Saturday, 5 April 2025
WorldWhy

‘เหวียน ฝู จ่อง’ บุคคลทรงอิทธิพลทางการเมืองที่สุดในเวียดนาม เข้าสู่ ดำรงตำแหน่งเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม เป็นสมัยที่ 3 แล้ว ตั้งเป้าเป็นประเทศพัฒนาแล้วอย่างเต็มตัวอีก 24 ปีข้างหน้า (ภายในปี 2588)

คอลัมน์ "เบิ่งข้ามโขง"

สามสมัยเสถียรภาพทางการเมืองเวียดนาม

เหวียน ฝู จ่อง เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม วัย 76 ปี หนึ่งในผู้นำที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดของประเทศในรอบหลายทศวรรษ ผู้ที่ได้รับการยกเว้นจากกฎระเบียบของพรรคที่กำหนดให้ผู้ที่มีอายุเกินกว่า 65 ปี ควรเกษียณอายุ

จากการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคในกรุงฮานอย ที่ผู้แทนพรรค 1,600 คน จากทั่วประเทศ เพื่อเลือกทีมผู้นำคนใหม่ ในเป้าหมายที่จะสนับสนุนความสำเร็จทางเศรษฐกิจของประเทศและความชอบธรรมของการปกครองของพรรค

…เขา ก็ ได้รับเลือกในสมัยที่สาม หลังได้รับคัดเลือก เขากล่าวว่า

"เวียดนามจะตั้งเป้าที่จะเป็นประเทศพัฒนาแล้วอย่างเต็มตัวภายในปี 2588 และการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันจะดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง "

เป้าหมายที่สูงลิ่วในช่วงปี 2564 - 2568 นี้ มีขึ้นในขณะที่เวียดนามกำลังรับมือกับการระบาดของโควิด-19 ครั้งเลวร้ายที่สุดในรอบเกือบ 2 เดือน เครื่องเตือนใจว่าความสำเร็จในอนาคต อย่างน้อยที่สุดในระยะสั้น ขึ้นอยู่กับการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัส

แม้จะเกิดการระบาด แต่ในเดือน ม.ค. กิจการในเครือของบริษัทฟ็อกซ์คอนน์ เทคโนโลยีจากไต้หวัน ได้รับใบอนุญาตการลงทุนมูลค่า 270 ล้านดอลลาร์ในประเทศ ที่บริษัทกำลังย้ายฐานประกอบ iPad และ MacBook จากจีน

ขณะเดียวกันผู้ผลิตชิปสัญชาติอเมริกันอย่างบริษัทอินเทล ระบุว่า ได้เพิ่มการลงทุนในเวียดนามอีก 475 ล้านดอลลาร์ รวมเป็น 1,500 ล้านดอลลาร์

การเติบโตทางเศรษฐกิจร้อยละ 2.9 ในปีก่อน ถือเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับหลายประเทศในโลก แต่สำหรับเวียดนามแล้วนับเป็นปีที่ย่ำแย่ที่สุดในรอบหลายสิบปี ที่เป็นผลจากมาตรการการกักตัวที่เข้มงวด การปิดพรมแดน และมาตรการการต่อต้านไวรัสต่างๆ

เวียดนาม จะมุ่งเน้นในมาตรการต่าง ๆ ที่จะช่วยเติมเต็มองค์ประกอบของเศรษฐกิจตลาดแบบสังคมนิยม และจัดการความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและตลาดและสังคมให้ดียิ่งขึ้น จะขับเคลื่อนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจอย่างต่อเนื่อง ยกเว้นกิจการที่ดำเนินงานในพื้นที่ที่เห็นว่ามีความสำคัญสำหรับความมั่นคงและการป้องกันประเทศ

จะเปลี่ยนความสนใจในด้านการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) จากปริมาณไปสู่คุณภาพ โดยมุ่งเน้นในเรื่องความเสี่ยงต่อสิ่งแวดล้อม หลายสิบปีของการพัฒนาที่ขับเคลื่อนด้วยการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศอย่างแข็งแกร่ง ที่ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มธุรกิจที่ต้องการแรงงานมากและไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เวียดนามจะไม่อนุมัติโครงการที่มีเทคโนโลยีล้าสมัย และเสี่ยงก่อมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม


เรื่องโดย: หนุ่มโคราชคลุกคลี กับเมืองลาวทั้งด้านธุรกิจเอกชนและภาครัฐมานานหลายปี ยินดีแนะนําภาคเอกชนไทย บุกตลาดอินโดจีน สรรหาเรื่องเล่า วีถีชีวิต วัฒนธรรม เศรษฐกิจ

ทีมแฮคเกอร์เกาหลีเหนือสุดแสบ แอบเจาะข้อมูลขโมยทรัพย์สินออนไลน์ ระดมเงินให้ ‘รัฐบาลคิม’ สร้างขีปนาวุธนิวเคลียร์ 2 ปี ได้ไปกว่า 300 ล้านเหรียญ

