Wednesday, 14 May 2025
WeekendNews

รู้จัก Polar Vortex สภาพภูมิอากาศแปรปรวน ปรากฏการณ์ 'เย็นวูบวาบ' ที่คาดว่าไทยกำลังเจอ

(3 เม.ย. 65) จากกรณีที่กรมอุตุนิยมวิทยา รายงานลักษณะอากาศทั่วไป พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า บริเวณความกดอากาศสูงกำลังค่อนข้างแรงจากประเทศจีนได้แผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบน และทะเลจีนใต้แล้ว ทำให้บริเวณดังกล่าวอุณหภูมิจะลดลงกับมีลมแรง โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนืออุณหภูมิจะลดลง 5-7 องศาเซลเซียส 

ส่วนภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล อุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศาเซลเซียส แต่ยังคงมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นได้บางพื้นที่

ส่วนมากบริเวณภาคเหนือตอนบน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง และภาคตะวันออก ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง และระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย สำหรับลมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมภาคใต้และอ่าวไทยเริ่มมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่ง

ขณะที่สภาพอากาศกรุงเทพมหานครและปริมณฑล อากาศเย็น กับมีลมแรง และอุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศาเซลเซียส โดยมีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 10 ของพื้นที่อุณหภูมิต่ำสุด 21-22 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 28-29 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-25 กม./ชม.

ด้าน นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา กรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ Weerasak Kowsurat โดยระบุว่า...

อากาศที่เย็นลงในไทยแบบวูบวาบนี้ สิ่งที่ต้องเร่งดูแล นอกจากคนให้มีที่นอนที่อบอุ่นเพียงพอแล้ว

สัตว์เองก็จะประสบปัญหาความหนาวเย็นที่เค้าอาจปรับตัวไม่ทันเช่นกัน

นี่คือผลของภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง หรือ Climate Change ที่เกิดจากอุณหภูมิภายในขั้วโลกทั้งสอง เกิดอาการหนาวน้อยลงในบางจุด หรือบางจุดมาจากไออุ่นนอกพื้นที่เบียดรุกเข้าสู่แดนขั้วโลก

น้ำแข็งขั้วโลกละลาย ทำให้กระแสลมที่เคยพัดวนทวนเข็มนาฬิกาด้วยความเร็วเฉลี่ย 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ที่ปกติหมุนพัดที่ความสูง 10 กิโลเมตรจากพื้นดินรอบเขตขั้วโลกมานับล้านปีเกิดสะดุด

กำแพงลมนี้เป็นเสมือนปราการธรรมชาติที่เคยขังไอเย็นไว้ในขั้วโลก 

บัดนี้เริ่มมีจุดที่มันยืดย้วยออกเป็นห้วงๆ เพราะไออุ่นจากมหาสมุทรและแผ่นดินทวีปบางย่านที่มากขึ้นลอย ไปกระทบกำแพงลม 

ทำให้ลมหมุนถูกเบี่ยงเบน อ้อมออกจากเส้นทางเดิมๆ

ทีนี้ไอเย็นก็ขยายออกตามลงมา แล้วแต่ว่ารอยยืดนั้นไปเกิดในจุดไหน

พอจุดนั้นยืดย้วย ก็จะดันเอาอากาศชุดที่ติดกับมันให้ดันกันต่อไปสู่เขตอื่น แม้แต่เขตอากาศของเส้นศูนย์สูตร

ความเยือกเย็นจึงถูกดันมาเป็นทอดๆ

ปรากฏการณ์นี้ เรียกว่า Polar Vortex

แม้จะย้วยมาเพียงระยะเวลาสั้นๆ แต่ก็ชี้ให้เราตระหนักว่า โลกใบนี้เล็กกว่าที่เราเคยรู้จัก

สิ่งที่เกิดกับภาวะโลกร้อน ที่ขั้วโลกเหนือ สะเทือนมาถึงเส้นศูนย์สูตรได้อย่างรวดเร็วเหมือนกัน

ในทางกลับกัน กำแพงลมเย็นที่ถูกไออุ่นเบียดให้แคบลงก็แปลว่าจะมีไอร้อนเบียดเข้าหาขั้วโลกเช่นกัน

ปีนี้เราคงได้เห็นสภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงที่จะเป็นผลตามมา

