Tuesday, 3 December 2024
ZeroStarvingSeaTurtles

‘น้องอิน-น้องเอม’ 2 พี่น้องเยาวชนไทยหัวใจนักอนุรักษ์ ผู้ริเริ่มโครงการอิ่มท้องน้องเต่า ช่วยชีวิตเต่าทะเล

จากโลกยุคสมัยใหม่ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกเทคโนโลยี่อนาคตเข้ามาและขยายวงกว้างขึ้นจนผู้คนห่างเหินธรรมชาติ สัตว์ป่าสัตว์ทะเลเริ่มลดน้อยลงเนื่องจากเด็กรุ่นใหม่ส่วนใหญ่เกาะติดวัตถุนิยมกันมากกว่าใช้ชีวิตสัมผัสกับธรรมชาติ จะเห็นได้ว่าในปัจจุบันมีการรณรงค์ให้รักและหวงแหนธรรมชาติมากขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เด็กหรือเยาวชนไม่สนใจเลย เช่น นายอริณชย์ หรือน้องอิน ทองแตง อายุ 16 ปี และ ด.ญ.อริสา น้องเอม ทองแตง อายุ 14 ปีสองพี่น้องที่ถือได้ว่าเป็นเยาวชนหัวใจนักอนุรักษ์ ที่ร่วมกันทำโครงการชื่อ Below the Tides: Zero Starving Sea Turtles (อิ่มท้องน้องเต่า)

โดยการเชิญชวนพี่ ๆ น้อง ๆ ทุกคนร่วมกันอนุบาลลูกเต่าทะเล เพื่อเพิ่มโอกาสการรอดชีวิตของเต่าทะเลจาก 0.1% กรณีที่ปล่อยไปตามธรรมชาติให้สูงขึ้นถึง 70% ปัจจัยหลักในการมีชีวิตรอดคือไม่ตกเป็นเหยื่อสัตว์นักล่าอื่น ๆ ซึ่งโอกาสรอดจะอยู่ที่ขนาดและน้ำหนักที่เหมาะสมของลูกเต่าทะเล ซึ่งน้ำหนักต้องไม่ต่ำกว่า 2 กิโลกรัม และความยาวไม่น้อยกว่า 30 เซนติเมตร ขณะปล่อยคืนสู่ท้องทะเล

นายอริณชย์ เปิดเผยว่า เกิดจากพวกตนสองพี่น้องมีความชื่นชอบสัตว์เลื้อยคลานโดยเฉพาะเต่า ที่บ้านจะเลี้ยงเต่า ทั้งเต่าบก และเต่าน้ำจืด ประกอบกับเมื่อปีที่ผ่านมาคุณแม่ได้พาไปเกาะมันใน จ.ระยอง เป็นที่ตั้งของศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเลในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เป็นสถานที่อนุบาลลูกเต่าทะเลก่อนจะปล่อยลงสู่ทะเล แห่งแรกของประเทศไทย พอได้ไปเจอและรับทราบถึงปัญหาของเต่าทะเลที่ใกล้สูญพันธุ์ที่กำลังเป็นวิกฤติระดับโลก รวมถึงเรื่องของการเพิ่มอัตราการรอดชีวิตของลูกเต่าหลังฟักออกมาจากไข่ ซึ่งทางผอ.ศูนย์วิจัยชายฝั่งทะเลฯ ตอนนั้นบอกอยากได้เงินมาอุดหนุนเพิ่มเติมมาอนุบาลเต่า ตรงนี้เลยเป็นจุดเริ่มต้นของโครงการ ‘อิ่มท้องน้องเต่า’