สำนักข่าว CNN ได้อ้างอิงเอกสารลับจากองค์การสหประชาชาติ เปิดเผยว่า ทีมแฮ็คเกอร์ของกองทัพเกาหลีเหนือได้เจาะข้อมูลดูดเงิน และทรัพย์สินในระบบออนไลน์รวมมูลค่าถึง 316.4 ล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วงปี 2019 - 2020 ที่ผ่านมา เชื่อว่าส่งไปให้รัฐบาลคิม จอง-อึน ใช้พัฒนาขีปนาวุธนิวเคลียร์ในประเทศ

การเคลื่อนไหวของกลุ่มนักรบไซเบอร์ของเกาหลีเหนือ ถูกจับตามานานแล้วทั้งทีมสืบสวนพิเศษของสหประชาชาติ (UN) และ หน่วยข่าวกรองด้านความมั่นคงของสหรัฐ และ เกาหลีใต้ ที่เชื่อได้ว่าเกาหลีเหนือกลับมาพัฒนาขีปนาวุธนิวเคลียร์อีกครั้ง แต่ไม่อาจยืนยันได้ว่ากำลังพัฒนาขีปนาวุธในพิสัยยิงไกลระดับใด และคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว

และสอดคล้องกับถ้อยแถลงของคิม จอง-อึน ที่เคยประกาศว่า เกาหลีเหนือจะรื้อฟื้นโครงการพัฒนาขีปนาวุธขึ้นมาใหม่ เพื่อป้องกันตนเองจากภัยคุกคามของสหรัฐอเมริกา แม้ในสมัยของอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จะมีความพยายามที่จะดึงเกาหลีเหนือสู่โต๊ะเจรจาในการปลดอาวุธนิวเคลียร์ แต่ทว่าไม่สามารถตกลงกันได้เนื่องจาก ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในการยุติการคว่ำบาตรต่อเกาหลีเหนือ แม้ว่ารัฐบาลคิม จอง-อึน จะเผยแพร่ภาพการทำลายฐานทดสอบนิวเคลียร์ให้โลกเห็นแล้วก็ตาม

และท่ามกลางวิกฤติการแพร่ระบาดไวรัส Covid -19 ทั่วโลก ที่บีบให้เกาหลีเหนือตัดสินใจปิดพรมแดน เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของ Covid-19 เข้ามาในประเทศ นั่นหมายถึงการระงับการส่งออกถ่านหินไปยังประเทศจีน ที่เป็นคู่ค้าสำคัญ และเป็นรายได้หลักเพียงไม่กี่อย่างของเกาหลีเหนือ

และยังถูกคว่ำบาตรจากนานาชาติ ที่ทำให้ผู้เชี่ยวชาญประเมินว่าทุนสำรองในประเทศของเกาหลีเหนืออาจแทบไม่เหลือแล้ว และอาจเลวร้ายถึงขั้นเศรษฐกิจล่มสลายในไม่ช้า ดังนั้นการหารายได้เสริมจากหน่วยรบไซเบอร์ จึงกลายเป็นช่องทางการเงินเพียงอย่างเดียว ที่จะทำให้เกาหลีเหนือเข้าถึงเงินตราต่างประเทศได้

ซึ่งข้อมูลที่ทางฝ่ายสืบสวนของสภาความมั่นคงแห่งสหประชาชาติได้รับอาจมีเพียงแค่ส่วนเดียว เพราะเป็นที่รู้กันนานแล้วว่า เกาหลีเหนือมีหน่วยงานด้านการทหารที่ฝึกนักรบไซเบอร์โดยเฉพาะที่เรียกว่า Bureau 121 ที่มีเครือข่ายเชื่อมโยงกับกลุ่มแฮ็คเกอร์ในต่างประเทศ ที่เคยโจมตีเว็บไซต์ของกระทรวงรวมประเทศของเกาหลีใต้ เพื่อเจาะฐานข้อมูลชาวเกาหลีเหนือแปรพักตร์ การปล่อยมัลแวร์เรียกค่าไถ่ หรือโจมตีเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของหน่วยงานราชการในสหรัฐอเมริกามาแล้ว

ตอนนี้หลายฝ่ายกำลังจับตามองท่าทีของ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐคนล่าสุด ว่าจะมีนโยบายต่อเกาหลีเหนืออย่างไร ส่วนทางเกาหลีเหนือยังไม่ได้ออกมาตอบโต้รายงานข่าวเรื่องการจารกรรมทรัพย์สินโดยทีมแฮ็คเกอร์ของเกาหลีเหนือในครั้งนี้


อ้างอิง

https://edition.cnn.com/2021/02/08/asia/north-korea-united-nations-report-intl-hnk/index.html

https://www.cnbc.com/2019/09/13/treasury-department-sanctions-north-korean-hackers-over-cyberattacks-of-critical-infrastructure.html

https://en.wikipedia.org/wiki/Bureau_121

องค์การอนามัยโลก หรือ WHO เตรียมทบทวนประสิทธิภาพวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าใหม่ หลังพบป้องกันโควิดกลายพันธุ์ได้น้อยลง

