Friday, 17 May 2024
TheStatesTimesFocus

'EYETA' พลิกชีวิตติดลบ สู่ยูทูบเบอร์เงินล้าน

‘ยูทูบเบอร์’ อาชีพแห่งโลกยุคดิจิทัลที่ใคร ๆ ก็เป็นได้ เพียงแค่มีกล้องหรือสมาร์ทโฟนพร้อมถ่ายทอดเรื่องราวที่ต้องการนำเสนอภายในเวลาไม่กี่นาที ชื่อเสียงและรายได้กลายเป็นปัจจัยที่ดึงดูดคนรุ่นใหม่ให้หันมาประลองฝีมือด้านนี้กันมากขึ้น แต่ท่ามกลางการแข่งขันที่มียูทูบเบอร์เกิดใหม่ในทุก ๆ วัน ผู้ที่จะประสบความสำเร็จในสมรภูมินี้ได้นั้นก็ต้องมีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใครจริง ๆ

‘ศรสวรรค์ ใจมั่น’ หรือ EYETA (อายตา) ยูทูบเบอร์ที่มีผู้ติดตามมากกว่า 1 ล้านคน เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของคนรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จบนโลกออนไลน์ ตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยเธอเริ่มจากการเป็นบิวตี้บล็อกเกอร์เขียนกระทู้รีวิวผ่านเว็บไซต์ Pantip.com ในชื่อ ‘อายตาห้าบาท’ ก่อนจะหันมาผลิตคอนเทนต์ผ่านช่องทางเฟซบุ๊กและยูทูบ ระหว่างนี้เองที่เธอมองเห็นโอกาสจากแพลตฟอร์มออนไลน์ จึงตัดสินใจลาออกจากงานประจำเพื่อมาทำแชนแนลของตัวเองอย่างเต็มตัว

ในวันนี้หลายคนรู้จักอายตาในฐานะยูทูบเบอร์สาวสวยอารมณ์ดีที่ส่งมอบความสุขให้ผู้ชม แต่เบื้องหลังรอยยิ้มของเธอเต็มไปด้วยทัศนคติที่ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคในชีวิต คลิปวิดีโอของอายตามักถูกพูดถึงบนโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะคลิปนำเงินสด 1 ล้านบาทไปให้แม่ รวมถึงคลิปการเปิดเผยเรื่องราวชีวิตที่ยากลำบากในวัยเด็กเพื่อส่งต่อแรงบันดาลใจไปยังผู้ติดตามของเธอ

“อายตามองว่าคอนเทนต์ของเรามันคู่ควรกับคน 1 ล้านคนที่จะเห็นหรือยัง มันได้ให้อะไรเขาหรือเปล่า เพราะคนเหล่านี้แหละที่ให้อาชีพอายตา ทำให้อายตามีเงินซื้อบ้านให้แม่ ทำให้อายตาได้อยู่สุขสบาย คลิปวิดีโอของเรามันคุ้มค่ากับ 10 นาทีที่เขาจะเสียเวลาเข้ามาดูหรือเปล่า”

The State Times Lite พาไปพูดคุยกับ ‘อายตา’ ยูทูบเบอร์เงินล้านตัวจริงเสียงจริง พร้อมทำความรู้จักตัวตน ทัศนคติในการใช้ชีวิต รวมถึงเคล็ดลับของการทำงานเป็นยูทูบเบอร์มืออาชีพ แล้วคุณจะรู้ว่าทุกความสำเร็จไม่ใช่เรื่องบังเอิญ!


Q: จุดเริ่มต้นของ ‘อายตาห้าบาท’ และการเขียนกระทู้รีวิวในเว็บไซต์ Pantip.com

A: คำนี้เป็นชื่อที่ใช้ในเกมออนไลน์เวลาเล่นกับเพื่อน ชื่อสั้น ๆ มีคนใช้ไปแล้ว อายตาเลยคิดว่าใช้อะไรดีให้มันคล้องจองกัน ‘อายตาห้าบาท’ ละกัน แล้วก็ใช้เป็นชื่อล็อกอินใน Pantip ด้วย ตอนนั้นเรายังไม่เป็นที่รู้จักนะ ก็เหมือนผู้ใช้ทั่วไป นาน ๆ ทีถึงจะตั้งสักหนึ่งกระทู้ Pantip มีห้องโต๊ะเครื่องแป้งที่ดังมาก เราเห็นคนอื่น ๆ ไปซื้อหรือลองใช้ผลิตภัณฑ์นู้นนี่แล้วมาเขียนแชร์กัน เรารู้สึกว่ามันเข้าถึงง่ายดี ไม่จำเป็นต้องเป็นสื่อก็เขียนกระทู้ได้เหมือนกัน ก็เลยลองเขียนบ้าง แต่ตอนนั้นทำเป็นงานอดิเรกนะคะ หลังจากออกจากงานประจำมันมีเวลาว่างเยอะขึ้น ก็เลยมานั่งเขียน ถ่ายรูป ทำมาเรื่อย ๆ เลยค่ะ 

Q: ตอนนั้นเปิดช่อง Youtube ของตัวเองแล้วหรือยัง

A: ไม่ค่ะ อายตาเขียนเหมือนกระทู้นี่แหละ แต่ทำลงใน Facebook ทำโพสต์รูปที่เขาเรียกว่า ‘Tutorial How To แต่งหน้า’ ลงรูปสอนแต่งหน้าทีละสเต็ปแล้วก็เขียนบรรยาย เขียนเป็นบล็อก หลังจากนั้นเกือบปีมีการประกวดบิวตี้บล็อกเกอร์ เราต้องทำวิดีโอเข้าไปร่วมกิจกรรม นั่นเป็นครั้งแรกที่อายตาได้ทำวิดีโอ ก็ใช้มือถือถ่ายแล้วมานั่งตัดต่อ ตัดเองในคอมฯ เราก็ตัดไม่เป็นหรอก ก็เสิร์ชหาวิธีเอาว่าเขาใช้โปรแกรมอะไรที่ทำได้ง่ายๆ บ้าง เป็นครั้งแรกที่ได้โปรดิวซ์วิดีโอของตัวเอง ครั้งนั้นก็ไม่ชนะหรอก ได้เข้ารอบ 2 แต่ได้ประสบการณ์เยอะดี จากคนที่ไม่ได้ถ่ายวิดีโอเลย ไม่เคยทำตัดต่ออะไรเลย ซึ่งนั่นเป็นการเริ่มทำ Youtube ของอายตาในเวลาต่อมาค่ะ

Q: อายตามองเห็นโอกาสอะไรบนโลกออนไลน์ที่ทำให้รู้สึกว่าต้องหันมาจริงจังและหารายได้จากช่องทางนี้

A: อายตามองว่าโอกาสมันมีอยู่เยอะมาก ตอนแรกที่เริ่มทำ อายตาทำด้วยความสนุกสนาน มีไอเดียอะไรก็ทำขึ้นมาเอง ไม่ได้มีแรงกดดันอะไร แล้วพอทำได้สัก 1-2 เดือน ก็เริ่มมีเอเยนซี่มาชวน “น้องอาย! แบรนด์นี้เขาจะมีเปิดตัวผลิตภัณฑ์นะ ที่นี่ห้างนี้ น้องอายแวะไปไหม” เราเลยรู้สึกว่า ไอ้ที่เราทำอยู่ เขารู้จักเราด้วย เขารู้จักชื่อเรา แบรนด์ใหญ่ขนาดนี้ชวนเราไปงาน ก็ดีใจนะ ได้ไปเปิดโลก ได้เจอบิวตี้บล็อกเกอร์ท่านอื่น ๆ ได้เจอเอเยนซี่ ได้เจอแบรนด์ โอเค เราอาจไม่ได้ดังแบบดาราฮอลลีวู้ด แต่ก็มีคนรู้จักเรามากกว่าแต่ก่อน ทำให้เรามีเพื่อนในวงการนี้มากขึ้น แล้วก็เปิดโลกทัศน์มากขึ้น เวลาไปอีเว้นท์ เราได้เจอเขา ได้เม้าธ์มอย ทำให้อายตารู้สึกว่าเออจริง ๆ บิวตี้บล็อกเกอร์มันสามารถทำให้ก้าวหน้าต่อไปได้นะ มันไม่ใช่แค่เราอยู่ในห้อง เราทำคลิปอยู่คนเดียว มันยังมีสังคม มีงานและมีเม็ดเงินของมัน

Q: รู้สึกกดดันไหมที่ได้เจอยูทูบเบอร์มืออาชีพคนอื่น ๆ ในขณะที่เราเพิ่งเริ่มต้นทำ

A: อายตาไม่กดดันเลย อาจเพราะอายตาไม่ใช่คนที่มีความรู้สึกแบบ ฉันไม่ชอบคนนั้น! ฉันเกลียดคนนั้น! มันไม่ใช่ความรู้สึกแบบนั้น อายตาจะมองทุกคนแบบเป็นเพื่อน ๆ กันหมด ในชีวิตอายตาไม่เคยมีความเกลียดใครหรืออะไรแบบนั้น พูดแล้วโลกสวยมาก (หัวเราะ) อาจเพราะตอนเด็ก ๆ อายตาเติบโตมาในครอบครัวที่จนมากเสียจนอายตาไม่ได้มีคู่แข่งในชีวิต เราอยู่เบื้องใต้ที่สุดของโลกใบนี้แล้ว เราจนที่สุด เราแย่ที่สุด เราอยู่สลัมที่สุด เราเลยไม่ได้มองว่าต้องไปแข่งกับใคร เราก็ทำงานของเราไป ไม่เป็นไรหรอกถ้าเราไม่ได้ดีกว่าเขา แต่เราก็ดีกว่าตัวเราเมื่อก่อนก็พอแล้ว ไม่ได้รู้สึกว่ากดดันขนาดนั้น อายตากลับรู้สึกดีใจเสียอีกที่ได้เจอคนอื่น ๆ เพราะเวลาอายตาถ่ายวิดีโอ ส่วนมากทำอยู่ที่บ้านหรือสตูดิโอ ไม่ได้มีเพื่อนร่วมงานเยอะ แล้วการที่เจอคนอื่นมันเป็นการเปิดโลกเหมือนกัน โอ้ย! เจอมนุษย์คนอื่นแล้ว เพราะปกติอยู่บ้านทำงานคนเดียวมาตลอดจนน้ำลายบูดแล้ว

.

Q: หลังได้เข้าสู่วงการนี้แล้ว มองว่าสิ่งที่ยากที่สุดของการเป็นยูทูบเบอร์คืออะไร 

A: ช่วงเริ่มทำเป็นช่วงที่ยากที่สุดเลย เพราะการเริ่มต้นสิ่งใหม่อะไรสักอย่าง ไม่ว่าจะทำ Youtube หรือทำงานอื่นก็ตามมันยากมาก คนถามเยอะมากว่า “พี่อายตา หนูอยากเป็นยูทูบเบอร์บ้าง หนูอยากเป็นบิวตี้บล็อกเกอร์ หนูต้องทำยังไง ช่วงแรก ๆ วิวไม่ขึ้น ไม่มีใครดูวิดีโอหนูเลย” ตรงนี้คือสิ่งที่ยากมาก แต่ก็ต้องทำ สิ่งที่อายตารู้คือ เราต้องขยัน เราต้องมีความสม่ำเสมอในงานของเรา บางคนมีไฟเยอะมาก หนูจะทำไอเดียนี้ แต่หนูมีไอเดียแค่หนึ่งคอนเทนต์ แล้วไม่ลงอะไรอีกเลย คนจะลืมเราไป เพราะบนโลกนี้มีอินฟลูเอนเซอร์ให้เขาติดตามเยอะมาก อายตามองว่าสิ่งที่ยากที่สุดก็คือความสม่ำเสมอและความขยัน โดยเฉพาะงานนี้เป็นงานอิสระ ไม่มีเจ้านายประเมินปลายปี ไม่มีการขึ้นเงินเดือน เพราะฉะนั้นจะทำยังไงให้เราอยากตื่นเช้าแล้วลุกมาทำงาน บางคนพอไม่มีใครมาคอยตรวจงานก็จะกลายเป็นขี้เกียจไปเลย

Q: เชื่อว่าก่อนหน้านี้อายตาเองก็เคยผ่านการลองผิดลองถูกในการทำคอนเทนต์มาหลายครั้ง

A: การลองผิดลองถูกเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าเราไม่ลอง ถ้าเราไม่ผิดพลาด เราก็จะไม่รู้ว่าอะไรที่มันเวิร์กหรือไม่เวิร์ก อย่างน้อยถ้าเราลองไป 10 ครั้งแล้วมันไม่เวิร์กเลยทั้ง 10 ครั้ง เราก็จะได้รู้ว่าทั้ง 10 คอนเทนต์นี้ไม่เวิร์กสำหรับเรานะ แต่มันจะต้องมีอะไรที่มันเวิร์กสำหรับเราบ้างแหละ เราแค่ยังไม่เจอ การที่เราอาจจะยังไม่ดัง คนตามไม่เยอะหรือคอนเทนต์ยังไม่ปัง ไม่ได้หมายความว่าเราล้มเหลวหรือผิดพลาด เหมือนคนที่เรียนจบแล้วแต่งงานเลย เขาอาจเจอคนที่ใช่ได้เร็ว แต่เราอาจจะยังไม่เจอคนที่ใช่ บางคนอายุ 50, 60, 70 ปีก็ยังแต่งงานใหม่อยู่เลย 

Q: แสดงว่าเคล็ดลับของอายตาคือการค้นหาสไตล์ของตัวเอง

A: บางทีคนเราสมัยนี้กดดันตัวเองว่าทำอันนี้แล้วจะต้องได้ยอดผู้ติดตามเท่านี้ ยอดแชร์เท่านี้ แล้วก็กดดันตัวเองจนสูญเสียความเป็นตัวเองไป แต่อายตาอยากจะแนะนำว่าสิ่งที่ดีที่สุดของการเป็นยูทูบเบอร์และคอนเทนต์ครีเอเตอร์คือ ต้องมีความเป็นตัวของตัวเอง แน่นอนว่าการลองนู่นลองนี่มันดี เพื่อให้เรารู้ว่าอะไรที่ใช่และอะไรที่ไม่ใช่สำหรับตัวเอง อายตาเองก็เคยลอง บางทีไปเห็นของคนอื่น อุ้ย! เขาทำอันนี้เก๋ว่ะ เดี๋ยวเราลองบ้างว่าทำแล้วจะสนุกไหม เราทำแล้วจะถูกจริตกับเราไหม เราก็ต้องเอามาปรับใช้ แต่อย่าเปลี่ยนไปเรื่อยจนลืมว่าเราเป็นยังไง บุคลิกเราเป็นยังไงหรือว่าไอเดียที่แท้จริงที่เราอยากทำมันเป็นยังไง เพราะท้ายที่สุดถ้าเราพยายามเปลี่ยนจนเสียความเป็นตัวเอง เราจะทำสิ่งนั้นได้ไม่นาน แต่ถ้าเรามีความสุขกับการทำคอนเทนต์แบบตัวเอง เฮ้ย! เราทำแบบนี้แล้วเริ่ด คนดูชอบ เราจะอยู่ได้นานและมีความสุขมากในทุกๆ วัน อายตาไม่เคยตื่นมาวันไหนแล้วรู้สึกว่าไม่อยากเป็นยูทูบเบอร์ แม้บางทีวิวมันน้อย บางที Engagement มันน้อย แต่อายตารู้สึกว่านี่เป็นสิ่งที่อายตาชอบและอายตาหาสิ่งที่อายตาชอบเจอแล้ว อายตามีความสุขในทุก ๆ วัน ก็เลยอยากให้ทุกคนหาสไตล์ของตนเอง ถ้าวันหนึ่งเราเจอ เราจะมีความสุขกับการทำงานมากค่ะ 

.

