Saturday, 21 June 2025
TheStatesTimes

ตัวกระตุ้นสำคัญที่ทำให้เด็กสมาธิสั้นและได้รับความนิยมในตอนนี้ คือ การปล่อยลูกไว้กับหน้าจอ มาตรวจดูกันว่า ลูกของคุณเข้าข่ายสมาธิสั้นแล้วหรือยัง รวมทั้งวิธีป้องกันนั้นต้องทำอย่างไร

ในทศวรรษแห่ง Productivity ภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ คนเป็นพ่อเป็นแม่ไหนจะต้องรักษาสุขภาพจิตสุขภาพกายแบ่งเวลาไปพัก และต้องเลี้ยงดูลูก ได้เจ้าแท็บเลตหรือสมาร์ทโฟนมาเป็นพี่เลี้ยงให้ซักพัก พอได้หายใจหายคอกันบ้าง ต้องอุทานเลยว่า แหม ดีจริง

เข้าใจครอบครัวที่ต้องเลี้ยงลูกในยุคปัจจุบัน เมื่อหน้าจอมือถือหรือแท็บเลตมาแบ่งเบาเวลาดูแลลูกได้ดีขนาดนี้ ยื่นหน้าจอให้ปุ๊บ ลูกเรานั่งนิ่งเป็นตุ๊กตาปั๊บ พอเมื่อไรเราต้องการสมาธิหรือเวลา พี่เลี้ยงไอแพดก็จัดให้ได้ กลายเป็นตัวเลือกหลักให้คุณพ่อคุณแม่ได้มีเวลาเพิ่มมากขึ้น

คุณผู้อ่านที่รักรู้หรือไม่ การที่เด็กสามารถนั่งดูจอได้นานนั้น ไม่ได้แปลว่าเด็กมีสมาธิ การปล่อยลูกนั่งหน้าจอเป็นเวลานานอาจนำไปสู่ภาวะสมาธิสั้นได้ และสมาธิสั้นในเด็กคือสาเหตุหนึ่งที่ส่งผลต่อพัฒนาการและความสามารถในห้องเรียนของลูกด้วย

เอาแล้วสิ ลูกเราก็ชอบเล่นแท็บเลตซะด้วย หรือลูกเล่นไม่บ่อยแต่เราก็ให้ลูกเล่นบ้างเหมือนกัน จะรู้ได้ยังไงว่าลูกเรามีภาวะสมาธิสั้นหรือเปล่า คุณพ่อคุณแม่สามารถประเมินอาการเบื้องต้นของเด็กได้ค่ะ โดยในตอนนี้เรานำข้อสังเกตอาการสมาธิสั้นเบื้องต้นมาฝากกันค่ะ

อาการสมาธิสั้นแบ่งเป็น 2 กลุ่มค่ะ คือ กลุ่มซนอยู่ไม่นิ่ง (ADHD) และกลุ่มซนแต่นิ่ง (ADD)

มาดูกลุ่มซนอยู่ไม่นิ่ง หรือกลุ่ม ADHD กันก่อน ผู้ปกครองลองสังเกตอาการของเด็กดูได้ตามนี้ค่ะ

1.) เด็กทำอะไรได้ไม่นาน เช่น ทำการบ้าน หรือเล่นอย่างหนึ่งอย่างใดได้ไม่นาน จดจ่อได้ไม่นาน

2.) หุนหันพลันแล่น ไม่รอคอย อยากได้อะไรหยิบทันที แย่งทันที

3.) ฟังคำพูดไม่จบ พูดแทรก ทำตามคำสั่งไม่ครบ

4.) ทำของหายเป็นประจำ ถ้าเด็กทำยางลบ ทำดินสอสีหายบ้าง บางครั้งถือเป็นธรรมดาปกติของเด็กค่ะ แต่ถ้าหายบ่อยขนาดที่หายแทบจะทุกครั้ง อาจมาจากอาการสมาธิสั้นได้

5.) เด็กพยายามหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ใช้สมาธิจดจ่อ ถึงแม้เมื่อเด็กลงมือทำแล้ว เด็กจะสามารถสะกดตัวเองได้ แต่จะพยายามเลี่ยงที่จะไม่ทำ ทั้งนี้ไม่นับการจดจ่อที่หน้าจอทีวี มือถือ หรือแท็บเลตนะคะ

อาการทั้ง 5 ข้อนี้ จะต้องสังเกตเห็นได้ทั้งที่บ้านและที่โรงเรียนนะคะ หากเกิดขึ้นเพียงที่ใดที่หนึ่ง อาจเป็นปัจจัยอื่น ไม่ได้มาจากภาวะสมาธิสั้นของตัวเด็กค่ะ

ส่วนสมาธิสั้นกลุ่มที่ซนแต่นิ่ง หรือกลุ่ม ADD จะสังเกตอาการได้ยากกว่ากลุ่มแรก หรือแทบดูไม่ออกเลย ต้องขอความร่วมมือจากคุณครูช่วยสังเกตให้ด้วย ดังนี้ค่ะ

1.) เด็กดูตั้งใจเรียนในห้องแต่ผลคะแนนกลับได้น้อย

2.) ชอบมองออกไปนอกหน้าต่าง ในขณะเรียนในห้อง

3.) ชอบนอนเลื้อย นอนฟุบโต๊ะบ่อย อาการสมาธิสั้นมักพบกล้ามเนื้อหลังนิ่มร่วมด้วย เด็กจึงนั่งได้ไม่นาน

ระยะเวลามีสมาธิของเด็กที่ถือว่าปกติในแต่ละช่วงอายุ

วัยประถมต้น ปกติจะมีสมาธิประมาณ 15-30 นาที วัยอนุบาลประมาณ 5-15 นาที วัย 2 ขวบหรือก่อนอนุบาล 3-5 นาที ส่วนเด็กเล็กกว่า 2 ขวบ มีสมาธิได้ 2 นาที ถือว่าใช้ได้แล้วค่ะ

เมื่อสังเกตและประเมินแล้ว สงสัยว่าลูกเราอาจจะมีภาวะสมาธิสั้น พ่อแม่ควรทำอย่างไรต่อ

