Sunday, 19 May 2024
กรมทะเลและชายฝั่ง

กรมทะเลและชายฝั่ง เร่งหาสาเหตุการตายวาฬขนาดใหญ่เกยตื้นเสียชีวิตบริเวณเกาะราชาใหญ่ จ.ภูเก็ต

วันที่ (30 ต.ค. 65) นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (อทช.) ได้รับแจ้งจากศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนบน (ศวอบ.) ว่าได้รับการประสานงานจากสำนักงานประมงจังหวัดภูเก็ต กรณีได้รับแจ้งจากนายสฤทธิ์ จันดี เครือข่ายอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเกาะราชาใหญ่ว่า พบซากวาฬขนาดใหญ่ลอยเสียชีวิตอยู่ที่เกาะราชา ตำบลราไวย์ อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต จึงได้นำเรือทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง 308 และเรือสปีดโบ๊ทออกไปตรวจสอบซากวาฬขนาดใหญ่ ที่ลอยเกยตื้นบริเวณอ่าวแหลมไทร ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของเกาะราชา พบว่าเป็นซากวาฬไม่ทราบชนิดลอยมาติดอยู่ที่บริเวณริมชายฝั่ง อ่าวแหลมไทร จึงนำกลับมายังฝั่งเกาะภูเก็ต ภายหลังเจ้าหน้าที่ศูนย์ช่วยชีวิตสัตว์ทะเลหายากสิรีธาร ร่วมกับเจ้าหน้าที่ศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลจังหวัดภูเก็ต สำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 10 ได้เข้าพื้นที่เพื่อตรวจสอบซากวาฬดังกล่าว พบว่าเป็นซากวาฬบรูด้า ขนาดความยาวลำตัว 13 เมตร เพศเมีย โตเต็มวัย สภาพซากเน่า และได้นำซากวาฬดังกล่าวมาชันสูตรหาสาเหตุการตาย ณ ศวอบ.

นายอรรถพล เปิดเผยว่า ภายหลังได้รับผลการชันสูตรซากจาก ศวอบ. พบว่าอวัยวะส่วนใหญ่เน่าและย่อยสลาย ภายในกระเพาะอาหารพบของเหลวปนอาหารเล็กน้อย และมีผลลูกจาก จำนวน 2 ลูก ซึ่งไม่ใช่อาหารตามปกติ ภายในลำไส้พบของเหลวตลอดลำไส้และพบพยาธิตัวกลม พยาธิตัวตืดเล็กน้อย โดยในส่วนของลำไส้เล็กส่วนกลางพบถ้วยพลาสติกจำนวน 1 ใบ แต่ยังไม่ก่อให้เกิดการอุดตันของลำไส้ โดยสาเหตุการตายเบื้องต้นพบว่าวาฬดังกล่าวมีสภาพร่างกายสมบูรณ์ แต่มีสภาพซากเน่ามากจึงไม่สามารถระบุสาเหตุการตายได้แน่ชัด

ทั้งนี้ จึงอยากฝากพี่น้องประชาชน ว่าอย่าทิ้งขยะลงทะเล และหากพบเห็นให้ช่วยกันเก็บขยะ เนื่องจากที่ผ่านมาได้มีสัตว์ทะเลเสียชีวิตจากขยะ เป็นจำนวนมาก ซึ่งกินเข้าไปมันก่อให้เกิดการอุดตันของลำไส้ทำให้เสียชีวิต จึงขอให้ช่วยกันดูแลรักษา และอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลให้คงความอุดมสมบูรณ์ หากใครพบเห็นการกระทำความผิด หรือสัตว์ทะเลเกยตื้น สามารถแจ้งเบาะแสมายังสายด่วนพิทักษ์ป่าและรักษาทะเล โทร. 1362  ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในแต่ละพื้นที่เข้าตรวจสอบได้ทันท่วงทีต่อไป “นายอรรถพล กล่าวทิ้งท้าย”

กรมทะเลและชายฝั่ง ผนึกกำลัง เอ็มซีเอ็ม คอมมูนิเคชั่น และจังหวัดภูเก็ต จัดโครงการ Go Green Active กิจกรรมดำน้ำเพื่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูปะการังอ่าวป่าตอง

นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าวว่า กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) เป็นหน่วยงานหลักที่มีหน้าที่ดูแลทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ไม่ว่าจะเป็นป่าชายเลน หญ้าทะเล ชายหาด เกาะแก่งต่าง ๆ รวมทั้งพื้นที่ระบบนิเวศชายฝั่งทะเลที่สำคัญ โดยเฉพาะแนวปะการังซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่อาศัย หลบภัย ของสัตว์น้ำนานาชนิด แหล่งอนุบาลสัตว์น้ำวัยอ่อน และแหล่งท่องเที่ยวดำน้ำที่ถือเป็นส่วนหนึ่งในการดึงดูดให้นักท่องเที่ยวมาเที่ยวทะเล ดังนั้น กรมฯ ได้มีแนวคิดที่จะยกระดับการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งของประเทศไทยให้เกิดความยั่งยืน จึงจับมือกับบริษัท เอ็มซีเอ็ม คอมมูนิเคชั่น จำกัด ริเริ่มโครงการ Go Green Active กิจกรรมดำน้ำเพื่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูปะการังอ่าวป่าตอง โดยมีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2565 ณ บริเวณหาดป่าตอง อำเภอกระทู้ จังหวัดภูเก็ต สำหรับการจัดงานในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมซึ่งส่งผลในเชิงสุขภาพ สร้างจิตสำนึกให้กับนักท่องเที่ยว ประชาชน ผู้ประกอบการในการลดปริมาณขยะ เพื่อลดสภาวะโลกร้อน และให้เห็นคุณค่าของการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีจิตสำนึก รวมทั้งสร้างทัศนคติในการใช้ทรัพยากรสิ่งแวดล้อมอย่างรับผิดชอบ สำหรับการจัดกิจกรรมดังกล่าว ถือเป็นหนทางหนึ่งในการสร้างจิตสำนึกที่ยั่งยืน ทำให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมผ่านเครือข่ายผู้เข้าร่วมกิจกรรมที่มีความชื่นชอบในการดำน้ำในพื้นที่ธรรมชาติ พร้อมทั้งเป็นกระบอกเสียงประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้และเข้าใจในการปฏิบัติภารกิจกอบกู้มหาสมุทรผ่านการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ยกระดับกิจกรรมดำน้ำเพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล รวมถึงสร้างรายได้ให้ผู้ประกอบการและประชาชนในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ส่งเสริมการสร้างทัศนคติในการอยู่ร่วมกันในสิ่งแวดล้อมอย่างมีความรับผิดชอบตามหลักแนวคิด Go Green เพื่อลดปริมาณการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและบำบัดสิ่งแวดล้อมด้วยการบริหารจัดการทรัพยากรทาง

นายอรรถพล กล่าวต่อว่า ในวันนี้ (19 พฤศจิกายน 2565) ตนได้นำทีมผู้บริหารและเจ้าหน้าที่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ร่วมโครงการ Go Green Active กิจกรรมดำน้ำเพื่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูปะการังอ่าวป่าตอง ซึ่งภายในงานได้มีการจัดกิจกรรมต่างๆ อาทิ การจัดนิทรรศการให้ความรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์ธรรมชาติทางทะเล การจัดแสดงงานศิลปะจากขยะรีไซเคิล การแข่งขันดำน้ำชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา หรือ Open Water Princess Cup กิจกรรมดำน้ำเก็บขยะในแนวปะการัง เก็บขยะใต้ทะเล ชายหาด การดำน้ำปลูกฟื้นฟูปะการังโดยการเก็บชิ้นส่วนปะการังที่แตกหัก และกิจกรรมดำน้ำติดตั้งซ่อมแซมทุ่นสำหรับผูกจอดเรือแทนการทิ้งสมอป้องกันไม่ให้ทิ้งสมอบนแนวปะการัง เป็นต้น พร้อมกันนี้ กรมฯ ได้เชิญนักดำน้ำอาสาสมัครของกรมฯ จำนวน 250 คน พร้อมทั้งสนับสนุนยานพาหนะสำหรับอาสาสมัครเครือข่ายนักดำน้ำ ตลอดจนเจ้าหน้าที่ที่มีความชำนาญและมีประสบการณ์ในการดำน้ำเพื่อการอนุรักษ์ เรือยาง เรือ Diving Boat พลขับ อาหาร อุปกรณ์ดำน้ำ และทุ่นลอยเพื่อความปลอดภัยของนักดำน้ำและกำหนดจุดดำน้ำเพื่อการอนุรักษ์ปะการัง

ภายหลังเสร็จสิ้นการจัดกิจกรรม เจ้าหน้าที่กรมฯ ได้รายงานผลการดำน้ำเก็บขยะในแนวปะการัง โดยนักดำน้ำอาสาสมัครสามารถเก็บขยะรวมน้ำหนักทั้งสิ้น 321.9 กก. ซึ่งแบ่งออกเป็นขยะประเภทเชือก 53.9 กก. คิดเป็นร้อยละ 16.74 และขยะประเภทอวน 31 กก. คิดเป็นร้อยละ 9.63 ขยะประเภทอื่นๆ 237 กก. คิดเป็นร้อยละ 73.63 ทั้งนี้ ขยะประเภทเชือกและอวนกรมฯ ไม่ได้ส่งให้ EFJ นำไปรีไซเคิล เนื่องจากสะอาดไม่พอต่อกระบวนการรีไซเคิล พร้อมกันนี้ กรมฯ ได้มอบใบประกาศเกียรติบัตรแก่นักดำน้ำอาสาสมัครในโอกาสที่ร่วมกันทำคุณประโยชน์ต่อทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณทางเอ็มซีเอ็ม คอมมูนิเคชั่น จังหวัดภูเก็ต เทศบาลเมืองป่าตอง นักดำน้ำอาสาสมัคร และประชาชนในพื้นที่ที่ร่วมกันดำเนินโครงการ Go Green Active กิจกรรมดำน้ำเพื่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูปะการังอ่าวป่าตองจนประสบความสำเร็จ โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการจัดกิจกรรมในครั้งนี้จะเป็นกระบอกเสียงที่สามารถสร้างจุดเปลี่ยนและสร้างจิตสำนึกของประชาชนให้หันมาใส่ใจในสิ่งแวดล้อม อีกทั้งสร้างความประทับใจและประสบการณ์ที่ดีต่อนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศอีกด้วย “นายอรรถพล กล่าวทิ้งท้าย”