Q: คิดว่าอะไรคือจุดเด่นที่ทำให้คอนเทนต์ของอายตามีผู้ติดตามมาตลอดระยะเวลา 5 ปี

A: ‘จุดเด่นของตัวเอง’ คือพูดไปก็เหมือนแบบว่าขายตัวเองเว่อร์ (หัวเราะ) ถ้าเราพยายามคิดเองว่าดิฉันมีจุดเด่นอะไร ดิฉันคิดว่าดิฉันเริ่ดในเรื่องของอะไร มันก็ยากใช่ไหมคะ แต่ส่วนมากอายตาจะได้รับฟีดแบ็คที่คนอื่นเขียนข้อความ Inbox มาหา  บอกว่าชอบที่อายตาเป็นคนตลก ก็ดีใจนะที่เราสร้างรอยยิ้มให้เขา ชอบที่อายตาเป็นคนพูดจาตรงไปตรงมา อย่างเวลาเรารีวิวสินค้าเนี่ย เราจะพูดตรงไปตรงมา ถ้ามีข้อเสียหรือใช้ไม่ค่อยดีอะไรแบบนี้ เราพยายามจะบอกความจริงกับเขา และอีกอย่างหนึ่งที่อายตาได้รับข้อความมาเยอะมากคือ เขาบอกว่าเราเป็นคนมั่นใจ ก็ไม่รู้ตัวนะว่าเป็นคนมั่นใจเพราะเป็นคนที่บุคลิกแบบนี้อยู่แล้ว มั่นหน้ามั่นโหนก เดินไปฉันสวย เขาชอบที่เราพูดจาฉะฉาน พูดจาเต็มเสียง ฟังรู้เรื่อง เออ! มันน่าจะเป็นข้อดีของเราแหละ

Q: มีวิธีการรับมือกับดราม่าและคอมเม้นท์ด้านลบอย่างไรบ้าง

A: คอมเม้นท์ด้านลบมันมีกับทุกคน ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร สวยเพอร์เฟกต์แค่ไหนก็ตาม เพราะว่าทุกคนมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ตรงนี้เราต้องพยายามทำความเข้าใจ ตอนที่อายตาเจอฟีดแบ็กด้านลบในช่วงแรก ๆ ของการทำงาน อายตาไม่ค่อยเข้าใจ อายตางง ร้องไห้ทั้งวัน ไม่ออกไปไหน ร้อง ๆๆๆๆ เพราะเรารู้สึกว่าเราพยายามทำคอนเทนต์สนุก ๆ  ออกไป ทำไมถึงมีคนที่เขาไม่ชอบ แต่เราลืมไปว่าเราจะไปทำให้ทุกคนชอบเราได้ยังไง เพราะทุกคนเขามีความคิดเห็นของตัวเอง เอาง่าย ๆ แค่บางเพลง ไม่ใช่ทุกคนที่จะชอบเพลงสไตล์นี้ เพราะฉะนั้นไม่สามารถที่จะทำให้ทุกคนรักเราได้หรอก แต่เราสามารถที่จะปรับปรุงตัวได้ พอช่วงหลัง ๆ อายตาโตขึ้น รู้สึกว่ารับฟีดแบ็กด้านลบได้ดีขึ้น ต้องแยกแยะว่าอันนี้ที่เขาพูดน่ะมันจริงไหม เราจะพัฒนาหรือปรับปรุงตรงไหนได้บ้าง ช่วงปีหลัง ๆ คนในโลกโซเชียลมีการใช้วิจารณญาณมากขึ้น คนรุ่นใหม่ใช้ทวิตเตอร์เวลาเขาพูดถึงอะไร จะไม่ค่อยเป็นการด่าแล้ว แต่เป็นการวิจารณ์ผลงานให้เราปรับแก้มากกว่า แต่มันก็จะมีประเภทของคนที่พิมพ์ไปเรื่อย หนูก็พยายามแล้วค่ะ หนูแต่งหน้าได้ประมาณนี้ เต็มที่แล้ว คือเราก็พยายามปรับปรุงให้สวยขึ้นก็ถือว่าจุดสูงสุดแล้ว ถ้ามากกว่านี้ก็ต้องไปทุบหน้า ซึ่งเราก็ไม่อยากทุบแล้ว 

.

Q: มีคลิปวิดีโอที่เป็นไวรัลและถูกพูดถึงมาก เมื่ออายตาตัดสินใจเล่าเรื่องชีวิตที่เคยลำบากของตัวเอง ซึ่งไม่เคยบอกใครมาก่อน ตัดสินใจนานไหมกว่าจะทำคลิปนี้

A: ตัดสินใจนานมาก เป็นปีค่ะ ไม่ได้ตัดสินใจว่าฉันจะทำหรือไม่ทำดีนะ แต่เป็นความรู้สึกที่ค่อย ๆ ก่อขึ้นมา เพราะตอนที่อายตาเรียนมัธยมฯ จนถึงมหาวิทยาลัย เพื่อนคนอื่นจะไม่ค่อยมีใครรู้หรอกว่าอายตามาจากครอบครัวที่จน เราเคยอยู่สลัม เราเคยไม่มีข้าวกิน เพราะเราไม่กล้าพูด เราไม่กล้าบอกเพื่อน เรารู้สึกว่าการจนน่ะไม่เก๋ (หัวเราะ) เราก็ทำตัวปกติ แต่พอถึงจุด ๆ หนึ่งที่เราโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้น เรารู้สึกว่าเฮ้ย! จริง ๆ จุดนั้นอ่ะ ที่เราลำบาก ที่เราเคยต้มมาม่าคลุกข้าวกินกับพี่สาวที่สลัมน่ะ มันทำให้เราแข็งแกร่งนะเว้ย แล้วทำไมเราถึงไม่อยากพูดเมสเสจนี้ให้คนอื่นได้ยินล่ะ มันเก๋ออก อายตาแย่ขนาดนี้  อายตายังดูแลแม่ได้ ยังเป็นผู้เป็นคนได้ 

ตอนแรกเราก็กลัวว่าคนจะไม่เข้าใจ คิดว่าเราดึงดราม่าเพราะช่องของอายตาจะเป็นเรื่องตลกโปกฮา แต่แฟนของอายตาพูดมาคำหนึ่งว่า “การที่เธอทำวิดีโอนี้ เธอถ่ายเอง เธอตัดต่อเอง ถ้าวิดีโอนี้เผยแพร่ออกไป แล้วมันสร้างแรงบันดาลใจ เปลี่ยนความคิด หรือเปลี่ยนชีวิตคนได้แค่หนึ่งคน มันก็คุ้มแล้วนะ เธอคิดว่าไม่ควรค่าที่จะทำหรือ?” อายตาเลยคิดว่าทำไมเราถึงไม่อยากทำสิ่งนี้ให้คนอื่นล่ะ คนอาจจะเข้าใจผิดก็ไม่เป็นไร ช่างเขาเถอะ แต่ถ้ามันจะเปลี่ยนชีวิตคนแค่หนึ่งคน มันก็คุ้มแล้วกับการทำวิดีโอ เพราะอายตาแค่นั่งเล่า 20 นาทีจบ เสร็จแล้ว! ไม่ได้เสียอะไรเลย นั่นแหละเป็นจุดที่ทำให้เราทำวิดีโอนั้นค่ะ

คลิปวิดีโอ : เล่าประสบการณ์ชีวิต เคยอยู่สลัม เป็นเด็กเดินยา ยากจน ไม่มีข้าวกิน ครอบครัวแตกแยก 

Q: ถือเป็นการปลดล็อกตัวเองได้ไหม

A: ใช่ มันเป็นการปลดล็อกตัวเองเหมือนกัน เพราะเมื่อก่อนก็ไม่กล้าบอกใครเขาหรอกว่า แม่เป็นคนใช้ อายเขา แต่ว่าตอนนี้ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย ก็อาชีพหนึ่งเหมือนกัน กลายเป็นเรื่องขำ ๆ ในอดีต ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องภูมิใจในความจนของตัวเอง แต่แค่อยากจะเล่าให้ฟังว่าอายตาโตขึ้นประมาณนี้นะ อย่าไปพยายามเปลี่ยนความเป็นตัวของตัวเองเลย เราอาจเปลี่ยนไม่ได้ ณ ตอนนั้น แต่เราสามารถปรับปรุงมันได้นะ สามารถทำให้มันดีขึ้นได้

Q: มีอีกคลิปวิดีโอหนึ่งที่น่ารักมาก อายตาหอบเงินสด 1 ล้านบาทไปซ่อนไว้ในบ้านคุณแม่

A: อย่างที่บอกคืออายตามาจากครอบครัวที่จน แม่ไม่เคยมีบ้าน ไม่เคยได้เงินเยอะ ๆ แม่เป็นแม่บ้านทำความสะอาดบ้านคนรวย เหมือนที่เราเห็นในละคร มีคุณนายแล้วก็คนใช้แจ๋วอะไรแบบนั้น แม่ก็ไม่ได้เงินเยอะอะไรมากมาย พอวันเกิดแม่อายตาก็เลยไปถอนเงินมา เพราะแม่จะดีใจมากที่ได้เงินเยอะ ๆ ไม่ใช่ว่าหน้าเงินนะ แต่แม่ไม่เคยจับเงินเป็นก้อน ๆ ไม่เคยรู้ว่าเงินเป็นล้านมันเป็นแบบนี้ 10 ก้อนมันคือ 1 ล้านเหรอ ก็เลยลองดูสิว่าจะเป็นยังไง (หัวเราะ) แม่อายตาจะได้ภูมิใจว่าเราทำงานได้แล้วนะ เราสามารถให้เงินแม่ได้เลย ไม่ได้ลำบากแล้วนะ แล้วเขาก็เอาเงินไปซื้อสลากออมสิน (หัวเราะ) 

.

 

.

คลิปวิดีโอ : ???????? เซอรไพรส์แม่ให้เงิน 1 ล้านบาท!!???? จะได้เงินล้านทั้งทีเหนื่อยหน่อยนะ เพราะลูกเอาไปซ่อนไว้5555???? 

.

Q: ตั้งแต่วันที่ฝ่าฟันความยากลำบากด้วยกันมา ปัจจุบันอายตาเป็นยูทูบเบอร์ที่ประสบความสำเร็จแล้ว แม่เคยบอกไหมว่าภูมิใจในตัวเรา 

A: เมื่อก่อนไม่ค่อยคุยกัน ตอนเด็ก ๆ แม่เป็นคนที่ดุมาก แม่คนเดียวเลี้ยงลูก 2 คน อายตามีพี่สาวอีกคนหนึ่ง แม่เครียดเพราะต้องแบกรับทุกอย่าง เขาจะตีด้วยไม้แขวนเสื้อ ฟาด ๆ จนเรากลายเป็นคนกลัวแม่มากเลยนะ ตอนเด็ก ๆ สมมติเลิกเรียนกลับมาบ้านก็ต้องรีบทำงานบ้านให้เสร็จ แม่จะถึงบ้านประมาณ 6 โมงเย็น เราจำเสียงเดินแม่ได้ เพราะอยู่แฟลตเล็ก ๆ เวลาแม่เดินต่อก ๆ อุ้ย! นี่ไงแม่มา แต่พอเราเรียนจบ เริ่มทำงานได้ ดูแลตัวเองได้ รู้สึกว่าความดุของแม่ลดน้อยลง แต่การคุยกันก็ยังไม่ค่อยจะมี พูดตามตรงเลยว่าเมื่อก่อนอายตาคุยกับแม่น้อยมาก เพิ่งมาคุยเยอะช่วงหลัง ๆ เพราะว่ามันมีเรื่องบางอย่างในครอบครัวที่เคยเกิดขึ้นช่วงประมาณ 2-3 ปีที่แล้ว ทำให้อายตาเสียใจมาก เหมือนมันกระทบต่อความรู้สึกมาก อายตาเลยพูดกับแม่ทำนองว่า ทำไมอะไรแบบนี้มันต้องมาเกิดกับหนู เราสู้มาจนขนาดนี้แล้ว แม่ก็เข้ามากอด เราก็ทำอะไรไม่ได้ก็ต้องสู้ต่อไป แล้วแม่บอกว่าเขาภูมิใจในตัวอายตามาก ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยได้คุยกับแม่ เป็นคนที่ตีมึนใส่กัน แต่เราก็รักกัน เขาก็รักเรา ถ้าเขาไม่รักก็คงไม่เลี้ยงอายตากับพี่สาวจนโตขนาดนี้ ตัวคนเดียวได้เงินเดือนแค่ 10,000 บาท ตั้งแต่วันนั้นทำให้ความสัมพันธ์กับแม่ดีขึ้น แล้วก็ทำให้เราแข็งแกร่งมากขึ้นด้วย 