อันดับแรกค่ะ อยากให้คุณพ่อคุณแม่เข้าใจและยอมรับลูกก่อน ภาวะสมาธิสั้นเกิดจากสารในสมองทำงานผิดปกติหรือถูกกระตุ้นจากภายนอก ลูกไม่ได้ตั้งใจมีสมาธิสั้น ถ้าคุณพ่อคุณแม่เข้าใจตรงนี้ได้ ต่อไปก็ง่ายแล้วค่ะ ลำดับต่อไปเมื่อเราสังเกตและสังสัยว่าลูกอาจจะสมาธิสั้น ให้ไปพบคุณหมอเพื่อทำการตรวจวินิจฉัยให้ละเอียดอีกครั้ง จึงจะฟันธงว่าเป็นสมาธิสั้นจริง

ในกระบวนการรักษานั้น ในช่วงแรกคุณหมอจะให้คำปรึกษาและแนะนำวิธีปรับพฤติกรรมของครอบครัวให้ช่วยพัฒนาสมาธิให้แก่ลูก ส่วนในการรักษาที่ต้องใช้ยาร่วมด้วยนั้น คือหลังจากที่ปรับพฤติกรรมแล้วยังไม่หาย ฉะนั้น คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องตกใจเมื่อพบว่าลูกมีอาการสมาธิสั้น การปรับพฤติกรรมก็สามารถทำให้เด็กหายขาดจากอาการสมาธิสั้นได้ค่ะ หากคุณพ่อคุณแม่ยังมีข้อสงสัย ลองเข้าไปทำแบบทดสอบเช็คความเสี่ยงสมาธิสั้นเบื้องต้นได้ โดยแอดไลน์ @MorOnline ค่ะ 

ยิ่งเราทราบเร็วและปรับแก้ได้เร็วเท่าไร ยิ่งดีต่อลูกและคุณพ่อคุณแม่ หากเลยวัย 8 ขวบไปแล้ว การรักษาจะกินเวลายาวนานกว่าการรักษาในเด็กเล็กค่ะ

ส่วนวิธีป้องกันลูกรักจากภาวะสมาธิสั้นนั้น คือการให้เด็กได้เล่นซนตามธรรมชาติ ให้ลูกได้มีพื้นที่คลาน ปีนป่าย ได้วิ่ง เล่นน้ำ เตะบอล ให้ลูกได้สนุก หัวเราะเยอะ ๆ และที่สำคัญที่สุดและดีที่สุด คือให้ลูกได้มีเวลาเล่นสนุกไปกับคุณพ่อคุณแม่ค่ะ


สามารถย้อนไปฟังการ LIVE หัวข้อที่น่าสนใจเหล่านี้เพิ่มเติมได้ที่ เพจดีต่อลูก

หัวข้อ ดีต่อลูกชวนคุย#16 ลูกเราสมาธิสั้นหรือเปล่านะ

https://www.facebook.com/299800753872915/videos/3278387462275390 

เขียนและเรียบเรียงเรื่องโดย: พิมพ์นารา สุวรรณไตรย์ 

 

ศาลพิพากษาลงโทษประหารชีวิต ‘พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์’ จำเลยในคดีร่วมกันฆาตกรรม ‘เสี่ยชูวงษ์’ ชี้จำเลยไม่มีความสำนึก จึงไม่มีเหตุปราณี ลงโทษให้ประหารชีวิตสถานเดียว

ที่ศาลอาญาพระโขนง ถ.สรรพาวุธ ศาลอ่านคำพิพากษา ลงโทษให้ประหารชีวิต พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และอดีต ส.ส.นครสวรรค์ หลายสมัย เป็นจำเลย ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ร่วมกันฆ่าผู้อื่นเพื่อจะเอาหรือเอาไว้ซึ่งประโยชน์อันเกิดแต่การที่ตนได้กระทำความผิดอื่น เพื่อปกปิดความผิดอื่นของตน หรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้

คดีนี้ นางศิริรัตน์ แซ่ตั๊ง ภรรยาของนายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง หรือเสี่ยจืด นักธุรกิจรับเหมาก่อสร้างระดับประเทศ กับพวก และพนักงานอัยการ ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง กรณีเมื่อวันที่ 26 มิ.ย. 2558 นายชูวงษ์ เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถยนต์หรูยี่ห้อเลกซัสสีดำ ชนต้นไม้ มี พ.ต.ท.บรรยิน จำเลย เป็นคนขับ มีนายชูวงษ์นั่งข้างๆ โดยชนต้นไม้ริม ถ.เฉลิมพระเกียรติ ร.9 ระหว่างซอย 48 กับซอย 50 แขวงดอกไม้ เขตประเวศ กทม. เป็นเหตุให้นายชูวงษ์ ถึงแก่ความตาย ซึ่งโจทก์มีพยานหลักฐานเชื่อได้ว่าเป็นการฆาตกรรมอำพรางนายชูวงษ์ แต่ พ.ต.ท.บรรยิน ให้การปฏิเสธอ้างเป็นอุบัติเหตุ

วันนี้ศาลอ่านคำพิพากษาให้ พ.ต.ท.บรรยิน จำเลย ฟังผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ไปยังตัวจำเลยที่เรือนจำ ซึ่งจำเลยถูกจำคุกในคดีปลอมเอกสารโอนหุ้นของนายชูวงษ์และคดีอุ้มฆ่าพี่ชายของผู้พิพากษา ขณะที่บรรยากาศในวันนี้ มีนางวันเพ็ญ ธนธรรมสิริ พี่สาวของนายชูวงษ์ / นางวราภรณ์ ตั้งภากรณ์ ภรรยา และ นายวรภัทร์ ตั้งภากรณ์ ลูกชายของ พ.ต.ท.บรรยิน พร้อมทีมทนายความเดินทางมาร่วมฟังคำพิพากษาด้วย

