Saturday, 11 May 2024
กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม

‘อว.’ ปิ๊งไอเดีย!! ตั้ง ‘ธนาคารหน่วยกิตแห่งชาติ’ ‘ฝาก-สะสม’ หน่วยกิต รองรับการเรียนรู้ตลอดชีวิต

9 มี.ค. 65 นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (รมว.อว.) กล่าวว่า ขณะนี้ อว.กำลังเร่งดำเนินการจัดทำ “ธนาคารหน่วยกิตแห่งชาติ” (National Credit Bank) เพื่อรองรับการพัฒนากำลังคนตลอดทุกช่วงวัย (Lifelong learning) ตามนโยบายของตนที่ต้องการเปิดโอกาสให้คนในทุกช่วงวัย โดยเฉพาะในวัยทำงานและวัยเกษียณสามารถเข้าถึงองค์ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ รวมถึงได้พัฒนาและเรียนรู้ทักษะใหม่ที่จำเป็นในโลกยุคปัจจุบัน เพื่อเอาไปต่อยอดในการทำงาน พัฒนาตนเอง ตลอดจนสามารถสะสมไว้เพื่อการศึกษาต่อในระดับต่างๆ ได้ โดยตนได้มอบหมายให้สำนักงานปลัด อว. เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงานอย่างเร่งด่วน เพื่อให้ธนาคารหน่วยกิตแห่งชาตินี้เกิดขึ้นให้เร็วที่สุด เพื่อรองรับการศึกษาทุกช่วงวัย ที่สอดรับกับการปฏิรูปอุดมศึกษา ที่ตนได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง

อว. เปิด ‘อิมแพ็คฯ-สามย่านฯ’ รับ ‘มหกรรมวิทย์ฯ 65’ ผสานแนวคิด ‘ศิลปะ-วิทย์-นวัตกรรม’ 13-21 ส.ค.นี้

เมื่อ (3 ส.ค. 65) องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) ขานรับนโยบาย อว. เปิดพื้นที่ 2 แห่ง จัดงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ 2565 ภายใต้แนวคิดศิลปะ วิทยาศาสตร์และนวัตกรรม เพื่อสังคมที่ยั่งยืน ร่วมแสดงนวัตกรรมและผลงานวิทยาศาสตร์อันยิ่งใหญ่แห่งปี 13 –  21 สิงหาคม 2565 ณ อาคาร 9-10 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี และ 17 – 21 สิงหาคม 2565 ณ สามย่านมิตรทาวน์ กับงาน NST Fair Science Carnival Bangkok

ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยว่า ปี 2565 นี้ อว. มีกำหนดจัดงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติขึ้น 2 แห่ง คือที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี ในรูปแบบการจัดงานวิทยาศาสตร์ที่ดำเนินมาทุกปี มีสถานที่จัดงานกว้างขวาง และเดินทางสะดวกสำหรับนักเรียน เยาวชนที่สนใจเข้าชมงาน และในปีนี้ได้ริเริ่มจัดที่สามย่านมิตรทาวน์ขึ้นเป็นปีแรก ซึ่งเป็นใจกลางเมืองอีกแห่งที่มีเยาวชนรวมตัวกันมากเป็นพิเศษ ทั้งมหาวิทยาลัย และโรงเรียนต่าง ๆ อีกทั้งยังสามารถเดินทางด้วยรถไฟฟ้าบีทีเอส และรถไฟฟ้าใต้ดินเอ็มอาร์ทีได้อย่างสะดวกมาก