อย่างไรเสีย เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทางกรมอุตุนิยมวิทยาก็ได้มีการออกมาชี้แจงข่าวลือตามที่มีสื่อสังคมออนไลน์ได้มีการเผยแพร่ข้อความและภาพ ถึงสาเหตุที่อุณหภูมิทั่วไทยลดลง อากาศแปรปรวน หนาวเย็น ฝนตกหรืออากาศหนาวเย็นช่วงฤดูร้อนเดือนเมษายน 2565 โดยผู้เชี่ยวชาญได้ชี้ว่าเป็นผลจากปรากฏการณ์ Polar Vortex ทำให้เย็นวูบวาบ กระแสลมโลกเบี่ยงทิศ ผลพวงปัญหาโลกร้อนที่ต้องเร่งแก้ไขนั้น
 

สถาบันพระปกเกล้า' จับมือ กกต. จัด 'มหกรรมส่งเสริมความรู้การปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข' แก่ประชาชน-เยาวชนทั่วประเทศ

ระหว่างวันที่ 2-3 เมษายน สถาบันพระปกเกล้า จัดมหกรรมส่งเสริมความรู้  'การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข' โดยมี นายเสรี สุวรรณภานนท์ ประธานคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน , ศาสตราจารย์วุฒิสาร ตันไชย เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า, นายธวัชชัย เทอดเผ่าไทย กรรมการการเลือกตั้งฯ นายแสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง, รศ.ดร. ปกรณ์ ปรียากร ประธานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง “ภารกิจการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง (Big rock 1)” พร้อมวิทยากร และผู้เข้าร่วมการอบรมจากศูนย์พัฒนาการเมืองภาคพลเมือง 56 จังหวัด สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง พร้อมด้วยสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัด และผู้แทนจากสำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ปยป.) ทั่วประเทศ จับมือกันเดินหน้าเพื่อส่งต่อความรู้สู่ประชาชนทั่วประเทศ 

ศาสตราจารย์วุฒิสาร เปิดเผยว่า สถาบันพระปกเกล้า ในฐานะเป็นสถาบันวิชาการชั้นนำด้านการพัฒนาประชาธิปไตย ได้รับมอบหมายจากคณะปฏิรูปประเทศด้านการเมือง สำหรับกิจกรรมปฏิรูปที่ 1 หรือ Big Rock 1 การส่งเสริมความรู้ทางการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และ กิจกรรมปฏิรูปที่ 5 หรือ Big Rock 5 การปรับปรุงโครงสร้างและเนื้อหาของรัฐธรรมนูญเพื่อการปฏิรูป ภายใต้แนวคิดสำคัญเพื่อต้องการส่งเสริม เผยแพร่ความรู้ด้านการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ให้กับประชาชนและเยาวชน เพื่อให้ประชาชน และเยาวชนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เมื่อเติบโตเป็นพลังที่เข้มแข็งของประเทศชาติและสังคมที่เท่าทันการเปลี่ยนแปลง เข้าใจวิถีวัฒนธรรมแบบไทย พร้อมเป็นพลเมืองในอนาคตที่จะขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไทยให้เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น

'เฉลิมชัย' พอใจผลการส่งออกผลไม้ไทยไปจีนล็อตแรกด้วยรถไฟสาย 'จีน-ลาว'

'รัฐมนตรีเฉลิมชัย' พอใจผลการส่งออกผลไม้ไทยไปจีนล็อตแรกด้วยรถไฟสาย 'จีน-ลาว' ผ่านด่านโมฮ่านในมณฑลยูนนานแล้ววันนี้ ด้าน 'อลงกรณ์' เผยแผนต่อไปเดินหน้าจับมือ 'ลาว-เวียดนาม' เปิดประตูอีสานสู่แปซิฟิกจากนครพนมเชื่อมท่าเรือหวุงอ๋างเพิ่มช่องทางขนส่งสินค้าเกษตรทางเรือ

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะประธานคณะทำงานของคณะกรรมการบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) เปิดเผยวันนี้ (3เม.ย) ว่า การขนส่งทุเรียน 2 ตู้คอนเทนเนอร์และมะพร้าวจำนวน 1 ตู้คอนเทนเนอร์ทางรถไฟจากสถานีรถไฟมาบตาพุตจังหวัดระยองในภาคตะวันออกสู่ประเทศจีนโดยมีนายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุขและส.ส.ระยอง เป็นประธานการปล่อยขบวนรถเมื่อวันที่27มีนาคมได้ถึงช่วงสุดท้ายที่สำคัญมากคือการขนส่งข้ามพรมแดนลาวที่ด่านบ่อเตนสู่แผ่นดินใหญ่จีนที่ด่านโมฮ่าน มณฑลยูนนานได้ในวันนี้

 

