Sunday, 29 June 2025
ข่าวเศรษฐกิจ

ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ธปท. สภอ.) แถลงข่าวเศรษฐกิจและการเงินประจำไตรมาส 1 ปี 2567

เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2567 เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุมโคราช 2 โรงแรมเซ็นทารา จังหวัดนครราชสีมา ดร.ทรงธรรม ปิ่นโต ผู้อำนวยการอาวุโส ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ธปท. สภอ.) ได้จัดงานแถลงข่าวเศรษฐกิจภาคอีสาน ประจำไตรมาส 1 ปี 2567 หัวข้อ เหลียวหลัง...แลหน้า...เศรษฐกิจการเงินอีสาน โดยเป็นการแถลงข่าวสัญจรครั้งแรก สรุปสาระสำคัญ ดังนี้ บทบาทหน้าที่ของ ธปท. ภาคอีสาน ได้แก่ 

1) จับชีพจรเศรษฐกิจการเงินในพื้นที่ รับฟังและแลกเปลี่ยนข้อมูลกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน 
2) สร้างองค์ความรู้วิชาการเพื่อตอบโจทย์ในพื้นที่ 3) ผลักดันนโยบาย ธปท. ให้กับพื้นที่ 4) เป็นตัวกลางความร่วมมือกับทุกภาคส่วน 5) สนับสนุนให้คนอีสานมีความรู้ทางด้านการเงินและเท่าทันภัยการเงิน โครงสร้างเศรษฐกิจภาคอีสาน 1) ภาคเกษตรเป็นเส้นเลือดหลักของคนอีสาน มีแรงงานในภาคนี้ถึงร้อยละ 53 ของผู้มีงานทำในภาคอีสาน ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมมีแรงงานเพียงร้อยละ 7 2) ภาคเกษตรส่วนใหญ่พึ่งฟ้าพึ่งฝน และความสามารถในการทำเกษตรลดลง 3) รายได้ไม่เพียงพอรายจ่ายในภาคครัวเรือน นำไปสู่ปัญหาหนี้ จากโครงสร้างดังกล่าวจึงทำให้เศรษฐกิจภาคอีสานต่างจากประเทศ 

ปี 2566 เศรษฐกิจประเทศฟื้นตัวจากการบริโภคและท่องเที่ยว ขณะที่เศรษฐกิจภาคอีสานหดตัว ตามการบริโภคจากรายได้ที่ลดลงทั้งในและนอกภาคเกษตร หมดมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐ และค่าครองชีพยังอยู่ในระดับสูง แม้การท่องเที่ยวฟื้นตัวแต่ช่วยสนับสนุนได้น้อยเพราะมีเพียงไม่เกินร้อยละ 3 ของเศรษฐกิจ เศรษฐกิจภาคอีสาน โดยภาพรวมเศรษฐกิจ ไตรมาส 1 ปี 2567 อ่อนแรงต่อเนื่องจากปี 2566 จากการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐลดลง ค่าครองชีพในสินค้าหมวดอุปโภคบริโภคยังอยู่ในระดับสูง และตลาดแรงงานอ่อนแอลงจากผู้มีงานทำนอกภาคเกษตรลดลง นอกจากนี้ ยังเห็นสัญญาณเปราะบางต่อเนื่องจากปี 2566 และกำลังซื้อมีความเปราะบางมากขึ้น ในหมวดสินค้าคงทนโดยเฉพาะรถกระบะหดตัวสูง และยอดขายบ้านในระดับกลางและล่างลดลงต่อเนื่อง จากรายได้ที่ลดลง 

รวมทั้งความระมัดระวังในการพิจารณาสินเชื่อของสถาบันการเงิน อย่างไรก็ดี มีปัจจัยช่วยพยุงการบริโภคได้บ้างจากผลของราคาผลผลิตเกษตรที่ดี และการท่องเที่ยวที่มีผู้เยี่ยมเยือนเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากปี 2566 ระยะถัดไป เศรษฐกิจภาคอีสานคาดว่าจะค่อย ๆ ฟื้นตัว จากงบประมาณภาครัฐปี 2567 ที่เพิ่มมากขึ้นซึ่งคาดว่าจะเริ่มเบิกจ่ายได้หลังไตรมาส 2 ทำให้ภาคการค้า การก่อสร้างตามการลงทุนของรัฐเพิ่มมากขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2566 รายได้เกษตรกระจายตัวมากขึ้นจากผลดีของภัยแล้งที่คลี่คลายในช่วงหลังของปี 2567 คาดว่าจะส่งผลดีต่อผลผลิตข้าว การผลิตเพื่อการส่งออกในหมวดอาหารแปรรูปและเครื่องแต่งกายมีแนวโน้มฟื้นตัวดี และการท่องเที่ยวมีนักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มใหม่ ๆ เข้ามากระจายหลายจังหวัดเพิ่มมากขึ้น 

