Thursday, 5 June 2025
ขาดแคลนอาหาร

‘เด็กฉนวนกาซา’ เผชิญวิกฤต ‘ขาดแคลนอาหาร’ รุนแรง เสี่ยงต่อภาวะทุพโภชนาการ ที่เป็นภัยคุกคามถึงชีวิต

(6 มิ.ย.67) กองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (ยูนิเซฟ) ออกมาระบุว่า เด็ก 9 ใน 10 คนในฉนวนกาซาไม่ได้รับประทานอาหารที่มีสารอาหารต่าง ๆ เพียงพอต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการที่ดีของพวกเขา

“หลายเดือนมาแล้วสงครามและข้อจำกัดด้านการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในฉนวนกาซาได้พังทลายลง ทั้งระบบอาหารและสุขภาพ ส่งผลให้เกิดหายนะต่อเด็กและครอบครัวของพวกเขา” ยูนิเซฟกล่าว

ทั้งนี้ จากการรวบรวมข้อมูล 5 ชุด ระหว่างเดือนธันวาคม 2023 - เมษายน 2024 และพบว่าเด็ก 9 ใน 10 คนในฉนวนกาซา ซึ่งตกเป็นเป้าโจมตีอย่างหนักจากการรุกรานของอิสราเอลตั้งแต่เดือนตุลาคมปีก่อน กำลังทุกข์ทรมานจากความขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรง ซึ่งทำให้พวกเขาอยู่รอดได้ด้วยสารอาหารเพียง 2 กลุ่มหรือน้อยกว่านั้นต่อวัน

โดยยูนิเซฟระบุว่า นี่เป็นข้อพิสูจน์ถึงผลกระทบอันน่าสยดสยองของความขัดแย้ง และข้อจำกัดที่มีต่อความสามารถของครอบครัวในการตอบสนองต่อความต้องการอาหารของเด็กและความรวดเร็วที่ทำให้เด็กเสี่ยงต่อภาวะทุพโภชนาการที่เป็นภัยคุกคามถึงชีวิต

ด้านอิสราเอลอ้างว่า พวกเขาไม่ได้จำกัดปริมาณสิ่งของด้านมนุษยธรรมของพลเรือนในฉนวนกาซา และกล่าวโทษสหประชาชาติว่าจัดส่งสิ่งของล่าช้า เพราะการดำเนินงานไม่มีประสิทธิภาพ แต่ด้วยความอดอยากมากมายที่เกิดขึ้นในฉนวนกาซา ทำให้เด็กบางคนเสียชีวิตจากภาวะทุพโภชนาการและภาวะขาดน้ำ

กระนั้นก็ดี เพื่อให้เด็กมีความหลากหลายของโภชนาการสำหรับพัฒนาการทางสุขภาพที่ดี เด็ก ๆ จะต้องทานอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วนอย่างน้อย 5 จาก 8 กลุ่มตามความหลากหลายของอาหารที่ยูนิเซฟและองค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนด

ยูนิเซฟบอกด้วยว่า เด็กทั่วโลก 27% ประสบปัญหาความยากจนด้านอาหารอย่างรุนแรงในวัยเด็ก ซึ่งคิดเป็นจำนวนของเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ขวบถึง 181 ล้านคน

‘มันฝรั่ง’ กลายเป็นดัชนีความเปราะบางของรัฐ หายาก ราคาพุ่งสูง สะท้อน!! ความล้มเหลวในความมั่นคงพื้นฐาน ของชีวิตพลเมือง

เวลาที่รัสเซียพยายามแสดงอำนาจผ่านอาวุธและการทูตพลังงาน วิกฤตเล็กๆ อย่าง “มันฝรั่ง” กลับกลายเป็นสัญลักษณ์ที่ทรงพลังของความเปราะบางเชิงโครงสร้างของรัฐ เมื่ออาหารหลักของประชาชนกลายเป็นของหายาก ราคาพุ่งสูง และผู้บริโภคต้องหันไปหาทางเลือกที่ด้อยคุณค่าทางโภชนาการมากขึ้น ปรากฏการณ์นี้มิใช่เพียงปัญหาเกษตรกรรม แต่เป็นการสะท้อนความล้มเหลวของกลไกรัฐในการประกันความมั่นคงพื้นฐานของชีวิตพลเมือง