นับเป็นระบบการขนส่งหลายรูปแบบ (Multi Modal Transportation)คือใช้ทั้งระบบรางและระบบรถที่เริ่มดำเนินการเป็นครั้งแรกเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้ากรณีที่ยังไม่สามารถขนส่งผลไม้ทางรถไฟจากลาวข้ามแดนไปด่านรถไฟโมฮ่านโดยตรงเนื่องจากจีนกำลังก่อสร้างอาคารและลานตรวจโรคพืชที่ด่านรถไฟโมฮ่านจึงต้องไปใช้การตรวจโรคพืชที่ด่านโมฮ่านซึ่งเป็นด่านใหญ่ด่านเดิมไปพรางก่อน

“ทั้งนี้ได้รายงานให้ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) ทราบแล้วโดยท่านรัฐมนตรีได้แสดงความพอใจแผนโลจิสติกส์เกษตรที่ประสบผลสำเร็จจากการทดสอบการขนส่งทุเรียนและมะพร้าวน้ำหอมล็อตแรกจากไทยผ่านลาวไปจีนภายใต้พิธีสารผลไม้ไทย-จีนด้วยเส้นทางรถไฟจีน-ลาวโดยได้สั่งการให้มีการจัดประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) ในวันพฤหัสบดีที่ 7 เมษายนเพื่อพิจารณาแก้ไขปัญหาทุกขั้นตอนเนื่องจากการขนส่งล็อตแรกยังมีความล่าช้ากว่าเป้าหมายรวมทั้งการจัดการเรื่องพิธีการเอกสารของหน่วยงานต่างๆ การจองขบวนรถไฟ ตารางการเดินรถ และค่าระวางการขนส่งในระบบ 'ราง-รถ' ให้สามารถเพิ่มปริมาณการขนส่งผลไม้บนเส้นทาง”หนองคาย-เวียงจันทน์-บ่อเตน-โมฮ่าน”ให้ได้มากที่สุดและเร็วที่สุดเพื่อเป็นอีกทางเลือกใหม่ของการขนส่งผลไม้ไทยไปจีนสำหรับฤดูการผลิตปี 2565”

เปิดเบื้องลึก!! ยักยอกทรัพย์ 'วัดบวรฯ' 200 ล้าน มูลเหตุที่ 'ไวยาวัจกร' ควรพึงรับผิดชอบ

นายไพศาล พืชมงคล อดีตที่ปรึกษาพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก มีรายละเอียดดังนี้...

เบื้องลึกยักยอกทรัพย์วัดบวร 200 ล้าน!!!!

1. เมื่อวานนี้ สื่อมวลชนรายงานข่าวใหญ่ที่ทำให้ตกตะลึงกัน นั่นคือข่าวการที่ตำรวจและ ปปง. เข้าทำการจับกุมและยึดทรัพย์ลูกศิษย์ของสมเด็จพระวันรัต วัดบวรในข้อหายักยอกทรัพย์ เป็นจำนวนมากถึง 200 ล้านบาท

ข่าวดังกล่าวนี้อาจทำให้กระทบต่อเกียรติคุณและความบริสุทธิ์ของเจ้าประคุณสมเด็จพระวันรัต และอาจกระทบชื่อเสียงของวัดบวรด้วย! ดังนั้นจึงควรทำความเข้าใจเบื้องลึกเบื้องหลังเรื่องนี้

2. ก่อนอื่นต้องขอบอกว่าจำนวนเงินที่มีการยักยอกรวมถึงทรัพย์สินหลายรายการนั้น ไม่ใช่ทรัพย์สินส่วนตัวของเจ้าประคุณสมเด็จ แต่เป็นทรัพย์สินของวัดที่อยู่ในความดูแลของเจ้าพระคุณสมเด็จ

ดังนั้นต้องทำความเข้าใจก่อนว่าเจ้าพระคุณสมเด็จไม่ได้มีทรัพย์สินส่วนตัวดังที่เป็นข่าว

3. เจ้าประคุณสมเด็จเป็นพระมหาเถระที่เคร่งในพระวินัย ไม่จับตัองเงินทอง

เงินทองทั้งหมดจะเป็นหน้าที่ของไวยาวัจกร ที่เจ้าประคุณสมเด็จมอบหมายซึ่งเป็นไปตามพระวินัย

ดังนั้นบรรดาทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องจึงอยู่ในความครอบครองดูแลจัดการของไวยาวัจกร ซึ่งก็คือผู้ต้องหาในคดีนี้

จึงควรเข้าใจในขั้นนี้ว่า ทรัพย์สินที่มีการกล่าวหาว่ายักยอกนั้น เป็นเรื่องที่ลูกศิษย์ ซึ่งเป็นไวยาวัจกรเป็นผู้ครอบครองดูแลและจัดการ! การจัดการผิดถูกเป็นเรื่องความรับผิดชอบของไวยาวัจกรนั้น!