📊เอกสารประกอบการแถลงข่าวเศรษฐกิจอีสาน ไตรมาส 1 ปี 2567  https://www.bot.or.th/content/dam/bot/documents/th/thai-economy/regional-economy/northeastern/quarterly-press/2567/2567_NE_Q01_Slide.pdf

‘นิพนธ์’ เปิดบ้าน!! ต้อนรับกงสุลใหญ่จีนประจำสงขลา เดินหน้า!! ส่งเสริมความร่วมมือเศรษฐกิจ ‘ไทย–จีน’

(14 มิ.ย. 68) นายนิพนธ์ บุญญามณี อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา และอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 8 สมัย เปิดบ้านพักที่เขารูปช้าง ให้การต้อนรับ นายวัง จื้อเจียน กงสุลใหญ่แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ณ จังหวัดสงขลา พร้อมด้วยคณะผู้แทนจากสมาคมจีนสงขลา หาดใหญ่ และผู้นำเยาวชนในพื้นที่จังหวัดสงขลา

การพบปะครั้งนี้เป็นการหารืออย่างไม่เป็นทางการ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนระหว่างไทย–จีน โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทยที่มีศักยภาพสูงในการเป็นฐานอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ในระดับภูมิภาค

ทั้งสองฝ่ายได้หารือร่วมกันเกี่ยวกับการเตรียมการต้อนรับ คณะนักธุรกิจจากมณฑลเสฉวน ที่จะเดินทางมาศึกษาดูงานในจังหวัดสงขลา โดยจะเยี่ยมชมพื้นที่เป้าหมายสำคัญ อาทิ นิคมอุตสาหกรรมยางพารา อำเภอหาดใหญ่ พื้นที่ศักยภาพการลงทุนในอำเภอสะเดา ใกล้ชายแดนไทย–มาเลเซีย 

นายนิพนธ์กล่าวว่า “สงขลามีความพร้อมทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน แรงงาน และทำเลที่ตั้ง ซึ่งสามารถรองรับการลงทุนจากจีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากมีการพัฒนาและวางแผนร่วมกันอย่างจริงจัง จะสามารถสร้างอาชีพ สร้างรายได้ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ได้อย่างยั่งยืน”

บรรยากาศของการพบปะเป็นไปอย่างอบอุ่นและเป็นมิตร โดยทั้งสองฝ่ายได้มอบของที่ระลึก และแสดงความมุ่งมั่นที่จะสานต่อความร่วมมือไทย–จีนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในระดับพื้นที่ ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคต

‘พีระพันธุ์’ เคาะมติ กบง. ตรึงราคาก๊าซหุงต้ม 423 บาท/ถัง 15 กก. ถึง 30 ก.ย. 68

เมื่อวานนี้ (27 มิ.ย. 68) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ครั้งที่ 1/2568 เพื่อพิจารณาทบทวนการกำหนดราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) โดยประชุมได้มีมติเห็นชอบให้คงราคาขายส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว LPG หน้าโรงกลั่นที่ 20.9179 บาทต่อกิโลกรัม (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ทั้งนี้เพื่อให้ราคาขายปลีกก๊าซหุงต้มสำหรับ ถังขนาด 15 กิโลกรัม อยู่ที่ประมาณ 423 บาท โดยมาตรการนี้จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม ถึง 30 กันยายน 2568 นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมอบหมายให้คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) บริหารจัดการเงินกองทุนให้สอดคล้องกับแนวทางการดูแลราคาก๊าซ LPG ต่อไป

ทั้งนี้  นับตั้งแต่ที่นายพีระพันธุ์เข้ามารับหน้าที่กำกับดูแลกระทรวงพลังงาน ราคาก๊าซหุงต้มในประเทศยังคงตรึงราคาเดิมมาตลอดเพื่อไม่ให้เป็นภาระเพิ่มขึ้นของประชาชน

‘บีโอไอ’ เคาะ!! มาตรการหนุน Local Content ประเดิม!! กลุ่มอุตสาหกรรม EV และเครื่องใช้ไฟฟ้า

(28 มิ.ย. 68) บอร์ดบีโอไอ หนุนผู้ประกอบการไทย เห็นชอบมาตรการส่งเสริมการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ (Local Content) จับมือ ส.อ.ท. สนับสนุนสินค้า Made in Thailand กำหนดสัดส่วนร้อยละ 40 สำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าและ BEV ร้อยละ 45 สำหรับ PHEV และชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า ร้อยละ 15 ได้สิทธิลดหย่อนภาษีเพิ่มเติม เสริมศักยภาพผู้ประกอบการไทยเข้าสู่ Supply Chain โลก พร้อมเดินหน้าตั้ง 'ทีมตรวจสอบพิเศษ' เร่งตรวจกลุ่มอุตสาหกรรมเสี่ยง พร้อมอนุมัติส่งเสริมลงทุน 2 โครงการ มูลค่ากว่า 28,000 ล้านบาท