แม้จะเป็นพืชที่ไม่ได้มีต้นกำเนิดในยูเรเซียแต่มันฝรั่งกลับกลายเป็นหนึ่งในเสาหลักของระบบอาหารรัสเซียอย่างแน่นแฟ้นและยาวนาน โดยเฉพาะในกลุ่มประชากรชนบทที่อาศัยมันฝรั่งเป็นแหล่งแป้งและแคลอรี่หลักที่ราคาย่อมเยา ปรุงง่าย และสามารถเก็บไว้ได้นานโดยไม่ต้องแช่เย็น สิ่งเหล่านี้ทำให้มันฝรั่งมีสถานะพิเศษเหนืออาหารอื่นๆ หลายชนิดในชีวิตของชาวรัสเซีย

มันฝรั่ง « картофель »  มีถิ่นกำเนิดจากเทือกเขาแอนดีสในอเมริกาใต้ โดยชนพื้นเมืองอย่างอินคาเป็นผู้เพาะปลูกมานานนับพันปีก่อนที่นักสำรวจชาวยุโรปจะนำพืชชนิดนี้กลับไปยังยุโรปในคริสต์ศตวรรษที่ 16 มันฝรั่งเข้าสู่จักรวรรดิรัสเซียในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 โดยมีการบันทึกว่าพระเจ้าปีเตอร์มหาราช (Peter the Great) เป็นผู้นำมันฝรั่งเข้ามาจากเนเธอร์แลนด์และพยายามส่งเสริมให้เกษตรกรรัสเซียเพาะปลูก แต่การรับเอาพืชชนิดนี้กลับไม่ง่าย เนื่องจากชนบทรัสเซียมีความเชื่อแบบอนุรักษนิยม หลายคนมองมันฝรั่งว่าเป็น “พืชของปีศาจ” เพราะลำต้นอยู่ใต้ดินและไม่เหมือนพืชอื่นๆ ที่เคยรู้จัก จึงเกิดกระแสต่อต้านอย่างกว้างขวางจนเกิดเหตุการณ์ที่รู้จักกันในชื่อในภาษารัสเซียว่า «Картофельные бунты»  

ซึ่งแปลตรงตัวว่า "จลาจลมันฝรั่ง" หมายถึงชุดของการลุกฮือของชาวนาในจักรวรรดิรัสเซียในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 19 โดยเฉพาะในช่วง ระหว่างปี 1834–1840s ที่เกิดขึ้นจากการที่รัฐบาลพยายามบังคับให้ชาวนาปลูกมันฝรั่งซึ่งขัดกับวัฒนธรรมความเชื่อและระบบการผลิตแบบดั้งเดิมของท้องถิ่น แม้ว่ามันฝรั่งจะได้รับการแนะนำเข้ามาตั้งแต่สมัยพระเจ้าปีเตอร์มหาราชแต่การเพาะปลูกอย่างจริงจังในระดับมวลชนเกิดขึ้นในช่วงรัชสมัยของพระเจ้า ซาร์นิโคลัสที่ 1 (Nicholas I) ซึ่งดำรงตำแหน่งระหว่างปี 1825–1855 โดยรัฐได้ส่งคำสั่งไปยังเขตต่างๆ ให้ชาวนาเพาะปลูกมันฝรั่งในสัดส่วนที่แน่นอนภายใต้แนวคิดว่าเป็นพืชที่มีผลผลิตสูงและเหมาะกับภูมิอากาศรัสเซีย รวมถึงสามารถช่วยป้องกันความอดอยากแต่สำหรับชาวนาในยุคนั้น โดยเฉพาะกลุ่ม serfs (ไพร่ที่อยู่ภายใต้เจ้าที่ดิน) มันฝรั่งเป็นสิ่งแปลกปลอม มักมองว่าเป็น "พืชปีศาจ" เพราะเจริญเติบโตใต้ดิน ไม่มีลักษณะศักดิ์สิทธิ์เหมือนข้าวสาลีหรือธัญพืชที่เกี่ยวโยงกับศาสนาและพิธีกรรม อีกทั้งยังเชื่อกันว่าอาจก่อโรคภัย 