4. จำนวนเงินที่เกี่ยวข้องเกือบทั้งหมด เป็นเรื่องเงินในการก่อสร้างศาสนสถานสำคัญแห่งหนึ่งซึ่งประคุณสมเด็จได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ทำการก่อสร้าง เพื่อประโยชน์ในพระพุทธศาสนา

การก่อสร้างนี้มีวงเงินประมาณ 80 ล้านบาท และเงินดังกล่าวก็อยู่ในความดูแลจัดการของไวยาวัจกร ซึ่งมีหน้าที่จัดการให้ถูกต้อง เพื่อประโยชน์ในการก่อสร้างให้สำเร็จลุล่วง

5. นอกจากเงิน 80,000,000 บาท ดังกล่าวแล้วยังมีวงเงินอีก 2-3 ยอด ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับการบูรณะก่อสร้างและค่าใช้จ่ายในกิจการของวัด และอยู่ในหน้าที่ดูแลรับผิดชอบของเจ้าพระคุณสมเด็จ ซึ่งเป็นหน้าที่ของไวยาวัจกรในการครอบครองดูแลรักษาและจัดการให้เป็นไปโดยถูกต้อง
 

เกาะยอในความทรงจำ (๓)

นิพัทธ์พร เพ็งแก้ว นักเขียนเพื่อสิทธิมนุษยชน โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงความทรงจำเมื่อครั้งทำงานเก็บข้อมูลชีวิตชาวบ้านที่เกาะยอ จังหวัดสงขลา ว่า...

#ผักกาดดองกับยายเลี่ยนเห้ง เก้าลิ่ม
ยายเล่าไว้เมื่อปีพ.ศ. ๒๕๔๔

เมื่อก่อนคนแก่เกาะยอโดยเฉพาะแถบบ้านท้ายเสาะจะปลูกผักกาดกันมากทั้งผักกาดเขียวปลี ผักคะน้า ผักชายคิ้ม (ผักกวางตุ้ง) ผักกาดเขียวปลีเอามาดองขายได้ เกาะยอเคยมีชื่อทางทำผักกาดดองขาย แต่เมื่อราว ๕๐ ปีมานี้ชาวบ้านหันไปปลูกสวา (ละมุด) กันมาก เลยเลิกปลูกผักกาดไป 

ผักกาดดองและแตงดองจะเริ่มทำขายกันช่วงเดือน ๕-๕ เพราะเป็นช่วงหมดฝน แดดจัด ดองผักได้สบาย และจะหยุดทำในช่วงเดือน ๑๒-๓ เพราะฝนชุก มรสุมลง ปลูกผักไม่ได้ ปกติผักกาดจะหว่านเมล็ดได้ต้นกล้าแข็งแรงราว ๑ เดือน ปลูกลงหลุมอีก ๒ เดือน ก้นหลุมใส่หญ้าเผาเป็นปุ๋ย ดูแลจับหนอนถอนหญ้าไม่นานก็ได้กินแล้ว เดี๋ยวนี้ในปีพ.ศ. ๒๕๔๔ คนเกาะยอยังปลูกผักทำผักกาดดองแตงดองอยู่ ๒ เจ้า ที่บ้านสวนใหม่ คือยายเฒ่าเลี่ยนเห้ง เก้าลิ่ม อายุ ๘๕ ปี และพี่อำไพ พันธ์มโน อายุ ๕๓ ปี

ยายเลี่ยนเห้งเป็นแม่ของป้าหนูเจ้าของสูตรข้าวยำใบยอ คนแถวบ้านสวนใหม่เรียกยายว่า "ยายเฒ่ากระดูกเหล็ก" เพราะยายแก่งั่กแล้ว แต่ยังควงจอบคลานขึ้นชายเขาไปปลูกผักกาดและถอนหญ้าอยู่ทุกวัน จอบประจำตัวของยายเรียก "จอบคุณนาย" เป็นจอบด้ามเล็กเหมาะมือคนเฒ่า 

