Friday, 11 July 2025
TheStatesTimes

“ไพบูลย์” ยกเครื่อง ระเบียบ "วินัย-จริยธรรม" คนพปชร. วางบทลงโทษ 3 ระดับ พร้อมตั้งคกก. รักษาวินัยตามประมวลจริยธรรม จ่อชง บิ๊กป้อม-กก.บห. เคาะ

นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้า ฝ่ายกฎหมายพรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยถึงความคืบหน้าการร่างระเบียบว่าด้วยการรักษาวินัยตามประมวลจริยธรรมของสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ พ.ศ.2564 หลังร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช. เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเลขาธิการพรรค มอบหมายให้ปรับปรุงจัดทำร่างใหม่เพื่อให้พลังประชารัฐเป็นระบบมากขึ้นว่า ใกล้เสร็จแล้ว เชื่อว่าทันเสนอต่อที่ประชุมกรรมการบริหารพรรคในวันที่ 6 ก.ค.แต่ทั้งนี้ต้องนำเสนอหัวหน้าพรรคก่อน โดยสาระสำคัญเป็นเรื่องวินัยและจริยธรรมที่สมาชิกพรรคต้องปฏิบัติ อะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ ทำแล้วมีการร้องเรียนมาจะต้องตรวจสอบโดยคณะกรรมการรักษาวินัยตามประมวลจริยธรรม ซึ่งจะตั้งขึ้นหลังร่างนี้ประกาศใช้ 
        
ขณะที่ถ้าฝ่าฝืนระเบียบนี้ จะมีบทลงโทษ 3 ระดับ ได้แก่ 1.ว่ากล่าวตักเตือนอาจจะแจ้งประกาศให้สมาชิกทราบโดยทั่วไปว่ากระทำผิด 2.ตัดสิทธิ์ต่างๆที่จะได้รับการคัดเลือกตำแหน่งต่างๆจากสัดส่วนของพรรค รวมทั้งอาจจะถูกตัดสิทธิ์ไม่ส่งลงสมัครรับเลือกตั้ง และ3.ขับออกจากสมาชิกพรรคกรณีฝ่าฝืนระเบียบพรรคขั้นร้ายแรง
          
ทั้งนี้ รวมถึงการใช้วาจาต่างๆ ซึ่งการแสดงความคิดเห็นทำได้ แต่ต้องไม่มีผลกระทบต่อสมาชิกพรรคคนอื่น ต้องใช้วาจาสุภาพ ไม่ส่อเสียด ไม่ใส่ร้ายกัน ทั้งนี้ ถือเป็นการจัดระเบียบ การกระทำอะไรบ้างที่ทำจะกลายเป็นปัญหาขัดต่อจริยธรรมหรือวินัยของพรรคจะได้รู้และไม่ปฏิบัติ จะทำให้พรรคมีระเบียบวินัยมากขึ้นให้สมาชิกพรรคอยู่ด้วยกันเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไม่มีความขัดแย้งกัน 

ศรีสุวรรณ จ่อร้อง ดีเอสไอ สอบ รฟท.  ก่อสร้างทางรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ส่อ ทุจริต

นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้ตรวจสอบติดตามโครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา หรือรถไฟไทย-จีน ระยะทาง 253 กม. วงเงิน 179,413 ล้านบาท ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม ซึ่งมีการแบ่งการก่อสร้างงานโยธาเป็น 14 สัญญา ซึ่งขณะนี้ผู้รับเหมาโครงการแต่ละสัญญากำลังดำเนินการก่อสร้างให้เป็นไปตามสัญญา ซึ่งจะประกอบไปด้วยโครงสร้างยกระดับสำหรับวางรางรถไฟความเร็วสูง โครงสร้างทางรถไฟบนดิน นอกจากนี้ยังมีงานก่อสร้างโรงซ่อมรถไฟ และอาคารประกอบอีก หลายอาคาร โดยมีบริษัทที่ปรึกษาจากประเทศจีนร่วมทำงานกันอย่างใกล้ชิดนั้น