Q: ตัวตนของอายตาของในวันนี้ ถ้าให้คะแนนความแข็งแกร่งของตัวเองจะให้เท่าไร

A: โห! คนเรามันก็ไม่มีใครแข็งแกร่งขนาดนั้นไหมคะ (หัวเราะ) อายตารู้สึกว่าพอช่วงปีหลัง ๆ สามารถจัดการกับความรู้สึกได้มากขึ้น แต่ก่อนเราเป็นเด็กที่โตมาไม่ได้มีพ่อมีแม่ครบ เราขาดการอบรม เราเป็นคนโหวกเหวก ไม่ได้มีมารยาท ไม่ได้มีความเป็นกุลสตรีอะไรเลย พอโตขึ้นเราได้เจอสังคมเยอะขึ้น เรียนรู้ที่จะคิดก่อนพูด ถึงแม้ว่าอายตาจะมีภาพลักษณ์ในคลิปวิดีโอบ้าบอคอแตกไปเรื่อย แต่มันเป็นภาพที่เราอยากจะให้คนเห็นและมีความสุข อายตารู้สึกโชคดีมากที่มีคนรอบตัวเป็นคนดี ๆ มีแม่ มีเพื่อน มีผู้ช่วย มีแฟนที่เขาเป็นพลังงานดี ๆ รอบตัวเรา ถ้าอายตารู้สึกว่าใครมีพลังงานลบ อายตาจะไม่ค่อยยุ่งกับเขา แล้วก็ไม่ค่อยมีอารมณ์แบบฟีล Fight แล้ว (หัวเราะ) นี่เราแก่แล้วใช่ไหม

Q: ในฐานะยูทูบเบอร์ที่มีผู้หญิงติดตามเยอะมาก เมื่อทำคอนเทนต์เรื่องความสวยความงามจะช่วยสนับสนุนมุมมองให้ผู้หญิงมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้นอย่างไรบ้าง

A: ไม่ว่าจะเป็นคนไม่สวยหรือว่าสวยมากแค่ไหน ก็จะมีความไม่มั่นใจบางอย่างในตัวเอง อายตาได้รับ Inbox มาเยอะมาก  “หนูอยากจะมั่นใจแบบพี่อายตา หนูอยากจะอย่างงั้นอย่างงี้” อยากจะบอกว่าทุกคนน่ะมีความสวยของตัวเองค่ะ มันฟังดูโลกสวยนะ แต่ทุกคนสามารถสวยได้จริง คือแค่เราทำตัวเองให้สะอาดสะอ้าน ผมเผ้าให้มันดูดี แต่งตัวตามกาลเทศะ มันก็สวยแล้ว แต่บางทีเราไปเห็นคนในออนไลน์ ในทีวี แล้วรู้สึกว่าคนนั้นก็สวย คนนี้ก็สวย เราอยากจะเป็นเหมือนเขาบ้าง แต่จริง ๆ เขาอาจมีการตกแต่งอะไรเพิ่มเติม ซึ่งทำให้คนที่ไถมือถือดูแล้วเข้าใจว่าอันนั้นเป็นมาตรฐานของความสวย 

ช่วงนี้อายตาอยากจะผลักดันคอนเซ็ปต์เรื่องนี้ด้วยการสร้างแฮชแท็ก #BeYourBest ย่อมาจาก “Be Yourself Best” ซึ่งแปลว่า “เป็นตัวเองให้ดีที่สุด” อายตาได้พยายามพูดในทุกวิดีโอของตัวเองแล้วก็ทำโปรเจกต์ขึ้นมาด้วย เพราะอายตาอยากจะทำให้ทุกคนอยากเป็นตัวเองให้ดีที่สุด ช่วงแรกของการทำ Youtube อายตาทำรีวิวพูดถึงเรื่องความสวยความงามทั่วๆ ไป แต่ช่วงหลัง ๆ อายตารู้สึกอิ่มกับการส่งต่อความสวยแล้ว อายตาอยากส่งต่อความสวยในสมองของเขาให้มากขึ้น การแต่งหน้าหรือการทำศัลยกรรมมันดีหมดแหละ แต่ถ้าเราสวยในแบบฉบับของเราล่ะ มันจะทำให้มีความสุขมากขึ้น สิ่งที่อายตาอยากจะบอกกับผู้หญิงทุกคนคือ ‘ความมั่นใจ’ เป็นสิ่งที่ทำให้คุณสวยมาก สวยกว่าหน้าตาที่สวยอีก  สมมติคนหน้าสวยมาก รูปร่างสวยมาก แต่ไม่มีความมั่นใจเลย นั่ง ยืน เดิน คุยกับใครก็ไม่กล้ามองหน้า มันก็ไม่สวยนะ แต่บางคนอาจไม่ได้สวยมาก แต่มีความมั่นใจเวลาเดิน หน้าตรง หลังไม่ค่อม ดูกระฉับกระเฉง มันดูมีความสวยขึ้นมาเลยนะ เหมือนการประกวดนางงามวัดที่ความมั่นใจและทัศนคตินั่นแหละ

Q: คำถามที่หลายคนอยากรู้ เป็นยูทูบเบอร์และบิวตี้บล็อกเกอร์มีรายได้ดีขนาดไหน 

A: บิวตี้บล็อกเกอร์สามารถรายได้ดีได้มาก และก็สามารถไม่มีจะกินเลยก็ได้ ขอบอกตรงนี้เลยนะว่า โอกาสที่ได้มา งานที่ได้ ลูกค้าที่รู้จัก ไม่ได้ลอยมาจากฟ้านะคะ มาจากการทำของเราเอง พูดง่าย ๆ สมมติเราอยากจะเป็นบิวตี้บล็อกเกอร์ เราสร้างเพจมาเพจหนึ่ง แต่เราไม่เคยลงคอนเทนต์อะไรเลย จะมีลูกค้ามาจากไหน เขาจะรู้ไหมว่าเราทำคอนเทนต์ประเภทไหนบ้าง เขาจะรู้ไหมว่าเรามีความคิดเห็นแบบไหน เพราะฉะนั้นทุกอย่างขึ้นอยู่กับการสร้าง ถ้าใครมีเงินเป็นสิ่งผลักดันชีวิตในการทำงานก็ต้องขยันและสม่ำเสมอ การสม่ำเสมอเนี่ยอายตาจะคอยบอกตลอด มีคนถามว่าจะทำยังไงให้งานมันเยอะ? ทำยังไงให้มีลูกค้า? พี่อายตาว่าทำยังงี้มันเป็นอาชีพได้ไหมคะ? ได้สิ! แต่เราขยันมากพอไหม เราสม่ำเสมอกับมันมากพอไหม แล้วความสม่ำเสมอมันไม่ใช่แค่ทำไปเรื่อย ๆ เพราะสุดท้ายถ้ามันไม่ใช่สิ่งที่เราชอบ เราก็ไม่สามารถสม่ำเสมอกับมันได้นาน 5 ปี หรือ 20 ปี ใช่ไหมคะ 

สมมติถ้าวันหนึ่งเราตาย เราเบื่องานนี้มากเลย เราก็ไม่สามารถสม่ำเสมอกับงานนี้ได้อีกแล้วล่ะ เพราะฉะนั้นต้องดูว่ามันใช่ตัวเราหรือเปล่า ถ้าใช่นะ ทำเลย ไม่ต้องรอ บางคนรอ หนูยังไม่มีกล้องอ่ะพี่ หนูรอซื้อกล้องก่อน หนูยังไม่มีคอมไว้ตัดต่ออ่ะพี่… ทำเลย! ใช้มือถือถ่าย มือถือโปรแกรมแอปฯ ตัดฟรีเยอะแยะ อยากทำอะไรทำเลย เพราะถ้าช้าไปอีกแค่หนึ่งวัน อาจมียูทูบเบอร์เพิ่มมากขึ้นเป็นร้อยแล้ว ถ้าอยากทำตอนนี้ ทำตอนนี้เลยค่ะ ทุกอย่างสามารถเป็นได้ อยากรวย รวยได้ ทำได้เลย ไม่มีใครมาหยุดเราได้แล้ว เพราะถ้าเราไม่เริ่มทำ โอกาสที่จะประสบความสำเร็จคือศูนย์นะคะ แต่ถ้าเราทำถึงแม้มันจะเหนื่อยจะยากแค่ไหน ถึงแม้ว่าโอกาสที่ประสบความสำเร็จคือ 1 เปอร์เซ็นต์ แต่มันก็ยังมีโอกาสถูกไหม แต่ศูนย์คือไม่มีเลยนะ ทำเถอะ!

.

Q: ยอดวิวล่ะสำคัญแค่ไหน ทำไมทุกคนถึงอยากได้ยอดวิวเยอะ ๆ

A: สำคัญ! สำหรับยูทูบเบอร์การได้ยอดวิวเยอะจะทำให้ได้เงิน AdSense คือการที่คนเข้าไปดูวิดีโอ แล้วบางทีเขาจะเห็นโฆษณาโผล่ขึ้นมา นั่นแหละ! เราจะได้เงินจากตรงนั้น มีความความสัมพันธ์กัน แต่ว่าทีนี้เงินที่ได้จาก AdSense มันก็ไม่ได้มั่นคงมากขนาดนั้น แต่ละเดือนได้ไม่เท่ากัน ถ้าเป็นช่วงเทศกาลเขาขายของเยอะ แบรนด์ก็ลงโฆษณาเยอะ หรือช่วงโควิด-19 แบรนด์ไม่มีงบ เงินก็ได้น้อยหน่อย ยอดวิวมันจึงสำคัญ แต่ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด แล้วก็อย่าเอาใจไปผูกกับยอดวิว ยอดไลก์ ยอดฟอลนัก เพราะว่าแพลตฟอร์มพวกนี้ Youtube, Facebook, Instagram, Twitter หรืออะไรก็ตาม มันไม่ใช่ของ ๆ เรา มันไม่ใช่โดเมนของเรา เราไม่ใช่เจ้าของ เหมือนเราไปยืมพื้นที่เขาใช้ 

วันใดวันหนึ่งอัลกอริทึ่มมันเปลี่ยนไป ยอดไลก์ตก ยอดไลก์เพิ่ม ยอดวิวเพิ่ม ยอดวิวตก เราไม่สามารถโทรถาม Mark Zuckerberg ได้ว่า ทำไรอ่ะ ทำไมยอดไลก์ตก เพราะฉะนั้นการที่เราเอาใจไปผูกกับยอดไลก์ ยอดวิวเยอะ มันจะทำให้เราเสียใจ ทำให้เราหมดกำลังใจในการทำคอนเทนต์ครั้งต่อๆ ไป ทั้งที่เราอาจเป็นคนมีความมุ่งมั่นเว่อร์ มีไอเดียเป็น 10 ที่อยากจะทำ แต่ยอดไลก์ตก เฮ้อ! ไม่ทำแล้ว อย่างนั้นเหรอ? เพราะฉะนั้นดูข้อมูลหลังบ้านไว้บ้างก็ดี เพื่อที่จะได้บอกลูกค้าได้ แต่อย่าไปคิดว่ามันคงเป็นไปไม่ได้แล้วมั้ง เลิกทำแล้ว ไม่ใช่!

.

Q: เป้าหมายต่อไปของ ‘EYETA’ คืออะไร

A: อายตาชอบทำวิดีโอมาก สนุกมาก ตอนนี้ยิ่งทำก็ยิ่งสนุก ไม่มีวันไหนที่ไม่สนุก นอกจากวันที่ไม่ค่อยสบาย อายตาคิดว่าจะทำ Youtube ต่อไปเรื่อย ๆ แต่คอนเทนต์มันอาจเปลี่ยนไป ตอนนี้เรายังมีลูกค้า เรายังมีสปอนเซอร์บ้าง เรายังพูดถึงเรื่องบิวตี้ได้ แต่ถ้าถึงวันที่อายตาอาจมีลูกหรือว่ามีหลาน คอนเทนต์อาจจะเปลี่ยนไปตามตัวเรา เพราะคนที่ผลิตคอนเทนต์คือเรา เราไม่ได้ผลิตวิ่งตามเทรนด์อะไร อาจมีที่ทำตามบ้าง แต่สุดท้ายแล้วมันคือตัวเรา อายตาจะโฟกัสถึงการส่งต่อเมสเสจดี ๆ มากกว่า อายตามีกระบอกเสียง คนติดตามเป็นล้าน ช่องทางที่เรามีมันเยอะนะ แล้วอายตาอยากจะบอกเมสเสจ ไม่ต้องอยากเป็นแบบใครหรอก บางทีเราอยากจะรวยเหมือนคนนั้นคนนี้ โฟกัสที่เรานะ รักตัวเองให้เยอะ ๆ แล้วพัฒนาตัวเอง อันนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ก็เลยมองว่าคอนเทนต์ในอนาคตของอายตาอยากจะเป็นไปในแนวทางนั้น แล้วอายตาเองก็มีธุรกิจส่วนตัว มีแบรนด์ขนตาของตัวเอง ก็อยากจะพัฒนาแบรนด์นั้นให้มันไปไกลมากขึ้น เราพยายามทำเต็มที่ เวลาทำงานอะไรเราก็เต็มที่หมดเพราะเราไม่รู้หรอกว่าอีก 5 ปี 10 ปี 15 ปี 20 ปี ข้างหน้าจะเป็นยังไง 

Q: สำหรับยอดผู้ติดตามในขณะนี้ (Youtube 1.4 ล้าน, Facebook 7 แสน) มีเป้าว่าอยากเพิ่มขึ้นอีกไหม

A: มาถึงจุด ๆ นี้ ถ้าถามว่ายอดผู้ติดตามใน Youtube หรือ Facebook เท่าไร อายตาก็จำไม่ได้หรอก แต่อายตามองว่าคอนเทนต์ของเรามันคู่ควรกับคน 1 ล้านคนที่จะเห็นหรือยัง มันได้ให้อะไรเขาหรือเปล่า เพราะคนเหล่านี้แหละที่ให้อาชีพอายตา ทำให้อายตามีเงินซื้อบ้านให้แม่ ทำให้อายตาได้อยู่สุขสบาย คลิปวิดีโอของเรามันคุ้มค่ากับ 10 นาทีที่เขาจะเสียเวลาเข้ามาดูหรือเปล่า เพราะยูทูบเบอร์มีเยอะ เราอาจไม่ใช่คนที่ดีที่สุด เก่งที่สุด โปรดักชั่นปังที่สุด กล้องเลนส์เริ่ดที่สุด แต่เราสามารถส่งต่อเมสเสจดี ๆ ให้เขาได้ นั่นแหละเป็นมาตรฐานที่อายตาพยายามทำ ว่ามันดีพอกับเขาหรือยัง เขาได้ประโยชน์หรือเปล่า 

.