นายแพทย์ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่ขององค์การอนามัยโลก (WHO) กล่าวว่า กลุ่มผู้เชี่ยวชาญของ WHO ได้ประชุมกันเมื่อวานนี้ เพื่อทบทวนประสิทธิภาพของวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ที่พัฒนาโดยบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าและมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด หลังผลศึกษาแสดงให้เห็นว่า วัคซีนดังกล่าวมีประสิทธิภาพน้อยลงในการป้องกันไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่

สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ในแอฟริกาใต้ซึ่งมีการค้นพบไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ B.1.351 นั้น ได้ประกาศระงับการนำเข้าวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าไว้เป็นการชั่วคราว จนกว่าจะได้ข้อมูลประสิทธิภาพทางคลินิกเพิ่มขึ้น

นายแพทย์ทีโดรส กล่าวว่า "แม้ว่าวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของออกซ์ฟอร์ด-แอสตร้าเซนเนก้า จะเป็นหนึ่งในวัคซีนหลายตัวที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันอาการรุนแรง ลดการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล และลดการเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ได้ แต่การค้นพบไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ ก็ได้เพิ่มความกังวลเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนเช่นกัน"

"เมื่อพิจารณาหลักฐานจากการทดลองวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าจำนวนหลายครั้ง ก็เป็นที่ชัดเจนว่าประสิทธิภาพของวัคซีนต่ออาการป่วยรุนแรง การเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล และการเสียชีวิต แตกต่างกันไปในแต่ละสายพันธุ์ของไวรัสโควิด-19" ดร.เคท โอ’เบรียน ผู้อำนวยการฝ่ายภูมิคุ้มกัน วัคซีนและชีววิทยาของ WHO กล่าว

ขณะเดียวกัน ยังมีสัญญาณบ่งชี้บางอย่างถึงประสิทธิภาพที่ลดลงของวัคซีน โดยบางตัวมากกว่าเดิม บางตัวน้อยกว่าเดิม ขึ้นอยู่กับว่าเป็นไวรัสสายพันธุ์ใด ประชากรกลุ่มใด รวมถึงการตอบสนองของแอนติบอดีชนิดลบล้างฤทธิ์ (neutralizing antibody) ด้วย


Cr : http://www.xinhuanet.com/english/2021-02/09/c_139732313.htm

องค์การอนามัยโลก หรือ WHO เผยรายงานที่นับเป็นข่าวดี หลังจากทั่วโลกติดเชื้อโควิด-19 ลดลงติดต่อกัน 4 สัปดาห์ โดยสัปดาห์ที่แล้วลดลงกว่า 17% เทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า

จากการอัพเดททางระบาดวิทยาประจำสัปดาห์ ขององค์การอนามัยโลก ระบุว่ามีรายงานผู้ป่วยโควิด-19 ใหม่มากกว่า 3.1 ล้านรายเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นตัวเลขที่ลดลง 17% จากสัปดาห์ก่อนหน้า และนับเป็นจำนวนผู้ป่วยต่ำสุดที่มีรายงานตั้งแต่สัปดาห์สุดท้ายของเดือนตุลาคม 2563

โดยสหรัฐอเมริกายังเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ใหม่มากที่สุด มีจำนวน 871,365 ราย แต่ก็ลดลง 19% จากสัปดาห์ก่อนหน้า

ขณะที่ทวีปแอฟริกา พบผู้ป่วยลดลงมากที่สุดถึง 22% ส่วนแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออกมีจำนวนการลดลงน้อยที่สุด เพียงแค่ 2% เท่านั้น

ปัจจุบันทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 จำนวนกว่า 107.41 ล้านราย และเสียชีวิตกว่า 2.35 ล้านราย นับตั้งแต่เริ่มระบาดเมื่อปลายปี 2019


ที่มา: https://www.springnews.co.th/global/805885

หลังจากที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้จัดทีมสืบสวนพิเศษ เพื่อสืบหาความจริงของต้นกำเนิดของเชื้อไวรัส Covid-19 ที่เมืองอู่ฮั่น ศูนย์กลางการระบาดเมืองแรกของโลก

โดยทีมสืบสวนประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขา ทั้งด้านไวรัสวิทยา, การระบาด, สัตวแพทย์, วิทยาศาสตร์การอาหาร และสาธารณสุข จำนวน 14 คน เดินทางเข้าไปในเมืองอู่ฮั่นตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา

และได้มีการตระเวนเก็บข้อมูลอย่างละเอียดในตลาดซีฟู้ดอู่ฮั่น ที่พบการระบาดครั้งแรก, โรงพยาบาลในอู่ฮั่นที่รับคนไข้ Covid-19 กลุ่มแรก และสถาบันวิจัยด้านไวรัสแห่งชาติ ประจำเมืองอู่ฮั่น ที่เคยถูกกล่าวหาจากรัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมพ์ และ นักทฤษฎีสมคบคิดว่าเป็นจุดต้นกำเนิดของเชื้อไวรัส Covid-19