นายอริณชย์ เผยอีกว่า ส่วนที่ชื่นชอบเต่าทะเลเพราะชอบและแปลกใจที่เต่าทะเลเกิดมาตั้งแต่ยุคไดโนเสาร์ อายุ 110 ล้านปี ซึ่งเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์เพราะไดโนเสาร์สูญพันธุ์ไปเรียบร้อยแล้วแต่เต่ามันสามารถมีอายุยืนและปรับตัวจนกระทั่งอยู่มาจนถึงปัจจุบัน เป็นอะไรที่น่าพิศวงเลยทำให้สนใจ โดยเฉพาะเต่าทะเล มีความสัมพันธ์กับระบบนิเวศใต้น้ำมาก อย่างอาทิที่ชอบกินแมงกระพรุน กินในจำนวนที่มาก ๆ ก็จะคุมระบบนิเวศไม่ให้มีแมงกระพรุนมากเกินไป ช่วยกินหญ้าทะเล เป็นควบคุมปริมาณหญ้าทะเล เพราะหากมีมากเกินไปก็จะมีผลต่อระบบน้ำทำให้น้ำทะเลสูงขึ้นได้ นอกจากนั้นยังช่วยกินพวกฟองน้ำแถว ๆปะการังทำให้ตัวปะการังไม่โดนเบียดเบียนพื้นที่ทำให้เติบโตได้อย่างสวยงาม ทำให้ระบบใต้น้ำมันสมดุลย์ อีกอย่างการที่มันกินทุกอย่างเสร็จแล้วมันก็จะว่ายน้ำไปทั่วแล้วไปขยายพืชพันธุ์อย่างหญ้าทะเล ฟองน้ำในพื้นที่อื่นให้มีการเจริญเติบโตอุดมสมบูรณ์ขึ้นอีก

ด้านด.ญ.อริสา เผยว่า รู้สึกดีใจภูมิใจที่ผู้ใหญ่ให้ความสนใจและเห็นความสำคัญของโครงการ ได้มีโอกาสเข้าพบ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ทรัพยกรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยท่านบอกชื่นชมเยาวชนเด็กรุ่นใหม่ที่มีจิตอาสาสนใจประโยชน์ส่วนรวม สิ่งแวดล้อม แล้วมาแอคทีฟ เปิดโครงการแบบนี้ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างแม้จะเป็นโครงการที่ไม่ใหญ่ แต่ท่านก็มองว่าการที่เด็ก ๆ ขึ้นมาคิดทำสิ่งนี้แบบทำเองโดยที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทางโรงเรียน ทำให้เห็นว่าคนรุ่นใหม่ตระหนักสนใจในเรื่องของสภาพสิ่งแวดล้อมที่กำลังมีปัญหามากขึ้นเรื่อย ๆ ในปัจจุบันนี้ จึงมองว่าเป็นสิ่งที่กระทรวงทรัพย์ฯ อยากจะสนับสนุนเยาชนให้เยอะเกี่ยวกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากร

ด.ญ.อริสา ยังเผยอีกว่า ทั้งนี้ท่านยังได้ถามด้วยว่าอยากให้กระทรวงฯช่วยเรื่องอะไรมากขึ้น ได้บอกไปว่าอยากให้ทางกระทรวงเพิ่มความตระหนักรู้ เพิ่มความเข้าใจในเรื่องของการดูแล รักษาเต่าทะเลให้กับประชาชนให้มากขึ้น เพราะมองว่าตอนนี้คนเข้าใจผิดว่าการปล่อยลูกเต่าทะเลตัวเท่าเหรียญบาทคืนสู่ท้องทะเลเป็นการทำบุญ แต่ในความเป็นจริงไม่ใช่ กลับกลายเป็นการทำบาปเพราะปล่อยไปอย่างไรก็ตาย จึงอยากให้ทางกระทรวงฯช่วยเพิ่มความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชนว่าถ้าจะให้เต่าทะเลรอดชีวิตได้ จำเป็นต้องเป็นอย่างไร ซึ่งตรงกับวัตถุประสงค์ของโครงการอิ่มท้องน้องเต่าของพวกตน คือต้องอนุบาลเต่าทะเลให้ได้ขนาดและน้ำหนักตามที่ต้องการคือ 2 กิโลกรัมเป็นอย่างน้อย หรือมีขนาดความยาว 30 ซม. หรือเลี้ยงประมาณ 200 วัน ก่อนปล่อยสู่ทะเล