Q: สุดท้ายถ้าถอยออกมาแล้วเห็นตัวเองในวันนี้ อยากบอกอะไรกับ ‘EYETA’

A: ถ้าพูดกับตัวเองเหรอ? โลกคู่ขนานเหรอ? (หัวเราะ) ก็อยากจะชมตัวเองแหละ อายตาอยากจะให้ทุกคนได้มีโอกาสชมตัวเอง เก่งนะ ทำงานดีแล้ว อาจจะไม่ได้รวยที่สุด เก่งที่สุด ดีที่สุด สวยที่สุด แต่ทำมาได้เท่านี้ เก่งแล้วนะ ไม่มีวันไหนเลยที่ไม่อยากทำงาน ไม่มีวันไหนเลยที่ไม่อยากตื่นตอนเช้าค่ะ (ยิ้ม)


เรื่อง: ตติยา

ภาพ: TST

สัมผัสตัวตนพระเอกมาแรง "ตรี - ภรภัทร ศรีขจรเดชา"

นักแสดง กับ ดารา เป็นสถานะในวงการบันเทิง ที่ฟังดูใกล้เคียงกันมาก และดาราดาวรุ่ง ช่อง one31 อย่าง "ตรี - ภรภัทร ศรีขจรเดชา" ก้าวข้ามเส้นแบ่งนั้นมาได้ ซึ่งผลงานล่าสุด ละครเลดี้บานฉ่ำ เขาให้คะแนนตัวเองไว้ 7.5 / 10 แต่เรื่องชีวิตได้เกรดเท่าไหร่ ต้องตั้งใจอ่านกันดู

บางคนใช้เวลานับปี บางคนสิบปี บางคนอาจเพียงผลงานข้ามคืน แต่สำหรับหนุ่มวัย 25 ที่ผ่านการพิสูจน์ฝีมือด้านการแสดงในละครมาแล้ว 4 เรื่อง ตรีจึงค่อย ๆ เป็นที่รู้จักมากขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ เหมือนต้นกล้าที่ค่อย ๆ เติบโตหยัดยืน

ด้วยความสูงเกิน 180 ซม. หน้าคม ผิวเข้ม เขาจึงโดดเด่นมากยามที่เดินมาถึงสตูดิโอ บนใบหน้ามีรอยยิ้มเล็ก ๆ และคำทักทายใคร ๆ อย่างอารมณ์ดี แม้จะยังไม่รู้จักกัน แต่พอเดาได้ว่า พระเอกร่างสูงโปร่งคนนี้เป็นคนอารมณ์ดีแน่นอน เรื่องราวระหว่าง The States Times กับเขาจะจริงจัง ดราม่า หรือฮาซะขนาดไหน พื้นที่ถัดจากนี้มีคำตอบ  


Q: หากไม่เรียก ตรี มีชื่ออื่น ๆ ไหม ที่เพื่อน ๆ หรือคนสนิทใกล้ ๆ ตัวตรี เรียก

A: ตอนเด็ก ๆ อาจจะมีที่เรียก "ตรีเทพ" มาจากเด็ก ๆ เล่นเกมเก่งเทพ ๆ (หัวเราะ) ถ้าเด็กมาก ๆ เลย เคยมีเรียก "อ้วน เตี้ย ดำ" พอสูงขึ้นมาจริง ๆ ก็มาเรียกว่า "โย่ง" แต่รวม ๆ ส่วนใหญ่ก็เรียก "ตรี" นั่นแหละครับ

Q: ประมาณว่าเคยโดนบุลลี่ 

A: (หัวเราะ) ใช่ครับ แต่ตอนนี้ก็ไม่มีใครบุลลี่แล้วครับ อ้อ! มีอีกอัน ช่วงมัธยมฯ ผมเกรียน แล้วตรงนี้ (ชี้ไปที่ท้ายทอย) มันจะเป็นแบบรอยขีดเหมือนช่องหยอดกระปุก ตอนนั้นเป็นแผลหัวแตก เลยโดนเรียก "กระปุกออมสิน" ไม่ชอบเลย (ยิ้ม)

Q: โดยรวม ๆ คนใกล้ตัวตรี มักบอกว่านิสัยใจคอคุณเป็นยังไงครับ 

A: เข้าถึงยากมั้งครับ ดูหยิ่ง ไม่ค่อยพูด แต่จริง ๆ ผมอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นเรื่องปกติ ถ้ารู้จักกันแล้ว คุยเต็มที่เลยครับ

Q: แล้วตัวตนจริง ๆ เป็นยังไงกันแน่

A: Friendly นะ คุยได้ทุกเรื่อง ใครปรึกษาก็คุยได้ ใจ - ใจ ค่อนข้างพูดตรง ไม่ได้ประจบใครเลย ผมเป็นแบบนี้กับทุกคน ทำอย่างนี้เหมือนกันกับทุก ๆ คนครับ

Q: แล้วสิ่งที่แตกต่างจากคนอื่น คืออะไรครับ 

A: ผมว่า ผมเอาใจใส่คนนะ เป็นห่วงตลอดเวลา ถามไถ่ว่า ช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง ทำอะไรอยู่ ยิ่งสนิทก็ยิ่งเป็นห่วงตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว เพื่อน หรือแม้แต่พี่ยาม ป้าแม่บ้าน ผมจะทักทาย สวัสดีทุกครั้งที่พบกัน แล้วก็ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบเสมอ 

.

Q: ด้านการแสดง นับตั้งแต่ละครเรื่องแรก จนถึงตอนนี้ ถ้าให้เต็มสิบ ตรีให้คะแนนตัวเองเท่าไหร่ 

A: เรื่องแรก (เรื่องเธอคือพรหมลิขิต) ผมให้แค่ประมาณ 2 - 3 คะแนน แค่นั้น เพราะว่าถ้าเทียบกับคนอื่น ละครมันก็เหมือนกับการเข้าโรงเรียนนะครับ ค่อย ๆ เริ่ม ค่อย ๆ เพิ่มพูนไปตามประสบการณ์ที่เรามี แต่ตอนนี้ล่าสุดกับ เลดี้บานฉ่ำ อาจจะให้ 7 - 7.5 คะแนน เพราะผมคิดว่ายังจะพัฒนาไปได้มากกว่านี้อีก

Q: คำว่า พัฒนา โฟกัสอะไรเป็นพิเศษ หรือต้องพัฒนาจุดไหน 

A: พัฒนาการเล่นละครนี่แหละครับ มีบางจุดที่เราอาจจะยังถ่ายทอดอารมณ์มาโดยที่เราไม่ได้เรียบเรียงมา บางทีก็ปล่อยตู้มเลยทีเดียว มันควรจะเป็นเหมือน Dynamic ไล่เป็นเส้นกราฟ ตอนนี้ก็พยายามฝึกมากขึ้นอีก จัดการกับอารมณ์และร่างกายตัวเอง

Q: 6 ปีที่เข้ามายืนตรงนี้ เห็นหรือมองวงการบันเทิงอย่างไร

A: ตอนเข้ามาใหม่ ๆ ผมคิดว่าการเข้ามาเป็นดารามันง่ายนะครับ แต่เราคิดว่าแค่ดาราไง ไม่ได้คิดว่าเราจะเป็นพระเอกหรือรู้จักคำว่าศิลปิน นักแสดง ดาราก็อาจจะแค่ท่องบท เล่นได้ เดี๋ยวมันก็มีชื่อเสียงไปเอง ผมเคยคิดว่าแค่ร้องไห้ได้ ก็คือเก่งมากแล้ว แต่เอาเข้าจริงมันไม่ใช่เลย พอเราโตขึ้น เราก็เห็นมิติต่าง ๆ มากขึ้น บางครั้ง บางซีน มันไม่จำเป็นต้องร้องไห้มีน้ำตาก็ได้ การเสียใจมันมีหลายรูปแบบ และนั่นมันคือ การเข้าใจบทและความเป็นนักแสดง

Q: แล้วอะไรคือ มุมคิดสู่การพัฒนา

A: หลังจากผมมีโอกาสอุปสมบท ได้เรียนรู้โลกทางธรรม รู้จักปล่อยวางมากขึ้น เข้าใจว่าโลกเป็นแบบนี้ ๆ ทำใจให้มันสบาย เพราะในการใช้ชีวิตและโลกการทำงาน ผมควรจะอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้ว คือใครแนะนำอะไร ไม่ว่าเขาจะอายุเยอะกว่าหรือน้อยกว่า เราควรเป็นผู้ฟังที่ดีก่อน ทำอะไรก็ตาม รู้จักรับฟังคนอื่นด้วย ไม่ใช่แค่ฟังแต่ตัวเอง

.

Q: จากบทบาทนักแสดง มีอะไรที่ตรีอยากทำ แต่ยังไม่ได้ทำอีกไหมในวงการ

A: ก่อนผมเข้ามาตรงนี้ ผมเป็นคนที่ไม่ชอบเป็นจุดสนใจ ไม่ชอบแสดงออกอะไรเลย แต่แล้วการทำงานมันพาเรามาถึงจุดนี้ เราควรจะเปลี่ยนตัวเองบ้าง ไม่ใช่เราจะยึดติดกับอะไรเดิม ๆ อย่างการร้องเพลง ผมพูดเลยว่า ไม่ชอบร้องเพลงเลย แต่ทุกวันนี้ผมพยายามลอง ผมเริ่มฝึกร้องเพลงจริง ๆ จัง ๆ ประมาณ 2 - 3 เดือนมานี้ จากที่เคยร้องเพี้ยนมากก็เริ่มเพี้ยนน้อยลง เริ่มตามจังหวะมากขึ้น เริ่มใช้เสียงสูงเสียงต่ำได้ ผมว่าการเรียนสิ่งต่างๆ ช่วยเพิ่มความสามารถให้ตัวเรา ไม่ใช่แค่เล่นละคร ได้ ยุคนี้ไม่ได้แล้ว มันต้องทำเป็นหมดทุกอย่าง 

Q: แล้วถ้างานพิธีกรล่ะ ก็ยังไม่เคย อยากทำไหม ถ้าไม่เคย

A: การเป็นพิธีกรกับการเป็นนักแสดงมันไม่เหมือนกันเลย พิธีกรมันต้องแบกไว้ทั้งหมด และต้องทำให้มันสนุกตลอด ผมไม่รู้ว่าผมจะมีความสามารถนั้นหรือเปล่า แต่ถ้าได้โอกาสก็อยากได้ลองเรียนรู้งานทุกแขนงในวงการบันเทิงครับ เมื่อก่อน อะไรที่ทำไม่ได้...ไม่รู้ ผมจะไม่ทำ แต่ตอนนี้ ผมคิดว่า ลองทำก่อน ชอบ...ไม่ชอบ มาว่ากัน อย่างน้อยทำไปให้ได้ลอง...ได้รู้ก่อน อย่าคิดปฏิเสธอะไรตั้งแต่เริ่ม ผมว่าแบบนั้นมันจะดีกับเรา

.

Q: ชีวิตตัวละครพระเอก (ท็อป) ในเลดี้บานฉ่ำ มีอะไรที่เหมือนหรือต่างกับตัวจริงของตรีบ้าง

A: ดูจากครอบครัวก็ต่างกันแล้ว พื้นเพเราไม่ได้เป็นแบบท็อป ชีวิตจริงผมโตมากับคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว คนที่เลี้ยงผมมาคือ คุณแม่ คุณยาย และมีพี่ชายอีก 2 คน ที่คอยดูแล พี่ชายคนโตตอนนี้อายุ 41 คนกลางก็ 38 ซึ่งผมอายุย่าง 26 พวกเขาก็เป็นเหมือนผู้ปกครองที่คอยดูแล สั่งสอนเรา ตั้งแต่เด็กจะโดนตี โดนดุด้วย ตอนนั้นไม่เคยเข้าใจเลย แต่พอเราโตขึ้นมา เราเข้าใจในสิ่งที่เขาทำ เขาก็หวังดี เขาผ่านอะไรมาก่อน วันนี้ผมจึงรู้ว่าการฟังผู้ใหญ่เป็นสิ่งที่ดีครับ เพราะว่าเราอาจไม่เคยผ่านหลายอย่างมา สิ่งที่เขาพูดมันถูกหรือมันผิดแล้วค่อยว่ากัน แต่เราควรรับฟังก่อนเสมอ

Q: แล้วนิสัยใจคอท็อปเป็นอย่างไร

A: ท็อปมีนิสัยพื้นเพเป็นคนจริงใจ ชอบช่วยเหลือผู้อื่น ท็อปมีพ่อเป็นเพศทางเลือก และมีปมหนักกับชีวิตกับครอบครัว แต่ท็อปเป็นคนรักใครก็รักจริง อยากให้ทุกคนได้ดี เห็นใจคนอื่น มีความเมตตา มันอาจมีจุดร่วมที่เชื่อมโยงได้นิดหนึ่ง อย่างตัวผมถึงจะไม่ได้อยู่กับพ่อ แต่ก็สนิทกัน ตอนแรกได้บทมาเนี่ย โอ้โฮ เกี่ยวกับพ่อด้วยเหรอ ยากเลย เพราะเราอาจไม่ได้ผูกพันลึกซึ้งกับพ่อ แต่ตัวละครเจอปมที่หนักกว่าผม เรื่องที่ท็อปเจอมันเป็นเรื่องที่เด็กผู้ชายทุกคนคงรับยาก 

Q: อะไรคือบทเรียนสำคัญจากตัวละครนี้

A: โลกอุดมคติของสังคม พ่ออาจเป็นทุกอย่างในชีวิต เป็นผู้นำ เป็นคนสั่งสอน อบรม และเสียสละทุกอย่าง พ่อเป็นเหมือนไอดอล แล้ววันหนึ่ง พ่อ (รับบทโดย วิลลี่ แมคอินทอช) ก็ทำลายความฝันนั้นเละตุ้มเป๊ะหมดเลย เมื่อท็อปรู้ว่าพ่อเป็นแบบนางโชว์ เขาก็เจ็บจี๊ดไปทั้งหัวใจ ทำนองนั้นครับ แต่พัฒนาการตัวละครก็นำเขาสู่การคลี่คลาย เขาอาจคิดว่าความรักของเพศทางเลือก ไม่มีจริงหรอก เพราะว่าพ่อเขาก็ไม่รักแม่ แต่การพัฒนาของตัวละครนี้ ก็เดินไปสู่การมองเห็นมุมที่ดีของคนกลุ่มนี้ ที่มีความรักไม่แตกต่างจากชายหญิง เพียงยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น แค่เขาต้องหาทางยอมรับให้ได้ มันก็จบ

.