ยายเล่าว่า ยายคลานไปถอนหญ้า เอาม้านั่งตัวเตี้ยนั่ง (กระ)ถดไปทีละน้อย งุ่มง่ามใช้จอบจวกดิน ยืนจวกนั่งจวกจนผ้านุ่งเปิด ของข้างในโผล่ออกมาล่อไม่มีใครเห็น ยายปลูกผักดองผักขายมาตั้งแต่ราคา ๓ ถ้วยแกง ๕ บาท ใส่เรือยนต์พาไปขายบ่อยาง (สงขลา) ขายดิบขายดีล้วงผักดองหยิบผักดองขายจนมือเปื่อย ตอนหลังใส่หม้อบรรทุกหลังคารถสองแถวออกไปจากเกาะ น้ำดองผักหกราดหัวรดหน้าลูกน้องรถ (เด็กท้ายรถ) อยู่ประจำ ตอนนั้นผักดองถ้วยละ ๑๐ บาท ราคาดีแต่ยายทำไม่รอด ทำมากไม่ไหว ยายบอก -เสียดายเหลือเกิ๊น มาพบไม้งามตอนขวานแหว่ง เราหมดแรงเสียแล้ว!-

ผักกาดดองเกาะยอเป็นผักดองหวาน ต้องใช้ผักแก่ถ้าผักอ่อนดองแล้วสีดำไม่สวย มีวิธีทำตามลำดับขั้นตอนดังนี้

๑.) ล้างผักกาดเขียวปลีให้สะอาด ผึ่งลมให้แห้ง แล้วฝานเป็นชิ้นขนาดประมาณ ๒ นิ้ว

๒.) เอาน้ำใส่เนียง (โอ่งเล็ก) ให้น้ำท่วมผัก หากไม่ท่วมผักลอยเหนือน้ำผักจะเปื่อย แล้วขัดปากเนียงด้วยไม้ไผ่สาน ไม่ให้ผักลอย หากทำขายต้องคอยพลิกผักวันละ ๒-๓ ครั้ง จะได้จมน้ำทั่ว ผักไม่เปื่อย

๓.) ผสมเกลือลงในน้ำแช่ผัก ชิมรสให้พอเค็ม กลางวันเอาออกตากแดด ให้โดนแดดจัดผักกาดจะสีสวย กลางคืนปิดฝาไว้ ไม่ให้ฝนลงไปโดน เพราะจะเสียได้

๔.) แช่ผักไว้ ๒ คืน แล้วเปลี่ยนน้ำใหม่ ใส่เกลือใหม่ไม่ต้องมาก ให้พอเค็มนิดๆ 

๕.) แช่ผักไว้อีก ๒ คืน เคี่ยวน้ำตาลโตนดจนเดือดพลุ่งเป็นน้ำเชื่อม ทิ้งให้เย็น ใส่ลงในผัก ผักน้อยใส่น้อย ผักมากใส่มาก ชิมให้ได้รสหวานทิ้งไว้ ๑ คืน เช้าจะออกรสเปรี้ยว ใส่น้ำเชื่อมโตนดลงอีกนิดให้พอมีรสหวานแล้วขายได้เลย

ผักกาดดองหวานนี้เอามาต้มกับหมู หรือบีบน้ำออกผัดกับไข่ หรือกินเล่นก็ได้

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ ที่ 10 เมษายน 2565 : พระธรรมพัชรญาณมุนี (ชยสาโรภิกขุ)

ความเห็นผิด...
ปิดบังหัวใจคนได้อย่างน่ากลัว
เหมือนข้างในภาชนะที่คว่ำไว้
แสงสว่างจ้าแค่ไหน ก็เข้าไม่ได้

- พระธรรมพัชรญาณมุนี (ชยสาโรภิกขุ) - 

โควิดต้องเป็นศูนย์! 'จีน' ผนึกกำลังรอบด้าน ต้าน Omicron เจาะเซี่ยงไฮ้ ใต้นโยบาย Zero-Covid เพื่อรักษาชีวิตพลเมือง

วันนี้สื่อจีนยังคงรายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของ Covid-19 สายพันธุ์ Omicron ที่เข้ามาระบาดอย่างหนักในมหานครเซี่ยงไฮ้ ศูนย์กลางธุรกิจและการเงินที่สำคัญที่สุดของจีนอยู่ในขณะนี้

ล่าสุดยอดผู้ติดเชื้อยังคงเพิ่มต่อเนื่องมากกว่า 21,000 รายต่อวันในวันนี้ ซึ่งเป็นตัวเลขการติดเชื้อที่รุนแรงที่สุดของจีนนับตั้งแต่เกิดการระบาดใหญ่ครั้งแรกของโลกในเมืองอู่ฮั่นเมื่อต้นปี 2020

แต่ครั้งนี้ศูนย์กลางการระบาดเกิดที่เซี่ยงไฮ้ ที่เป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจจีน ทำให้จีนต้องล็อกดาวน์เขตย่านธุรกิจของเมืองนานกว่า 1 สัปดาห์แล้ว และไล่ปูพรมตรวจเชื้อ Covid-19 ทั่วทั้งเมือง ที่สามารถตรวจได้ถึง 25 ล้านคนต่อวัน