“เพราะเห็นถึงความสำคัญดังกล่าว จึงร่วมกันคิดโครงการขึ้นมาเพื่อเปิดรับบริจาคเงินช่วยเหลือค่าเลี้ยงดูลูกเต่าทะเล ให้มีขนาดน้ำหนัก ความยาวตามความเหมาะสม ก่อนปล่อยคืนสู่ทะเลเพื่อความอยู่รอด โดยค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูลูกเต่าจนได้ตามขนาดที่ต้องการ เป็นค่าอาหาร และค่ายา ในการอนุบาลลูกเต่า 100 ตัว เฉลี่ยตัวละ 30 บาทต่อวัน หรือ 6,000 บาทต่อตัว ตลอดระยะเวลาประมาณ 200 วัน เพื่อให้น้อง ๆ แข็งแรงพอที่จะกลับคืนสู่บ้านใต้ท้องทะเลอีกครั้ง โดยจะนำเงินบริจาคส่งมอบให้กับศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งภายใต้กระทรวงทรัพยากร เพื่อนำไปใช้เป็นค่าอาหาร ยา และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอนุบาลลูกเต่า 100 ตัว ต่อไป” ด.ญ.อริสา ระบุ

ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถร่วมสนับสนุนโครงการ ‘อิ่มท้องน้องเต่า’ - Below the Tides: Zero Starving Sea Turtles ผ่านเว็บไซต์ เทใจ เพื่อคืนความสมดุล ของห่วงโซ่อาหารในโลกใต้ทะเลได้ที่ https://taejai.com/th/d/below-the-tides-zero-starving-sea-turtles_an/

‘อิน-เอม’ สองพี่น้องนักอนุรักษ์ ‘เต่าทะเล’ รุ่นเยาว์ ผู้มุ่งมั่นพลิกฟื้นระบบนิเวศทะเลไทยให้อุดมสมบูรณ์

เมื่อไม่นานนี้ เรื่องราวของ 2 พี่น้อง ‘อิน-นายอริณชย์ ทองแตง’ วัย 16 ปี และ ‘เอม-ด.ญ. อริสา ทองแตง’ วัย 14 ปี ผู้ริเริ่มโครงการ ‘Below the Tides : Zero Starving Sea Turtles’ (อิ่มท้องน้องเต่า) ที่มุ่งมั่นตั้งใจสานต่อความรัก สู่การเป็นผู้ให้ เพิ่มโอกาสรอดชีวิตของ ‘เต่าทะเล’ ให้กลับคืนสู่ธรรมชาติ เพื่อปรับสมดุลระบบนิเวศใต้ท้องทะเลไทยให้สมบูรณ์และยั่งยืน

“เต่าเป็นสัตว์ที่ผมชอบมาตั้งแต่เด็กแล้วครับ ผมเป็นคนที่ชอบสัตว์เลื้อยคลาน ชอบธรรมชาติ ผมกับเพื่อนเริ่มชอบเต่ามาตั้งแต่ช่วง 3 ขวบ ก็เลยไปซื้อมาเลี้ยงกัน พอเลี้ยงมาเรื่อยๆ ก็เลยมีมากขึ้น และทำให้ผมชอบเต่ามากขึ้น ก็เลยอยากนำความชอบตรงนี้ มาต่อยอดเพื่อให้มีประโยชน์ต่อสังคมครับ” พี่ชายเปิดอกเล่า

“ที่บ้านจะสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อมมากค่ะ เรามีบ้านอยู่ริมคลอง เด็กๆ ก็จะมีโอกาสได้ช่วยคุณย่าเก็บขยะริมคลอง และคุณย่าก็จะสอนเราเรื่องนี้มาตลอด ว่าจริงๆ มนุษย์เราเป็นคนทำลายสิ่งแวดล้อม ทำให้เกิดน้ำเน่าเสีย และต่างๆ คุณย่าจะสอนว่าเราต้องทำยังไง เพื่อช่วยตรงนี้ได้บ้าง แล้วจำได้ว่า วันเกิดของพี่อิน คุณยายก็ซื้อเต่ามาให้เลี้ยงด้วย หลังจากนั้นพวกเราก็ได้ช่วยกันดูแลเต่ามาตลอดค่ะ” น้องสาวกล่าวเสริม

และจากการเฝ้าดู นำไปสู่ความรับผิดชอบ เมื่อพบว่า แต่ละปีประเทศไทยต้องสูญเสียเต่าทะเลที่ใกล้สูญพันธุ์ไปอย่างน่าเสียดาย ทำให้ความคิดที่จะดูแลเต่าในสโคปที่กว้างออกไปปรากฏขึ้นในใจของทั้งคู่