โดยใช้เวลาอ่านคำพิพากษานานประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง บรรยายพฤติการณ์ ข้อเท็จจริง และพยานหลักฐานโดยละเอียด เกี่ยวกับพยานหลักฐานโจทก์ที่มีทั้งกล้องวงจรปิด พยานผู้เชี่ยวชาญทางวิทยาศาสตร์ และพยานแวดล้อม ที่พิสูจน์ได้ว่านายชูวงษ์ไม่ได้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ แต่ถูก พ.ต.ท.บรรยิน จำเลยร่วมกับผู้อื่นฆ่าตาย และจำเลยไม่มีความสำนึก จึงไม่มีเหตุปราณี พิพากษาว่าจำเลย กระทำความผิดตามฟ้อง ลงโทษให้ประหารชีวิตสถานเดียว

‘นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์’ ซัดปมคำถามบริษัทสยาม-ไบโอไซน์ ผูกขาดการผลิตวัคซีนโควิด เป็นเจตนาดิสเครดิตรัฐบาล ของคนบางกลุ่ม ระบุหากมีข้อสงสัย สามารถเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงได้อยู่แล้ว

นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ ประธานคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ (Jetn Sirathranont)’ ระบุว่า นักการเมืองบางคนและบางพรรคซึ่งตั้งตัวเป็นศัตรู กับนายกฯ กำลังออกมา discreditรัฐบาล โดยการพุ่งเป้าไปที่บริษัทสยาม-ไบโอซายน์ ถามถึงความเหมาะสม การผูกขาดในการผลิตวัคซีน คุณภาพวัคซีน รวมถึงราคาที่จ่าย โดยไม่พยายามศึกษาหาข้อมูล ทั้งที่ตัวเองมีอำนาจเรียกหน่วยงานต่างๆมาชี้แจงได้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นบริษัท, สถาบันวัคซีนแห่งชาติ หรือกรมควบคุมโรค

บริษัทสยาม-ไบโอซายน์ เป็นของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ที่ถือหุ้น100%เงินลงทุน 5,000 ลบ.จัดตั้งขึ้นด้วยสายพระเนตรอันยาวไกลของรัชกาลที่9 ที่ทรงเล็งเห็นว่าประเทศไทยจำเป็นต้องมีความมั่นคงทางยาและชีววัตถุ ตั้งขึ้นมาตั้งแต่พ.ศ.2552 ไม่ได้มีจุดประสงค์แสวงหากำไร มีผลงานผลิตยากระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง(Erythropoietin)ที่ประเทศไทยต้องจ่ายเงินจำนวนมหาศาลนำเข้ายาจากต่างประเทศมาใช้ในผู้ป่วยที่ฟอกไตเช่นเดียวกับยากระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาว(Peg-Filgrastim),ยารักษามะเร็ง,Covid test kit,น้ำยาRT-PCR,FentanylหรือMidazolam

บริษัท Oxford-Astra Zeneca ติดต่อมาแม้จะไม่เคยผลิตวัคซีนมาก่อน แต่เนื่องจากบริษัทได้มาตรฐานการผลิตยาระดับGMO PIC/S(หลักเกณฑ์และข้อกำหนดอนุสัญญาระหว่างประเทศด้านการตรวจประเมินยาแห่งสหภาพยุโรปPharmaceutical Inspection Co-Operation Scheme)มาตรฐานสากลที่AstraZenecaใช้ยึดถือในการก่อสร้างโรงงานผลิต และควบคุมการผลิตในทุกขั้นตอน

จึงเห็นด้วยที่จะให้บริษัทสยาม-ไบโอซายน์ปรับสายการผลิตมาผลิตวัคซีนดังกล่าว ซึ่งเมื่อปรับปรุงเรียบร้อย จะสามารถผลิตวัคซีน Oxford-Astra Zeneca ได้ปีละ 200 ล้านโดส โดยการเลี้ยงตัว cell จนได้วัตถุดิบในเวลา120วัน ซึ่งบริษัทได้ปรับปรุงจนเริ่มดำเนินการได้ตั้งแต่ 16ธ.ค.ที่ผ่านมา ข้อดีคือสามารถจำหน่ายส่วนที่ผลิตเกิน ให้กับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน และเป็นรากฐานความมั่นคงวัคซีนของประเทศต่อไปรวมทั้งช่วยเพิ่มศักยภาพบริษัทนอกเหนือจากความสามารถในการผลิตยาและชีววัตถุอื่นๆได้ทั้งต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำอยู่แล้วข้อสำคัญสามารถดึงนักวิทยาศาสตร์ระดับหัวกะทิกลับจากตปท.มาทำงานในกระเทศได้ โดยเฉพาะผู้ที่รับทุนปริญญาโท ปริญญาเอกมากมายที่เรียนจบไม่ยอมกลับมาเพราะหางานทำที่เหมาะสมในประเทศไม่ได้


ที่มา : เพจ นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ (Jetn Sirathranont)

‘วรรณวิภา’ ส.ส.ก้าวไกล อัดมาตรการรัฐบาลไม่เคยช่วยผู้ประกันตน ม.33 - ชี้กว่า 11 ล้านคนสู้เองตามยถากรรม ซ้ำยังโดนกรีดเลือดเฉือนเนื้อนำเงินสะสมในประกันสังคมมาเยียวยาตัวเอง

น.ส.วรรณวิภา ไม้สน ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล กล่าวว่า มาตรการช่วยเหลือเยียวยาประชาชนจากวิกฤตโควิด -19 ในรอบแรกรัฐบาลไม่เคยถอดบทเรียนเลยจากการแก้ปัญหาเยียวยาประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานในระบบ คนที่ใช้ประกันสังคมมาตรา 33 ซึ่งไม่เคยได้รับเงินเยียวยาจากรัฐเลยแม้แต่บาทเดียว

มิหนำซ้ำ รัฐบาลชุดนี้ยังออกมาตรการมาเพื่อให้แรงงานกรีดเลือดเฉือนเนื้อเอาเงินสะสมในประกันสังคมของตนเองเพื่อมาเยียวยาตัวเองอีก เปิดโอกาสให้นายจ้างที่มีกำลังพอไม่มีผลกระทบมากนัก ฉวยโอกาสไม่ใช้มาตรา 75 คือสั่งหยุดแล้วจ่ายค่าจ้าง 75% แต่หันไปใช้ตามกฎกระทรวงที่ให้จ่าย 62% แทน