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2568 การประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) ซึ่งมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ได้มีมติเห็นชอบ “มาตรการส่งเสริมการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ (Local Content)” เพื่อกระตุ้นให้นักลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและเครื่องใช้ไฟฟ้าซื้อวัตถุดิบในประเทศมากขึ้น เป็นการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจและผลักดันผู้ประกอบการไทยเข้าสู่ Supply Chain ระดับโลก โดยมาตรการนี้ ถือเป็นหนึ่งในชุดมาตรการส่งเสริมศักยภาพของผู้ประกอบการไทยเพื่อรองรับโลกยุคใหม่ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ควบคู่กับการปกป้องอุตสาหกรรมที่มีความเปราะบาง รักษาระดับการแข่งขันให้เหมาะสม พร้อมลดความเสี่ยงจากมาตรการการค้าของสหรัฐฯ โดยในการประชุมบอร์ดบีโอไอครั้งก่อน ได้ออกมาตรการต่างๆ แล้ว ดังนี้

1. มาตรการส่งเสริมให้ SMEs ไทย ปรับปรุงประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน

2. การงดส่งเสริมกิจการที่มีภาวะสินค้าล้นตลาด (Oversupply) เช่น เหล็กทรงยาว เหล็กแผ่นรีดร้อน ท่อเหล็ก และกิจการที่มีความเสี่ยงต่อมาตรการการค้าของสหรัฐฯ เช่น การผลิตแผงโซลาร์

3. การเพิ่มความเข้มข้นในการพิจารณากระบวนการผลิตที่เป็นสาระสำคัญของโครงการที่จะขอรับการส่งเสริม เพื่อป้องกันการสวมสิทธิและให้มีมูลค่าเพิ่มจากการผลิตในประเทศไทยมากขึ้น

4. การกำหนดสัดส่วนการจ้างงานบุคลากรไทยมากกว่าร้อยละ 70 ในกิจการผลิต และกำหนดเงื่อนไขเงินเดือนขั้นต่ำ 50,000-150,000 บาท สำหรับบุคลากรต่างชาติ เพื่อคัดกรองเฉพาะต่างชาติที่มีความเชี่ยวชาญสูง  

หนุนใช้วัตถุดิบในประเทศ MiT สำหรับ “มาตรการส่งเสริมการใช้ชิ้นส่วนในประเทศไทย” (Local Content) ที่บอร์ดบีโอไอ ได้เห็นชอบเพิ่มเติมในครั้งนี้ จะใช้สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า BEV, PHEV, ชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า และเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยกำหนดสัดส่วน ดังนี้ หากโครงการยานยนต์ไฟฟ้า BEV และเครื่องใช้ไฟฟ้า มีการใช้ชิ้นส่วนในประเทศมากกว่าร้อยละ 40, PHEV ที่มีการใช้ชิ้นส่วนในประเทศมากกว่าร้อยละ 45 และชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้าที่มีการใช้วัตถุดิบในประเทศมากกว่าร้อยละ 15 ของมูลค่าวัตถุดิบทั้งหมด และได้รับการรับรองสินค้าที่ผลิตในประเทศไทย (Made in Thailand: MiT) จากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จะได้รับลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราร้อยละ 50 เพิ่มเติมอีก 2 ปี 

“ที่ผ่านมา บีโอไอได้สนับสนุนให้บริษัทที่เข้ามาลงทุนใช้ชิ้นส่วนจากผู้ประกอบการในประเทศผ่านการจัดกิจกรรม Subcon Thailand และ Sourcing Day อย่างต่อเนื่อง ทำให้ในปัจจุบันผู้ผลิตจากต่างประเทศเริ่มมีการใช้วัตถุดิบในประเทศมากขึ้น แต่เพื่อเร่งรัดให้เกิดการใช้ Local Content สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเป้าหมาย อย่างยานยนต์ไฟฟ้าและเครื่องใช้ไฟฟ้า บีโอไอจึงได้หารือร่วมกับสภาอุตสาหกรรมฯ สถาบันยานยนต์ และสถาบันไฟฟ้าฯ เพื่อเสนอมาตรการส่งเสริมการใช้ Local Content ที่จะช่วยกระตุ้นให้เพิ่มสัดส่วนการใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศตามที่บอร์ดบีโอไอกำหนด จึงจะสามารถขอรับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมได้ ซึ่งมาตรการนี้จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มในประเทศ กระตุ้นให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยี และเสริมสร้าง Supply Chain ในประเทศให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น” นายนฤตม์ กล่าว

สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและเครื่องใช้ไฟฟ้า ถือเป็นอุตสาหกรรมสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ทั้งด้านเม็ดเงินลงทุน การจ้างงาน การส่งออก การพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยี และการเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมชิ้นส่วนในประเทศ โดยที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2565 ถึงเดือนพฤษภาคม 2568 มีโครงการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน รวมทั้งสิ้น 65 โครงการ เงินลงทุนรวมกว่า 96,000 ล้านบาท และอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า มีจำนวน 68 โครงการ เงินลงทุนรวมกว่า 96,800 ล้านบาท

คุมเข้มกิจการเสี่ยง - ตรวจสอบเข้มข้น ที่ประชุมฯ ยังได้พิจารณาปรับปรุงประเภทกิจการเพิ่มเติม เพื่อปรับสมดุลการแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการต่างชาติและไทย และลดความเสี่ยงจากมาตรการการค้าของสหรัฐฯ โดยกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมสำหรับกิจการผลิตเฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน การผลิตกระเป๋า และการผลิตสิ่งพิมพ์ ต้องมีบุคคลธรรมดาสัญชาติไทยถือหุ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 ยกเว้นโครงการที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน

ทั้งนี้ กิจการที่อาจมีความเสี่ยงด้านผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือชุมชน เช่น กิจการรีด ดึง หล่อ หรือทุบโลหะ กิจการผลิตผลิตภัณฑ์โลหะและชิ้นส่วน กิจการผลิตผลิตภัณฑ์เคมีเพื่อการอุตสาหกรรม กิจการผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกสำหรับอุตสาหกรรมและชิ้นส่วน มีการปรับปรุงเงื่อนไข โดยจะงดให้สิทธิถือครองที่ดินเพื่อประกอบการ เพื่อให้กิจการเหล่านี้ต้องตั้งในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมและได้รับการกำกับดูแลที่รัดกุมมากขึ้น โดยให้มีผลสำหรับโครงการที่ยื่นขอรับการส่งเสริมตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2568 เป็นต้นไป

นอกจากนี้ บีโอไอได้เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบโครงการที่ได้รับการส่งเสริม โดยจัดตั้ง 'ทีมตรวจสอบพิเศษ' เพื่อติดตามและตรวจสอบการดำเนินกิจการของผู้ได้รับการส่งเสริมที่มีความเสี่ยงต่อการปฏิบัติผิดเงื่อนไขของบัตรส่งเสริม หรือมีการใช้สิทธิประโยชน์ที่ไม่ถูกต้องตามข้อกำหนด โดยอุตสาหกรรมที่เข้าข่ายเฝ้าระวังเป็นพิเศษ ได้แก่ การผลิตยางล้อ เซลล์แสงอาทิตย์ ผลิตภัณฑ์โลหะและชิ้นส่วน กระเป๋า และเฟอร์นิเจอร์ 

“บีโอไอจะนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ เพื่อสนับสนุนการติดตามและตรวจสอบโครงการที่ได้รับการส่งเสริม ทั้งระบบรับเรื่องร้องเรียนออนไลน์ Traffy Fondue และระบบ Social Listening รวมถึงการนำระบบ AI มาประยุกต์ใช้ในกระบวนการทำงาน และการประเมินความเสี่ยงในการทำผิดเงื่อนไข เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินงาน และเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ในการตรวจสอบข้อสงสัยและข้อร้องเรียนต่าง ๆ อย่างถูกต้อง รวดเร็ว และสามารถแก้ปัญหาได้ทันท่วงที” นายนฤตม์ กล่าว

อนุมัติโครงการลงทุนกว่า 2.8 หมื่นล้าน

ที่ประชุมฯ ได้อนุมัติส่งเสริมลงทุน 2 โครงการใหญ่ รวมมูลค่า 28,644 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ Data Center ของบริษัท สตราตัส เทคโนโลยี จำกัด มูลค่าลงทุน 23,688 ล้านบาท ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมซีพีจีซี จังหวัดระยอง ให้บริการ Data Center ระดับ Tier 3 รองรับกำลังผลิตไฟฟ้า 203 เมกะวัตต์ 

อีกโครงการเป็นกิจการขนส่งทางอากาศ ของบริษัท ไทย เวียตเจ็ท แอร์ จอยท์ สต๊อค จำกัด มูลค่าลงทุน 4,956 ล้านบาท ให้บริการขนส่งทางอากาศสำหรับเส้นทางทั้งในและต่างประเทศ โดยใช้เครื่องบินโดยสารใหม่ จำนวน 6 ลำ ขนาดบริการรวม 1,134 ที่นั่ง ทั้งนี้ เพื่อยกระดับไทยสู่ศูนย์กลางการบินในภูมิภาค และยกระดับโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับธุรกิจท่องเที่ยว ขนส่ง และบริการต่าง ๆ ที่จะขยายตัวมากขึ้นในอนาคต


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top