แต่จากการตรวจสอบบางสัญญาพบความผิดปกติในการก่อสร้างและการดำเนินงานซึ่งอาจไม่เป็นไปตามข้อสัญญาการจ้าง หรือ ทีโออาร์ หลายจุด อาทิ การวางรางรถไฟ ซึ่งตามสัญญาจะต้องใช้รางเหล็กคุณภาพดีที่มีปีการผลิตในปี 2019 เท่านั้น แต่ปรากฏว่ามีการสอดใส้นำรางเหล็กเก่าที่ผลิตในปี 2013 และปี 2014 มาสอดใส้ใช้สลับแทนในบางจุดเพื่อตบตาผู้ตรวจสอบ (ซึ่งอาจไม่ได้ลงดูพื้นที่จริง)โดยเบื้องต้นพบว่ามีการนำรางเก่ามาใช้ทั้งหมด 48 ท่อน แยกเป็นปี 2013 จำนวน 28 ท่อน(PZH2013) ปี 2014 จำนวน 20 ท่อน(BISG2014) โดยตรวจพบในจุดที่ Sta.3+513 ไปจนถึงจุด 4+113 ซึ่งการสอดใส้นำรางเก่ามาใช้แทนรางใหม่จะทำให้ผู้รับเหมาประหยัดเงินไปได้อย่างมาก ซึ่งปัญหาดังกล่าวทราบมาว่าทางบริษัทที่ปรึกษาจากประเทศจีนได้ตรวจพบแล้ว และได้ทำหนังสือรายงานไปยังผู้จัดการโครงการฯของ รฟท.แล้ว แต่ทว่าเรื่องกลับเงียบไป เป็นที่น่าพิรุธ

นอกจากปัญหาการสอดไส้การนำรางเก่ามาใช้แล้ว ยังมีปัญหาการนำรถกระบะยี่ห้อหนึ่งมาใช้ในโครงการโดยในสัญญาระบุว่าต้องเป็นรถที่มีแรงม้า 2,900 แรงม้า แต่เอามาใช้จริงกลับเป็นรถที่มีแรงม้าเพียง 2,200 แรงม้าเท่านั้น อาจไม่ตรงกับสเปกตามสัญญา และยังพบว่าการก่อสร้างอาคารสำนักงานจำนวน 3 อาคาร ที่ อ.ปากช่อง พบว่ามีการก่อสร้างเกินไปกว่าแบบแปลนที่กำหนดจากพื้นที่ใช้สอย 1,550 ตร.ม. กลับเพิ่มเป็น 1,940 ตร.ม. ทำให้ค่าก่อสร้างเพิ่มมากขึ้น ค่าบริหารจัดการเพิ่มมากขึ้น และยังไม่มีฉนวนกันความร้อนบนผ้าเพดานไม่เป็นไปตามแบบที่กำหนดอีกด้วย และเฟอร์นิเจอร์ภายในอาคารโครงการฯพบว่ามีการจัดซื้อจัดหามาใช้ในราคาที่แพงกว่าราคาตลาดที่ซื้อขายกันโดยทั่วไปหลายเท่ามาก และยังพบข้อพิรุธอื่น ๆ อีกมากมาย

โดยในวันจันทร์ที่ 5 ก.ค.64 เวลา 10.00 น.ไปยื่นที่สำนักงาน DSI ศูนย์ราชการฯ ถ.แจ้งวัฒนะ สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จะนำพยานหลักฐานทั้งหมดไปร้องเรียน ให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ทำการตรวจสอบว่าโครงการรถไฟไทย-จีนดังกล่าว มีการทุจริตคอรัปชั่นกันหรือไม่ หากพบความผิด และมีใครเกี่ยวข้องและต้องรับผิดชอบบ้าง จะได้ดำเนินการเอาผิดตามกฎหมายต่อไป 

โฆษกรัฐบาล เผย นายกฯ เดินหน้า ยุทธศาสตร์ชาติก้าวสู่รัฐบาลดิจิทัลอย่างสมบูรณ์-ยูเอ็น จัดไทย อยู่ในกลุ่มที่มีการพัฒนา รัฐบาลดิจิทัล ระดับสูงมาก

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผย ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้วางแนวนโยบายและขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อการก้าวเป็นรัฐบาลดิจิทัล ยกระดับความโปร่งใส ตรวจสอบได้หรือการเป็นรัฐบาลเปิด (Open Government) อำนวยความสะดวกให้กับประชาชนและ ส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมถึงเพิ่มการได้รับความเชื่อใจจากประชาชน (Public Trust)