แต่ทางการจีนนั้นยอมรับว่า เชื้อ Covid-19 สายพันธุ์ Omicron มีความท้าทายกว่าสายพันธุ์อื่นๆ ที่เคยระบาดในจีน เนื่องจากความไวในการแพร่ระบาด ที่มักไม่แสดงอาการ จึงทำให้การตีวงสกัดทำได้ค่อนข้างยาก ซึ่งตอนนี้ การระบาดก็ยังคงเพิ่มสูงขึ้นจนจำนวนผู้ป่วยเริ่มเกินกำลังที่ทางโรงพยาบาลทั่วไปจะรับไหวแล้ว

นอกจากนี้ ยังเกิดปัญหาสินค้าอุปโภค บริโภคที่จำเป็นเริ่มขาดแคลน ระบบขนส่งสิ่งของจำเป็นเข้าเมืองเซี่ยงไฮ้ ที่มีประชากรหนาแน่นมากกว่า 23 ล้านคนก็มีอุปสรรคอย่างมากจากมาตรการล็อกดาวน์แบบเข้มของจีน

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม สื่อจีนรายงานว่า ชาวจีนยังสนับสนุนนโยบาย Zero-Covid ของรัฐบาลจีน เพราะเชื่อว่าการสกัดการระบาดให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรกจะช่วยรักษาชีวิตผู้คนได้

และตอนนี้จีนได้ผนึกสรรพกำลังส่งบุคลากรลงไปช่วยที่เซี่ยงไฮ้อย่างเร่งด่วน โดยมีรายงานข่าวว่าจีนได้ระดมแพทย์อาสา กว่า 38,000 คน จาก 15 มณฑลทั่วประเทศ เข้าไปดูแลผู้ป่วยที่เซี่ยงไฮ้แล้ว และเตรียมเปิดโรงพยาบาลสนามอีกจำนวน 60,000 เตียงได้ในไม่ช้า

ส่วนที่มณฑลเจียงซู และเจ้อเจียง ซึ่งอยู่ติดกับมหานครเซี่ยงไฮ้ จะกันพื้นที่ไว้สำหรับเป็นที่พักกักตัว และ Hospitel เสริมรวมกันอีก 60,000 ห้อง ตามมาตรการของกรมควบคุมโรคแห่งเซี่ยงไฮ้

“รอง ผบ.ตร. เปิดศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุ ช่วงสงกรานต์ พร้อมโชว์แคมเปญ 7 วัน 7 คลิป 7 หมื่น”

ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารงานจราจร (ศจร.ตร.) พล.ต.อ.ปรีชา เจริญสหายานนท์ ที่ปรึกษาพิเศษ ตร. พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รอง ผบช.น. พล.ต.ต.นิธิธร จินตกานนท์รอง ผบช.น. พล.ต.ต.เอกราช ลิ้มสังกาศ ผบก.ทล. พร้อมด้วย คุณกานดา วัฒนายิ่งสมสุข ที่ปรึกษาฝ่ายการตลาด บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) นายแพทย์แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ ผู้แทนสถานีวิทยุพิทักษ์สันติราษฎร์ สวพ.91 และ สถานีวิทยุ จส.100 ร่วมแถลงเปิด "ศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ตร." และเปิดแคมเปญรณรงค์อาสาตาจราจรช่วงสงกรานต์ในชื่อ “7 วัน 7 คลิป 7 หมื่น” เพื่อให้ประชาชนช่วยกันเป็นอาสาตาจราจร ตรวจตราการกระทำผิดกฎจราจรและอุบัติเหตุบนท้องถนน

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ เปิดเผยว่า สงกรานต์ปีนี้ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. สั่งเตรียมกำลังพล กว่า 80,000 นาย อำนวยความสะดวกการจราจร และดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชนที่เดินทางกลับภูมิลำเนา และที่พักอาศัย รวมถึงการป้องปรามไม่ให้มีการฝ่าฝืนกฎหมาย ตลอดเทศกาลฯ โดยแบ่งเป็นเจ้าหน้าที่ประจำจุดกวดขันวินัยจราจร 18,371 นาย จุดตรวจแอลกอฮอล์ 12,139 นาย ชุดเคลื่อนที่เร็วช่วยเหลืออุบัติเหตุ 9,670 นาย ส่วนที่เหลือเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สายตรวจ ธุรการ ที่ระดมกำลังเพื่อกวาดล้างอาชญากรรม และบริการประชาชนตลอดเทศกาล โดยไม่มีวันหยุดพัก สำหรับวันนี้ เป็นวันแรกที่เปิด ศูนย์อำนวยการป้องกัน และลดอุบัติเหตุทางถนนฯ ได้สั่งการให้ทุกหน่วยถือปฏิบัติ ดังนี้

