Saturday, 19 April 2025
VISA

‘อินเดีย’ ตึง!! ระงับออกวีซ่าพลเมืองชาวแคนาดา หลังถูกกล่าวหาเอี่ยวสังหารนักเคลื่อนไหวชาวซิกข์

‘อินเดีย’ ระงับการออกวีซ่าให้กับพลเมืองชาวแคนาดา โดยอ้างเหตุผลเรื่องภัยคุกคามด้านความมั่นคงต่อเจ้าหน้าที่ในแคนาดา ในจังหวะที่ความสัมพันธ์ระหว่างสองชาติดิ่งหนัก จากประเด็นการสังหารนักเคลื่อนไหวชาวซิกข์

เมื่อวันที่ 21 ก.ย. 66 บริษัทผู้ให้บริการออกวีซ่าในแคนาดา บีแอลเอส อินเตอร์เนชันแนล ประกาศระงับการออกวีซ่าในแคนาดา ‘อย่างไม่มีกำหนด’ เนื่องจาก ‘ปัญหาด้านการปฏิบัติการ’ ตามการเปิดเผยของกระทรวงการต่างประเทศอินเดียเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา

อินเดียประกาศแผนระงับออกวีซ่าให้แคนาดา ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากสถานทูตแคนาดาในอินเดียประกาศปรับจำนวนเจ้าหน้าที่ในอินเดีย เนื่องจากเจ้าหน้าที่การทูตแคนาดาบางรายได้รับคำข่มขู่คุกคามบนสื่อสังคมออนไลน์

การเคลื่อนไหวของแคนาดาและอินเดีย ยิ่งสะท้อนถึงสัมพันธ์ร้าวลึกระหว่างสองชาติ ซึ่งมีต้นตอมาจากการที่รัฐบาลแคนาดาเดินหน้าสืบสวนข้อกล่าวหาที่ว่าอินเดียมีส่วนเชื่อมโยงกับการลอบสังหาร ‘ฮาร์ดีป ซิงห์ นิจจาร์’ นักเคลื่อนไหวชาวซิกข์วัย 45 ปี ที่มณฑลบริติชโคลัมเบีย เมื่อเดือนมิถุนายน ซึ่งรัฐบาลอินเดียออกมาปฏิเสธ

ประเด็นดังกล่าวได้นำไปสู่ความตึงเครียดด้านการทูตและเศรษฐกิจระหว่างกัน ตั้งแต่การขับทูตของอีกฝ่ายออกนอกประเทศ การแจ้งเตือนพลเมืองให้ระมัดระวังเรื่องความปลอดภัยในการพำนักอาศัยในประเทศคู่กรณี ไปจนถึงการระงับการเจรจาข้อตกลงการค้าระหว่างกัน

‘นายกฯ’ ลั่น!! รัฐบาลพร้อมหนุนซอฟต์พาวเวอร์ทุกประเภท เล็งนำร่องวีซ่าพิเศษให้ นทท.ที่มาฝึกมวยไทย อยู่ยาว 90 วัน!!

(14 ม.ค.67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความ ถึงการสนับสนุนซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศไทย โดยเฉพาะมวยไทย หลังรัฐบาลมีแผนเปิดตัววีซ่าพิเศษ สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ต้องการเดินทางมาประเทศไทย เพื่อฝึกมวยไทย โดยจะอนุญาตให้อยู่ได้นานถึง 90 วัน เพื่อจบหลักสูตร ว่า…

“ผม และรัฐบาลไทยพร้อมสนับสนุน Soft Power ของไทยครับ การให้วีซ่าพิเศษ 90 วัน (จากวีซ่าปกติ 60 วัน) แก่คนที่สนใจจะเข้ามาเรียนมวยไทยเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเล็กๆ ของการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจไทย ด้วยการใช้ความเป็นไทยส่งออกไกลไปทั่วโลกครับ

เราไม่ได้คิดให้วีซ่าพิเศษเฉพาะเพียงมวยไทยเท่านั้นนะครับ แต่ Soft Power อื่นๆ อย่าง รำไทย ดนตรีไทย การเรียนทำอาหารไทย ฯลฯ เราก็พร้อมสนับสนุน และกำลังเตรียมพิจารณาให้วีซ่าพิเศษเป็นลำดับต่อไปด้วยครับ” นายเศรษฐา กล่าว