การเยียวยาไม่ครอบคลุมคนที่เพิ่งได้งานทำยังไม่ถึง 6 เดือน หลายคนไม่ได้ถูกเลิกจ้างแต่ถูกลดชั่วโมงการทำงานทำให้สูญเสียรายได้ นายจ้างหลายที่ไม่ส่งข้อมูลในการหยุดงานของลูกจ้างก็ทำให้ไม่ได้รับเงินเยียวยาเข้าไปอีกจนทำให้ตกหล่นซ้ำซ้อน และทำให้เงินประกันสังคมที่เป็นสวัสดิการเดียวของแรงงานรั่วไหลจำนวนมหาศาล

น.ส.วรรณวิภา กล่าวว่า ล่าสุด มติ ครม.ได้ออกมาตรการเยียวยาโควิด 19 ระลอก 2 เราชนะ พร้อมอธิบายถึงกลุ่มเป้าหมาย 31.1 ล้านคน ซึ่งรวมถึงกลุ่มผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ผู้ลงทะเบียนคนละครึ่ง เที่ยวด้วยกัน โดยต้องนำไปใช้ผ่านระบบเพื่อชำระค่าสินค้า เครื่องดื่ม อาหาร และบริการต่าง ๆ ไม่สามารถเบิกเป็นเงินสดได้

เกณฑ์การรับเงินเยียวยาดูจะยุ่งยากมากขึ้นมากกว่ารอบแรก มาตรการนี้กลุ่มที่ไม่ได้รับสิทธิ เราชนะ ได้แก่ ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ผู้มีรายได้สูง และลูกจ้างที่อยู่ในฐานระบบประกันสังคมมาตรา 33 อีกจำนวน 11 ล้านคน ขนาดข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ ลูกจ้างรัฐ ยังมีคำสั่งให้พิจารณาเยียวยาเหมือนโครงการเราชนะ

"หากพิจารณาแล้ว ประชาชนทุกคนล้วนแล้วแต่มีผลกระทบด้วยกันทั้งสิ้น ที่น่าตั้งคำถามมากที่สุดคงหนีไม่พ้นผู้ประกันตนในระบบมาตรา 33 จำนวน 11 ล้านคน ที่โดนมองข้ามไร้การเยียวยาครั้งแล้วครั้งเล่า ถูกปัดความรับผิดชอบจากรัฐบาลให้เป็นไปตามเงื่อนไขของประกันสังคมซึ่งก็เป็นเงินของพวกเขาเองทั้งนั้น

สุดท้ายแล้วต่อให้โดนบังคับลาออก ลดชั่วโมงการทำงาน ลดเงินเดือน มีปัญหาก็ไปฟ้องร้องกับนายจ้างกันเองตามยถากรรม ทั้ง ๆ ที่หลายธุรกิจได้ทยอยล้มหายตายจากลดลงไปเรื่อย ๆ แต่รัฐก็เลือกที่จะมองข้ามการเยียวยากลุ่มคนเหล่านี้ ดิฉันยังคงยืนยันว่าการเยียวยาควรเป็นการเยียวยาแบบถ้วนหน้า ไม่ควรแบ่งแยกประชาชน เพราะประชาชนไม่ใช่ภาระทางการคลังแต่อย่างใด โครงการต่าง ๆ เหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็น ไทยชนะ เราชนะ แต่ที่แน่ ๆ ประชาชนไม่เคยแพ้ราบคาบ" น.ส.วรรณวิภา กล่าว

เมื่อการเล่น ‘เกมโกะ’ สามารถฝึกให้เด็กรู้จักเลือกวิธีในการแก้ปัญหา ฝึกความกล้า และไม่เลือกที่จะหนีปัญหาได้ดี ย้อนไปดูประโยชน์ของเกมนี้ ที่ผู้บริหารระดับสูงยังต้องเล่นเพื่อฝึกสมอง

ว่ากันว่าต้นกำเนิดเกิดการละเล่น ‘โกะ’ แต่เดิมเลยนั้น มีขึ้นเพราะจักรพรรดิต้องการเปลี่ยนนิสัยลูกชายจอมเหลวไหลให้มีความขยัน รับผิดชอบขึ้นมาบ้าง และหลังจากนั้น โกะ ได้ถูกพัฒนาเรื่อยมาจนกลายเป็นเกมอย่างที่เห็นในปัจจุบัน

ย้อนกลับไปเมื่อ 3 - 4 พันปีก่อน ก่อนสมัยพระเจ้าเหี้ยนเต้ไม่มากนัก หากนึกภาพตามไม่ออก ก็ให้นึกถึงฉากในนิยายสามก๊ก ในยามบ้านเมืองสงบพักจากการพุ่งรบ กลุ่มชนชั้นสูง ชั้นผู้บริหาร ว่างเว้นจากภารกิจคิดอยากหาเกมเล่นแก้เบื่อ จึงได้สั่งให้ทีมพัฒนาแอปพลิเคชั่นในยุคราชวงศ์ฮั่น ออกแบบเกมที่ทำด้วยไม้กระดานขีดเส้นเป็นตาราง เหลาเม็ดเล็ก ๆ สีขาวและสีดำ ใช้เป็นหมากเดินเกมบนกระดาน ปรากฏว่าเป็นที่ถูกใจกัน แพร่หลายในชนชั้นผู้ปกครอง กติกานั้นก็แสนง่าย หัดเล่นเพียง 10 นาทีก็เล่นได้ แต่จะหัดให้เก่งได้นั้นต้องใช้เวลาทั้งชีวิต เรียกเกมนี้ว่า เหวยฉี รู้จักกันทั่วโลกในนาม โกะ หรือในภาษาไทยเรียกว่า หมากล้อม