นายอนุชา กล่าวว่า องค์การสหประชาชาติ ได้ประกาศผลการสำรวจรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ประจำปี 2020 หรือ UN E-Government Survey 2020 อันประกอบไปด้วยการประเมินระดับการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลของประเทศต่างๆ ใน 3 ดัชนี ได้แก่ ดัชนีรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (E-Government Development Index: EGDI) ดัชนีการมีส่วนร่วมทางอิเล็กทรอนิกส์ (E-Participation Index: EPI) และดัชนีการให้บริการภาครัฐออนไลน์ในระดับท้องถิ่น (Local Online Service Index: LOSI) โดยผลการจัดอันดับดัชนีรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ ประจำปี พ.ศ.2563 ไทยได้รับการจัดให้อยู่ในอันดับที่ 57 จาก 193 ประเทศ ซึ่งไทยได้รับตำแหน่งที่ดีขึ้นอย่างมาก จากอันดับที่ 73 ในปี 2561 และอันดับที่ 77 ในปี 2559 มีการพัฒนาในด้านการเป็นรัฐบาลดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง ซึ่งองค์การสหประชาชาติจัดไทยให้อยู่ในกลุ่มที่มีการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลในระดับสูงมากโดยหากพิจารณาในรายละเอียดแต่ละด้าน ไทยได้รับคะแนนด้านการให้บริการออนไลน์ (Online Service Index: OSI) และโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม (Telecommunication Infrastructure Index: TII) เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ในระดับอาเซียน ไทยอยู่ในอันดับที่ 3 รองจากสิงคโปร์ (อันดับที่ 11 ของโลก) และมาเลเซีย (อันดับที่ 47 ของโลก) ตามลำดับ 

นายอนุชา กล่าวว่า ในรายงานดังกล่าวได้เปิดเผยถึง ดัชนีการมีส่วนร่วมทางอิเล็กทรอนิกส์ (E-Participation Index: EPI) ซึ่งประเมินการใช้เครื่องมือดิจิทัลในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการกำหนดทิศทางการทำงานของภาครัฐ ได้แก่ การเปิดช่องทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อรับฟังความคิดเห็นมากขึ้น ในการกำหนดนโยบาย ร่างกฎหมาย การใช้จ่ายงบประมาณ การจัดซื้อจัดจ้าง ตลอดจน การร้องเรียนการทำงานของหน่วยงานภาครัฐ ไทยได้รับการจัดให้อยู่อันดับที่ 51 ปรับตัวขึ้นมาจากอันดับที่ 82 ในปี 2561 ซึ่งคงเป็นอันดับที่ 3 ในอาเซียน รองจากสิงคโปร์ (อันดับที่ 6 ของโลก) และมาเลเซีย (อันดับที่ 29 ของโลก) ตามลำดับ

นายอนุชา กล่าวว่า ที่ผ่านมารัฐบาลได้ดำเนินนโยบายเพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัลอย่างเข้มข้น โดยได้กำหนดเป็นแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลของประเทศไทย พ.ศ. 2563-2565 จึงส่งผลให้ประเทศได้รับการยอมรับและการจัดอันดับที่ดีในเวทีโลก และพร้อมวางแนวทางสู่อนาคตอย่างต่อเนื่อง

รัฐบาลดันอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ไทยสู่ตลาดโลก 

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์กำลังขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ครอบคลุม ภาพยนตร์/ซี่รี่ออนไลน์ แอนิเมชั่น เกม การ์ตูน และคาแรคเตอร์ โดยกำหนดแผนดำเนินการในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งประกอบด้วย การพัฒนาผู้ประกอบการทั้งด้านการสร้างองค์ความรู้ การสร้างแรงบันดาลใจ การขยายตลาดต่างประเทศ รวมถึงการขายผลงานและเจรจาผ่านระบบออนไลน์ 

ทั้งนี้คาดว่าจะนำไปสู่การซื้อขายผลงานของผู้ประกอบการไทย มูลค่ารวมประมาณ 3,600 ล้านบาท ตลาดที่มีศัยภาพของผู้ประกอบการไทย คือ ตลาดญี่ปุ่น เกาหลี และไต้หวัน เนื่องจากมีอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ขนาดใหญ่ทั้งด้านแอนิเมชั่นและคาแรคเตอร์ และมีแนวโน้มที่จะว่าจ้างผู้ประกอบการต่างชาติอย่างต่อเนื่อง ทั้งในรูปแบบการจ้างผลิตและร่วมกันผลิต