รมว.อว. กล่าวต่อว่า สำหรับมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติประจำปีนี้ ที่ อว.โดย อพวช. จัดขึ้นนั้น ตั้งใจจัดให้เยาวชน นักเรียน และผู้สนใจที่เข้าชมงานมีความเข้าใจ สร้างแรงบันดาลใจและความสนุกสนาน เพลิดเพลินไปพร้อมๆ กับการเพิ่มพูนความรู้รอบตัว ทำให้ผู้ที่เข้าชมงานเป็นผู้ที่มีวัฒนธรรม กล่าวคือเป็นผู้ที่มีทั้งวิทย์และศิลป์ ตลอดจนคุณธรรมในตัวเอง เป็นวิทยาศาสตร์ที่มีเป้าหมายทำให้สังคมยั่งยืน ทุกวันนี้ในเรื่องของวิทยาศาสตร์แล้ว คนไทยไม่แพ้ใคร มีนักวิทยาศาสตร์ไทยหลายคนที่ทำงานให้กับหน่วยงานด้านวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลก แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของคนไทยในด้านวิทยาศาสตร์ได้เป็นอย่างดี วิทยาศาสตร์ของไทยเป็นศาสตร์ที่มีมาแต่โบราณ บรรพบุรุษไทยมีความเป็นนักวิทยาศาสตร์อยู่ในตัว เห็นได้จากการสร้างโบราณสถานมากมายหรือวัดวาอาราม ล้วนนำองค์ความรู้พื้นฐานของวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้ทั้งสิ้น 

“คนไทยเก่งในการประยุกต์ใช้ให้เข้ากับวัฒนธรรมแบบไทย วิทยาศาสตร์จึงไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับคนไทย แต่มีการต่อยอดพัฒนาจากอดีตจนถึงปัจจุบัน มาสู่วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ดังนั้น ถ้าจะให้เกิดประสิทธิภาพสูงที่สุด จึงต้องมีการผนวกรวมวิทยาศาสตร์ในยุคเก่าและยุคใหม่เข้าด้วยกัน ซึ่งเราจะได้สัมผัสและเรียนรู้สิ่งเหล่านี้กันในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์ฯ ของปีนี้ ที่จะปลุกความเป็นนักวิทยาศาสตร์ในตัวของทุกคนกับนิทรรศการที่น่าตื่นตาตื่นใจและกิจกรรมที่สนุกสนานอีกมากมาย” ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก กล่าว

สำหรับงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ประจำปี 2565 ถือเป็นกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ที่จัดโดย กระทรวง อว. เพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระสยามเทวมหามกุฎวิทยมหาราช รัชกาลที่ 4 ‘พระราชบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย’ และพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ‘พระบิดาแห่งเทคโนโลยีของไทย’ และ ‘พระบิดาแห่งนวัตกรรมไทย’ ที่ทรงพระปรีชาสามารถ และทรงนำความรู้ด้านศาสตร์ของวิทยาศาสตร์และศาสตร์ศิลปะมาใช้ในการพัฒนาประเทศ เป็นต้นแบบสำคัญที่จะนำไปสู่การสร้างแรงบันดาลใจให้แก่คนรุ่นหลังได้นำเอาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ไปใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาอุตสาหกรรมเพื่อขับเคลื่อนประเทศ พัฒนาคุณภาพชีวิต เพิ่มมูลค่าผลผลิตและพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศต่อไป

ศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม กล่าวว่า แนวคิดหลักของการจัดงานในปีนี้คือ “ศิลปะ วิทยาศาสตร์และนวัตกรรม เพื่อสังคมที่ยั่งยืน (Art – Science –Innovation for Sustainable Society) โดยเน้นนำเสนอความคิดสร้างสรรค์ทาง วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ผสานกับศิลปะในมุมของการขับเคลื่อนพัฒนา “เศรษฐกิจสร้างสรรค์” (Creative Economy) ของประเทศ สอดรับกับนโยบาย “BCG Model : Bio – Circular – Green Economy” สนับสนุนการพัฒนานวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยผนึกกำลังกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สมาคม มูลนิธิ และหน่วยงานต่างประเทศ ร่วมถ่ายทอดศักยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้กับเยาวชนและประชาชนไทย มากถึง 124 หน่วยงาน จาก 11 ประเทศ (รวมประเทศไทย) 