‘บลูมเบิร์ก’ ตีข่าว ‘กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ’ เตรียมฟ้อง ‘วีซ่า’ หลังตรวจพบผูกขาดตลาดบัตรเดบิต-สกัดไม่ให้คู่แข่งเข้าตลาด

(24 ก.ย. 67) บลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานอ้างแหล่งข่าวว่า กระทรวงยุติธรรมสหรัฐโดยแผนกต่อต้านการผูกขาดเตรียมยื่นการฟ้องร้องดำเนินคดี บริษัท วีซ่า (Visa Inc.) ผู้ให้บริการเครือข่ายการชำระเงินสัญชาติสหรัฐ ในข้อกล่าวหาผูกขาดตลาดบัตรเดบิตในสหรัฐฯ โดยมิชอบด้วยกฎหมาย คาดว่าจะยื่นฟ้องต่อศาลของรัฐบาลกลางโดยเร็วที่สุด

แหล่งข่าวผู้ไม่ประสงค์ให้ออกนามระบุอีกว่า เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายป้องกันการผูกขาดตลาดกำลังเตรียมที่จะกล่าวหาวีซ่า ผู้ให้บริการเครือข่ายการชำระเงินรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ได้ดำเนินการกีดกันคู่แข่งไม่ให้สามารถแข่งขันหรือท้าทายการครองตลาดบัตรเดบิตของตน หลังพบวีซ่ามีพฤติกรรมเป็นภัยต่อการแข่งขันหลายอย่าง 

ข้อกล่าวหาของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ รวมถึงการที่วีซ่าทำข้อตกลงแบบเอ็กซ์คลูซีฟที่มุ่งหมายจะขัดขวางการแข่งขันที่เพิ่มมากขึ้นและสกัดกั้นความพยายามของหลายบริษัทเทคโนโลยีที่จะเข้าสู่ตลาดบัตรเดบิตของสหรัฐ

หลังจากมีข่าวจะโดนฟ้อง หุ้น V ของวีซ่าที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) ร่วงลงมากถึง 1.95% ในการซื้อขายช่วงหลังปิดตลาดวันจันทร์ที่ 23 กันยายน 

ขณะนี้วีซ่าและกระทรวงยุติธรรมยังปฏิเสธที่จะให้ความเห็น

การยื่นฟ้องร้องดำเนินคดีของกระทรวงยุติธรรมดังกล่าวถือเป็นจุดสิ้นสุดของการสอบสวนแนวปฏิบัติในการดำเนินธุรกิจของวีซ่าที่กินเวลานานหลายปี ซึ่งการสอบสวนนี้เกิดจากกรณีที่วีซ่าล้มเหลวในการเข้าซื้อกิจการบริษัท เพลด (Plaid Inc.) ซึ่งทำธุรกิจให้บริการโครงสร้างพื้นฐานทางการเงิน เมื่อปี 2021 

ในระหว่างการดำเนินการสอบสวน กระทรวงยุติธรรมยังตรวจสอบโครงสร้างทางราคาของเทคโนโลยีการแปลงสินทรัพย์เป็นโทเค็น (Tokenization) ในการที่วีซ่าให้บริการโทเค็นการชำระเงินด้วย 

เมื่อปีก่อนหน้านี้ บริษัท มาสเตอร์การ์ด (Mastercard Inc.) คู่แข่งทางธุรกิจของวีซ่าได้ตกลงจ่ายเงินระงับคดีที่คล้ายกันนี้ ซึ่งมุ่งตรวจสอบเทคโนโลยี Tokenization ของมาสเตอร์การ์ด โดยคณะกรรมการการค้าแห่งสหพันธรัฐ (FTC) ซึ่งเป็นอีกหน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมายต่อต้านการผูกขาดเป็นผู้ยื่นฟ้องร้องดำเนินคดี

สหรัฐฯ เล็งแบนวีซ่านักเรียนจีน อ้างเหตุผลความมั่นคง นักวิชาการเตือน อาจทำลายอนาคตนวัตกรรมอเมริกา

(25 มี.ค. 68) ไรลีย์ มัวร์ (Riley Moore) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรครีพับลิกัน รัฐเวสต์เวอร์จิเนีย ได้เสนอร่างกฎหมายในสภาผู้แทนราษฎรชื่อ “Stop CCP VISAs Act” ที่มีเป้าหมายเพื่อห้ามไม่ให้พลเมืองจีนสามารถขอรับวีซ่านักเรียนเข้าสหรัฐอเมริกา โดยให้เหตุผลว่ามาตรการนี้มีความจำเป็นต่อความมั่นคงของประเทศและเพื่อป้องกันการจารกรรมทางเทคโนโลยีและข่าวกรองจากรัฐบาลจีน