สำหรับในช่วง 2 ปีหลัง ผลงานของผู้ประกอบการไทย ได้รับความสนใจอย่างมากในตลาดต่างประเทศ ทั้ง จีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และลาตินอเมริกา มีมูลค่าตลาดรวมกว่า 1 พันล้านบาท ถือได้ว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการผลิตคอนเทนท์ซีรีวายระดับโลกและเป็นอันดับหนึ่งในเอเซีย ซึ่งในปีที่ผ่านมามีผู้ชมเพิ่มขึ้นกว่า 328% ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ

น.ส.รัชดา กล่าวถึงอุตสาหกรรมเกมซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ด้วยว่า กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วตามการพัฒนาของเทคโนโลยี และประเทศไทยไทยถือเป็นที่หนึ่งในอาเซียน มีโอกาสขยายสู่ตลาดโลก โดยสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) รายงานว่า ปีที่แล้ว อุตสาหกรรมเกมในประเทศ ขยายตัวสูงขึ้น14-15% คิดเป็นมูลค่า 29,000 ล้านบาท 

“รัฐบาล” หนุน ก.พาณิชย์ ส่งเสริมอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ พบ ไทย อันดับ 1เอเซีย-ติดระดับโลก เป็นผู้ผลิตคอนเทนต์ซีรีส์วาย-ละครรักวัยรุ่น ส่งออกทะลุ พันล้าน

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมดาวเด่นที่มีศักยภาพส่งออกสูงและเป็นที่นิยมในภูมิภาค ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้เดินหน้าขับเคลื่อนสู่เป้าหมายให้ประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ครอบคลุม ภาพยนตร์และซีรีส์ออนไลน์ แอนิเมชั่น เกมส์ การ์ตูน และคาแรคเตอร์ เป็นต้น 

น.ส.รัชดา กล่าวว่า ได้กำหนดแผนดำเนินการในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งประกอบด้วย การพัฒนาผู้ประกอบการทั้งด้านการสร้างองค์ความรู้ การสร้างแรงบันดาลใจ การขยายตลาดต่างประเทศ รวมถึงการขายผลงานและเจรจาผ่านระบบออนไลน์ ที่คาดว่าจะนำไปสู่การซื้อขายผลงานของผู้ประกอบการไทย มูลค่ารวมประมาณ 3.6 พันล้านบาท ตลาดที่มีศัยภาพของผู้ประกอบการไทย คือ ตลาดญี่ปุ่น เกาหลี และไต้หวัน เนื่องจากมีอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ขนาดใหญ่ทั้งด้านแอนิเมชั่นและคาแรคเตอร์ และมีแนวโน้มที่จะว่าจ้างผู้ประกอบการต่างชาติอย่างต่อเนื่อง ทั้งในรูปแบบการจ้างผลิตและร่วมกันผลิต

น.ส.รัชดา กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์จัดโครงการส่งเสริมผู้ผลิตคอนเทนต์ซีรีส์วาย ซึ่งซีรีส์ละครเกี่ยวกับความรักวัยรุ่นเพศเดียวกัน เมื่อ 29 – 30 มิถุนายน ที่ผ่านมา มีผู้ประกอบการคอนเทนต์วายของไทยเข้าร่วมจำนวน 10 ราย เกิดการนัดหมายเจรจาธุรกิจรวมกว่า 158 นัดหมาย ทำรายได้ทะลุเป้ากว่า 360 ล้านบาท ทั้งนี้ในช่วง 2 ปีหลัง ผลงานของผู้ประกอบการไทย ได้รับความสนใจอย่างมากในตลาดต่างประเทศ อาทิ จีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และลาตินอเมริกา มีมูลค่าตลาดรวมกว่า 1 พันล้านบาท ถือได้ว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการผลิตคอนเทนท์ซีรีวายระดับโลกและเป็นอันดับหนึ่งในเอเซีย ซึ่งในปีที่ผ่านมามีผู้ชมเพิ่มขึ้นกว่า 328 เปอร์เซ็นต์ ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ

น.ส.รัชดา กล่าวว่า อุตสาหกรรมเกมส์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ด้วยว่า กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วตามการพัฒนาของเทคโนโลยี และประเทศไทยไทยถือเป็นที่หนึ่งในอาเซียน มีโอกาสขยายสู่ตลาดโลก ทั้งนี้ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) รายงานว่า ปีที่แล้ว อุตสาหกรรมเกมในประเทศ ขยายตัวสูงขึ้น14-15 เปอร์เซ็นต์ คิดเป็นมูลค่า 29,000 ล้านบาท เนื่องจากวิกฤติโควิด คนอยู่บ้านมากขึ้น เกมเข้ามาช่วยแก้เหงาและคลายเครียด โดยสำนักงานฯ ได้เดินหน้าและจับมือกับสมาคมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์เกมส์ไทย เพื่อพัฒนาศักยภาพนักพัฒนาเกมส์ไทย และขับเคลื่อนงานภายใต้แผนการส่งเสริมระบบนิเวศของอุตสาหกรรมเกมไทย ปี2564- 2565 อาทิ จัดตั้งบริษัทเอเย่นต์ส่งออกเกมส์ไทยไปต่างประเทศ สร้างศูนย์บ่มเพาะสตาร์ตอัพเกมส์ใน “ไทยแลนด์ ดิจิทัล วัลเลย์” ที่เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (EECd)

“อุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์เป็นอุตสาหกรรมที่เติบโตต่อเนื่อง และสามารถสร้างรายได้เข้าประเทศได้อีกมาก รัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนแก่ผู้ประกอบการไทยมีพื้นที่ในตลาดระดับโลก ซึ่งที่ผ่านมามีความร่วมือภาครัฐและเอกชน สร้างกลไกส่งเสริมและการพัฒนาบุคลากร เพื่อผู้ประกอบการมีศักยภาพทั้งการผลิตและการเข้าถึงตลาดมากยิ่งขึ้น และที่สำคัญ ผู้ประกอบการไทยควรตระหนักว่าตนเองมีศักยภาพสามารถไปไกลถึงตลาดระดับโลกได้ เพราะขณะนี้ก็มีศักยภาพสูงเป็นผู้นำในอาเซียนและระดับต้นของภูมิภาค การเจาะตลาดสากลจึงเป็นสิ่งที่ไม่เกินความสามารถของคนไทยอย่างแน่นอน” น.ส.รัชดา กล่าว

พท.ถาม “ประยุทธ์” ทำผิด รธน.หรือไม่ทันทีที่ปชช.ซื้อวัคซีนเอง บี้เร่งจัดซื้อโมเดอร์นาให้ด่านหน้า อย่าปล่อยให้แพทย์รบด้วยชุดเกราะกระดาษ

นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การบริหารจัดการวัคซีนของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ ผอ.ศบค.ผิดพลาดมาตั้งแต่ต้น แม้แต่การแก้ไขปัญหาในขณะนี้ก็ยังผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำอีก เพราะช่วงแรกรัฐบาลกำหนดให้วัคซีนแอสตราเซเนกาเป็นวัคซีนหลักเพียงเจ้าเดียว จึงไม่มีวัคซีนคุณภาพมาเพียงพอเร่งฉีดให้ประชาชน จนวันนี้จึงปรับแผนใช้วัคซีนแก้ขัดอย่างซิโนแวคที่ประชาชนไม่ไว้ใจมาเป็นวัคซีนหลัก และยังเตรียมจะซื้อเพิ่มอีก 28 ล้านโดส

ส่วนวัคซีนที่ประชาชนเรียกร้องอย่างโมเดอร์นา กลับถูกปิดกั้นดำเนินการล่าช้า ทั้งที่มีงานวิจัยหลายฉบับรองรับว่ารับมือกับโควิด-19 สายพันธุ์ที่มีแนวโน้มระบาดอยู่ได้มากกว่า กลับกลายเป็นวัคซีนทางเลือกที่ประชาชนต้องเสียเงินจ่ายด้วยตนเอง ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่า  ทันทีที่ประชาชนกดโอนเงินมัดจำค่าวัคซีนทางเลือก  วินาทีนั้นเท่ากับว่าพล.อ.ประยุทธ์กระทำขัดต่อรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 47 ที่ระบุว่า “บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับการป้องกันและขจัดโรคติดต่ออันตรายจากรัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย” หรือไม่