Q: จากผลงานที่ผ่าน ถ้าเทียบความเข้มข้นของตัวละคร และการทำการบ้านหนัก 

A: ตอนที่เป็นปีย์แสง (ในละครสงครามนักปั้น 1 และ 2 ) อาจจะเจอแม่ที่ตัวละครคิดว่า ทำไมถึงไม่รักเรา แต่เขาก็มีเหตุผลให้เรา มันก็ยังไม่ได้เป็นปมหนักขนาดท็อป (ในละครเลดี้บานฉ่ำ) ส่วนมาเป็นเรืออากาศโท รวิศ (ในละครภาตุฆาต) ชอบแฟนคนเดียวกันกับพี่น้อง ซึ่งรู้แค่ว่าเป็นเพื่อนสนิท ก็ไม่ถือว่าเป็นปมอะไร ยังไม่มีปมไหนที่ต้องทำการบ้านหนัก อาจต้องฝึกการพูดจา ท่าทาง และการเป็นทหาร 

แต่สำหรับเลดี้บานฉ่ำ ตัวละครท็อปมันยากที่จะยอมรับในสิ่งที่พ่อเป็น ถามว่าเขาลืมได้ไหม เขาพยายามลืม เพราะว่าแม่เป็นคนบอกทุกอย่างว่าแม่ให้อภัย หรือว่าอะไรก็แล้วแต่ แต่ผลสุดท้ายสิ่งที่เขามาเจอมันก็ยังเป็นปมย้ำที่ว่า พ่อเขามีแฟนเป็นผู้ชาย หอมแก้มกันต่อหน้าเรา แต่ท็อปก็ยังรับไม่ได้กับสิ่งที่มันเกิดขึ้น มันเลยเป็นตัวละครที่ยาก

Q: เรื่องนี้ประกบกับนำแสดงตัวใหญ่ทั้งนั้นเลย...

A: ผมต้องคลุกคลีกับพี่ ๆ ทุกคน ต้องรีบทำลายกำแพงตัวเองให้หมด ต้องอ่อนน้อมและเข้าไปถึงตัวงานให้ได้ ผมพยายามทำแบบนั้น อย่างพี่วิลลี่คือ พ่อและแม่ในคนคนเดียวกัน เราขอคำปรึกษาเขาว่าจะเอาอย่างไรดีครับซีนนี้ ต้องเล่นแบบไหน ผมลองแบบนี้นะ หรืออย่างพี่โก๊ะตี๋ และอีกหลายท่าน เขาใส่มุกตลกแบบอิมโพรไวซ์ หรือมุกสดแทรกมาตลอด บางทีเราไม่เคยเล่น Comedy ผมก็มีหลุดขำประจำ

.

Q: ร่วมงานกับ มารี เบิร์นเนอร์ เป็นยังไงบ้าง

A: พี่มารี เบิร์นเนอร์ เป็นคนเก่ง และ น่ารักครับ ถึงจะเห็นเขาอยู่ในวงการมาสักพัก แต่ไม่เคยร่วมงานด้วยเลย พยายามทำลายกำแพง พยายามสนิทกับเขาให้เร็วที่สุด เพราะถ้าเราไม่สนิทกัน ตัวละครมันจะไปกันไม่ได้ พยายามรับส่งให้ดีเวลาเล่นด้วยกัน พี่เขาก็ประสบการณ์มากกว่า เขาก็มักจะสอนในสิ่งที่ดี ๆ ตรีลองพูดอย่างนี้สิ ลองคิดอย่างนี้ เราก็ฟังเขาตลอด แต่ว่าถ้าบางอย่างเราไม่เข้าใจ พี่ลองแบบนี้ดีกว่าไหม ก็ลองเล่นดู แล้วก็พากันไปครับ พากันไปทั้งคู่ รับส่งกันอย่างดี

Q: ในช่อง ONE ตรีปลาบปลื้มใครบ้าง

A: ผู้หญิงที่ผมร่วมงานมาก็พวกแม่ ๆ ทุกคน ผมก็ปลาบปลื้มหมดนะครับ พี่แหม่ม พี่เกด เพราะว่าเขาเก่ง เป็นคนมีฝีมือมาก มีสมาธิ อย่างผู้ชาย พี่กัปตัน พี่ดอม ทุกคนที่เราทำงานด้วยเก่งหมด อย่างนางเอก เลดี้บานฉ่ำ พี่มารี ผมร่วมงานด้วยแล้วผมรู้สึกว่าแบบ โอ้โฮ เขาเก่งทั้งในจอและนอกจอ คือเป็นคนมีความคิดที่ดี คนเรามีความคิดบวก คนก็จะอยากอยู่ด้วย อยากร่วมงานด้วยครับ

Q: แล้วถ้าเป็นระดับสากลล่ะในโลกนี้ ตรีชอบซูเปอร์สตาร์คนไหนบ้าง 

A: ถ้าเป็นเกาหลี ผมก็ชอบลีมินโฮ, คิม อูบิน, แบ ซูจี อย่างนี้ผมก็ชอบ เวลาที่เล่น ข้างนอกไม่จำเป็นต้องเยอะ แต่ข้างในเยอะมาก ผมก็ดูเป็น Reference ตลอด แล้วก็ล่าสุดนี่เลย Who Came From The Star นั่นก็เก่ง คือเราก็ดูทุกคนเป็นไอดอลเรา ดูถือว่าเป็นอาจารย์ ดูวิธีที่เขาถ่ายทอดอารมณ์ ส่วนถ้าเป็นสากล ผมชอบ คริสเตียน เบล และก็ นางเอก Me Before You เอมิลี คลาก ถ่ายทอดอารมณ์แบบสุดยอด ร้องไห้เลย

Q: พอเป็นนักแสดงแล้ว เวลาเสพอะไร มันจะล้นกว่าชาวบ้านเขา จริงไหม

A: จริงครับ การเป็นนักแสดงเวลาเสพอะไร มันต่างไปนะ Emotion เนี่ยมันรับง่ายกว่าคนอื่น ๆ อยู่แล้ว บางทีพูดปุ๊บเรารู้สึกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องในชีวิตส่วนตัว หรืองาน เอ้อ...ทำไมเรารับเข้ามาง่ายจัง แต่ผมก็ศึกษาดูวิธีเล่น เฮ้ย ทำแบบนี้ได้ไง เล่นแบบนี้ได้ไง มันกลายเป็นคนละมุมมองเลย เวลาเรามายืนจุดนี้ เราดูว่าเขามีวิธีอย่างไร เขาคิดอย่างไร ทำไมเก่งจัง

Q: สมมุติว่าวันนี้ไม่ได้เป็นนักแสดง ตรีจะทำอะไรอยู่ที่ไหน

A: ก็คงไปใช้ชีวิตเหมือนคนธรรมดาทั่วไป อาจจะทำงานที่บ้าน ขายตั๋วเครื่องบิน ทำงานทัวร์ครับ แล้วช่วงนี้ก็อาจจะแย่หน่อย หรืออาจจะเปิดร้านอาหาร หรือทำแบรนด์เสื้อผ้า ก็คิดอยู่ว่าจะทำ เพราะว่าเราก็เป็นคนชอบแต่งตัวอยู่แล้ว หรือว่าอาจจะเป็น Programmer ก็ได้ Gamer ก็ได้นะ แนวนี้ 

Q: ตัวเรามีอะไรที่พิเศษกว่าคนอื่น ๆ อีก ที่ทำอยู่

A: ผมชอบสวดมนต์ ไหว้พระ มันทำให้จิตใจเราสงบ และกินมังสวิรัติ ทุกวันพระ กินมา 3 - 4 ปี แล้วครับ ทำเอง โดยไม่มีใครบังคับ และไม่ได้บนอะไรด้วยนะครับ เดือนนึง 4 ครั้ง มันไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรง ทำแล้วสบายตัวสบายใจ

Q: มุมพักผ่อน อย่างการท่องเที่ยว ล่ะ

A: อยากไปมากกก ช่วงนี้ไม่มีเวลาเลย ชอบอยู่ในธรรมชาติ อากาศเย็น ๆ ไปนั่งอยู่เฉย ๆ ได้พักจริง ๆ มีโลกของตัวเอง ไม่ต้องคิดอะไร บางทีเราอาจเป็นคนที่ไม่ค่อยให้กำลังใจตัวเอง เวลาเราเจออะไรชอบแบบกดเข้าไปกว่าเดิม กดให้มันยิ่งแย่ผมว่า เราต้องหัดให้กำลังใจตัวเองเยอะ ๆ 

Q: มันมากจากว่าสิ่งที่ผสมปนเปอยู่ระหว่างอารมณ์ตัวละคร กับ ชีวิตเรา หรือเปล่า

A: ใช่ครับ... บางทีกลับมาบ้าน นิ่ง ๆ แม่ถามเป็นอะไรหรือเปล่า ผมไม่รู้ตัวครับ มีอารมณ์ขึ้นลงแบบสวิงตลอดเวลา บางทีเราอาจจะไม่ได้แย่มาก ๆ แต่เราดูไม่เหมือนปกติ คนใกล้ชิดจะรู้ แล้วก็ต้องบอก ผมขอโทษนะที่แสดงออกผิดปกติ ต้องขอโทษ

.

Q: ในกรุงเทพฯ แฟน ๆ จะเจอตรีได้ที่ไหนบ้าง

A: ยากเลยครับ คงไม่เจอ ผมไม่ค่อยไปไหนเลย ชอบอยู่บ้านครับ แล้วก็ไปฟิตเนส ส่วนกินก็กินที่บ้าน หรือว่าถ้าโอกาสพิเศษจริง ๆ ก็ออกไปกินร้านทั่ว ๆ ไป อ้อ ถ้าเจอผมได้ ก็ที่ตึกแกรมมี่ครับ แล้วก็ที่กองถ่าย (หัวเราะ)

Q: เรื่องที่คนอื่นไม่รู้เกี่ยวกับตรี...

A: ตอนเด็ก ๆ ผมเคยโดนผู้หญิงบอกเลิกด้วยข้อหาว่า ผมเตี้ยเกินไป (หัวเราะ)

Q: เดี๋ยวก่อน! ขอโทษ ตอนนี้คือ 180+ นะ

A: แล้ววันนึง มันสูงเอง มันบังเอิญสูงเอง (หัวเราะ)

Q: คนแบบไหนที่จะไปเดต ไปสนุก ไปอยู่ด้วยกันหลาย ๆ วันได้

A: ผมว่ามันต้องอยู่ที่ความเข้าใจเหนือสิ่งอื่นใด เพราะว่าถ้าเรามองแค่หน้าตา อยู่ไปเรื่อย ๆ หน้าตาก็เฉย ๆ มันต้องเข้าใจกัน แล้วก็มีไลฟ์สไตล์ที่คล้าย ๆ กัน 

Q: ชอบอยู่กับคนแบบไหน

A: ผมชอบคนเก่ง ชอบคนทำงาน ชอบคนที่อยู่ด้วยแล้วมันมีพลังบวก เพราะเราชอบเป็นพลังบวกให้เขาด้วย แล้วยิ่งอยู่บวกกับบวกมันยิ่งดี ผมชอบแบบนี้

.

Q: ถ้ามีเวลาเหลือแค่ 10 วัน อยากทำอะไรกับใคร ยังไงบ้าง

A: ขออยู่กับแม่ครับ อยู่กับคนที่เรารักจริง ๆ จะอยู่กับเขาให้นานที่สุด อยู่เพื่อใช้เวลากับเขาครับ อาจพาเขาไปทำทุกอย่างที่เรายังไม่ได้พาไป ชดเชยในสิ่งที่เราอาจเคยทำไม่ดีกับเขา อยากทำให้เขามีความสุขที่สุด สิ่งเดียวที่ทำให้เรามีความสุขอยู่ตอนนี้ก็คือ คุณแม่ และครอบครัว เป็นสิ่งเดียวที่ยึดจิตใจผม ผมอยากใช้เวลากับคุณแม่ให้มากที่สุด อันนี้พูดจริง ๆ จากใจ

Q: ในฐานะที่เป็นคนในอาชีพนักแสดง อยากบอกอะไรกับผู้คนในสังคมทุกวันนี้บ้าง

A: ขอให้รับฟังในสิ่งที่คนที่มีประสบการณ์มาก่อน ผ่านวันเวลามาก่อนเรา อาจจะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน แต่อยากให้รับฟังก่อน อยากให้เชื่อกันก่อน เพราะบางอย่างที่เรายังไม่เจอ เราไม่รู้หรอกมันจะเป็นอย่างไร อันนี้คือสิ่งที่ผมบอกตัวเองเสมอว่า ต้องรู้จักรับฟัง 

.