“เราได้ไปเรียนดำน้ำ scuba diving ที่เกาะมันในกันค่ะ เป็น diving สำหรับลงไปปลูกปะการัง แล้วหนูได้เจอเต่า หนูมีความสุขมาก แฮปปี้ที่ได้เห็นเต่าอยู่ตามธรรมชาติ เขาดูมีความสุขที่ได้อยู่บ้านของเขา เราก็เลยรู้สึกว่าเรามีความรับผิดชอบ ที่จะต้องดูแลพวกเขา” น้องเอมกล่าว

“เราไปดูที่ศูนย์วิจัยทางทะเลและชายฝั่ง ที่เกาะมันใน ไปดูเต่าทะเลที่นั่น ว่าปัญหาของเขามีอะไรบ้าง และเต่าที่นั่นต้องการอะไร เพราะการที่เต่าตาย และมีจำนวนลดลง จริงๆ ส่งผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมเยอะมากครับ เต่ามีความสำคัญต่อระบบนิเวศใต้น้ำ อย่างเช่น ช่วยควบคุมไม่ให้มีแมงกะพรุนมากเกินไป ช่วยกำจัดสาหร่ายที่มีเยอะเกิน และยังช่วยป้องกันการพังทลายของชายฝั่ง และอีกหลายๆ อย่าง ถ้าไม่มีเต่า ระบบนิเวศใต้น้ำของเราก็จะล้มเหลวครับ” พี่อินกล่าว

โครงการ Below the Tides : Zero Starving Sea Turtles (อิ่มท้องน้องเต่า) เริ่มต้นขึ้น ผ่านทาง ‘เทใจดอทคอม’ โดยผ่านเพื่อนคุณแม่ แล้วสองพี่น้องก็เริ่มลงมือทำ

“เราเปิดรับบริจาคผ่านทางเทใจครับ และบางครั้งเราก็มีไปออกบูธทำเสื้อขายด้วย เพื่อระดมเงินเข้าผ่านทางเทใจ และเมื่อครบจำนวนที่เราตั้งไว้ คือ 660,000 บาท เราก็จะนำไปให้ทางศูนย์วิจัยฯ (ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง) เพื่อจะได้ใช้เงินตรงนี้ดูแลลูกเต่าที่เขาอนุบาลไว้ เลี้ยงจนเต่าโตแข็งแรง และนำไปปล่อยกลับคืนสู่ธรรมชาติครับ โอกาสรอดของเต่าทะเลจะมีมากขึ้น ก็ต่อเมื่อถูกปล่อยในช่วงวัยที่เหมาะสม นั่นคือ ‘โตเต็มวัย’ ซึ่งต้องใช้เวลาในการอนุบาลกว่า 200 วัน แต่เราได้ไปศึกษาข้อมูลที่ศูนย์วิจัยฯ ที่นั่นจะมีบ่อหลายขนาด มีตั้งแต่บ่อเลี้ยงเต่าตัวเล็กๆ จนถึงตัวใหญ่มาก กระดองยาวประมาณเมตรกว่าๆ คือเราจะเห็นได้เลยว่าในบ่อของตัวเล็กๆ จะมีเยอะกว่ามาก แต่พอโตมาจริงๆ จะเหลือแค่ 2-3 ตัวที่อยู่ในบ่อ เพราะด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง และเรื่องของอาหารที่ไม่เพียงพอ เพราะเต่ากินเยอะครับ พี่ๆ ที่ศูนย์ก็เลยจำต้องปล่อยเต่าไปก่อนกำหนด เพราะเลี้ยงไว้ก็อาจจะเสียชีวิตได้ ปล่อยไปอาจจะมีโอกาสรอดได้มากกว่า เราจึงทำโครงการนี้ เพื่อนำเงินไปให้กับทางศูนย์วิจัยฯ เพื่อที่จะสามารถเลี้ยงเต่า ได้จนโตเต็มวัย ในจำนวนที่มากขึ้นได้ครับ” พี่อินกล่าว