มัวร์ระบุว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวเป็นความพยายามที่จะจำกัดอิทธิพลของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในสหรัฐฯ และลดความเสี่ยงที่อาจเกิดจากนักศึกษาจีนที่มีความเกี่ยวข้องกับหน่วยงานของรัฐจีน

“ทุกปี เราอนุญาตให้ชาวจีนเกือบ 300,000 คนเดินทางมายังสหรัฐอเมริกาด้วยวีซ่านักเรียน เราเชิญชวนพรรคคอมมิวนิสต์จีนมาสอดส่องกองทัพของเรา ขโมยทรัพย์สินทางปัญญาของเรา และคุกคามความมั่นคงของชาติอย่างแท้จริง” มัวร์กล่าว

อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอนี้ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากกลุ่มสิทธิมนุษยชน นักวิชาการ และองค์กรที่สนับสนุนเสรีภาพทางการศึกษา โดยพวกเขาเตือนว่าการจำกัดวีซ่าเช่นนี้อาจกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และส่งผลเสียต่อสถาบันการศึกษาชั้นนำของสหรัฐฯ ที่พึ่งพานักศึกษาต่างชาติในการขับเคลื่อนงานวิจัยและพัฒนา

ขณะที่ แกรี ล็อก (Gary Locke) อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศจีน ได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้ว่าร่างกฎหมายที่มัวร์เสนอ “ไม่เพียงแต่เหยียดเชื้อชาติ แต่ยังเป็นการขว้างงูไม่พ้นคอ” เพราะการปิดโอกาสนักเรียนจีนจะบ่อนทำลายความเป็นผู้นำของสหรัฐฯ ในด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม

ล็อกเน้นย้ำว่าความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ของสหรัฐฯ อาศัยความสามารถของนักวิจัยและนักศึกษาต่างชาติอย่างมาก และการจำกัดวีซ่าจะเป็นการทำร้ายผลประโยชน์ของสหรัฐฯ เอง

ด้านรัฐบาลจีนได้ออกมาแสดงท่าทีไม่พอใจต่อร่างกฎหมายนี้เช่นเดียวกัน โดยมองว่าเป็นมาตรการที่ไม่เป็นธรรมและอาจทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศตึงเครียดมากขึ้น 

อย่างไรก็ดีร่างกฎหมายดังกล่าวยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎร และยังไม่มีความชัดเจนว่ามาตรการนี้จะได้รับการสนับสนุนมากน้อยเพียงใดจากสมาชิกสภาคองเกรสทั้งสองพรรค

ทั้งนี้ การเสนอร่างกฎหมายนี้สะท้อนถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นของฝ่ายนิติบัญญัติสหรัฐฯ เกี่ยวกับบทบาทของจีนในด้านเทคโนโลยีและความมั่นคงของประเทศ

สหรัฐฯ เพิกถอนวีซ่านักเรียนต่างชาติกว่า 300 คน กรีนการ์ดก็ไม่รอด หลังตรวจพบโพสต์โซเซียลมีเดียหนุนกลุ่มฮามาส

(8 เม.ย. 68) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ สั่งการให้เจ้าหน้าที่ทูตสหรัฐฯ ตรวจสอบกิจกรรมทางโซเชียลมีเดียของผู้สมัครวีซ่าบางราย โดยเฉพาะผู้ที่มีแนวโน้มวิพากษ์วิจารณ์สหรัฐฯ และ อิสราเอล เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ที่มีทัศนคติเป็นปฏิปักษ์ต่อสหรัฐฯ เข้าประเทศ

โดยคำสั่งดังกล่าวถูกส่งในโทรเลขถึงคณะผู้แทนทางการทูตเมื่อวันที่ 25 มีนาคม กำหนดให้เจ้าหน้าที่กงสุลส่งผู้สมัครวีซ่า นักเรียนและนักท่องเที่ยวแลกเปลี่ยนบางราย ไปที่ “หน่วยป้องกันการฉ้อโกง” เพื่อทำการตรวจสอบโซเชียลมีเดียตามข้อบังคับที่กำหนด

มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวว่า มีนักเรียนต่างชาติอย่างน้อย 300 คนที่ถูกเพิกถอนวีซ่าในช่วงที่รัฐบาลทรัมป์ใช้มาตรการปราบปรามผู้อพยพเข้าเมือง

“เราทำแบบนั้นทุกวัน ทุกครั้งที่ผมพบคนบ้าพวกนี้ ผมก็จะยึดวีซ่าของพวกเขาไป” เขากล่าวเสริม “ผมหวังว่าสักวันหนึ่งเราจะหมดวีซ่าไป เพราะเราได้กำจัดพวกเขาทั้งหมดแล้ว แต่เรายังคงตามหาคนบ้าพวกนี้ที่คอยทำลายข้าวของทุกวัน”

นอกเหนือจากผู้ถือวีซ่านักเรียนแล้ว รัฐบาลทรัมป์ยังดำเนินการกับผู้มีถิ่นพำนักถาวรอย่างถูกกฎหมาย เช่นมะห์มุด คาลิล นักเคลื่อนไหวชาวปาเลสไตน์ ที่ถูกเพิกถอนกรีนการ์ดจากผู้มีถิ่นพำนักถาวรอย่างถูกกฎหมาย 

“รัฐมนตรีต่างประเทศตัดสินใจว่ากิจกรรมในต่างประเทศของผู้สมัคร ก่อให้เกิดหรือมีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อความมั่นคงของชาติหรือต่อนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ” รัฐบาลสหรัฐ แถลงการณ์

คำสั่งดังกล่าวเป็นการดำเนินการตามนโยบายของ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มุ่งเน้นการเนรเทศชาวต่างชาติที่ถูกมองว่ามี “ทัศนคติเป็นปฏิปักษ์” ต่อสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงการปราบปรามสิ่งที่เขาเรียกว่า “การต่อต้านชาวยิว” โดยเฉพาะการประท้วงที่สนับสนุน “ปาเลสไตน์” ในมหาวิทยาลัยต่างๆ ซึ่งส่งผลให้มีการเนรเทศนักศึกษาต่างชาติที่เข้าร่วมการประท้วงดังกล่าว

ทั้งนี้ การตรวจสอบโซเชียลมีเดียของผู้สมัครวีซ่าเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการป้องกันการเข้าประเทศของบุคคลที่อาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศหรือมีพฤติกรรมที่ไม่สอดคล้องกับค่านิยมของสหรัฐฯ รวมถึงการต่อต้านพันธมิตรสำคัญอย่างอิสราเอล โดยกระบวนการตรวจสอบจะรวมถึงนักเรียนต่างชาติในสหรัฐฯ ตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2023 ซึ่งเป็นวันที่ฮามาสโจมตีอิสราเอล

‘รัฐบาลสหรัฐฯ’ ไล่นักเรียนต่างชาติพ้นแคมปัส เพิกถอนวีซ่า 300 คน โดยไม่มีคำเตือน ‘UCLA’ กระเทือนหนัก

(11 เม.ย. 68) ฮูลิโอ แฟรงค์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตลอส แอนเจลิส (UCLA) แถลงผ่านเว็บไซต์ทางการของมหาวิทยาลัยถึงกรณีที่รัฐบาลทรัมป์ได้มีคำสั่งเพิกถอนวีซ่านักเรียนต่างชาติ (student visas) มากกว่า 300 รายทั่วประเทศ โดยมีนักศึกษาของยูซีแอลเอที่ได้รับผลกระทบไม่ต่ำกว่า 10 คน และเหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นโดยไม่มีการแจ้งเตือนหรือชี้แจงล่วงหน้าจากรัฐบาลกลาง

อธิการบดีแฟรงค์ ระบุว่า นักศึกษาที่ได้รับผลกระทบอย่างน้อย 6 คน ที่ยังคงศึกษาอยู่ในปัจจุบัน และอีกประมาณ 6 คนที่เพิ่งสำเร็จการศึกษาและอยู่ในช่วงฝึกงานภายใต้โปรแกรม OPT (Optional Practical Training) ซึ่งอนุญาตให้นักศึกษาต่างชาติทำงานต่อได้อีก 1-2 ปี หลังจบการศึกษา