ถ้าจะให้สาธยายประโยชน์ของการเล่นโกะนั้นแบ่งเป็น 10 ตอนก็เขียนไม่หมด หลักๆ คือ เพื่อลับวิธีคิด การวางกลยุทธการบริหาร ซึ่งผู้บริหารประเทศจีนทุกคนยังต้องเล่นเกมนี้ นักธุรกิจระดับต้นของบ้านเราก็นิยมเล่นโกะเช่นกัน ไม่เว้นแม้แต่ไอน์สไตน์ก็เล่นเกมนี้กับเขาด้วย 

แนวคิดของการเล่นโกะ คือการอ่านหมากล่วงหน้า คือการมองไปให้ไกล ไม่ได้ต้องการรบราฆ่าฟันคู่ต่อสู้แต่อย่างใด การจะชนะนั้นแม้ชนะเพียงครึ่งแต้มก็นับว่าชนะแล้ว ฝึกให้เราเป็นคนไม่โลภ รอคอยได้ 

ความสนุกของเกมโกะมันอยู่ตรงนี้ค่ะ เมื่อฝ่ายเราขยายตัวใหญ่ขึ้น คู่ต่อสู้จะพยายามเข้ามาบุกลดทอนให้เราเล็กลง เกิดการต่อสู้แย่งชิงพื้นที่บนกระดานด้วยการเดินหมาก ที่คนเปรียบเปรยว่า เป็นการสนทนาด้วยมือ เราจะได้อ่านใจอ่านแผนคู่ต่อสู้ว่าจะมาโจมตี หรือป้องกันจากการเดินหมากของคู่ต่อสู้ ขณะเดียวกันฝ่ายคู่ต่อสู้ก็อ่านใจเราอยู่เหมือนกัน โดยไม่ต้องอ่านปากถามกันเลยซักคำ

หากได้ลูกฝึกเล่นโกะตั้งแต่เด็ก นอกจากจะได้ลับความคิดแล้ว ยังได้ฝึกเรื่องของจิตใจและอารมณ์ด้วย ในระหว่างเล่นนั้น ต้องระวังอารมณ์อย่างมาก อารมณ์ส่งผลต่อการตัดสินใจให้เดินผิดพลาดได้ และเกมมีแพ้มีชนะอยู่ตลอด เด็กจะได้ฝึกการให้เกียรติกัน ต่างรู้ว่าเราและเขาพลาดกันตรงไหน เรียนรู้มารยาทของผู้แพ้และผู้ชนะ ผู้ชนะจะแนะนำวิธีเล่นแก่ผู้แพ้ ผู้แพ้ก็ได้เรียนรู้วิธีคิดของคู่ต่อสู้ที่เก่งกาจกว่า เห็นจุดอ่อนจุดแข็งของตัวเอง เพื่อพัฒนาต่อไปให้เก่งขึ้นได้ โกะไม่ได้วัดว่าใครเก่งกว่าใคร แต่วัดว่าใครผิดพลาดน้อยกว่ากัน

นายแพทย์ประเวศ วะสี แพทย์ผู้ทรงคุณวุฒิของไทย เคยกล่าวไว้ว่า การเล่นโกะช่วยเพิ่มไซแนปหรือกึ่งก้านสาขาในสมอง ทำให้สมองทำงานได้ดีและยังช่วยลดโอกาสการเป็นอัลไซเมอร์ในผู้สูงอายุได้อีกด้วย

สิ่งที่เด็กจะได้ฝึกอย่างมากจากการเล่นโกะ คือความสามารถในการเอาตัวรอด ซึ่งเป็นทักษะที่คนพูดถึงมากที่สุดทักษะหนึ่งในยุคนี้เลยก็กว่าได้ ในการเลือกตัดสินใจบนกระดานโกะเมื่อเจอปัญหานั้น มีอยู่ 3 ทางเลือก 1. ปีนข้ามไป 2. เดินอ้อมไป และ 3. เดินหนีไป 

ในการเล่นโกะ เด็กจะได้เจอจุดที่ต้องตัดสินใจตลอด ซึ่งเปรียบได้กับชีวิตจริงของคนเรา หากเด็กเลือกเดินหนีไปตลอด เขาก็จะเลือกเดินหนีไปในชีวิตจริงเช่นกัน ดังนั้นการเล่นโกะเป็นการฝึกให้เด็กรู้จักเลือกวิธีในการแก้ปัญหา ฝึกความกล้า และไม่เลือกที่จะหนีปัญหาได้ดีทีเดียว

หากคุณพ่อคุณแม่สนใจให้ลูกหัดเล่นโกะ มีตารางขนาด 9x9 ให้ฝึกก่อนเล่นตารางมาตรฐานได้ และถ้าคุณพ่อคุณแม่ได้เล่นโกะกับลูกด้วยจะดีมากเลยค่ะ แต่ขอเตือนว่าฝึกซ้อมให้ดีนะคะ เกมนี้ดูถูกฝีมือเด็กไม่ได้เลยนะ


สามารถย้อนไปฟังการ LIVE หัวข้อที่น่าสนใจเหล่านี้เพิ่มเติมได้ที่ เพจดีต่อลูก

หัวข้อ รู้จักโกะ GO MASTER

https://www.facebook.com/299800753872915/videos/3310010885793282 

เขียนและเรียบเรียงเรื่องโดย: พิมพ์นารา สุวรรณไตรย์ 

 

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน (20 มกราคม พ.ศ. 2564)

ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน โดยประเทศไทยพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 59 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 12,653 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 1 รวมยอดผู้เสียชีวิต 71 ราย รักษาหายเพิ่ม 265 ราย รวมผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 9,621 ราย ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 2,961 ราย
ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายใหม่ 59 ราย เป็น ผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้าสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ จากไอร์แลนด์ 1 ราย ,ปากีสถาน 1 ราย ,สหรัฐอเมริกา 2 ราย ,มาเลเซีย 1 ราย ,ญี่ปุ่น 1 ราย ,อินเดีย 1 ราย ,เยอรมนี 1 ราย
ผู้ป่วยรายใหม่ จากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการฯ จำนวน 28 ราย
ค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกในชุมชน 23 ราย
ขณะเดียวกันสถานการณ์ COVID-19 ของประเทศในกลุ่มอาเซียนมีการอัพเดทดังนี้
ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 174 ราย รักษาหายแล้ว 169 ราย เสียชีวิต 3 ราย
ประเทศกัมพูชา ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 448 ราย รักษาหายแล้ว 392 ราย  ไม่มียอดผู้เสียชีวิต
ประเทศอินโดนีเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 9.27 แสน ราย รักษาหายแล้ว 7.54  แสน เสียชีวิต 26,590 ราย
ประเทศลาว ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 41 ราย รักษาหายแล้ว 41 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต
ประเทศมาเลเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.65 แสน ราย รักษาหายแล้ว 1.25 แสน ราย เสียชีวิต 619 ราย
ประเทศพม่า ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.35 แสน ราย รักษาหายแล้ว 1.19 แสน ราย เสียชีวิต 2,986 ราย
ประเทศฟิลิปปินส์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 5.04 แสน ราย รักษาหายแล้ว 4.66 แสน ราย เสียชีวิต 9,978 ราย
ประเทศสิงคโปร์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 59,157 ราย รักษาหายแล้ว 58,894 ราย เสียชีวิต 29 ราย
ประเทศเวียดนาม ยอดรวมติดเชื้อ 1,540 ราย รักษาหายแล้ว 1,402 ราย เสียชีวิต 35 ราย
 

สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เผยโควิด-19 ระบาด ระลอกใหม่ ฉุดดัชนีเชื่อมั่นอุตสาหกรรมร่วงครั้งแรกในรอบ 8 เดือน วอนรัฐบาลใช้มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดอย่างเข้มข้น พร้อมเร่งฟื้นฟูความเชื่อมั่นผู้บริโภคและคู่ค้า

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือนธ.ค.63 อยู่ที่ระดับ 85.8 ปรับตัวลดลงจากระดับ 87.4 ในเดือนพ.ย.63 โดยค่าดัชนีฯ ปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือน และความเชื่อมั่นปรับตัวลดลงในทุกองค์ประกอบ ทั้งคำสั่งซื้อโดยรวม, ยอดขายโดยรวม, ปริมาณการผลิต, ต้นทุนประกอบการ และผลประกอบการ

โดยมีปัจจัยลบจากการระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 ที่มีความรุนแรงกว่ารอบแรก และขยายวงกว้างไปในหลายจังหวัด ส่งผลให้ภาครัฐออกคำสั่งปิดสถานที่บางแห่ง และกำหนดพื้นที่ควบคุมสูงสุดในจังหวัดที่มีการระบาดสูง รวมทั้งงดจัดกิจกรรมปีใหม่และขอความร่วมมือประชาชนชะลอการเดินทางข้ามจังหวัด อีกทั้งขอให้ผู้ประกอบการภาคเอกชนและข้าราชการทำงานที่บ้าน (Work From Home) เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19

ด้านภาคการส่งออก ผู้ประกอบการยังคงประสบปัญหาขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ ทำให้ส่งออกสินค้าได้น้อยลงและสูญเสียรายได้จากการส่งออก ขณะที่การแข็งค่าของเงินบาทยังเป็นปัจจัยเสี่ยงกระทบต่อรายได้ของผู้ประกอบการส่งออก นอกจากนี้ ในเดือนธันวาคมมีวันทำงานน้อย เนื่องจากมีวันหยุดในช่วงเทศกาลปีใหม่ ทำให้ภาคการผลิตลดลงจากเดือนก่อนหน้า

อย่างไรก็ตาม สินค้าที่เกี่ยวข้องกับทางการแพทย์เพื่อป้องกันโควิด-19 ยังคงขยายตัวต่อเนื่องตามอุปสงค์ในประเทศและต่างประเทศ ขณะที่การก่อสร้างโครงการภาครัฐและการลงทุนใน EEC ส่งผลดีต่อสินค้าวัสดุก่อสร้าง

สำหรับดัชนีฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าปรับตัวลดลงอยู่ที่ระดับ 92.7 จากระดับ 94.1 ในเดือนพ.ย.63 เนื่องจากผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมมีความกังวลต่อความไม่แน่นอนของสถานการณ์โควิด-19 ขณะที่เศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกยังฟื้นตัวช้า ทำให้ผู้ประกอบการมีการปรับแผนการดำเนินกิจการเพื่อรับมือสถานการณ์ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการขอให้ภาครัฐเร่งควบคุมสถานการณ์โควิด-19 โดยเร็วและเร่งออกมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบทั้งผู้ประกอบการและประชาชนให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม

ประธาน ส.อ.ท. ยังได้มีข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ ให้เร่งควบคุมการแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการบังคับใช้มาตรการต่างๆ อย่างเข้มงวด, เร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคและประเทศคู่ค้า เกี่ยวกับความปลอดภัยในสินค้าอาหารของไทย และเร่งออกมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบโควิด-19 ทั้งผู้ประกอบการและประชาชนให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม

มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ อาทิ มาตรการเสริมสภาพคล่องจัดหาแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ (soft loan) สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากการหยุดกิจการชั่วคราวตามคำสั่งของแต่ละจังหวัด หรืออาจให้พักชำระหนี้ชั่วคราว รวมทั้งให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เพิ่มวงเงินค้ำประกัน SMEs เป็น 50% หรือมาตรการอื่นๆ เพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการ

มาตรการช่วยเหลือประชาชน อาทิ เพิ่มวงเงินใช้จ่ายโครงการคนละครึ่ง เป็น 5,000 บาท พร้อมขยายระยะเวลาโครงการฯ และสนับสนุนให้มีโครงการคนละครึ่งเฟส 3 พร้อมขยายฐานจำนวนผู้ได้รับสิทธิ

รวมทั้งสนับสนุนให้มีโครงการช้อปดีมีคืน ในปี 2564 เพื่อกระตุ้นการบริโภคของประชาชนในกลุ่มที่ต้องเสียภาษี โดยคืนภาษีจากเดิมสูงสุด 30,000 เป็น 50,000 บาท เพื่อนำมาลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของปี 2564

รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยด้านเศรษฐกิจ ร้องนายกฯ ประชาชนจำเป็นต้องใช้เงิน จี้เปลี่ยนการเยียวยาเป็นเงินสด ชี้ เหตุผลของรัฐบาลเหมือนอยู่คนละโลกกับความจริง แนะปรับวงเงินแบงก์ชาติ 9 แสนล้าน ช่วย SMEs ให้รอด

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รมว.กลาโหม และ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ได้ออกมาตรการเยียวยา เราชนะ ผ่าน ครม. ให้เยียวยาประชาชน เดือนละ 3,500 บาท เป็นเวลา 2 เดือน แล้วนั้น

นอกจากจำนวนเงินจะน้อยไป เพราะแค่วันละ 117 บาท เท่านั้น และระยะเวลาสั้นไปเพราะไม่น่าจะควบคุมสถานการณ์และกลับมาเป็นปกติได้ใน 2 เดือนแน่ แล้วรัฐบาลยังกำหนดว่า จะไม่จ่ายเป็นเงินสดแต่จะจ่ายเข้าบัญชีและเบิกเงินสดไม่ได้ นำไปใช้จ่ายได้แบบโครงการคนละครึ่งเท่านั้น ซึ่งสร้างความไม่พอใจกับประชาชนเป็นจำนวนมาก

เพราะในภาวะที่ลำบากกันอย่างมากนี้ ประชาชนมีความจำเป็นต้องใช้เงินสดในหลายกรณี ดังนั้นจึงอยากให้พลเอกประยุทธ์ได้เร่งปรับเปลี่ยนการจ่ายเยียวยาให้กับประชาชนให้เป็นเงินสดเพื่อบรรเทาความลำบากของประชาชน

นายพิชัย กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ ข้ออ้างของรัฐบาลฟังแล้วเหมือนอยู่คนละโลกกับความเป็นจริงที่ประชาชนกำลังเดือดร้อนกันอย่างมาก การที่ไม่ให้เบิกเงินสดโดยอ้างว่า กลัวประชาชนจะไปซื้อ ลอตเตอรี่ เหล้า บุหรี่ บ้าง กลัวไวรัสโควิด จะติดมากับเงินสดบ้าง กลัวจะไปใช้จ่ายเอื้อประโยชน์กิจการของเจ้าสัวบ้าง (ซึ่งเรื่องที่เอื้อประโยชน์จำนวนมากกลับไม่พูดถึง) อีกทั้งยังจะจ่ายสัปดาห์ละ 1,000 บาท ติดต่อกัน 7 สัปดาห์ กลัวว่า ประชาชนจะใช้เงินหมดเร็ว ซึ่งคิดเหมือนประชาชนไม่มีปัญญาจะบริหารจัดการตัวเองได้

นอกจากนี้ แทนที่จะแจกประชาชนที่กำลังลำบากอย่างทั่วถึง กลับต้องให้ลงทะเบียนผ่านมือถืออีก โดยประชาชนจำนวนมาก ไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีได้ พอถูกถามเรื่องนี้ รัฐบาลกลับบอกว่า จะมีการติดต่อบริษัทให้มาจำหน่ายโทรศัพท์มือถือให้ในราคาพิเศษ ให้กับคนที่ไม่มีโทรศัพท์มือถือสามารถซื้อเพื่อลงทะเบียนเข้าโครงการได้ ซึ่งต้องเสียเงินเพิ่มเพื่อซื้อมือถือที่หลายคนโดยเฉพาะผู้สูงอายุอาจจะไม่มีความจำเป็นต้องใช้ และยังต้องมีรายจ่ายเพิ่มขึ้นแบบไม่สมเหตุสมผล

รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า โดยทั้งหมดนี้ ดูเหมือนรัฐบาลกำลังสับสน ทั้งที่คณะทำงานเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยได้เตือนรัฐบาลแล้วว่าให้คิดให้ดี คิดให้ครบกรอบ ก่อนที่จะออกมาตรการ อย่าทำแบบ “ทราบแล้วเปลี่ยน” ที่ต้องเปลี่ยนแปลงแนวทางหลายหนเพราะถูกตำหนิมาโดยตลอด

แต่อย่างไรก็ดี เรื่องนี้อยากให้รัฐบาลเร่งเปลี่ยนแปลงเป็นการจ่ายเป็นเงินสด เพื่อให้ช่วยประชาชนได้ตรงตามความจำเป็นของประชาชนมากกว่า โดยที่รัฐบาลก็ต้องจ่ายเงินจำนวนนี้อยู่แล้ว ไม่เข้าใจใจว่าจะไปกำหนดให้ประชาชนยุ่งยากเพิ่มขึ้นทำไม กลายเป็นรัฐบาลที่แจกเงินประชาชนแต่กลับโดนประชาชนด่ามาตลอด

นายพิชัย กล่าวว่า นอกจากนี้ การที่รัฐบาลและ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการปล่อยกู้ช่วยเหลือ ธุรกิจ SMEs ให้สะดวกขึ้นง่ายขึ้น ในวงเงิน 5 แสนล้านบาท ที่ปล่อยไปได้เพียง แสนกว่าล้านบาทเท่านั้น แต่ยังมีธุรกิจ SMEs อีกเป็นจำนวนมากยังต้องการความช่วยเหลือ นับเป็นเรื่องที่ดี และอยากให้เร่งดำเนินการ และอยากให้มีการเพิ่มวงเงินช่วยเหลือธุรกิจ SMEs เพิ่มเติมหากจำเป็น

โดยอยากให้รัฐบาลได้ปรึกษากับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในการเปลี่ยนวงเงิน 4 แสนล้านเดิม ที่วางแผนจะซื้อพันธบัตรของเอกชน แต่ตอนนี้เชื่อว่าคงยกเลิกแผนการซื้อพันธบัตรของเอกชนนี้ไปแล้วเพราะถูกคนคัดค้านกันมาก ได้ปรับเปลี่ยนวงเงิน 4 แสนล้านบาทดังกล่าวมาเป็นการช่วยเหลือธุรกิจ SMEs แทน ซึ่งเชื่อว่าธุรกิจ SMEs จำนวนมากยังต้องการความช่วยเหลือ ที่จะประคองตัวให้ผ่านภาวะวิกฤตินี้ไปได้ และจะสามารถฟื้นกลับมาได้อีกครั้งหลังจากเศรษฐกิจไทยสามารถฟื้นกลับมาได้