ในที่สุด เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ทางทีมสืบสวนพิเศษของ WHO ก็ได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ โดยปฏิเสธเรื่องทฤษฎีที่เชื่อว่าเชื้อไวรัส Covid-19 เกิดจากในห้องแล็บที่อู่ฮั่น พร้อมย้ำชัดว่า ‘แทบเป็นไปไม่ได้’ และ ‘ไร้หลักฐาน’

ด็อกเตอร์ ปีเตอร์ เบน เอ็มบาเรค หัวหน้าทีมสืบสวนของ WHO ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยของอาหาร และโรคระบาดที่เกิดจากสัตว์ แถลงว่า สมมติฐานที่ว่าไวรัส Covid-19 ถูกสร้างโดยห้องแล็บนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ และเมื่อทีมงานได้เข้าไปตรวจสอบสถาบันวิจัยไวรัสที่อู่ฮั่น พบว่า มีโอกาสน้อยมาก ๆ ที่จะมีเชื้อไวรัสหลุดออกมาจากแล็บไปแพร่ระบาดที่ในชุมชนได้

โดยยังคงยืนยันว่า เชื้อไวรัส Covid-19 เป็นเชื้อโรคชนิดใหม่ เกิดในสัตว์ที่เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของเชื้อไวรัสโคโรน่า เช่น ค้างคาว และติดต่อสู่สัตว์อีกชนิดก่อนที่จะแพร่สู่มนุษย์ ที่ยังเป็นจิ๊กซอว์ปริศนาที่ต้องศึกษาเพิ่มเติมต่อไป

นอกจากนี้ ทีมสืบสวนพิเศษได้ให้ความเห็นที่น่าสนใจว่า เชื้อ Covid-19 อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรกที่เมืองอู่ฮั่นด้วย แต่อาจเป็นเชื้อโรคที่ปะปนมาในผลิตภัณฑ์อาหารแช่แข็ง และขอให้มีการตรวจสอบระบบการขนส่ง ซื้อขายอาหารแช่แข็งทั้งระบบอย่างละเอียด

แต่ทั้งนี้ ทีมสืบสวนจะยังคงมีงานต้องทำอีกมาก เพื่อค้นหาต้นตอของ Covid-19 ตามภารกิจ แต่จะเริ่มเปลี่ยนเป้าหมายมาสืบค้นในประเทศย่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

เนื่องจากตลาดค้าส่งอาหารทะเลหัวหนาน ในเมืองอู่ฮั่น ที่พบการแพร่ระบาดของ Covid-19 เป็นครั้งแรกรับสินค้าส่งมาจากทั้งในประเทศจีน และบางส่วนมาจากประเทศในย่านอาเซียนด้วย

และหากดูจากพื้นที่ในการตรวจสอบระบบขนส่งที่ทีมสืบสวนจากองค์การอนามัยโลกได้กล่าวถึง ทั้งจีน และอาเซียน ก็นับว่ากว้างมาก ยิ่งมาไล่สืบตามหลังเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้วกว่า 1 ปี การสืบค้นยิ่งยากลำบาก แต่การค้นหาความจริงต้องใช้เวลา และความอดทนอยากมาก และต้องไม่ลืมว่าเป้าหมายของการค้นหาความจริง คือการใช้ความกระจ่างนั้นป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยในวันนี้นั่นเอง


อ้างอิง:

https://www.theguardian.com/world/2021/feb/09/wuhan-laboratory-leak-covid-origin-theory-unlikely-says-who-team

https://www.bbc.com/news/world-asia-china-55996728

https://www.abc.net.au/news/2021-02-09/world-health-organization-investigation-china-covid-explainer/13132710

หญิงสาวรายหนึ่งในจีนที่ไม่อาจก้าวพ้นช่วงเวลาแห่งความเจ็บปวด ตัดสินใจแสดงความโกรธแค้นที่มีต่ออดีตคนรัก ด้วยการจ้าง ‘คนส่งอาหาร’ (ฟู้ดไรเดอร์) พร้อมกับคำสั่งพิเศษถึงผู้รับ และดูเหมือนว่าฟู้ดไรเดอร์จะทำหน้าที่ของเขาได้อย่างซื่อตรงสุด ๆ

ตามรายงานของ ออเรียนทัล เดลี สื่อมวลชนท้องถิ่น ระบุเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่มณฑลซานตง ประเทศจีน โดยฟู้ดไรเดอร์รายหนึ่งได้รับคำขอเพิ่มเติมจากคำสั่งซื้อเดิมของลูกค้า ซึ่งเป็นคำขอที่ต่างจากออเดอร์ธรรมดา ๆ ทั่วไป

คำสั่งพิเศษดังกล่าวของหญิงสาวรายนี้ก็คือ ขอให้ฟู้ดไรเดอร์นำชาไปส่งให้แฟนเก่าของเธอ แล้วสาดมันใส่หน้าของเขา