ติดตามงานละคร เลดี้บานฉ่ำ ที่กำลังออนแอร์อยู่ทาง ช่อง one 31 ทุกวันจันทร์-อังคาร เวลา 20.15-22.45 น. และผลงานอื่นๆ ของตรี ได้ที่ Instagram: treporapat  / Twitter: treporapat


เรื่อง ณัฐพล ช่วงประยูร 

ภาพ ณัฐ์วริทธิ์ วรรธนะพินทุ

 

สนทนาผ่านมุมมองนางเอกเจเนอเรชั่นใหม่ ‘เฟิร์น - นพจิรา ฤกษ์ขจรนามกุล’

เธอเป็นสาวสาย วิศวกรรมโยธา ทั้งระดับปริญญา ตรีและโท

เธอค้นพบว่า ตัวเองชอบการแสดง และต้องยืนอยู่ตรงนี้ เพื่อทำมันให้ดี

เธอไม่ได้ปล่อยให้คำดูแคลนเรื่องรูปร่างหน้าตา ปิดโอกาสในการพยายามเพื่อพิสูจน์ฝีมือ เธอเป็นคนน่ารัก มีเสน่ห์ น่าจับตา...

ขณะเดียวกันนิสัยใจคอ และการพูดจา ทำให้เรารู้สึกว่า ‘นางเอก’ จับต้องได้

The States Times LITE มีนัดกับเธอ...นางเอกน้องใหม่แห่งช่อง ONE 31 ‘เฟิร์น-นพจิรา ฤกษ์ขจรนามกุล’ ถามหาเหตุผลว่า เหตุใดต้องมาคุยกับเธอผู้นี้ ข้อแรก เป็นเพราะละครเรื่องล่าสุดที่เพิ่งจบลงไป ‘คดีรักข้ามภพ’ สนุกมากกกก! นอกจากสนุก ยังเป็นละครน้ำดี มีคุณภาพ และแน่นอน นางเอกของเรื่องก็คือเธอ

ข้อต่อมา หากจะมองหา ‘นางเอกน้องใหม่มาแรง’ ใน พ.ศ. นี้ ควรต้องมี เฟิร์น - นพจิรา ติดอยู่ในนั้น เหตุผลสนับสนุนนั่นคือ หลายเรื่องที่เธอได้ร่วมเล่น กระแสตอบรับดีแบบไม่ธรรมดา ถ้าจำยังละครเรื่อง ‘หัวใจศิลา’ เมื่อปีก่อนได้ นั่นก็ผลงานของเธอ

ข้อที่สาม หากย้อนประวัติชีวิตของนางเอกคนนี้ เธอร่ำเรียนมาทางด้านวิศวกรรมโยธา เรียกว่าเป็น ‘สาววิดวะ’ เท่ ๆ คูล ๆ มากว่า 6-7 ปี แต่หนทางชีวิตกลับพลิกให้สาววิศวกรโยธากลายมาเป็นนางเอกเสียได้ ไม่ใช่เรื่องอุบัติเหตุ แต่เป็นความตั้งใจ แถมเธอยังหลงรักศาสตร์แห่งการแสดงเอามาก ๆ มากไปกว่านั้น ยังมีแพสชั่นกับงานในวงการบันเทิงอื่น ๆ ทั้งพิธีกร ดีเจ ถ้าสบโอกาสเมื่อไร คงได้เห็นผลงานด้านนี้ของเธอกันอย่างแน่อนอน

ไล่เรียงเหตุผลมาพอสมควร ขอสรุปแบบง่าย ๆ ต่อไปว่า เพราะความน่ารัก ชวนมอง และเป็นคนรุ่นใหม่ที่เต็มไปด้วยพลัง ทั้งหมดเหล่านี้ ที่ทำให้เราต้องตามมา ‘โฟกัส’ ชีวิตของนางเอกสาวคนนี้ ตามไปทำความรู้จักกับเธอให้มากกว่านี้กันดีกว่า..


Q: ทราบว่า เฟิร์นเรียนมาทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ มีการประยุกต์หรือใช้ความรู้ด้านวิศวะกับงานการแสดงหรือละครอย่างไรบ้าง 

A: สิ่งที่เฟิร์นรู้สึกว่ามันมีผลที่ชัดมากก็คือ เรื่องของการคิดวิเคราะห์ตัวละครค่ะ คือการที่เราอ่านตัวละคร จะสร้างตัวละครหนึ่งได้ มันต้องผ่านการวิเคราะห์ว่าเขาเป็นคนอย่างไร เกิดอะไรขึ้น ทำไมเขาถึงต้องกลายเป็นคนแบบนี้ นี่คือขั้นตอนพื้นฐานในการสร้างตัวละครตัวนี้ขึ้นมานะคะ สิ่งนี้เฟิร์นคิดว่าสำคัญ เพราะสิ่งที่จะทำให้เรารู้จักว่าคนนี้เป็นแบบไหนได้ มันต้องเกิดจากการสังเกตต่าง ๆ มันอาจจะเป็นทักษะตั้งแต่เราเรียนมา ที่เราต้องคิดเป็นลำดับขั้นตอนว่าอะไร เป็นเพราะอะไรมันถึงเกิดอย่างนี้ การสังเกตสิ่งต่าง ๆ อะไรอย่างนี้ค่ะ อาจจะใช้ไหวพริบตรงนี้มาช่วยในเรื่องของการแสดงได้ แต่สิ่งที่เป็นปฏิปักษ์ซึ่งกันและกันก็คือ การที่คิดมากเกินไปนี่แหละค่ะ จะมีผลต่อการแสดงว่าเอาแต่คิดแล้วไม่รู้สึก มันมีข้อดีข้อเสียของมัน แรก ๆ เฟิร์นก็ไม่เข้าใจว่ามันจะแยกกันได้อย่างไร บางอย่างเราเพิ่งมารู้ว่า บางครั้งถ้าเอาแต่คิดแต่ไม่ได้รู้สึกเลยสักอย่าง มันก็ไม่ได้ช่วยอะไร คือคิดได้  แต่สิ่งที่คิดต้องส่งผลต่อความรู้สึกด้วย มันถึงจะไปด้วยกันได้ 

Q: สมมุติว่าคะแนนเต็ม 100 และมีอยู่ 4 หมวดที่ต้องให้คะแนน คือ ความสวย ทัศนคติ ความสามารถ และความดีงาม เฟิร์นจะให้สัดส่วนคะแนนด้านไหน อย่างไรบ้าง

A: เชื่อไหมคะ คำถามนี้เป็นคำถามที่เฟิร์นต้องส่งไปถามคนอื่นว่า ฉันควรจะให้คะแนนตัวเองเท่าไหร่ (หัวเราะ) แต่ถ้าต้องมองตัวเอง เฟิร์นให้ทัศนคติ 30 ความสามารถ 30 ความดีงาม 25 ความสวย 15 ค่ะ

Q: ทำไมคิดว่าตัวเองสวยน้อย

A: ไม่ได้คิดว่าตัวเองสวยน้อย แต่วิเคราะห์ว่าตัวเองมีอะไรที่เป็นจุดเด่นมากกว่าค่ะ (ยิ้ม)

Q: หลายผลงานที่ผ่านมา อะไรยากง่ายบ้าง และตัวเองพัฒนามาอย่างไร มีอะไรที่ง่ายบ้างสำหรับเรา หมายถึงว่าอาจจะยากน้อยหน่อย แล้วที่ผ่านมาพัฒนามันอย่างไรบ้าง 

A: จริง ๆ มันก็ยากหมดนะคะ ไม่มีอะไรง่ายเลยสำหรับเฟิร์น เพราะสุดท้ายแล้วถึงเราจะวนกลับมาเล่นโรแมนติกดราม่าแบบที่เราคิดว่าย่อยง่าย ถนัด สุดท้ายพอยิ่งเล่นมากขึ้น มันก็จะมีความท้าทาย คือเล่นอย่างไรไม่ให้คนติดภาพจำแบบเดิม ๆ เล่นแล้วไม่ให้คนรู้สึกว่า นี่คือเฟิร์น

ถ้าถามว่าอะไรง่ายคงไม่มี แต่แนวทางที่คิดว่าย่อยง่ายก็คงจะเป็นโรแมนติกดราม่า ที่มันสามารถทำความเข้าใจได้ง่ายค่ะ มันไม่ได้ซับซ้อนมาก แต่ว่าตั้งแต่เล่นมา มีอีกเรื่องหนึ่งที่เฟิร์นกำลังถ่ายอยู่ ยังไม่ได้ออนแอร์ คือเรื่อง ‘ห้องสุดท้ายหมายเลข 6’ เป็นหนังผีที่มีความโรแมนติกดราม่าสูงมาก แล้วก็มี comedy แถมเข้ามา เพื่อไม่ให้บรรยากาศมันตึงเครียดจนเกินไป ซึ่งเรื่องนี้ปีหน้าน่าจะได้ชมกัน

จากละครที่ถ่ายทำในปีนี้ เฟิร์นค้นพบตัวเองมากขึ้นใน ‘ห้องสุดท้ายหมายเลข 6’ เพราะว่าจากซีนธรรมดา แต่สำหรับเฟิร์น เราเล่นมันพิเศษทุกซีน ทำการบ้านกับตัวเองหนักมาก ที่จะเปิดเซ้นส์ในการเอาตัวละครที่ชื่อ ‘เพียงรัก’ เข้ามาให้เราเข้าใจได้มากที่สุด และเปิด range ของอารมณ์ตัวเองออกไปให้ได้มากที่สุด จากตรงนี้ เฟิร์นมาค้นพบตัวเอง และมั่นใจกับการแสดงของตัวเองมากขึ้น ทำให้รู้สึกว่าเราอยากไปอีกขั้นหนึ่งของโลกการเป็นนักแสดง

บางครั้งนักแสดงจะมีอุปสรรค สมมติว่าตอนนี้เราผ่านด่านนี้มาได้ ผ่านไปสักแป๊บหนึ่ง ก็จะเจอด่านใหม่ของตัวเองเสมอ แล้วด่านของเฟิร์นคือ พอเราเล่นโรแมนติกดราม่ามา จนคนคิดว่าเราร้องไห้ได้ง่าย มันกลายเป็นเหมือนคำพูดที่มันกรอกหูเราว่า เราร้องไห้ได้ง่าย ร้องไห้สบายอยู่แล้ว แต่สำหรับเรายากมาก

เฟิร์นเป็นคนร้องไห้ง่ายจริง แต่ว่าพอต้องมาเล่นละคร แล้วเวลามีบทเขียนกำกับว่าซีนนี้พูดเสร็จปุ๊บ ร้องไห้อย่างหนักหน่วงหรือร้องไห้อย่างหมดแรง เราจะรู้สึกว่ากลัวทำไม่ได้ กลัวจะไปไม่ถึง

ปีนี้ก็เหมือนยอมรับตัวเอง แล้วกล้าที่จะเล่น และไม่ต้องคิดมากแล้วว่าจะร้องไห้ได้หรือร้องไห้ไม่ได้ เพราะจากเรื่องนี้นี่แหละที่ทำให้เราอยากทุบตัวเอง มันคือการทุบตัวเองจริง ๆ ในกระบวนการคิดและจัดการ

Q: มีปัจจัยอะไรบ้าง ที่มาช่วยผลักดันเรา ได้มากกว่าแค่ตัวงาน

A: เฟิร์นรู้สึกเหมือนกับว่าช่วงที่ว่างงานมันทำให้รู้ว่า เรารักอาชีพนี้มาก เราขาดไม่ได้แน่ ๆ เฟิร์นชอบโลกของการแสดงมากจริง ๆ แล้วมันทำให้เฟิร์นรู้สึกว่า ทุกงานที่จะออกไปให้คนดูต่อจากนี้ เฟิร์นอยากให้มันพิเศษสุด ๆ เลย เพราะเฟิร์นไม่เคยคิดว่าตัวเองคือดารา เวลาใครถามว่าเป็นดารายากไหม เฟิร์นมักจะตลกเสมอ เฟิร์นจะบอกว่าไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นดารา รู้สึกว่าตัวเองเป็นนักแสดง เฟิร์นรู้สึกว่าสิ่งนี้มันเป็นอาชีพ ที่มันอาจจะพ่วงความเป็นดารามาด้วยนั่นแหละ แล้วช่วงโควิดมันทำให้รู้ว่าเรารักงานนี้มากจริงๆ และเป็นงานที่เราอยากทำต่อไป เพื่อนก็ชอบพูด...ไม่หาอะไรทำเหรอ ไม่มีอะไรทำเหรอ แล้วเวลาคนถามบ่อยๆ เฟิร์นหงุดหงิดนะ เฟิร์นไม่ได้อยากไปทำอย่างอื่น ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟิร์นโฟกัสแต่สิ่งนี้ อยู่อย่างนี้ .