เนื่องจากไม่รู้วิธีปรุงอย่างถูกต้อง การบังคับของรัฐโดยไม่มีการอธิบายหรือสร้างความเข้าใจประกอบกับความไม่พอใจในระบบไพร่และภาษีทำให้เกิดการต่อต้านอย่างรุนแรงทั่วรัสเซียตอนกลาง โดยเฉพาะในเขตเมือง Vladimir, Kazan, Nizhny Novgorod และ Kostroma เหล่าชาวนาได้รวมตัวกันเผาสำนักงานบริหารของรัฐ ทุบทำลายที่เพาะปลูกมันฝรั่งและปะทะกับเจ้าหน้าที่ การลุกฮือเหล่านี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประเด็นเรื่องพืชผลแต่สะท้อนถึงความรู้สึกรังเกียจรัฐ การต่อต้านอำนาจส่วนกลางและความแปลกแยกทางวัฒนธรรมระหว่างชนชั้นปกครองกับประชาชนพื้นบ้านซึ่งเป็นรากฐานของปัญหาเชิงโครงสร้างที่ดำรงอยู่ตลอดประวัติศาสตร์รัสเซียรัฐบาลซาร์ตอบสนองด้วยการใช้ทหารเข้าปราบปรามโดยมีผู้ถูกจับกุมหลายพันคน บางพื้นที่มีการประหารชีวิตผู้นำการจลาจล การลุกฮือถูกระงับในทางกายภาพแต่ทิ้งร่องรอยของความไม่พอใจและตอกย้ำภาพลักษณ์ของรัฐในฐานะผู้บังคับใช้มากกว่าผู้รับฟัง การจลาจลมันฝรั่งยังกลายเป็นหนึ่งในกรณีศึกษาทางประวัติศาสตร์ที่นักประวัติศาสตร์รัสเซียและตะวันตกใช้อธิบายความล้มเหลวของการปฏิรูปแบบบนลงล่างของรัสเซียในศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นบ่อเกิดของความขัดแย้งระหว่างรัฐและชาวบ้านอย่างยาวนาน

อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาผ่านไปภายใต้แรงผลักดันของรัฐและความจำเป็นทางเศรษฐกิจ มันฝรั่งก็กลายเป็นพืชสำคัญของเกษตรกรรมรัสเซีย โดยเฉพาะในช่วงสมัยโซเวียตซึ่งเน้นการผลิตอาหารภายในประเทศอย่างเข้มงวด มันฝรั่งไม่เพียงเป็นอาหารหลัก แต่ยังกลายเป็น "ขนมปังลูกที่สอง" «второй хлеб» ในวาทกรรมของโซเวียตสื่อถึงความสำคัญที่ทัดเทียมกับขนมปัง (ข้าวสาลี) ทำให้มันฝรั่งไม่ใช่เพียงอาหารราคาถูกสำหรับชนชั้นแรงงาน หากแต่ยังเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของครัวเรือนเกษตรหลายล้านรายทั่วรัสเซีย โดยเฉพาะในรูปแบบ “การเพาะปลูกส่วนตัว” «личное подсобное хозяйство» ซึ่งประชาชนปลูกเองในพื้นที่เล็กๆ รอบบ้าน การปลูกมันฝรั่งจึงมีลักษณะ “กึ่งทางรอด” จากความล้มเหลวของระบบรัฐสวัสดิการ โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในทศวรรษ 1990 มันฝรั่งยังถูกใช้อย่างหลากหลายทั้งปรุงสุกเป็นอาหารประจำวัน ทำวอดก้าแบบพื้นบ้านหรือแม้กระทั่งใช้เป็นสินค้าสำหรับแลกเปลี่ยนในระบบเศรษฐกิจนอกตลาด นอกจากนี้มันฝรั่งยังมีความหมายทางจิตวิญญาณในบางวัฒนธรรมพื้นบ้าน เช่น การปลูกมันในวันสำคัญทางศาสนา เพื่อขอพรเรื่องความอุดมสมบูรณ์ ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา มันฝรั่งคือพืชแห่งความอยู่รอด ที่พยุงชีวิตชาวรัสเซียในยามสงคราม ฤดูหนาวอันยาวนาน และความไร้เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะในช่วงสงครามโลก วิกฤตหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต หรือช่วงคว่ำบาตรหลังปี 2014 มันฝรั่งคือคำตอบของการพึ่งพาตนเอง «автономия» ในระดับครัวเรือน เป็นพืชที่ปลูกง่ายเก็บได้นานและให้พลังงานสูงในราคาต่ำ มันฝรั่งจึงเคยเป็น “สัญลักษณ์ของเสถียรภาพ” ในระบบที่ไม่เสถียร