ส่วนจัดแสดงที่สำคัญคือ นิทรรศการเทิดพระเกียรติของกษัตริย์ไทยและพระบรมวงศานุวงศ์ อันเปี่ยมไปด้วยคุณูปการและพระอัจฉริยภาพด้านวิทยาศาสตร์ นอกจากนี้ภายในงานยังมี หนึ่งในโครงการที่สำคัญ โดยจะมีการมอบรางวัลเชิดชูเกียรติ Prime Minister’s Science Award 2022 ให้กับเยาวชนและครูวิทยาศาสตร์ที่ผู้เป็นต้นแบบด้านวิทยาศาสตร์ ที่ได้ทำโครงงานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ เพื่อแก้ไขปัญหาในชีวิตประจำวันหรือภายในชุมชน ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ให้เกิดการมีเจตคติที่ดีต่อวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง เกิดเป็นเครือข่ายเยาวชนและครู และเพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้กับเยาวชน ครูและสถานศึกษา ในการสร้างสรรค์ผลงานทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้กับประเทศต่อไป

อว. เตรียมเด็กไทยสู่โลกอนาคต ผ่านคุณค่าทุนทางศิลปกรรม

เมื่อ (24 พ.ย. 65) ที่ผ่านมา ณ พิพิธภัณฑ์เด็กแห่งกรุงเทพมหานคร จตุจักร กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานวิทยสถานสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์และศิลปกรรมศาสตร์แห่งประเทศไทย (ธัชชา) เตรียมเด็กไทยสู่โลกอนาคตผ่านคุณค่าทุนทางศิลปกรรม ร่วมกำหนดวิสัยทัศน์และพันธกิจในการสร้างพื้นที่เรียนรู้สำหรับเด็กและเยาวชนในพิพิธภัณฑ์ศิลปกรรมแห่งชาติ ในงานเสวนาวิชาการ 'สร้างพื้นที่เรียนรู้จากอดีตสู่อนาคต เพื่อพัฒนาเด็กและเยาวชนผ่านคุณค่าทุนทางศิลปกรรม'

ศ. (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวถึงความสำคัญว่าทำไมต้องมีพื้นที่เรียนรู้สำหรับเด็กและเยาวชนในพิพิธภัณฑ์ศิลปกรรมแห่งชาติ และศิลปกรรมช่วยพัฒนาเด็กและเยาวชนได้อย่างไร

“ศิลปะเป็นเรื่องของความงาม เป็นเรื่องของอารยสภาพ ทำให้จิตใจนุ่มนวล งดงาม อ่อนโยน ทำให้เกิดจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์อย่างไร้ขอบเขต และสร้างแรงบันดาลใจ บางครั้งภาษา หนังสือ ทฤษฎีก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้เด็กและเยาวชนเกิดความคิด จินตนาการ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องปลูกฝังให้เด็กเข้าถึงศิลปกรรม ไม่ใช่สำหรับที่จะทำให้เด็กมีอาชีพทางศิลปกรรมเท่านั้น แต่สำหรับเด็กทุกคนที่ต้องเข้าใจ เข้าถึง และสามารถเสพศิลปะได้อย่างเหมาะสมด้วย ทางวิทยาศาสตร์เชื่อว่าสมองมีสองซีก คือ ซีกที่เป็นเหตุผล เป็นวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ อีกซีกหนึ่งเป็นเรื่องความงาม ความนุ่มนวล อ่อนโยน เป็นสมองที่เกี่ยวกับศิลปะ สุนทรียะ อารยะ เด็กและเยาวชนควรจะได้รับการพัฒนาสมองทั้งสองซีก เด็กที่ได้รับการพัฒนาเช่นนี้จะเป็นกำลังสำคัญของบ้านเมือง ของโลกต่อไปในอนาคต

"และถ้าเราจะปลูกฝังให้เด็กและเยาวชนเข้าถึงศิลปะ จำเป็นต้องมีพื้นที่การเรียนรู้พิเศษ หรือถ้าจะปลูกฝังให้พัฒนาตนเองด้านศิลปะไปถึงศิลปะขั้นสูง ขั้นอัจฉริยะ ก็จำเป็นต้องปลูกฝังตั้งแต่วัยเยาว์ ในการนี้จึงจำเป็นที่ต้องมีพื้นที่การเรียนรู้โดยเฉพาะ”

ภายในงานมีการเสวนาวิชาการหัวข้อ 'สร้างพื้นที่เรียนรู้จากอดีตสู่อนาคต เพื่อพัฒนาเด็กและเยาวชนผ่านคุณค่าทุนทางศิลปกรรม' โดย...