1) การอำนวยความสะดวกจราจรเพื่อให้ประชาชนเดินทางอย่างปลอดภัย ให้ทุกหน่วยประสานเจ้าของถนนคืนพื้นผิวการจราจร เช่นจุดที่มีการก่อสร้าง ซ่อมแซมถนน เป็นเหตุให้รถชะลอตัว โดยสามารถคืนพื้นผิวได้แล้ว ทั้งหมด 418 จุดทั่วประเทศ จัดตำรวจอำนวยการจราจร ตามจุดสำคัญที่เป็นปัญหาการจราจร รวมทั้งแหล่งท่องเที่ยว ในกรณีเกิดอุบัติเหตุ ให้มีชุดเคลื่อนที่เร็วพร้อมอุปกรณ์เช่น รถยก รถสไลด์ เข้าถึงที่เกิดเหตุและคลี่คลายการจราจรได้ทันที นอกจากนี้ ยังได้ออกข้อบังคับเปิดช่องทางพิเศษเพื่อเร่งระบายรถ ทั้งขาเข้าและออก กทม. รวมระยะทาง 445 กม. และข้อบังคับห้ามรถบรรทุก 10 ล้อขึ้นไป เดินในถนนบางสาย เพื่อลดความหนาแน่นการจราจร สำหรับรถบรรทุกที่มีความจำเป็นต้องเดินรถ เช่น รถขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิง อาหารสด สามารถยื่นคำขออนุญาตผ่านระบบออนไลน์ ของ บก.ทล. ได้ที่ www.hwpdth.com

2) การป้องกันและลดอุบัติเหตุ ให้ทุกหน่วยทำบัญชีกลุ่มเสี่ยงในพื้นที่เพื่อเข้าไปรณรงค์ประชาสัมพันธ์ป้องปรามกลุ่มเป้าหมาย ตั้งจุดตรวจกวดขันวินัยจราจร 1,937 จุด จุดตรวจวัดแอลกอฮอล์ 1,430 จุด และชุดสายตรวจจราจรอีก 1,903 ชุด เพื่อกวดขันจับกุมการกระทำผิดกฏจราจรที่เป็นปัจจัยเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุเริ่มตั้งแต่ 4 เม.ย.65 เป็นต้นมา และช่วง 7 วันควบคุมเข้มข้น โดยทุกจังหวัดได้ตั้งค่าเป้าหมายการลดอุบัติเหตุ ผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ ต้องลดลงจากค่าเฉลี่ยสงกรานต์ 3 ปีย้อนหลัง ไม่น้อยกว่าร้อยละ 5

ทั้งนี้ได้จัดตั้งศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ตั้งแต่ 10 – 18 เม.ย.65 กำหนดให้มีการประชุมติดตามสถานการณ์อุบัติเหตุและการจราจรทุกวัน ในช่วง 7 วันควบคุมเข้มข้น (12 – 18 เม.ย.65)โดยมอบหมาย พล.ต.อ.ปรีชาฯ และ พล.ต.ท.ประจวบฯ เป็นประธานการประชุมตลอด 7 วัน และวันนี้เป็นการประชุมเปิดศูนย์ฯ เพื่อสั่งการทุกหน่วยให้เตรียมความพร้อมขั้นสุดท้าย

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ฯ กล่าวว่า การจะลดอุบัติเหตุบนถนนได้อย่างมีนัยสำคัญ ต้องสร้างจิตสำนึกการขับขี่ปลอดภัยตามกฎหมายจราจรให้กับสังคม ซึ่ง ตร. ได้ทำโครงการ อาสาตาจราจร ร่วมกับมูลนิธิเมาไม่ขับ บ.วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) จส.100 และ สวพ.91 เพื่อให้ประชาชนส่งคลิปกล้องหน้ารถ หรือคลิปจากกล้องโทรศัพท์มือถือ ที่บันทึกเหตุการณ์การกระทำผิดกฎจราจรสำคัญที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อบุคคลอื่น หรือบันทึกอุบัติเหตุสำคัญและสามารถใช้เป็นพยานหลักฐานในทางคดีของตำรวจได้เพื่อช่วยคนดีชี้คนผิดโดยมูลนิธิเมาไม่ขับจะคัดเลือกเดือนละ 10 คลิป เป็นเงินรวม 50,000 บาท ตั้งแต่เริ่มโครงการในเดือน พ.ย.64 ที่ผ่านมา มีประชาชนส่งคลิปมากว่า 100 คลิปแล้ว และสำหรับในเทศกาลสงกรานต์นี้ จะมีแคมเปญพิเศษ