Q: ถ้าโควิด-19 ลากนานไปกว่านี้ คาดว่าสถานการณ์ชีวิตน่าจะลำบากลงไปอีก

A: มีส่วนค่ะ แต่ว่าหลังจากเหตุการณ์มันก็ทำให้เราเริ่มมองหาธุรกิจทำ แล้วก็เริ่มลงมือทำ แต่ไม่ได้ให้อย่างอื่นมาเป็นที่หนึ่ง เรายังให้สิ่งนี้เป็นที่หนึ่ง และรู้สึกว่าอยากให้คนดูเห็นพัฒนาการของการแสดงของเราจริงๆ แล้วก็โชคดีได้จังหวะเจอคุณครูที่ดีด้วย ก็คือครูบิว (อรพรรณ อาจสมรรถ) รู้สึกว่าตรงจริตกับเราค่อนข้างมาก แล้วสิ่งที่ครูเขาสอนเราเข้าใจง่าย สามารถเข้าใจตัวเองได้ และเราเอาไปใช้ได้จริง ๆ 

ครูบิวอยู่ฝั่งนาดาวค่ะ แต่ทุกวันนี้ก็มาสอนให้กับเด็ก ๆ ในสังกัดช่องวัน จริง ๆ ครูเขาเปิดสถาบันการสอนอยู่แล้วชื่อ Act-Things Studio ต้องขอบคุณครูบิวมากจริง ๆ เวลาเราไปเรียนเราไม่ได้เรียนเพื่อจะเล่นอย่างไรให้เก่งขึ้น แต่เรียนเพื่อเข้าใจตัวเองมากขึ้นไปอีก เหมือนหาร่องของตัวเองว่าจะไปทางไหนให้มันสวยงามมากขึ้นในการแสดง

Q: ฟังดูคล้ายเฟิร์นเป็นคนให้ความสำคัญกับทุกอย่างจากตัวเอง แล้วก็นำทางออกไปเพื่อทำงาน อย่างเรื่องล่าสุดได้ร่วมงานกับทุกๆ คน อย่างเต๋า (เศรษฐพงศ์ เพียงพอ) หรือคนอื่น ๆ เป็นอย่างไรบ้างครับสำหรับเรื่องนี้

A: ดีค่ะ รู้สึกแบบ...นี่ละของจริง ของจริงเขาไม่ต้องพูดเยอะ เฟิร์นว่าสิ่งที่นักแสดงรุ่นเฟิร์นเป็น คือเรื่องของพลัง การเอาพลังออกมา เฟิร์นว่ามันเป็นเรื่องของประสบการณ์และความมั่นใจในตัวเอง คงไม่มีใครที่จะมีโอกาสได้เล่นกับนักแสดงชั้นนำมากฝีมือบ่อยๆ อย่างแม่ตุ๊ก (ดวงตา ตุงคะมณี) หรือว่าพี่เอมี่ (กลิ่นประทุม) พี่แอริน (ยุกตะทัต) และพอมาอยู่ในเซ็ต มาอยู่กับทุกคนแล้วมันเป็นโลกนั้นจริงๆ ตัวละครอื่นๆ ก็ทำให้เราเชื่อว่าเราอยู่ในโลกของเขาจริงๆ

เฟิร์นนับถือพี่ ๆ นักแสดงทุกคนเหมือนครู ทั้งพี่เต๋าเองด้วย คือการได้ทำงานร่วมกับคนใหม่ ๆ มันทำให้เราไม่ยึดติดหรือลำพองตัวว่าเราเก่ง แต่เราต้องรู้จักปรับเปลี่ยนเสมอ ไม่ใช่ฉันคิดว่าฉันจะเล่นวิธีนี้ แล้วฉันก็ต้องเล่นวิธีนี้ตลอดไป คนอื่นเป็นอย่างไรไม่รู้ ฉันไม่สนใจ มันไม่ใช่ การแสดงคล้ายการตีปิงปอง ต้องทำงานร่วมกัน เราเล่นไปเวย์นี้ เขาอาจจะรับไม่ได้ เขาอาจจะไม่รู้สึก มันก็ไม่ใช่ว่าจะต้องไปโทษเขา ว่าทำไมคุณไม่รู้สึก เราส่งไปให้แบบนี้ ไม่ใช่ 

Q: เป็นได้หลายคำตอบ

A: ใช่ค่ะ แต่เราต้องมาคิดว่าเราจะทำอย่างไรดี ที่จะเปิดคลื่นความถี่เราให้มันกว้างขึ้น เพื่อจะได้ไปจูนกับเขา การทำงานนี้มันต้องฝึกที่จะไม่โทษคนอื่น แต่ให้เริ่มจากตัวเราเองก่อน เฟิร์นว่าปีนี้เฟิร์นค่อนข้างตกตะกอนเรื่องนี้ได้อย่างดีมาก ๆ จากที่แต่ก่อนเราอาจจะคิดว่าเราตั้งใจมาก แล้วทำไมรอบข้างไม่รับรู้อะไรอย่างนี้ แต่ปีนี้ไม่รู้ว่าอะไรมันทำให้เราเปลี่ยนมุมมองความคิดจริง ๆ ว่า เราต้องเป็นผู้ให้ก่อนที่จะเป็นผู้รับ 

Q: จริง ๆ คือ ต่างคนต่างช่วยกัน

A: อยู่รอบตัวเรา แล้วอยู่ตรงนี้มันเป็นเรื่องของการแข่งขันจริง ๆ เวลานักแสดงได้ผลงานไป รู้ว่าจะเปิดกล้องอะไร บางคนก็มองว่าอันนี้ฟอร์มเล็ก อันนี้ฟอร์มใหญ่ อันนี้น่าสนใจ อันนี้ไม่น่าสนใจ แต่เราไม่รู้สึกอย่างนั้นเลย เรารู้สึกว่าทุกเรื่องที่เราได้มา ไม่ว่าจะเล็กใหญ่ เราให้คุณค่ากับมัน พอเราให้คุณค่ากับมัน เราก็เชื่อว่าจะมีคนที่เห็นคุณค่าในการทำงานของเราตรงนี้จริง ๆ แล้วเราก็รู้สึกแบบนั้นจริง ๆ ว่า มีคนเห็นคุณค่าของงานเราจริง.

Q: เฟิร์นมีอะไรบ้างที่อยากทำ แต่ยังไม่ได้ทำ

A: เฟิร์นชอบทั้งดีเจและพิธีกรนะ แต่ถ้าสิ่งหนึ่งที่อยากทำมากๆ เลยคือ ดีเจ เป็นดีเจวิทยุ เฟิร์นชอบคุยไปเรื่อยๆ อย่างนี้ เฟิร์นคิดว่าตัวเองสามารถทำได้ วันนี้มีเรื่องดีๆ อยากมาเล่าให้คุณผู้ฟัง เฟิร์นนึกภาพตัวเองที่จะเป็นอย่างนั้นอยู่เหมือนกัน อยากทำเพราะว่าพื้นฐานมันเริ่มจากเฟิร์นชอบฟังเพลง แล้วเราก็โตมากับวิทยุ เฟิร์นยังทันโลกเก่า ก่อนที่จะเป็นดิจิตอลอย่างทุกวันนี้ เคยผ่านช่วงที่ต้องรอดีเจเปิดเพลง เราถึงจะได้ฟังเพลงใหม่ๆ แล้วเราก็เลยชอบ หลงเสน่ห์ของมัน 

Q: ตัวอย่างของดีเจคนโปรดล่ะ

A: ตอนนี้เฟิร์นรู้สึกว่าเฟิร์นชอบพี่อั๋น (ภูวนาท คุนผลิน) ค่ะ ชอบที่พี่อั๋นพูด น่าฟัง แล้วเขามักจะมีอะไรดีๆ มาเล่าให้ฟัง

Q: แล้วรูปแบบรายการจะต้องเป็นอย่างไร ถ้าเป็นตัวเองจัด 

A: เฟิร์นอยากเปิดเพลงที่ไม่จำเป็นว่าจะต้องอยู่ในกระแสตลอดเวลา อยากเปิดเพราะเป็นคนฟังเพลงทุกแนวจริงๆ เพื่อชีวิตเฟิร์นก็ฟัง แล้วรู้สึกว่าอยากทำรายการที่ไม่ใช่ให้ผู้หญิงฟังอย่างเดียว อยากให้เป็นรายการที่มีการถกเถียงถึงประเด็นต่างๆ แล้วกล้าที่จะถกเถียงจริงๆ แบบใช้เหตุผลคุยกัน เช่น สมมติว่าวันนี้มี topic ว่า คุณคิดเห็นอย่างไรกับนักเรียนที่ไม่ใส่ชุดไปรเวทไปโรงเรียน เราอยากเอาหัวข้ออย่างนี้มาอัพเดตคน มาส่งต่อให้ผู้ฟัง หรือไปเจอทิปดีๆ เราก็อยากเอามาบอกเขา

.

Q: ใครคือนักแสดงหรือคนดังที่เป็นคนโปรดของเรา และเพราะอะไร

A: ผู้ชายก็คือกงยูค่ะ สุดที่รัก (หัวเราะ) ที่หนึ่งในดวงใจของเฟิร์น พูดกันตามตรง เขาไม่ได้เป็นคนหล่อมาก แต่เฟิร์นชอบการแสดงของเขามาก ตั้งแต่ ‘Coffee Prince’ (เจ้าชายกาแฟกรุ่นรัก) แล้ว พอมาดูอีกรอบที่ตกหลุมรักจริงๆ คือ ‘Goblin’ (คำสาปรักผู้พิทักษ์วิญญาณ) อันนี้คือที่สุด เฟิร์นดูไป 3 รอบแล้วเฟิร์นยังร้องไห้

Q: หมายถึงดูก็อบลิน 3 รอบ 

A: เหมือนทุกปีต้องกลับมาดู อะไรอย่างนี้ ชอบมาก คือเขาเล่นจากหัวใจเลย มันไม่มีการหลุดเลย

Q: หรือว่าแอบอยากเป็นเจ้าสาวของก็อบลิน 

A: เฟิร์นคิดตลอดว่าเราเป็น เฟิร์นไม่ใช่แอบ เฟิร์นคิดตลอดว่าตัวเองคือคนนั้น (หัวเราะ)

Q: ผู้ดึงดาบออกจากอกก็อบลิน

A: ใช่ เฟิร์นจะบ้าตายที่เห็นการแสดงของเขามันทรงพลัง มันไปถึงหัวใจ แล้วมันทำให้เฟิร์นตามดูทุกเรื่องของเขา แม้กระทั่งหนังที่ไม่ได้อยู่ในกระแสมาก อย่างเรื่อง ‘Silenced’ (เสียงจากหัวใจ...ที่ไม่มีใครได้ยิน) ดีมากค่ะ เป็นหนังเก่า ไม่รู้ว่าจะหาดูได้อีกไหม เป็นหนังที่ based on true story ของเกาหลีใต้ เนื้อเรื่องพูดถึงคดีล่วงละเมิดทางเพศของคุณครูกับเด็กพิการ เฟิร์นดูจบแล้วเศร้าไปอาทิตย์หนึ่ง มันดึงไม่ออกเลย มันไม่ใช่ร้องห่มร้องไห้ แต่มันเหมือนหนังจบ แล้วทิ้งคำถามให้กับเราเลยว่า เรารู้สึกอย่างไร

Q: แล้วถ้าเป็นนักแสดงผู้หญิงล่ะ

A: ชื่อเจ๊กงค่ะ กงฮโยจิน เป็นดาราหญิงเกาหลีที่ค่าตัวสูงมาก แต่หน้าตาไม่ได้พิมพ์นิยมเลย เขาเล่นเรื่อง ‘Master's Sun’ กับโซจีซบ และอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้ตกหลุมรักการแสดงของเขาคือ ‘It's Okay, That's Love’ อันนี้เป็นซีรีส์ทั้งคู่ค่ะ พูดกันตามตรงในความรู้สึกเราตอนนั้น เขาไม่ได้เป็นคนหน้าตาสวยแบบในอุดมคติ เขาเป็นคนไม่ทำศัลยกรรมเลย ตอนแรกก็ดูแบบ อยากรู้ว่าทำไมเขาถึงแบบเป็นนางเอกได้ 

Q: ความสามารถทะลุใบหน้า อะไรประมาณนี้หรือเปล่า

A: โอ้โห...สวยลืม กลายเป็นว่าเขาสวยมาก แล้วเฟิร์นไม่แปลกใจเลยที่ค่าตัวเขาจะแพงมาก เขาเก่งมากจริง ๆ เล่นเป็นจิตแพทย์ ไปตกหลุมรักคนที่เป็นจิตเภท แล้วมารู้ในตอนสุดท้ายว่าแฟนตัวเองเป็นจิตเภท โอ้โห...เขาเล่นได้ละเอียดมาก เฟิร์นเห็นลูกละเอียด การแสดงของเขาไหลลื่นเป็นธรรมชาติมาก จนทำให้เราแทบจะยกเขาเป็นไอดอลเลยนะ 

ถามว่าทำไมเฟิร์นถึงมีแรงฮึดที่จะทำงานการแสดง เฟิร์นให้เขาเป็นไอดอล เพราะเฟิร์นรู้สึกว่าคนอื่นอาจจะมองว่าเขาบ้านๆ ใช่หรือเปล่า เพราะว่าเฟิร์นก็เคยโดนมาเหมือนกัน ว่าหน้าตาเฟิร์นงั้นๆ ธรรมดา เป็นนางเอกไม่ได้หรอก โดนมาตลอด ก็เลยรู้สึกว่าหน้าตาอย่างนี้เดี๋ยวจะเป็นนางเอกให้ดู เพราะเราเชื่อมากกว่านั้น คือการแสดงมันกลบหน้าตา ทำให้คนคนหนึ่งมีเสน่ห์ขึ้นได้จริง ๆ เฟิร์นก็เลยรู้สึกว่ามันไม่ได้เกี่ยวกับหน้าตาแล้ว มันเกี่ยวกับว่าฝีมือ 

Q: เหมือนที่ให้คะแนนตัวเอง 4 ข้อก่อนหน้านี้

A: ใช่ โอเค หน้าตามันอาจจะเป็นด่านแรกแหละ ว่าคนดูจะซื้อหรือไม่ซื้อ อาจเพราะสังคมของเราด้วยที่มักจะมองกันที่หน้าตาก่อนเสมอ ถ้าหน้าตาดีใครก็ให้โอกาส พูดกันตามตรง ยิ่งผู้ชายนะ หล่อ ๆ เล่นแข็งแค่ไหนก็ได้รับการให้อภัยเสมอ แต่นี่...ยิ่งหน้าตาไม่ได้สวยมาก แล้วถ้ายิ่งเล่นแย่ก็พร้อมจะสาปส่ง ไล่ไป ชนิดว่าไล่ไปตาย อย่ามาอยู่วงการตรงนี้ เฟิร์นเคยโดนขนาดนั้น เฮ้ย...ทำไมโลกมันใจร้ายกับเราจังเลย ณ ตอนนั้นนะ แต่ตอนนี้ก็มองว่ามันต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้คนตระหนักว่า ไม่ว่าใครจะทำอาชีพอะไร เราไม่ควรจะไปตัดสินคนนั้นแค่ที่หน้าตา แต่ก็ยอมรับกันตามตรงว่า ถ้าหน้าตาดีมีชัยไปกว่าครึ่งจริงๆ ทำให้เฟิร์นเองก็ต้องพยายามอย่างมากที่จะเอาความสามารถเข้ามาสู้ตรงนี้ เพราะถ้าพูดกันตามตรงคือ คนสวยเยอะแยะ คนสวยเต็มไปหมดเลย 

Q: อยู่ที่ว่ามองที่อะไร

A: ใช่ค่ะ แต่อยู่ที่ว่าเราจะยืนอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร เพราะเฟิร์นเชื่อว่าวันหนึ่งทุกคนจะต้องเหี่ยวลง จะต้องแก่ไปตามกาลเวลา แต่อะไรล่ะที่มันจะอยู่คู่กับเรา แล้วทำให้เขาเลือกใช้เราอยู่

Q: ถ้าเกิดไม่ได้ทำอะไรอยู่ตรงนี้ วันนี้จะทำอะไรอยู่ที่ไหน สร้างสะพาน สร้างตึก สไตล์สาววิศวะ

A: ไม่มีทาง เพราะเฟิร์นค้นพบว่า โอเค เฟิร์นชอบตอนเรียนจริง แต่เฟิร์นค้นพบวัฏจักรชีวิตการทำงานค่ะ เฟิร์นได้ไปลองฝึกงานมาแล้ว เฟิร์นรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสุขแน่นอนกับการทำงานตรงนั้นจริง ๆ ถือว่ารู้ตัวเร็ว

Q: แล้วถ้าต้องสร้าง จะสร้างอะไรครับ

A: ถ้าจะสร้างเหรอคะ... อยากสร้างพื้นที่ที่ให้เด็กได้มาแสดงออก ให้เด็กได้มาค้นหาตัวเอง เพราะว่าเฟิร์นถือว่าเฟิร์นโชคดีมากเลยที่อย่างน้อยมาค้นพบตัวเองว่ารักอะไร ชอบอะไร และได้ทำในสิ่งที่รัก มันไม่ใช่ทุกคนที่จะทำในสิ่งที่รักแล้วหาเลี้ยงตัวเองได้

.