"ไม่จำเป็นต้องทำดีกับไอ้สารเลวคนนี้ แค่สาดชาเข้าใส่หน้าเขาก็พอ" ลูกค้าหญิงเขียน

วิดีโอของเหตุการณ์ พบเห็นฟู้ดไรเดอร์รายดังกล่าวทำตามคำขอของลูกค้าอย่างซื่อตรง และหลังจากสาดชาใส่แฟนเก่าของลูกค้าแล้ว ฟู้ดไรเดอร์ก็ได้ยื่นใบสั่งซื้อให้ชายคนดังกล่าวดู เพื่อยืนยันว่ามันเป็นคำสั่งของแฟนเก่าของเขา พร้อมกับกล่าวขอโทษ

"ขอโทษครับ ผมแค่ทำตามคำสั่งของลูกค้า" จากนั้นก็ยื่นกระดาษชำระให้และขอโทษซ้ำอีกรอบ

ในรายงานของออเรียนทัล เดลี ระบุว่า ทางบริษัทต้นสังกัดของฟู้ดไรเดอร์รายดังกล่าวจะทำการสืบสวนในประเด็นนี้ พร้อมชี้แจงว่าฟู้ดไรเดอร์สามารถปฏิเสธคำสั่งได้ หากคิดว่าคำสั่งเหล่านั้นไม่มีเหตุผล

อย่างไรก็ตามบรรดาผู้คนบนสื่อสังคมออนไลน์เขียนแซวกันอย่างสนุกสนานว่า ฟู้ดไรเดอร์รายนี้ควรได้คะแนน 5 ดาว เนื่องจากเขาอาจหาญกล้าทำตามคำสั่งยากๆ ของลูกค้า


ที่มา: https://www.facebook.com/119425428118611/posts/3886568724737577/

https://worldofbuzz.com/food-delivery-rider-in-china-fulfils-customers-request-to-splash-milk-tea-on-ex-boyfriend/

ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย ได้ทำการศึกษาความเชื่อมโยงของความสามารถทาง ‘ปัญญา’ กับ ‘อคติ’ ที่มีต่อ ‘กลุ่มคนรักร่วมเพศ’ โดยพบว่า 'คนที่เกลียดกลัวการรักร่วมเพศ' มักจะมีสติปัญญาที่ต่ำกว่าคนในกลุ่มอื่น

ทีมวิจัยได้ศึกษากับกลุ่มตัวอย่างชาวออสเตรเลียจำนวน 11,564 คน ด้วยแบบสอบถามสำหรับการวิเคราะห์ในเรื่องของระดับสติปัญญา ซึ่งในแบบสอบถามดังกล่าวจะมีคำถามบางส่วนสอดแทรกไปในลักษณะที่ว่า เห็นด้วยหรือไม่กับประโยคที่ว่า

ในแบบสอบถามดังกล่าว จะมีคำถามบางส่วนสอดแทรกไปในลักษณะที่ว่า เห็นด้วยหรือไม่กับประโยคที่ว่า “กลุ่มคนรักร่วมเพศ (ชาย-ชาย / หญิง-หญิง) ควรมีสิทธิเท่าเทียมกับกลุ่มคนรักต่างเพศ (ชาย-หญิง)” โดยจะให้ผู้ตอบแบบสอบถามเลือกว่าเห็นด้วยกับประโยคดังกล่าวมากน้อยแค่ไหน ตั้งแต่ 1 (ไม่เห็นด้วยเลย) ไปถึง 7 (เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง)

ทั้งนี้ทางทีมวิจัยได้นำแบบสอบถามทั้งหมดมาวิเคราะห์ และพบว่า ยิ่งไม่เห็นด้วยกับประโยคในลักษณะนี้มากเท่าไหร่ สติปัญญาของคนเหล่านั้นก็จะยิ่งต่ำกว่าคนอื่นตามไปด้วย ก็ยิ่งแสดงถึงความเชื่อมโยงกันของทั้งสองสิ่งนี้

นอกจากนี้ นักวิจัยยังพบด้วยว่า ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น จะส่งผลรุนแรงอย่างมากในส่วนของทักษะการใช้คำพูด หรือก็คือ คนที่มีอคติกับกลุ่มรักร่วมเพศ มักจะเป็นคนที่ขาดการใช้สติปัญญาในการแสดงออกทางวาจานั่นเอง

งานวิจัยดังกล่าว ถือว่าช่วยสนับสนุนผลงานวิจัยอื่นๆ ก่อนหน้านี้ในสหรัฐอเมริกา ที่เคยมีการพบว่าผู้ที่มีอคติต่อกลุ่มรักร่วมเพศหรือกลุ่ม LGBTQ นั้น จะมีระดับสติปัญญาต่ำเช่นเดียวกัน


ที่มา

https://www.catdumb.tv/homophobia-research-339/?fbclid=IwAR0f76JLJyj1HjXnJvbEPObSdCGUZPafDq2K7Rc2SGtuIRKTEb6Ds5mKLQA

https://www.sciencedirect.com/science/article/abs/pii/S0160289617303628

https://www.unilad.co.uk/science/homophobia-and-low-intelligence-are-linked-study-finds/

ผศ.ดร.ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์ เป็นนักวิชาการทางบูรพคดีศึกษา สังกัดมหาวิทยาลัยมหิดล โพสต์ข้อความผ่าน เฟซบุ๊ก 'ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์' เกี่ยวกับความเด็ดขาดในประเทศรัสเซีย ที่ผู้นำจัดการกลุ่มต่อต้าน

โดยเฉพาะกลุ่มที่ทำงานเป็นหุ่นเชิดให้ต่างชาติมาคอยแทรกแซงประเทศว่า...