ทั้งนี้ต้องเลือกด้วยว่าธุรกิจไหนสามารถจะฟื้นได้ โดยรัฐอาจจะต้องเข้าไปรับผิดชอบในหนี้เสียที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต แต่เชื่อว่าคงไม่มากนักหากเศรษฐกิจฟื้นกลับมา และ สามารถเลือกSMEs ที่จะไปรอดให้ดี นอกจากนี้รัฐบาลน่าจะต้องมีโครงการการรักษาการจ้างงานควบคู่กับการช่วยเหลือด้วย เพื่อป้องกันคนจะตกงานเป็นจำนวนมาก ในภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่เช่นนี้ โดยรัฐบาลอาจจะสนับสนุนการจ้างงานบางส่วน

"ในภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่ทรุดหนักเช่นนี้ และยังไม่มีแนวโน้มที่จะฟื้นได้ รัฐบาลจะต้องเปิดใจรับฟังความเห็นทุกทางเพื่อนำมาพิจารณาปรับปรุงแก้ไขการบริหารประเทศของรัฐบาล อย่ามีอคติคิดว่าจะเป็นการตำหนิ เพราะที่ผ่านมารัฐบาลต้องยอมรับก่อนว่าการบริหารของรัฐบาลล้มเหลวมาโดยตลอด กรอบคิดของรัฐบาลมีปัญหา หากมองย้อนหลังด้วยใจเป็นธรรม จะพบว่าทุกเรื่องที่ผมได้เตือนมาเป็นความจริงมาโดยตลอดและเป็นไปตามหลักการทางเศรษฐศาสตร์ หากรัฐบาลจะเปิดใจรับฟังและนำไปปรับปรุงน่าจะช่วยได้มาก ซึ่งตอนนี้ก็ควรจะนึกได้แล้วเละควรฟังคำแนะนำของทุกฝ่ายมากขึ้น ก่อนประเทศจะย่ำแย่ไปกว่านี้" นายพิชัย กล่าว

‘แจ็ค หม่า’ ปรากฏตัวผ่านวิดิโอลิงก์ครั้งแรกหลังโดนข่าวลือหนัก พร้อมทิ้งปริศนา จะกลับมาอีกครั้งหลังโควิด-19 จบลง

ทันทีที่มีการนำเสนอคลิปวิดิโอของอภิมหาเศรษฐีเบอร์ 1 ของจีน แจ็ค หม่า ที่คนทั้งโลกกำลังตามหาว่าเขาหายไปไหน ก็กลายเป็นข่าวด่วนไปทั่วโลกว่า แจ็ค หม่า กลับมาแล้ว หลังจากที่เขาหายไปนานเกือบ 3 เดือน ตั้งแต่เกิดเรื่องระงับ IPO เข้าตลาดหลักทรัพย์ จนอาจนำไปสู่การตรวจสอบบริษัท Alibaba ทั้งเครือข่าย

ล่าสุด มีการนำเสนอคลิปวิดิโอสั้น ผ่านทางสำนักข่าว Tianmu News ที่เป็นสำนักข่าวท้องถิ่นของรัฐบาลมณฑลเจ้อเจียง ซึ่งเป็นมณฑลบ้านเกิดของ แจ็ค หม่า และที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของ Alibaba ได้ออกมาแสดงความยินดีกับครูชนบทดีเด่น 100 คนที่ได้รับรางวัล Jack Ma Rural Teachers Award ในปีนี้ ซึ่งเป็นรางวัลที่ได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิ แจ็ค หม่า และจัดต่อเนื่องมาทุกปี จนถึงปี 2021 นี้เป็นปีที่ 6 แล้ว

อย่างที่ทราบกันดีว่า แจ็ค หม่า เคยเป็นครูสอนภาษาอังกฤษมาก่อนที่จะผันตัวเองเข้ามาอยู่ในธุรกิจ e-Commerce และกลายเป็นอาณาจักรธุรกิจ Alibaba ที่ยิ่งใหญ่ในปัจจุบัน แต่แจ็ค หม่า ยังคงรัก และสนับสนุนอาชีพครู เท่าที่เขาทำได้ และ รางวัล Jack Ma Rural Teachers Award ก็เป็นหนึ่งในโครงการของเขา ซึ่งจัดมอบรางวัลที่เมืองซานย่า ในเกาะไหหลำทางตอนใต้ของจีนตั้งแต่ปี 2015

ในคลิปวิดีโอ แจ็ค หม่า ได้กล่าวแสดงความยินดีกับครูผู้ได้รับรางวัล และบอกว่า เขาจะกลับมาพบทุกคนแน่นอนหลังจากที่โรคระบาด Covid-19 สิ้นสุดลง และยังมีภาพแจ็ค หม่า ไปเยี่ยมโรงเรียนประถมในเมืองหังโจว บ้านเกิดตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม เพื่อบอกให้รู้ว่าเขาสบายดี ไม่ได้หายไปไหน

แต่ก็ยังมีข้อสงสัยว่า นี่อาจเป็นคลิปเก่าที่อัดไว้นานแล้ว ตัวแจ็ค หม่า จะยังอยู่ที่เมืองหังโจว อยู่หรือไม่ ก็ไม่มีใครยืนยันแน่ชัด และยังคงต้องรอจนกว่าแจ็ค หม่า จะพร้อมออกสื่อให้ได้เห็นตัวเป็น ๆ ซึ่งก็อาจจะต้องรอจนกว่า Covid-19 จะหมดอย่างที่เขาพูดไว้ก็เป็นได้


แหล่งข่าว

https://edition.cnn.com/.../jack-ma-appearance.../index.html

https://www.globaltimes.cn/page/202101/1213348.shtml


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top