ศ.(เกียรติคุณ) ปรีชา เถาทอง ศิลปินแห่งชาติ กล่าวว่าแนวทางการจัดพื้นที่เรียนรู้สำหรับเด็กและเยาวชนผ่านคุณค่าทุนทางศิลปกรรม ต้องทำให้เกิดการสังเคราะห์ได้แบบองค์รวม ทั้งด้านศิลปะ วัฒนธรรม วิถีชีวิต และอย่าใช้เครื่องมือสำเร็จรูป ต้องให้เด็กได้ลงมือทำจริง

คุณโตมร ศุขปรีชา ผู้อำนวยการสำนักยุทธศาสตร์และนวัตกรรมการเรียนรู้ สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) กล่าวว่า พื้นที่เรียนรู้มีลักษณะเป็น ‘อุปทาน’ (Supply) ของความรู้ พื้นที่เรียนรู้จะเป็นเหมือนจุดโฟกัสของความรู้ ที่ทำให้เกิดการสร้างกระบวนการเรียนรู้ต่างๆ ขึ้นในพื้นที่นี้ และเป็น ‘ปลายทาง’ (Destinations) ของการสร้าง ‘อุปสงค์’ (Demand) ทางความรู้ในสังคม คือเมื่อกระตุ้นให้คนอยากเรียนรู้แล้ว จำเป็นต้องมีพื้นที่เรียนรู้ให้ได้ไปหาความรู้ด้วย

'ดร.อเนก' ยัน ไม่เกี่ยวอดีตอาจารย์ ม.ดัง ซื้อขายผลงานวิจัย พร้อมสั่ง!! ปลัดกระทรวง อว.เอาผิดพวกทุจริตทางวิชาการ

'เอนก' ยันไม่เกี่ยวข้องอดีต อจ. มหาลัยเอกชนดังเอี่ยวปมซื้อขายผลงานวิจัย ย้ำชัดไม่เคยเป็นทีมงาน สั่งปลัดกระทรวง อว.เอาผิดพวกทุจริตทางวิชาการ ขณะที่ กกอ. จี้ทุกมหาลัยเร่งตรวจสอบอาจารย์ในสังกัด ขีดเส้นรายงานผล 15 ก.พ.นี้ 

(18 ม.ค. 66) ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวถึงกรณีที่มีข่าวว่ามี 'อดีตทีมงาน รมต.เอนก' เข้าไปเกี่ยวข้องกับการซื้อขายงานวิจัยและบทความวิชาการ ตนขอชี้แจงว่าบุคคลที่ถูกกล่าวอ้างนั้นไม่เคยเป็นทีมงานของตนแต่อย่างใด เป็นอาจารย์คณะรัฐศาสตร์ ม.รังสิต ในสมัยที่ตนเป็นอธิการบดีวิทยาลัยรัฐกิจ ซึ่งเวลานั้นตนและผู้บริหารก็สงสัยในพฤติกรรมของบุคคลดังกล่าวที่ส่อถึงความไม่ตรงไปตรงมาทางวิชาการ และได้เฝ้าระวังมาตลอด และ ม.รังสิต ขณะนั้นก็ได้ดำเนินการสอบสวนบุคคลดังกล่าวด้วย

“ขอยืนยันว่าที่ผ่านมาตนให้ความสำคัญกับการจัดการการผิดจริยธรรมและเอาเรื่องพวกทุจริตทางวิชาการนี้มาตั้งแต่เป็นผู้บริหารที่ ม.รังสิต และเมื่อเป็น รมว.อว. ก็จัดการกับเรื่องนี้อย่างชัดเจน ต่อเนื่อง และในครั้งนี้ก็เช่นกันที่ได้มอบหมายให้ ศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวง อว. และคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) ดำเนินการจัดการตรวจสอบ ติดตามและลงโทษผู้กระทำผิดอย่างรวดเร็ว รวมถึงหาแนวทางป้องกันในอนาคต” ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก กล่าว

ขณะเดียวกัน เมื่อวันที่ 17 ม.ค. กกอ. ได้มีการจัดประชุมที่สำนักงานปลัดกระทรวง อว. (สป.อว.) เพื่อพิจารณามาตรการต่าง ๆ ในประเด็นที่เป็นข่าวเรื่องซื้อผลงานวิจัย โดยหลังการประชุม ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล รองปลัดกระทรวง อว. ในฐานะเลขานุการ กกอ. เปิดเผยว่า กกอ. มีมติสำคัญ 4 เรื่องด้วยกัน คือ...