มหาวิทยาลัยยูซีแอลเอ ซึ่งมีนักศึกษาจากเอเชียมากกว่า 26% ระบุว่าการยกเลิกวีซ่าเกิดขึ้นผ่านระบบ SEVIS (Student and Exchange Visitor Information System) ภายใต้การดูแลของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ และจากโปรแกรม SEVP (Student and Exchange Visitor Program) ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลของทางสถาบัน พบว่ามีการยุติสถานภาพ (terminated) ของนักศึกษาปัจจุบันและอดีตนักศึกษาอย่างน้อย 12 คน

แม้จะไม่มีการระบุเหตุผลที่ชัดเจน แต่โดยปกติแล้วการยกเลิกวีซ่านักเรียนจะเกี่ยวข้องกับการละเมิดข้อกำหนดตามโปรแกรมวีซ่า เช่น การเรียนไม่ครบชั่วโมง การหยุดเรียนโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือการทำงานโดยผิดกฎหมาย ทั้งนี้ตัวเลขของผู้ได้รับผลกระทบยังคงไม่แน่นอนและอาจมีการเปลี่ยนแปลง

ในแถลงการณ์ระบุเพิ่มเติมว่า “จนถึงขณะนี้ ยูซีแอลเอยังไม่มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางได้ปฏิบัติการใด ๆ ภายในแคมปัส และยังไม่ได้รับคำชี้แจงใด ๆ จากรัฐบาลเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้”

อย่างไรก็ตาม ในเว็บไซต์ของหน่วยงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรของสหรัฐฯ (ICE) มีข้อความระบุชัดว่า “หากคุณมีข้อมูลเกี่ยวกับการปลอมแปลงวีซ่านักเรียน หรือนักเรียนต่างชาติที่ลักลอบทำงานผิดกฎหมาย กรุณารายงานได้ที่นี่” ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการในครั้งนี้

ด้าน มาร์โค รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ กล่าวเมื่อเดือนที่แล้วว่า กระทรวงของเขาได้เพิกถอนวีซ่ามากกว่า 300 ฉบับ โดยส่วนใหญ่เป็นวีซ่านักเรียน ภายใต้การกำกับดูแลของเขา

หนึ่งในคดีที่ได้รับความสนใจอย่างมากในช่วงแรก คือกรณีของนักศึกษาที่ถูกกล่าวหาว่าให้การสนับสนุนองค์กรก่อการร้าย รวมถึงกรณีการจับกุม มะห์มูด คาลิล ภายหลังเข้าร่วมการประท้วงสนับสนุนชาวปาเลสไตน์ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย

สถานการณ์ในปัจจุบันสะท้อนให้เห็นถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของนักเรียนต่างชาติในการเผชิญการเนรเทศ โดยมีการเพิกถอนวีซ่าอันเกิดจากความผิดเล็กน้อยในอดีต หรือในบางกรณีอาจไม่มีสาเหตุที่ชัดเจนเลย ตามคำกล่าวของทนายความด้านการย้ายถิ่นฐาน

สำหรับ การบังคับใช้กฎหมายกับนักศึกษาต่างชาติในสถาบันอุดมศึกษาชั้นนำของอเมริกา มีขึ้นท่ามกลางการปราบปรามผู้อพยพครั้งใหญ่ของรัฐบาลทรัมป์ ซึ่งรวมถึงการใช้อำนาจในเชิงรุกในการตะเพิดผู้อพยพบางราย และดำเนินการเนรเทศโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการไต่สวน

เจฟฟ์ โจเซฟ ประธานสมาคมทนายความด้านการย้ายถิ่นฐานอเมริกัน กล่าวว่า “เครื่องมือทั้งหมดที่มีอยู่ในกฎหมายเกี่ยวกับการย้ายถิ่นฐานล้วนเคยถูกใช้มาก่อนแล้ว แต่ครั้งนี้มันถูกใช้ในลักษณะที่สร้างความตื่นตระหนกและความโกลาหลในหมู่ประชาชน และสุดท้ายคนเหล่านั้นจะต้องออกจากประเทศไปโดยปริยาย”

อธิการบดีฮูลิโอ แฟรงค์ กล่าวปิดท้ายด้วยความห่วงใยว่า “เราต้องการให้นักศึกษานานาชาติของเรารู้ว่า คุณไม่ได้เผชิญสิ่งเหล่านี้เพียงลำพัง คุณเป็นส่วนหนึ่งของยูซีแอลเอ และเป็นส่วนสำคัญของชุมชนของเรา”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top