"รัสเซียมีข้อมูลว่า 'อะเล็กเซย์ นาวัลนี' (Alexei Navalny) และบริวารเป็นหุ่นเชิดของชาตินักล่าอาณานิคมตะวันตกที่พยายามทำลายความเชื่อถือของ วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีแห่งรัสเซีย >> เป็น 'หุ่นเชิด' ที่ทำงานให้ต่างชาติ

โดยเขาไม่ใช่ฝ่ายค้านเหมือนฝ่ายค้านของรัฐบาลทั่ว ๆ ไป จึงถูกรัฐบาลวลาดิเมียร์ จัดการเสียอยู่หมัด ต้องเข้าคุกไม่น้อยกว่า 3 ปีครึ่ง ป่านนี้ คงเข้าใจหลักอนิจจัง ทุกขังและอนัตตามากขึ้นแล้วครับ"

สำหรับ นาวัลนี ถูกมองว่าเป็นหอกข้างแคร่ของเครมลินมานานกว่า 10 ปี โดยพยายามเปิดโปงสิ่งที่เขาอ้างว่าเป็นการทุจริตฉ้อฉลขนานใหญ่ และยังระดมมวลชนคนหนุ่มสาวให้ออกมาต่อต้านรัฐบาลอยู่เนือง ๆ

อย่างไรก็ตาม ทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี สหรัฐฯ และสหภาพยุโรป (อียู) ต่างประณามการตัดสินดังกล่าวของรัสเซีย และเรียกร้องให้ปล่อยตัว นาวัลนี ทันที ขณะที่รัฐบาลรัสเซียก็สวนกลับอย่างไวว่า "นี่เป็นการแทรกแซงกิจการภายใน"


ที่มา:

https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=3590418241006110&id=626734224041208

https://www.thairath.co.th/news/foreign/2025776

วันวาเลนไทน์ปีนี้ ใครยังโสด! มาลองบอกรักด้วยขนมดูไหม ขนมอะไรบ้างที่น่าจะเอาไปให้เขาหรือเธอ ให้รู้กันไปเลยว่า I love you.

คอลัมน์ "ข้างครัวริมแม่น้ำบริสเบน"

“วาเลนไทน์อีกปีเวียนบรรจบ ยังไม่พบประสบเจอเธอเลยหนา อันตัวเราเปล่าเปลี่ยวสุดพรรณนา อยากจะหาใครสักคนเป็นคู่ใจ” อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันของคนไม่โสดแล้ว ส่วนคนโสดก็คงจะไม่อยากถวิลหาวันนี้กันสักเท่าไรนะคะสำหรับวันวาเลนไทน์ ปีนี้ถ้าใครยังโสดมาลองบอกรักสาวรักหนุ่มกันด้วยขนมดูไหม ไปดูกันสิว่ามีขนมอะไรที่น่าจะเอาไปให้เขาหรือเธอให้รู้กันไปเลยว่า I love you.

1.) Chocolate แน่นอนว่า chocolate เป็นสัญลักษณ์คู่กับวันวาเลนไทน์ เป็นโอกาสเหมาะที่สาว ๆ หรือคนที่ขี้อายมาก ๆ จะแสดงความรักให้กับคนที่ตัวเองรักด้วยการมอบ chocolate ให้กับเขาหรือเธอ Chocolate กล่องสวย ๆ พร้อมการ์ดใบเล็ก ๆ บ่งบอกถึงความในใจก็ดูเป็นหนึ่งไอเดียที่ไม่เลวเหมือนกัน

2.) Red velvet cake, Strawberry, Cookies หรือขนมอบอะไรก็ได้ฝีมือเราเองแต่ขอแดง ๆ ไว้ก่อน ไม่ว่าหนุ่มหรือสาวคนไหนได้ไป รับรองว่าต้องรู้ตัวแน่ว่ามีใครคนหนึ่งแอบรักเธออยู่ ไอ้ที่ว่าอะไรก็ได้ขอแดง ๆ ไว้ก่อนก็อย่าเผลอเอาซกเล็กตับสดใส่ถุงให้ไปหละ เพราะนอกจากจะไม่โรแมนติกเอาซะเลย ยังจะกลายเป็นสยองขวัญไปซะแทน