“ค่าอาหารเต่าแต่ละตัว จะตกวันละ 30 บาทค่ะ เพราะฉะนั้น ถ้าจะเลี้ยงดูเต่าจนโตพอที่จะปล่อยสู่ธรรมชาติอย่างปลอดภัย เพิ่มจำนวนเต่าที่ใกล้จะสูญพันธุ์ให้มีมากขึ้น เราต้องใช้เวลาอนุบาลเขาประมาณ 200 วัน เพื่อให้เต่ามีน้ำหนักได้ประมาณ 2 กิโลฯ ความยาวประมาณ 30 ซม. นั่นเท่ากับว่าเราต้องใช้เงินดูแลเต่า ตกตัวละ 6,000 บาท ก่อนปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ” น้องเอมกล่าวเสริม

แม้จะมีอุปสรรคบ้าง แต่ทั้งคู่ก็ได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากผู้ใหญ่หลายๆ ท่าน

“อุปสรรคงจะเป็นเรื่องของการกระจายข่าว การประชาสัมพันธ์ค่ะ เพราะว่าเราไม่รู้จะทำยังไงให้ทุกคนรู้จักโครงการนี้ แต่แล้วเราก็ดีใจมากๆ เลยค่ะ ที่มีโอกาสได้ทำงานกับพี่ ‘แอนโทเนีย โพซิ้ว’ (มิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส 2023) เพราะพี่เขามีคนติดตามเยอะมาก ก็ดีใจที่ได้พี่เขามาช่วยชักชวนทุกคนให้ช่วยเหลือเต่ากันค่ะ” น้องเอมกล่าว

“อินและเราก็ยังได้รับการสนับสนุนจาก ‘กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม’ ด้วยครับ หลังจากที่ได้ไปเข้าพบ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) เพื่อนำเสนอโครงการนี้ และทางกระทรวงก็อยากช่วยสนับสนุน เพราะไม่ค่อยมีเด็กๆ ที่ตั้งใจอยากช่วยสิ่งแวดล้อมจริงจังแบบนี้ และเห็นว่าตรงนี้จะกลายเป็น ‘Role Model’ (ต้นแบบ) ให้กับเด็กคนอื่นๆ ได้อีกด้วยครับ”

การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมไม่ใช่เรื่องที่ไกลตัวอีกต่อไป ทั้งอินและเอมจึงอยากเชิญชวนทุกคนให้ตระหนักถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อม ที่ถูกทำลายมากขึ้นเรื่อยๆ

“ตอนนี้โลกเราร้อนขึ้นทุกๆ ปี น้ำแข็งขั้วโลกละลาย ส่วนของทะเลเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่พื้นดินค่อยๆ หายไป ผมอยากให้ทุกคนตระหนักว่าทุกอย่างที่เราทำ ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมไม่ว่าจะทั้งทางตรงหรือทางอ้อม ก็อยากจะให้ทุกคนคิดก่อนทำครับ” พี่อินกล่าว

“อยากให้ทุกคนมองว่า ถึงจะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย แต่ถ้าเราแค่เริ่ม และพยายามช่วย ก็ถือว่าเราได้มีส่วนร่วมในการดูแลสิ่งแวดล้อมแล้วค่ะ หรือจะเริ่มต้นด้วยการบริจาคให้กับโครงการอิ่มท้องน้องเต่าก็ได้นะคะ โดยสามารถบริจาคผ่านทางเว็บไซต์เทใจดอทคอม ซึ่งทุกบาททุกสตางค์ ไม่ว่าจะเยอะหรือน้อย ก็ล้วนมีความสำคัญต่อชีวิตของเต่าทุกตัวค่ะ” น้องเอมกล่าวทิ้งท้าย

ความตั้งใจอันแรงกล้าของเด็กๆ ทำให้เราต้องย้อนกลับมามองตัวเอง… วันนี้เราได้ทำอะไรเพื่อโลก เพื่อสิ่งแวดล้อมบ้างหรือยัง?

ติดตามความคืบหน้าและเป็นส่วนหนึ่งในการรักษ์โลกทะเลได้ที่
เทใจ : https://taejai.com/th/d/below-the-tides-zero-starving-sea-turtles_an/
Facebook : https://www.facebook.com/BelowtheTides?mibextid=LQQJ4d
Website : www.belowthetides.com


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top