แต่เมื่อเข้าสู่ปี ค.ศ. 2024–2025 บทบาทของมันฝรั่งได้กลับหัวกลับหาง—จากสัญลักษณ์ของความมั่นคง กลายเป็นตัวชี้วัดความไม่มั่นคงเชิงโครงสร้างของรัฐรัสเซีย ทั้งในเชิงเศรษฐกิจ ปกครอง และภูมิรัฐศาสตร์ ข้อมูลจากกระทรวงเกษตรรัสเซียระบุว่าผลผลิตมันฝรั่งในประเทศลดลงเหลือ 6.8 ล้านตันในปี 2024 จากระดับ 8.6 ล้านตันในปีก่อนหน้า หรือคิดเป็นการหดตัวราว 21% ภายในเวลาเพียง 12 เดือน นี่ไม่ใช่แค่เรื่องเกษตรกรรมแต่คือคำถามถึงสมรรถภาพของรัฐในการจัดการภัยพิบัติ ทั้งภัยแล้งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการขาดการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานการเกษตร การหดตัวของผลผลิตยังบีบให้รัฐบาลต้องหันไปพึ่งการนำเข้ามันฝรั่งจากประเทศต่างๆ เช่น จีน ปากีสถาน อิหร่าน และอียิปต์ นี่คือสภาวะที่ไม่ควรเกิดขึ้นในรัฐขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่เพาะปลูกกว้างขวางเช่นรัสเซีย โดยเฉพาะเมื่อรัฐนั้นเคยใช้วาทกรรม "เศรษฐกิจแห่งการทดแทนการนำเข้า" «импортозамещение» เป็นหนึ่งในเสาหลักของยุทธศาสตร์ความมั่นคง ราคาเฉลี่ยของมันฝรั่งในตลาดภายในรัสเซียพุ่งทะลุ 60 รูเบิลต่อกิโลกรัมในบางพื้นที่ ตัวเลขที่ถือว่าสูงผิดปกติสำหรับอาหารพื้นฐานที่เคยถูกมองว่า "ไม่มีวันแพง" เมื่อพืชที่เคยเป็นหลักประกันของความอิ่มท้องกลายเป็นของแพงที่คนยากจนเอื้อมไม่ถึง มันย่อมกระทบความชอบธรรมของรัฐในการดูแลปากท้องประชาชนซึ่งเป็นฐานอำนาจสำคัญของระบอบอำนาจนิยม

การที่รัฐต้องหันไปนำเข้ามันฝรั่งในระดับมหภาคทำให้เกิดความพึ่งพาต่อเส้นทางการค้าและพันธมิตรจากโลกนอก ซึ่งหลายประเทศที่ส่งออกให้รัสเซียในเวลานี้ (เช่น อิหร่านและอียิปต์) ก็เผชิญความไม่มั่นคงภายในเช่นกัน รัสเซียจึงเผชิญกับสภาวะ “อ่อนไหวซ้อน” (double vulnerability) ทั้งจากภายในและภายนอก นอกจากนี้ยังสะท้อนความล้มเหลวในการรักษา "อธิปไตยทางอาหาร" «продовольственный суверенитет» ซึ่งเคยเป็นวาทกรรมหลักของรัฐรัสเซียในการต่อต้านโลกาภิวัตน์เชิงตะวันตกหลังสงครามในยูเครนปี ค.ศ. 2022 การที่รัฐต้องพึ่งพาพืชผลจากประเทศอื่นแม้กระทั่งมันฝรั่งเองจึงกลายเป็นจุดอ่อนในเชิงภาพลักษณ์และยุทธศาสตร์