3.) ขนมครก ถือว่าเป็นขนมแห่งความรัก ซึ่งมาจากคำว่า ค-ร-ก “คนรักกัน” โดยมีตำนานมาจากความรักของหนุ่มสาวคู่หนุ่มสาวที่ถูกพ่อของฝ่ายหญิงกีดกัน และบังคับให้แต่งงานกับชายอื่น ในวันแต่งงานพ่อของหญิงสาวได้ขุดหลุมขนาดใหญ่เอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้ชายหนุ่มมาขัดขวาง เมื่อหญิงสาวรู้จึงรีบวิ่งมาบอกคนรัก แต่เธอกลับพลัดตกลงไปในหลุมเสียเอง เมื่อชายหนุ่มเห็นดังนั้น ก็รีบกระโดดลงไปเพื่อช่วยเธอ พอลูกสมุนในบ้านเห็นชายหนุ่มตกลงในหลุม ก็รีบโกยดินฝังกลบทันที โดยไม่รู้ว่ามีหญิงสาวตกลงไปด้วย กระทั่งผู้เป็นพ่อสั่งลูกสมุนโกยดินขึ้นมา ก็พบลูกสาวกับชายคนรัก นอนกอดกันด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข ตั้งแต่นั้นมาชาวบ้านต่างศรัทธาความรักของคนทั้งสองจึงได้ทำขนมชนิดหนึ่ง ที่ทำจากแป้ง และกะทิ ใส่ลงในหลุม พอสุกก็นำมาประกบกัน เรียกว่า ขนมครก เป็นสัญลักษณ์ว่าเราจะอยู่ร่วมกันตลอดไป

4.) ขนมผูกรัก เป็นขนมขึ้นชื่อของเมืองสตูล มีอีกชื่อหนึ่งในภาษามลายูว่า ‘ซิมโป้ยซายังกาเซะ’ หากแบ่งออกเป็นคำแล้ว แต่ละคำก็จะมีความหมาย เช่น คำว่า มโป้ย แปลว่า ผูก ซายัง แปลว่า ที่รัก และกาเซะ แปลว่า ขอบคุณ เมื่อนำมารวมกันแล้ว ก็จะกลายเป็นขนมผูกรักอย่างที่เรารู้จักนั่นเอง การทำขนมผูกรักในแต่ละชิ้นต้องอาศัยฝีมือและความใส่ใจ เพราะการผูกในแต่ละครั้งนั้นจะต้องกะปริมาณของไส้ให้พอดี หากใส่มากเกินไปก็อาจจะทำให้ไส้แตกได้ หรือหากใส่น้อยเกินไป ก็อาจจะทำให้เสียรสชาติ ก็เช่นเดียวกันกับความรัก หากคุณใส่ใจน้อยไปหรือมากไปจนเกินความพอดี มันก็อาจจะทำให้ความรักของคุณไม่อร่อยเหมือนเข่นขนม เพราะฉะนั้นต้องหาจุดตรงกลางให้เจอเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

5.) ขนมจีบ ถ้าคิดจะจีบใคร มุกนี้ก็เล่นแบบซื่อ ๆ ไปเลยแล้วกันนะ ชื่อก็บอกแล้วว่าขนมจีบ รับรองว่าให้ปุ๊บ เขาหรือเธอจะต้องรู้ปั๊บว่ากำลังโดนจีบอยู่แน่นอน นอกจากนี้ขนมจีบยังถือเป็นขนมมงคลที่ใช้ในงานแต่งงาน เป็นตัวแทนของคู่รักและความรัก บางทีการแต่งงานกันไปนานๆอาจจะทำให้เกิดความเบื่อหน่าย ขนมจีบจึงเป็นเหมือนขนมแก้เคล็ดเพื่อให้ความรักหวานชื่นเหมือนตอนจีบกันใหม่ ๆ

6.) ขนมชั้น ให้ขนมชั้นแล้วอาจต้องมีต่อด้วยว่า “ขนมชั้น ชั้นรักเธอ” ไม่เช่นนั้นคนรับอาจจะยืนงงอยู่ในดงลาเวนเดอร์ได้ ขนมชั้น ชั้นรักเธอยังถูกใช้เป็นขนมมงคลในงานแต่งงานซึ่งมีความหมายให้คู่ชีวิตมีความเจริญก้าวหน้าในการงานและความรักยิ่ง ๆ ขึ้นไปเหมือนชั้นขนมที่มีถึง 9 ชั้นอีกด้วย

7.) น้ำผึ้ง แค่อยากเรียกเธอว่า Honey น้ำผึ้งดี ๆ สักขวดมันคงไม่ดูเห่ยไปมั้ง นอกจากคำว่า Honey จะสามารถแปลได้หลายความหมายทั้ง “น้ำผึ้ง” และ “ที่รัก” แล้ว ความหวานจากธรรมชาตินี้ยังมีดีหลายอย่าง ทั้งช่วยรักษาสิว บำรุงผิว เสริมความงาม แล้วยังบรรเทาอาการเจ็บคอ รักษาโรคกระเพาะ แก้โรคนอนไม่หลับ และอื่น ๆ อีกมากมาย ว่าแล้วก็เอา Honey ไปมอบให้ ว่าที่ Honey กันดีกว่าค่ะ