Q: เจอตัวเอง ตอนจบปริญญาตรี 

A: เพราะว่าชีวิตเราอยู่แต่กับการเรียน ไม่เคยได้มีโอกาสค้นหาตัวเองเลยว่าตัวเองชอบอะไร เฟิร์นก็เลยรู้สึกว่าถ้าเฟิร์นอยากทำอะไรสักอย่างที่มันจะมีประโยชน์ หรือทำให้คนนึกถึงเรา คงอยากสร้างพื้นที่ที่ทำให้เด็กคนอื่นได้มีโอกาสมาค้นหาตัวเองอะไรอย่างนี้ 

Q: อาจจะรวมทั้ง ไม่จำกัดว่าความสามารถอะไรก็ตาม

A: ใช่ ๆ อาจจะเป็นอะไรก็ได้ เป็นอาร์ต หรืออะไรก็ได้ แต่ได้มาเจอตัวเอง เพราะว่ามีคนชอบมาถามเฟิร์น บางทีโรงเรียนเชิญให้ไปพูดกับรุ่นน้อง คนอื่นเขาจะพูดวิชาการ แต่เฟิร์นบอกว่าเล่นให้สนุก ให้เล่นไปด้วยเรียนไปด้วย อย่ายึดติดว่าสิ่งที่เรียนจะเป็นสิ่งที่ทำอาชีพได้ คือเฟิร์นจะเป็นแนวนี้มากกว่า

Q: อย่าไปตีกรอบ

A: อย่าไปตีกรอบตัวเองเลยค่ะ เพราะเราไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเราจริง ๆ คืออะไร จนกว่าเราจะหาสิ่งนั้นเจอด้วยตัวเอง เราอาจจะไม่ได้เจอตอนอายุ 20 ก็ได้ บางคนโชคดีอาจเจอตอน 15 ก็จะมีเวลาอยู่กับมัน หรือบางคนอาจจะเจอตอน 40 ก็ได้ คือทุกคนมีช่วงเวลาไม่เหมือนกัน.

Q: วันว่างเฟิร์นทำอะไร พักผ่อนหรือทำ กิจกรรม

A: นอนค่ะ (หัวเราะ) แต่ว่าช่วงนี้พอเฟิร์นโฟกัสเรื่องออกกำลังกาย เฟิร์นก็จะแบ่งเวลามาให้ฟิตเนสอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 - 4 ชั่วโมงให้ได้เป็นอย่างต่ำ ทั้งสัปดาห์ และสิ่งที่ขาดไม่ได้ และก็ยังชอบอยู่เสมอคือ การดูหนังดูซีรีส์ 

Q: ออกไปข้างนอกหรือดูที่บ้าน

A: ดูที่บ้านค่ะ แต่ถ้าเป็นหนังก็จะดูในโรง เฟิร์นชอบดูในโรงตลอด ยิ่งพอมาทำงานตรงนี้ยิ่งเห็นคุณค่าของลิขสิทธิ์

แต่ก่อนช่วงแรก ๆ เคยดูเป็นโหมดฟังก์ชั่นทำงาน แต่หลัง ๆ ต้องบอกตัวเองว่า ไม่ได้ เธอต้องกลับไปเป็นคนดูที่พร้อมเสพไปกับมัน สนุกไปกับมัน ไม่ใช่มานั่งดูแล้วอ๋อ...ดอลลี่เข้า (การเคลื่อนกล้อง) อ๋อ...ไม่คอนฯ นะ (คอนตินิว) มันก็คงติดแบบลึกๆ ไปแล้วค่ะ แต่ก็อยากจะเสพ พยายามจะบอกตัวเองให้ซึมซับแบบคนดู 

Q: แล้วมีกิจกรรมอะไรที่ชอบอีก

A: ชอบอ่านหนังสือค่ะ ถ้ามีเวลาว่างจะหาหนังสือที่น่าสนใจมาอ่าน 

Q: หมวดไหนเป็นพิเศษ

A: หมวดประวัติศาสตร์ หมวดท่องเที่ยว มีอยู่ 2 อย่างที่ชอบ

Q: เพราะอะไรถึงชอบประวัติศาสตร์

A: เฟิร์นว่าประวัติศาสตร์ทำให้เราเห็นความจริงบางอย่างค่ะ แล้วยิ่งเป็นประวัติศาสตร์ที่เฟิร์นรู้สึกว่าน่าสนใจ เฟิร์นก็จะอ่าน ประวัติศาสตร์บ้านเมืองเรา การเมืองไทย เฟิร์นก็อ่านเป็นความรู้รอบตัว มันช่วยให้เราตระหนักถึงปัจจุบัน และสิ่งต่างๆ ที่มันเกิดขึ้น ไม่ใช่โฟกัสแค่ตัวเองไปวัน ๆ 

Q: ส่วนหนังสือท่องเที่ยว

A: อันนี้ก็ชอบ เพราะว่าชอบไปเที่ยว ชอบหาเวลาไปพักผ่อน

.

Q: คนแบบไหนที่เฟิร์นอยู่ด้วยแล้วมีความสุข

A: ข้อนี้ตอบยากมากค่ะ ข้อนี้ก็ตอบยากมาก 

Q: เราต้องอยู่กับคนเยอะมาก เอาที่แบบอาจจะใช้เวลากับเรานานหน่อย ที่ไม่ใช่คนในครอบครัว

A: คนแบบไหนที่เฟิร์นอยู่ด้วยแล้วมีความสุขเหรอคะ คนที่รับฟังเรา 

Q: ขอเหตุผลสนับสนุนหน่อย

A: เฟิร์นคิดว่าคนที่รับฟังเฟิร์น และยอมรับในตัวตนของเฟิร์น ทั้งดีและไม่ดีอย่างนี้ เพราะเฟิร์นคิดว่าตัวเองไม่ใช่คนจิตใจดีงามหรือประเสริฐขนาดนั้น ยังมีรัก โลภ โกรธ หลงอยู่ในใจ 

Q: ชื่นชอบการเป็นดีเจ แล้วมีเพลงโปรดไหม 

A: เพลงโปรดของเฟิร์นเยอะมากเลย

Q: ขอที่โปรดสุด ๆ ที่นึกได้ตอนนี้ 

A: ‘ความหมาย’ ของ Bodyslam เพลงดีมากเลย

Q: ดีเพราะเนื้อหา หรือเพราะอะไร

A: เนื้อหาพูดถึงว่า มันจะมีประโยชน์อะไรถ้าเราไขว่คว้าหาแสงดาว แต่ไม่มีใครสักคนชื่นชมมันไปกับเรา รู้สึกว่ามัน deep มาก ดีมากเลยนะ คล้ายพอเราโตขึ้น เราก็เริ่ม...

Q: ไม่ผิวเผิน 

A: ค่ะ มันไม่ผิวเผิน และเริ่มเห็นอะไรในชีวิตมากขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ ในที่นี้มันหมายถึงครอบครัวด้วยนะ เราผ่านความเป็นวัยรุ่น ผ่านการทะเลาะกับที่บ้าน ความไม่เข้าใจกัน ความเชื่อของเรากับความเชื่อของที่บ้านไม่เหมือนกัน การต้องการพิสูจน์ตัวเอง วันนี้เราพิสูจน์ตัวเองได้อย่างที่ใจเราต้องการแล้ว แต่ถ้าเราลืมคนข้าง ๆ ไป ลืมความหมาย มันก็ไม่มีความหมาย มันทำให้เฟิร์นรู้ เพราะในวันที่เฟิร์นเสียอาม่าไป คนที่เลี้ยงดูเฟิร์นมา สิ่งหนึ่งที่มันแล่นเข้ามาในหัวคือ ต่อไปนี้เราจะทำอะไรให้ใครดู เรื่องนี้ขึ้นมาเป็นอย่างแรกเลยนะ แล้วชีวิตฉันใครจะมายินดีกับฉันอีก เวลาที่ฉันประสบความสำเร็จ 

Q: ส่วนตัวเป็นคนที่เชื่อในเรื่องอะไรเป็นพิเศษ

A: เฟิร์นเป็นคนที่เชื่อในความรักมาก ไม่ว่าจะในรูปแบบไหนก็ตาม เฟิร์นรู้สึกว่านอกจากการรักตัวเองแล้ว การที่มีใครสักคนรักเรา มาอยู่ข้าง ๆ เรานั้นดีมากจริง ๆ

.

Q: ขอปรับโหมดหน่อย คุยในมุมสบาย ๆ ถ้าจะเลี้ยงข้าวเฟิร์น ต้องพาไปกินที่ไหน 

A: กินที่ไหนเหรอคะ ? เชื่อไหมว่าสิ่งแรกที่แวบเข้ามาคือ ข้าวมันไก่ ขอข้าวมันไก่ที่อร่อย ๆ ก็พอ

Q: มีที่ไหนบ้างที่ชอบไปกินข้าวมันไก่

A: ข้าวมันไก่ที่ไหนเหรอคะ ? ข้าวมันไก่โคลีเซี่ยม ข้าวมันไก่ตรงปั๊มแจ้งวัฒนะ แล้วก็ข้าวมันไก่โรงแรมมณเฑียรก็ดีค่ะ

Q: มีคำถามแหวว ๆ นิดหนึ่ง ถ้าหัวใจเฟิร์นมี 4 ห้อง ในนั้นจะมีอะไรอยู่บ้าง อะไรก็ได้นะ ไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งมีชีวิตอย่างเดียวก็ได้

A: อาม่า 1 ห้อง 

Q: หรือจะมีอีกหลายๆ  อย่างอยู่ในห้องเดียวกันก็ได้ 

A: อาม่ากับป๊าให้เป็น 1 ห้อง อีกห้องหนึ่งให้เป็นอาชีพนักแสดง อีกห้องหนึ่งให้เป็นกงยู 

Q: ทำไมคนเดียว

A: กงยูให้เลย 1 ห้อง อาม่ากับป๊าต้องไปเบียดกันใน 1 ห้อง แต่ว่ากงยูให้เลย 1 ห้อง 

Q: ส่วนห้องที่ 4

A: ห้องที่ 4 เหรอคะ ให้เป็นอะไรดีล่ะ น่าจะเป็นธรรมชาติ เพราะเฟิร์นเชื่อว่าธรรมชาติช่วยปลอบประโลมเฟิร์นอยู่เสมอ

Q: ธรรมชาตินั้นคืออะไรบ้างครับ

A: ต้นไม้ ทะเล เป็นธรรมชาติที่จะช่วยได้ค่ะ 

Q: ถ้าเกิดคนที่จะจีบเฟิร์นติดต้องเป็นคนอย่างไร เพื่อพัฒนาไปสู่ความเป็นแฟนหรือว่าคนรัก

A: ต้องเป็นคนที่ไม่ดูถูกคนอื่น และไม่ขี้อวด 2 อย่างนี้ไม่ได้เลย แล้วก็ไม่เพิกเฉยต่อความไม่ยุติธรรม เพราะว่าอารมณ์เฟิร์นจะแรงมากเวลาที่เจอเรื่องไม่ยุติธรรม ไม่แฟร์เมื่อไรปุ๊บจะขึ้นเลย

Q: ถ้าเว้นจาก 3 อย่างนี้ก็น่าจะเข้าคบกันได้

A: แล้วไม่หักหลังเราด้วย มันก็คงเป็นเรื่องนิสัยส่วนตัวแล้วแหละ แต่ว่าหลัก ๆ ง่าย ๆ คือไม่ดูถูกคนอื่น ไม่ขี้อวด 

Q: หน้าตาอย่างไรก็ได้ รูปร่างอย่างไรก็ได้ ชาติไหนก็ได้

A: ชาติไหนก็ได้ เพศอะไรก็ได้ด้วยซ้ำ

Q: สุดยอด ใจกว้างมากเลย

A: เพศอะไรก็ได้จริง ๆ 

Q: เยี่ยมยอด 

A: แต่เรื่องหน้าตา เฟิร์นคงไม่ถึงขั้นเลือกแบบว่า...

Q: กงยู?

A: ก็มาตรฐานสูง แต่ถ้าเป็นอย่างที่ใจหวังได้ก็ดี (หัวเราะ)

ยังไงก็ขอให้นางเอกสาวคนสวยสมหวัง ซ้าธุ! ปีหน้าเฟิร์นยังขอให้แฟนๆ อย่างพวกเราติดตามผลงานของเธอกันต่อไป แว่วๆ ว่า จะมีผลงานทยอยออกมาอีกไม่ใช่น้อย แล้วเราจะรอเชียร์เธอ...นพจิรา ฤกษ์ขจรนามกุล


เรื่อง: ณัฐพล ช่วงประยูร 

ภาพ: S.คิม

 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top