สุดปลื้ม!! กรมทะเลและชายฝั่ง พบไข่เต่าทะเลรังที่ 2 คาดเป็นแม่เต่ามะเฟืองตัวเดิม 

วันที่ 30 พฤศจิกายน 2565 นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าวว่า ภายหลังจากที่พบการขึ้นมาวางไข่ของเต่ามะเฟือง บริเวณหาดบางขวัญ หมู่ที่ 8 ตำบลโคกกลอย อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมา ล่าสุดได้รับรายงานจากสำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 6 ว่าพบร่องรอยการขึ้นวางไข่ของเต่าทะเล ขณะเดินลาดตระเวน จึงประสานเจ้าหน้าที่ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยตอนบนฝั่งตะวันออก และศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรป่าชายเลนที่ 10 ลงพื้นที่ร่วมกันเพื่อตรวจสอบวัดขนาดพายได้ 220 ซม. อก 110 ซม. และดำเนินการขุดค้นหาไข่เต่าทะเล ซึ่งห่างจากรังฟักไข่เต่ามะเฟืองรังที่ 1 ไปทางทิศใต้ประมาณ 500 เมตร พบไข่เต่าทะเลที่ระดับความลึก 60 ซม. ขนาดไข่ 5.5 ซม. นับได้ทั้งสิ้น 141 ฟอง มีไข่ดี 118 เป็นไข่ลม 23 ฟอง

สันนิษฐานว่าไข่เต่าทะเลที่พบน่าจะเป็นของแม่เต่ามะเฟืองตัวเดิม ซึ่งเจ้าหน้าที่จะย้ายไข่เต่าทะเลไปพักไว้รวมกันกับรังแรกบริเวณคอกเพื่อป้องกันสัตว์มากินไข่ พร้อมทั้งสั่งการให้จัดกำลังเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์เต่ามะเฟืองจังหวัดพังงา เพื่อลาดตระเวนและเฝ้าระวังติดตามการขึ้นมาวางไข่เต่าทะเลตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งนี้ นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กำชับให้ทุกฝ่ายดูแลไข่เต่าทะเลอย่างใกล้ชิด พร้อมเผยความรู้สึกยินดีอย่างยิ่งในการกลับมาของแม่เต่าทะเลครั้งนี้ ซึ่งสะท้อนให้ถึงความสมบูรณ์ของธรรมชาติและความสำเร็จของการทำงานด้านการอนุรักษ์สัตว์ทะเลหายาก เมื่อสภาพแวดล้อมดีและพื้นที่ปลอดภัย ลูกเต่าฟักออกจากไข่ก็จะมีแหล่งอาหารที่สมบูรณ์และสามารถรอดปลอดภัยกลับคืนสู่ธรรมชาติได้ต่อไป

นายอรรถพล กล่าวเพิ่มเติมว่า การขึ้นมาวางไข่ของแม่เต่าทะเลบริเวณจังหวัดพังงารอบนี้นับเป็นหลุมที่ 2 ของปีนี้ที่แม่เต่าทะเลกลับขึ้นมาวางไข่ซ้ำที่เดิม ถือว่าเป็นความสำเร็จที่ทุกภาคส่วนต่างร่วมมือกันฟื้นฟูแหล่งวางไข่เต่าทะเลให้สมบูรณ์ เตรียมพร้อมรับมือกับการกลับมาวางไข่ของแม่เต่าทะเล ซึ่งปัจจัยสำคัญของการอนุรักษ์ คือชุมชนชายฝั่งและอาสาสมัครพิทักษ์ทะเล ซึ่งเป็นกำลังหลักในการมีส่วนร่วมอนุรักษ์และพื้นฟูทรัพยากรทางทะเลให้คงความสมบูรณ์ดังเดิม ทั้งนี้ กรม ทช. จะดำเนินการประชาสัมพันธ์สร้างความรู้ความเข้าใจด้านการอนุรักษ์ระบบนิเวศธรรมชาติทางทะเล รวมถึงข้อมูลด้านสัตว์ทะเลหายากแก่ผู้ที่เยี่ยมชม ตลอดจนติดตั้งกล้องวงจรปิดเฝ้าระวังติดตามการพัฒนาของตัวอ่อน เมื่อลูกเต่าทะเลฟักเป็นตัว ประชาชนสามารถเข้าร่วมรับชมการถ่ายทอดสดผ่านแอฟพลิเคชั่น CamHipro โดยนำ QR Code มาแสกนเพื่อรับชมบรรยกาศอย่างใกล้ชิด


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top