วิธีข้างต้นที่ว่านี้ไม่รับประกันผลว่าจะทำให้คุณได้คนรักตัวเป็น ๆ หรือเปล่านะ บางคนอาจกินแห้ว บางคนอาจสมหวัง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น คนที่คุณควรจะมอบความรักให้มาก ๆ ในทุก ๆ วันไม่เฉพาะวันวาเลนไทน์ก็คือตัวคุณเอง อย่าลืมดูแลสุขภาพและมอบความรักให้กับตัวเองในทุก ๆ วันนะคะ


แพร

อดีตผู้ประกาศข่าว สำนักริมแม่น้ำเจ้าพระยา ชีวิตดิ้นรนมาเป็นเชฟในเมืองบริสเบน รัฐควีนส์แลนด์ประเทศออสเตรเลีย สรรหามุมมองเรื่องเล่าจากดินแดนดาวน์อันเดอร์ มาให้อ่านกันบ่อย ๆ

สุ่มเก็บตัวอย่างเชื้อโควิด เชื้อโควิด-19 อาจอยู่ในฝรั่งเศส ตั้งแต่ พฤศจิกายน 2019

ไม่นานมานี้ได้มีการศึกษาตัวอย่างเซรุ่มหรือน้ำเหลืองของผู้ใหญ่ชาวฝรั่งเศสกว่า 9,000 คน บ่งชี้ว่า ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (SARS-CoV-2) อาจปรากฏในฝรั่งเศสครั้้งแรกสุด ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2019 เนื่องจากบางตัวอย่างที่เก็บระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2019 ถึงเดือนมกราคม 2020 มีผลตรวจแอนติบอดีต้านไวรัสฯ เป็นบวก 

การวิจัยดังกล่าวนำโดย ฟาบรีส การ์ราต์ ผู้อำนวยการสถาบันระบาดวิทยาและสาธารณสุขปีแยร์ หลุยส์ (iPLESP) และถูกตีพิมพ์ลงวารสารระบาดวิทยายุโรป (EJE) เมื่อวันที่ 6 ก.พ. ที่ผ่านมา

การศึกษาข้างต้นระบุว่าตัวอย่างเซรุ่มทั้งหมด 9,144 ตัวอย่าง ถูกเก็บระหว่างวันที่ 4 พ.ย 2019 ถึง 16 มี.ค. 2020 จากผู้อยู่อาศัยใน 12 ภูมิภาคบนแผ่นดินใหญ่ของฝรั่งเศส โดยกลุ่มผู้เข้าร่วมมีอายุเฉลี่ย 55 ปี และร้อยละ 51 เป็นผู้หญิง

“นักวิจัยได้จำแนกผู้เข้าร่วม 353 ราย ที่มีแอนติบอดีอิมมูโนโกลบูลินจี (IgG) ของไวรัสฯ เป็นบวก” และ “พบแอนติบอดีชนิดลบล้างฤทธิ์ในผู้เข้าร่วม 44 ราย”

ตัวอย่างจากผู้เข้าร่วมที่มีแอนติบอดีอิมมูโนโกลบูลินจีและแอนติบอดีชนิดลบล้างฤทธิ์ 13 ราย ถูกเก็บระหว่างวันที่ 5 พ.ย. 2019 ถึง 30 ม.ค. 2020 โดยตัวอย่างของผู้เข้าร่วมี 7 ราย ถูกเก็บในเดือนพฤศจิกายน 2019 ซึ่งนักวิจัยเชื่อว่าการศึกษานี้ชี้ว่าโรคโควิด-19 อยู่ในฝรั่งเศสมาอย่างน้อยตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2019

เมื่อวันที่ 7 พ.ค. 2020 โรงพยาบาลอัลเบิร์ต ชไวต์เซอร์ (Albert Schweitzer hospital) ในเมืองกอลมาร์ทางตะวันออกของฝรั่งเศส แถลงข่าวว่าคณะรังสีแพทย์ของโรงพยาบาลฯ ได้วิเคราะห์ผลสแกนทรวงอก 2,456 รายการ ที่ดำเนินการระหว่างวันที่ 1 พ.ย. 2019 ถึง 30 เม.ย. 2020 และพบว่ามีผู้ป่วยต้องสงสัยเป็นโรคโควิด-19 รายแรกสุดที่ย้อนไปถึงวันที่ 16 พ.ย. 2019

เมื่อวันที่ 3 พ.ค. 2020 อีฟส์ โคเฮน หัวหน้าแผนกผู้ป่วยหนักของโรงพยาบาลสองแห่งในเครือเอพี-เอชพี (AP-HP) แถลงข่าวว่าโรงพยาบาลทั้งสองแห่งได้วิเคราะห์ตัวอย่างจากผู้ป่วยโรคปอดบวม 24 ราย ระหว่างเดือนธันวาคม 2019 ถึงมกราคม 2020 และพบชายคนหนึ่งที่ถูกส่งมารักษาตัวในโรงพยาบาลเมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 2019 มีผลตรวจโรคโควิด-19 เป็นบวก


ที่มา: https://www.naewna.com/inter/552418
 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top