นายชนินทร์ กล่าวต่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ในฐานะ ผอ.ศบค.ต้องใช้วิธีการทางการทูต ไม่ว่าจะเป็นการทูตแบบทางการหรือไม่เป็นทางการ รวมทั้งใช้ศักยภาพของภาคเอกชนที่ติดต่อธุรกิจกับต่างชาติ ให้เข้ามาช่วยจัดหาวัคซีนยี่ห้ออื่นๆ ให้เร็วขึ้นได้ อย่าจมอยู่กับวาทกรรมวัคซีนที่ดีคือวัคซีนที่มี ในเมื่อของที่มีอาจจะไม่เพียงพอต่อการควบคุมการระบาด การบริหารวัคซีนภายใต้รัฐบาลชุดนี้ มีความพยายามผูกขาดวัคซีน ทำให้บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าจำนวนมากที่ได้ฉีดเพียงซิโนแวค 2 เข็ม เหมือนต้องสู้รบด้วยชุดเกราะกระดาษ ศบค.ต้องพิจารณาฉีดวัคซีนคุณภาพเข็มที่ 3 ให้แพทย์เป็นการฉุกเฉิน ก่อนที่สาธารณสุขไทยจะพังทลายเหมือนปราสาททราย

 

ปธ.ชุมชนวัดดวงแข ร้องผู้สมัครส.ก.เพื่อไทย พบผู้ป่วยโควิดในชุมชนอาการสาหัส หาเตียงไม่ได้ เชื้อเริ่มระบาดไปห้องเช่ารอบข้าง บี้ รบ.จัดหาวัคซีนให้ชุมชน

นายใจพิชญ์ สุขุมาลจันทร์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ก.พรรคเพื่อไทย ลงพื้นที่มอบข้าวสารอาหารแห้งให้แก่ผู้นำชุมชนวัดดวงแข เพื่อใช้ประกอบอาหารปรุงสุกให้แก่สมาชิกในชุมชนที่กักตัวในห้องเช่า โดยชุมชนวัดดวงแขมีบ้านอยู่จำนวน 78 หลังคาเรือน แต่เนื่องจากถูกแบ่งซอยเป็นห้องเช่าขนาดเล็ก จึงทำให้มีผู้พักอาศัยอยู่รวมกันแล้วหลายร้อยคน มีทั้งคนไทยประกอบอาชีพเดินรถไฟ คนทำงานรับจ้างรายวัน และแรงงานต่างด้าวอาศัยรวมกันอยู่ที่ชุมชนแห่งนี้  ทั้งนี้ นางกาญจนศิริ คำรื่น ประธานชุมชนวัดดวงแข กล่าวว่า ชุมชนแห่งนี้เป็นตึกแถวห้องเช่าซอยย่อยขนาดเล็ก มีทั้งคนไทยและแรงงานต่างด้าวที่อยู่อย่างแออัด ถ้าใครติดเชื้อคนหนึ่งจะแพร่ระบาดยกห้องและลามไปห้องข้างเคียง ขณะนี้ผู้ป่วยยังอยู่ในชุมชนมีอาการน่าห่วงมาก มีอาการไข้ขึ้นสูง อาเจียน ไอ หายใจไม่สะดวก ยังหาเตียงให้ไม่ได้ แต่ที่กังวลมากกว่าคือ เริ่มพบผู้อาศัยอยู่ห้องใกล้เคียงกับผู้ป่วย เริ่มมีอาการไข้ขึ้นสูงและไอ จึงให้ผู้อาศัยห้องใกล้เคียงทั้งหมดไปตรวจหาเชื้อที่จุดตรวจเชื้อเคลื่อนที่สามย่าน ซึ่งอยู่ระหว่างการรอผลการตรวจ ซึ่งการระบาดรอบนี้ระบาดเร็วและพบในอัตราที่สูงเช่นที่ชุมชนบ้านครัว ตรวจเชื้อ 100 คน พบติดเชื้อ 35 คน และยังหาเตียงไม่ได้ จึงกังวลอย่างยิ่งว่าจะระบาดซ้ำเป็นคลัสเตอร์ใหญ่จนไม่สามารถจะควบคุมได้

นายใจพิชญ์ กล่าวต่อว่า ปัญหาผู้ป่วยล้น เตียงขาด เมื่อประสานโรงพยาบาลไปก็ไม่มีคำตอบ ขณะนี้ผู้อาศัยห้องใกล้ๆ กับผู้ติดเชื้อ เริ่มมีอาการไข้แล้ว จึงอยากให้ภาครัฐเร่งมือช่วยแก้ไขปัญหาเตียงขาด พาผู้ป่วยไปรักษาให้เร็ว และจะดีที่สุดควรรีบนำเข้าวัคซีนที่มีคุณภาพมาฉีดให้กับคนในชุมชนทุกคนอย่างรวดเร็ว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดระบาดซ้ำ เพราะหากโควิดกลับมาระบาดซ้ำอีกรอบ อาจกลายเป็นคลัสเตอร์ใหญ่ที่ควบคุมไม่ได้