ในห้วงเวลาที่รัสเซียเผชิญกับแรงกดดันจากทั้งภายในและภายนอกการที่พืชธรรมดาอย่างมันฝรั่งกลายเป็นประเด็นระดับชาติ ไม่ใช่เพราะมันฝรั่งมีความพิเศษทางชีววิทยา แต่เพราะมันสะท้อนจุดเปราะบางของรัฐในหลายมิติพร้อมกัน มันฝรั่งคือ สัญลักษณ์ของชีวิตประจำวันของคนส่วนใหญ่—กลุ่มประชาชนที่รัฐพยายามเรียกหาให้เสียสละเพื่อชาติในยามสงคราม แต่นโยบายของรัฐกลับไม่สามารถประกันความมั่นคงของสิ่งพื้นฐานที่สุดให้พวกเขาได้ มันฝรั่งจึงกลายเป็นภาพแทนของคำถามที่ว่า “รัฐยังฟังเสียงของประชาชนอยู่หรือไม่?” การขาดแคลนมันฝรั่งในประเทศที่มีพื้นที่เพาะปลูกกว้างใหญ่ที่สุดในโลกบ่งชี้ถึงความล้มเหลวเชิงโครงสร้างในการบริหารจัดการทรัพยากรพื้นฐาน ทั้งในเชิงเกษตรกรรม เศรษฐกิจ สังคมและความมั่นคง การที่ประชาชนต้องเผชิญกับราคาที่สูงขึ้นหรือการนำเข้าในวงกว้างยิ่งสะท้อนภาวะไร้อธิปไตยทางอาหารที่ขัดกับวาทกรรมรัฐที่ย้ำถึงการพึ่งพาตนเองและความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิใหม่ มันฝรั่งจึงไม่ใช่เพียงพืชผลอีกต่อไป—แต่กลายเป็นดัชนีของความเปราะบาง เครื่องวัดความสามารถในการบริหารจัดการของรัฐ และกระจกสะท้อนความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้างในสังคมรัสเซียยุคสงคราม เมื่อประชาชนต้องตั้งคำถามว่า “แม้แต่มันฝรั่งเรายังไม่มีพอแล้วรัฐจะนำพาเราไปสู่ชัยชนะในสมรภูมิใดได้?” นั่นคือสัญญาณว่า วิกฤตไม่ได้อยู่แค่ในแปลงเกษตร หากแต่ลุกลามเข้าสู่ความชอบธรรมของรัฐเองอย่างเลี่ยงไม่ได้

บทสรุป วิกฤตมันฝรั่งในรัสเซียปี 2024–2025 ไม่ใช่เพียงปัญหาด้านอาหารแต่เป็น “สัญญาณเตือน” ถึงความเปราะบางเชิงโครงสร้างของรัฐอำนาจนิยมที่กำลังเผชิญสงครามยืดเยื้อ เศรษฐกิจหดตัวและสังคมที่เริ่มตั้งคำถามกับความสามารถของรัฐในการดูแลปากท้องประชาชน อาหารพื้นฐานอย่างมันฝรั่งซึ่งครั้งหนึ่งเคยหล่อเลี้ยงประชาชนในภาวะสงคราม ความอดอยากและการล่มสลาย แต่ตอนนี้กลับเผยให้เห็นถึงขีดจำกัดของอำนาจรัฐในทางที่ธรรมดาที่สุดแต่ลึกซึ้งที่สุด เมื่อรัฐไม่สามารถควบคุมราคาหรือจัดการกับการขาดแคลนอาหารพื้นฐานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความชอบธรรมของระบอบการปกครองย่อมถูกตั้งคำถาม แม้รัฐจะมีขีปนาวุธหรือวาทกรรมภูมิรัฐศาสตร์อันยิ่งใหญ่เพียงใดแต่หากประชาชนยังต้องแย่งกันซื้อมันฝรั่งในราคาที่สูงผิดปกติ ชัยชนะในสนามรบก็อาจกลายเป็นเพียงภาพลวงตา มันฝรั่งจึงไม่ใช่เพียงพืชผลทางเกษตรอีกต่อไปหากแต่คือบททดสอบทางการเมืองที่รัฐรัสเซียจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ในยุคที่เสถียรภาพของรัฐถูกวัดจากอาหารในจานของประชาชนไม่แพ้จำนวนรถถังในขบวนสวนสนาม


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top