“7 วัน 7 คลิป 7 หมื่น” ให้ประชาชนส่งคลิปในช่วง 7 วันควบคุมเข้มข้นของเทศกาลสงกรานต์ 2565 จากคลิปที่ส่งมาทั้งหมด จะมีการคัดเลือกให้เหลือ 7 คลิป และจะมีรางวัลให้คลิปละ 10,000 บาท รวมเป็นเงิน 70,000 บาท โดยได้รับสนับสนุนเงินรางวัลจาก บ.วิริยะประกันภัยฯ

Congratulations! 'แอนดรูว์ บิ๊กส์' ปลื้ม!! คว้าป.โท ศึกษาศาสตร์ ม.รามฯ การเติมเต็มอีกขั้นด้าน 'ภาษา' ของฝรั่งหัวใจไทย

ไม่นานมานี้ 'แอนดรูว์ พีตรี บิ๊กส์' ได้โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ก 'Andrew Biggs แอนดรูว์ บิ๊กส์' แสดงความรู้สึกขอบคุณจากทุกแรงใจที่ร่วมแสดงความยินดี ภายหลังคว้าปริญญาโท คณะศึกษาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงมาครอง โดยเขาได้เผยถึงประสบการณ์การเรียนรู้เกี่ยวกับภาษาไทยอีกขั้นอย่างมากมาย ทั้งการเขียนเรียงความ รายงาน การวิจัย และบทเรียนที่น่าสนใจต่างๆ จากรั้วมหาวิทยาลัยรามคำแหง 

พร้อมทั้งยังโพสต์ขอบคุณทุกคนที่คณะศึกษาศาสตร์ ตั้งแต่ คณาจารย์ที่ยอดเยี่ยม, เพื่อนนักเรียนร่วมคลาสทั้ง 20 คน, มิตรสหาย, ครอบครัว และเจ้าหน้าที่สถาบันฯ ที่ทำให้เขาได้สัมผัสกับความภาคภูมิใจใต้ชุดครุยของมหาวิทยาลัยรามคำแหงในครั้งนี้ หลังจากที่เคยคว้าปริญญาตรีครุศาสตรบัณฑิต เอกภาษาไทย จากมหาวิทยารามคำแหงมาแล้วก่อนหน้า

สำหรับ 'แอนดรูว์ บิ๊กส์' เป็นชาวออสเตรเลียที่มีประสบการณ์การสอนภาษาอังกฤษผ่านทางรายการวิทยุ โทรทัศน์ คอลัมน์ทางหน้าหนังสือพิมพ์ และนิตยสารในประเทศไทยมากว่า 30 ปี ภายใต้สโลแกนที่พูดบ่อยจนติดหูคนไทยอย่าง "ภาษาอังกฤษง่ายนิดเดียว”

กสทช.จับมือ สภาคนพิการฯ สร้างความรู้สู่สังคมดิจิทัลเพื่อคนพิการ และกลุ่มผู้ด้อยโอกาส

ณ หอประชุมสายลม 5021 อาคารหอประชุม สำนักงาน กสทช. จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการความร่วมมือการพัฒนาทักษะด้านความรู้ ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศกับการพัฒนาสู่สังคมดิจิทัล (MOU)  ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ร่วมกับ "สมาคมสภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทย" และกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน เพื่อเตรียมพัฒนาทักษะสร้างความรู้ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศกับการพัฒนาอาชีพสู่สังคมดิจิทัล ให้กลุ่มคนพิการ ทั่วประเทศ 20,000 คน ระยะเวลา ดำเนินงาน 720 วัน 

โดย นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. / นายประทีบ ทรงลำยอง อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน / นายชูศักดิ์ จันทยานนท์ นายกสมาคมสภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทยร่วมลงนาม และมี "นายสุชาติ โอวาทวรรณสกุล" อุปนายกสมาคมสภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทย ร่วมเป็นสักขีพยาน

นับเป็นงานอีกชิ้นหนึ่งที่เกิดจากความร่วมมือองค์การคนพิการระดับชาติ ที่ทำให้นโยบายDigital for All ลงถึงกลุ่มคนพิการทั่วประเทศ ทั้งนี้ สมาคมแต่ละประเภทความพิการ จะประสานและจัดอบรมคนพิการในภาคีเครือข่ายโดยการสนับสนุนหลักสูตรและแนวทางจากสถาบันวิชาการ อาทิ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นต้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top