1. ให้ สปอว. แจ้งให้ มหาวิทยาลัยทุกแห่ง ทำการตรวจสอบบุคลากรในสังกัด หากพบว่ามีข้อสังเกตที่จะนำไปสู่ความผิดจริยธรรมดังกล่าว ให้ทำการตรวจสอบอย่างยุติธรรมและรวดเร็ว และขอให้รายงานการดำเนินการแก่ สป.อว. ในครั้งแรก ภายในวันที่ 15 ก.พ. นี้

'เอนก' เผย มสธ. นำเงินรายได้ไปลงทุนได้ ไม่ผิด กม. ชี้!! เป็นไปตามกระบวนการ - มติของสภา มสธ.

'เอนก' แจง มสธ.นำเงินรายได้ไปลงทุนทำได้ หารือกับกรมบัญชีกลางและสำนักงานอัยการสูงสุดแล้ว เผย 4 ปีได้ผลตอบแทนกว่า 200 ล้าน ส่วนการแต่งตั้งอธิการบดี มสธ.ให้รอผลการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด 

เมื่อวันที่ (17 ก.พ. 66) ศ.(พิเศษ)​ เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวถึงกรณีนายระวี มาศฉมาดล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังธรรมใหม่ กล่าวในการอภิปรายไม่ไว้วางใจกรณีนายกสภามหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช(มสธ.) กรรมการสภา มสธ. และคณะกรรมการบริหารเงินได้และทรัพย์สิน มสธ.มีมติเห็นชอบ นำเงินรายได้ของ มสธ. จำนวน 5,500 ล้านบาท ไปลงทุนกับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์จัดการกองทุน ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ว่า การลงทุนของ มสธ. เป็นไปตามกระบวนการและขั้นตอนและมติของสภา มสธ. และชอบด้วยกฎหมาย โดยสภา มสธ.เห็นชอบกรอบและนโยบายการลงทุน และคัดเลือกบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน 4 บริษัท ภายใต้การกำกับดูแลของ กลต. และก่อนการลงทุน มสธ. ได้หารือกับกรมบัญชีกลางและส่งร่างสัญญาการลงทุนให้สำนักงานอัยการสูงสุดตรวจตามระเบียบราชการแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการนำฝากธนาคารโดยได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 4 ปีอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ร้อยละ 0.61 – 1.16 บาท และมีการแต่งตั้งคณะกรรมการติดตามผลทุก 3 เดือน โดย 4 ปีที่ผ่านมา พ.ศ.2562-2565  มสธ. ได้รับผลตอบแทนจากเงินลงทุน ทั้งสิ้น 216,965,623 บาท โดยเฉลี่ย 4 ปี ร้อยละ 2.33-4.40 บาท ซึ่งสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก

‘ศุภมาส’ ฝากถึงผู้ปกครองหาครูสอนพิเศษ แต่ไม่เอาเด็กราชภัฏ ชี้!! ไม่ควรตั้งแง่จากสถาบันการศึกษา เพราะทุกที่มีศักดิ์ศรีเท่ากัน

(14 ธ.ค.66) กรณีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งได้โพสต์ข้อความผ่านกลุ่ม หาครูสอนพิเศษเด็กตามบ้าน โดยระบุข้อความว่า “หาครูสอนพิเศษภาษาอังกฤษ เด็ก 7 ขวบครับ พิกัดศรีราชา ขอคนที่ไม่จบจากราชภัฏนะครับ นอกนั้นได้หมด”

