในขณะนี้ อย่าลืมว่า นายกฯ ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี 6 ปี มีเหตุการณ์ใหญ่ ๆ ในเมียนมาหลายครั้ง จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงศูนย์อำนาจในเมียนมา ชนกลุ่มน้อยก็เข้มแข็งขึ้น และนายกฯ ทักษิณ ก็สามารถเจรจาชนกลุ่มน้อยที่อยู่ตามชายแดนได้ เหมือนที่กำลังมีประเด็นว้าแดงอยู่ในขณะนี้  

นอกจากนี้ นายจักรภพ ยังได้ยกเรื่องของความขัดแย้ง ระหว่างอินโดนีเซีย กับฟิลิปปินส์ ที่เห็นไม่ตรงกันในเรื่องน่านน้ำ ก็ต้องให้อาเซียนช่วย เวียดนามเองก็มีปัญหาเรื่องของเกาะที่อยู่ไม่ไกลจากเวียดนาม แล้วก็เป็นที่แย่งชิงของบรรดาอาเซียน นายกฯ ทักษิณ ผ่านเรื่องเหล่านี้มาโดยส่วนตัวคิดว่านายอันวาร์ ก็คงหวังจะได้ประโยชน์จากตรงนี้

“ผมเดาใจท่านอันวาร์ ท่านน่าจะมองว่าคุณทักษิณ เป็นคนที่เก่งในการสร้างงานที่ใหญ่ขึ้น มาเลเซียได้ประโยชน์ ประเทศในอาเซียนได้ประโยชน์ และแน่นอนว่าประเทศไทยก็ได้ประโยชน์ด้วย พูดง่าย ๆ คือคุณทักษิณมองใหญ่เป็น เขาคงรู้ว่าคบกับไทยดีกว่าแข่งกับไทย” นายจักรภพ กล่าว 

นายจักรภพ กล่าวถึงกรณี นายอันวาร์ เรียกนายทักษิณว่าเป็นรัฐบุรุษ ว่า ต่างชาติเขาคิดไม่เหมือนเรา ที่อาจจะมอง นายกฯ ทักษิณ แบบมีอคติ แต่เขามองแบบผู้นำนับถือกัน และที่สำคัญเขามีหน่วยงานข่าวกรองที่รู้มากกว่าเรา เขารู้ว่า นายกฯทักษิณ เป็นอย่างไร อาจมีผิดพลาดบ้าง แต่สำคัญคือเดบิตต้องสูงกว่าเครดิต รายได้สูงกว่ารายจ่าย กิจการนั้นก็จะประสบความสำเร็จ จะมานั่งวัดกันเหมือนส่องกล้องจุลทรรศน์ ก็คงไม่ได้

‘จักรภพ’ พาคนรัก!! เข้าบ้านจันทร์ส่องหล้า ขอคำปรึกษาทักษิณ เตรียมจดทะเบียนสมรส

(4 ม.ค. 68) นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายก และ อดีตโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เมื่อวานนี้ (3 ม.ค. 68) ตนพร้อมด้วย นายสุไพรพล ช่วยชู หรือ ป๊อบ คู่ชีวิต  เดินทางเข้าพบ ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ของไทย ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า เพื่อเรียนเชิญเป็นสักขีพยานในการจดทะเบียนสมรส รับกฎหมาย พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม ที่ประเทศไทยจะประกาศใช้ ในวันที่ 22 มกราคม 2568 

นายจักรภพ กล่าวว่า การเข้าพบครั้งนี้ เพื่อขอคำปรึกษา ดร.ทักษิณ เกี่ยวกับการจดทะเบียนสมรสและการฉลองแต่งงานของเรา ในฐานะที่ท่านเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ที่บทบาทสำคัญในการผลักดัน พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม ในนามพรรคเพื่อไทย จนนำไปสู่ประกาศใช้ในวันที่ 22 มกราคมนี้ นับเป็นวันประวัติศาสตร์ของประเทศไทยและโลก ซึ่งเป็นเรื่องที่มีความหมายมาก เพราะว่าคนเพศเดียวกันหรือที่เรียกว่า LGBTQ+ ก็สามารถจดทะเบียนสมรสได้ เหมือนกับมนุษย์คนอื่นในโลกนี้ เพื่ออยู่ภายใต้ระบบกฎหมายเดียวกัน 

“ท่านเมตตาให้คำปรึกษาอย่างผู้ใหญ่ในครอบครัวทั้งในเรื่องวัน เวลา รูปแบบ แม้แต่ฤกษ์พานาที โดยท่านย้ำว่า ต้องยึดหลักโบราณเพื่อหาวันที่เหมาะสม” นายจักรภพ กล่าว นายจักรภพ กล่าวถึงเส้นทางความรักของตัวเองว่า คบหาดูใจกับ คุณป๊อบมายาวนานถึงกว่า 23 ปี พอ ๆ กับ การผลักดัน พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม เมื่อปี 2544 ที่รัฐบาล นำโดยนายกรัฐมนตรี ทักษิณ  เริ่มเสนอแนวคิดให้คนรักเพศเดียวกันสามารถจดทะเบียนสมรสได้ตามกฎหมาย แต่ต้องยุติลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากกระแสสังคมต่อต้าน รัฐบาลจึงมองเห็นว่าสังคมไม่พร้อม เรื่องนี้จึงตกไป ต่อมา ปี 2555 มีการเรียกร้องจากกลุ่ม LGBTQ+ ต้องการจดทะเบียนสมรส แต่ถูกปฏิเสธ จึงได้ร้องเรียนไปยังหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง 

ต่อมาในปี 2556 สมัยรัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็มีผลักดันให้มีกฎหมายรองรับของกลุ่ม LGBTQ+ อีกครั้ง โดยได้ยื่นเสนอร่าง พ.ร.บ.คู่ชีวิตเพื่อให้ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร แต่ไม่สำเร็จ และยุติลงในปี 2557  หลังจากนั้นก็มีการเคลื่อนไหวจากภาคประชาชนและพรรคการเมือง และกระแสโลก ที่เรียกร้องสมรสเท่าเทียม และมีการเดินหน้าอย่างจริงจัง จนนำไปสู่ พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม ในสมัยรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน  นายกรัฐมนตรี และจะประกาศใช้ พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียมอย่างเป็นทางการ ในรัฐบาลของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นับเป็นการผลักดันต่อสู้อย่างยาวนานของพรรคเพื่อไทย ในการสร้างประวัติศาสตร์ไทยและประวัติศาสตร์โลกจนประสบความสำเร็จในที่สุด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top