เกี่ยวกับเรื่องนี้ น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) ให้สัมภาษณ์ว่า ในฐานะผู้บริหารของ อว.นั้น อยากจะบอกไปถึงผู้เขียนข้อความดังกล่าว รวมไปถึงบางคนที่ยังมีความรู้สึกแบบนี้ว่า ต้องเข้าใจใหม่กันว่า ยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้วสถาบันการศึกษา โดยเฉพาะอุดมศึกษานั้น ไม่มีการแบ่งแยกความสามารถ ไม่แบ่งชนชั้น มีแต่จะโอบอุ้มซึ่งกันและกัน โดยถ้าจะแบ่งแยก ก็แยกแค่ความถนัดของแต่ละที่เท่านั้น ที่สำคัญคือเมื่อจบการศึกษาออกไปแล้วมีศักดิ์ศรีเท่ากัน และสำคัญไปกว่านั้นคือ การประสบความสำเร็จในชีวิตของแต่ละคน ไม่ได้ขึ้นกับว่าจบการศึกษาจากที่ไหน แต่ขึ้นกับว่าเลือกใช้ชีวิตอย่างไรมากกว่า

“ก็ไม่ได้มาการันตีว่า คนที่จบจากสถาบันอื่นๆ ที่ไม่ใช่ราชภัฏแล้ว จะสามารถสอนให้ลูกของตัวเองเก่งขึ้นมาได้ เด็กราชภัฏจำนวนมากที่ดิฉันรู้จัก มีความรู้ความสามารถ ไม่แพ้สถาบันอื่นใดเลย อยากให้ผู้ปกครองท่านนั้น และท่านอื่นๆ โปรดทำความเข้าใจในเรื่องนี้ใหม่” น.ส.ศุภมาสกล่าว

เมื่อ 'อว.' ให้ทุน 'นศ.ต่างชาติ' เรียนต่อ 'ตรี-โท-เอก' ในรั้ว 'ม.ไทย' สะท้อน!! Soft Power ด้านการศึกษาที่พบได้บ่อยจาก 'สยาม'

เมื่อไม่นานมานี้ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) ร่วมกับมหาวิทยาลัยไทย เชิญชวนนักศึกษาต่างชาติสมัครรับทุนในปีการศึกษา 2567 โดยผู้สมัครที่สนใจสามารถส่งใบสมัครโดยตรงกับสถาบันเจ้าภาพภายในระยะเวลาการสมัครของแต่ละโปรแกรม 

ทั้งนี้ ดาวน์โหลดข้อมูลเกี่ยวกับโครงการทุนการศึกษา มหาวิทยาลัยเจ้าภาพ และขั้นตอนการสมัครได้ที่: https://mhesi.e-office.cloud/d/ffeb26cc

ทั้งนี้ ‘การมอบทุนการศึกษา’ ถือเป็นเรื่องปกติและเห็นได้บ่อยครั้งในสังคมไทย เพื่อมอบโอกาสทางการศึกษาและเป็นการส่งเสริม สนับสนุน และให้กำลังใจแก่เยาวชนที่มุ่งมั่น ใฝ่เรียนรู้ การมอบทุนให้แก่นักศึกษาต่างชาติ ก็ถือเป็นการสะท้อน Soft Power ของไทย สื่อถึงการมอบความปรารถนาดี ความเมตตา และโอบอ้อมอารี ที่เป็นนิสัยพื้นฐานของคนไทย

‘หมอรุ่งเรือง’ เผยข้อมูลทางวิทย์ ‘แกงไตปลา’ มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย ย้ำ!! นี่คือเมนูเพื่อสุขภาพ ‘ป้องกันโรคหัวใจ-รักษาแผลในกระเพาะ-สร้างภูมิคุ้มกัน’

(11 พ.ค.67) จากกรณีเว็บไซต์ต่างประเทศที่ให้ข้อมูลอาหารจากทั่วโลก ออกมาเผยการจัดอันดับ 100 เมนูยอดแย่ของโลก ซึ่งปรากฏว่าเมนู ‘แกงไตปลา’ ของประเทศไทย ได้อันดับ 1 เมนูยอดแย่ของโลก นั้น

ล่าสุด นายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ออกมาเปิดเผยเกี่ยวกับกรณีนี้ โดยระบุว่า แกงไตปลา เป็นอาหารที่เป็นภูมิปัญญาชาวปักษ์ใต้ กระบวนการทำแกงไตปลาอาศัยการสืบทอดต่อกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ จากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่ง เป็นวัฒนธรรมในด้านอาหารของชาวใต้ จากข้อมูลศูนย์วิทยาศาสตร์ วศ.อว. ยืนนยันว่า เมนูแกงไตปลานิยมใช้วัตถุดิบส่วนใหญ่ที่ผลิตได้ในชุมชนและท้องถิ่น มีส่วนประกอบหลัก ได้แก่ พริกแกง (นิยมใช้กระเทียม พริกขี้หนู พริกไทย ตะไคร้ ขมิ้นชัน หอมแดง) ปลาย่าง (นิยมใช้ปลาโอ) ไตปลา (นิยมใช้เครื่องในปลากะพงขาว) กะปิ และเครื่องปรุงรส มีกระบวนการผลิตโดยนำไตปลาสดหรือไตปลาหมัก ใส่น้ำสะอาด ต้มให้เดือด กรอง ใส่เครื่องแกงและเครื่องปรุงรส ซึ่งแกงไตปลาเป็นอาหารที่มีรสจัด จึงนิยมรับประทานร่วมกับผักชนิดต่างๆ เช่น แตงกวา ถั่วฝักยาว มะเขือเปราะ ใบมะม่วงอ่อน สะตอ ลูกเนียงหรือลูกพะเนียง

ข้อมูลด้านวิทยาศาสตร์ยืนยันว่า แกงไตปลาเป็นเมนูสำหรับผู้รักสุขภาพอย่างแท้จริง แกงไตปลามีคุณประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย เนื่องจากมีส่วนประกอบของสมุนไพรหลากหลายชนิด เช่น กระเทียมช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ป้องกันโรคหัวใจ ขมิ้นชันรักษาแผลในกระเพาะอาหาร ตะไคร้ช่วยขับปัสสาวะ ขับสารพิษ ขมิ้นชันรักษาแผลในกระเพาะอาหาร หอมแดงเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยบรรเทาอาการหวัด คัดจมูก พริกขี้หนูช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์และไขมันเลว เป็นต้น อีกทั้งแกงไตปลายังมีโปรตีนสูงจากปลาย่างและให้พลังงานต่ำ เป็นผลดีต่อสุขภาพ

นายแพทย์รุ่งเรือง กล่าวเพิ่มเติมว่า กรณีที่ผู้บริโภคไม่คุ้นเคยกับอาหารไทยที่มีอัตลักษณ์เฉพาะตัว ในด้านรสชาติอันเผ็ดร้อนถึงใจ มีกลิ่นไตปลาและสมุนไพร อาจเป็นสาเหตุทำให้ไม่เป็นที่ถูกใจของผู้ได้ลิ้มลองรสชาติแกงไตปลา

อย่างไรก็ตามในปัจจุบันมีร้านอาหารที่ได้ปรับรสชาติของแกงไตปลาให้มีความนุ่มนวลมากขึ้น มีความเผ็ดน้อยลง เหมาะกับผู้บริโภคที่ไม่สามารถรับประทานอาหารรสจัดมากได้ แต่ยังคงคุณประโยชน์ของแกงไตปลา ซึ่งในท้องตลาดนอกจากจะมีแกงไตปลาสดจำหน่ายแล้ว ผู้บริโภคยังสามารถหาซื้อแกงไตปลาสำเร็จรูป เช่น แกงไตปลาบรรจุกระป๋อง แกงไตปลาคั่วแห้งบรรจุกระป๋องหรือบรรจุถุง ที่สะดวกต่อการบริโภค เก็บรักษาได้นาน โดยในการซื้อผลิตภัณฑ์แกงไตปลาสำเร็จรูป ควรสังเกตผลิตภัณฑ์ที่ได้เครื่องหมาย อย. (มาตรฐานสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) หรือ มผช. (มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน) เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและความปลอดภัย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top