“บิ๊กตู่” ลงนาม คลายล็อก งานก่อสร้าง 4 ประเภท ในกทม.-ปริมณฑล ทั้งโครงการก่อสร้างใต้ดินที่มีความลึก, นั่งร้าน, แบริเออร์กั้นจราจร, ไฟสัญญาณจราจร, แผ่นเหล็กปิดงานผิวจราจร, รพ.สนาม-สถานพยาบาล สั่ง เข้มก่อสร้างขนาดเล็ก หากพบเป็นแหล่งแพร่เชื้อสั่งปิดทันที ราย

ข่าวจากทำเนียบรัฐบาล แจ้งว่า พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศปก.ศบค.) ได้ทำหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. เพื่อขอให้พิจารณาอนุมัติในหลักการการให้อนุญาตสำหรับการก่อสร้างโครงการก่อสร้างบางประเภท และเคลื่อนย้ายแรงงานในกรณีที่มีความจำเป็น โดยเสนอขอให้มีการผ่อนคลายข้อกำหนดฉบับที่ 25 กรณีคำสั่งห้ามการก่อสร้างในโครงการก่อสร้างบางประเภท ได้แก่ 1.โครงการก่อสร้างซึ่งหากหยุดก่อสร้างในทันที หรือการดำเนินการล่าช้าอาจก่อให้เกิดความเสียหายเชิงโครงสร้างด้านวิศวกรรมจนยากต่อการแก้ไข หรือเกิดอันตรายแก่ประชาชนที่สัญจรไปมา หรือ ชุมชนโดยรอบโครงการก่อสร้างนั้น เช่น โครงการก่อสร้างใต้ดินที่มีความลึก การก่อสร้างชั้นใต้ดินที่ยังไม่ได้เทปูนปิดล้อม 2.การก่อสร้างชั่วคราวซึ่งหยุดการก่อสร้างในทันที หรือดำเนินการล่าช้าจะได้รับความเสียหายจนเกิดอันตรายแก่ประชาชนที่สัญจรไปมา หรือชุมชนโดยรอบโครงการดังกล่าว เช่น นั่งร้าน และแบบรอการเทปูน โดยเฉพาะแผ่นพื้นที่ 3.การก่อสร้างที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยด้านการจราจร เช่น ไฟสัญญาณจราจร แบร์ริเออร์กั้นช่องจราจร แผ่นเหล็กปิดงานก่อสร้างบนผิวจราจร และ 4.การก่อสร้างในสถานที่ก่อสร้างที่มีความเกี่ยวข้องกับมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ด้านสาธารณสุข เช่น โรงพยาบาลสนาม โรงพยาบาล สถานพยาบาล หรือ สถานที่ก่อสร้างอื่น ๆ ที่ใช้เพื่อประโยชน์ในการควบคุมโรค

 นอกจากนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมพิจารณาขอผ่อนคลายคำสั่งเคลื่อนย้ายแรงงานประเภทก่อสร้างจากสถานที่พักชั่วคราว ทั้งกรณีการข้ามเขตจังหวัด หรือภายในเขตจังหวัด เพื่อประโยชน์ในการควบคุมโรคโควิด-19 เช่น การรักษาพยาบาล การควบคุมป้องกันโรค การตรวจสุขภาพ การตรวจวินิจฉัยและการฉีดวัคซีน ทั้งนี้ ให้ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หรือ ผู้ว่าราชการจังหวัด ที่ได้รับมอบอำนาจจากคณะกรรมการโรคติดต่อเป็นผู้พิจารณาอนุญาตโครงการก่อสร้างที่เข้าหลักเกณฑ์ทั้ง 4 ประเภทข้างต้นในเขตพื้นที่ของตนเองเป็นกรณีไป 

 รายงานข่าวแจ้งว่า ในที่ประชุม ศปก.ศบค.ได้พิจารณาข้อเสนอดังกล่าวแล้ว และได้ให้ความเห็นชอบในหลักการ ขณะเดียวกัน มีข้อเสนอแนะเพิ่มเติมเพื่อความมั่นคงด้านสาธารณสุข ดังนี้ เห็นสมควรให้ผ่อนคลายคำสั่งห้ามการก่อสร้างในโครงการบางประเภทตามที่ กทม.เสนอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโครงการที่แรงงานก่อสร้างนั้นได้รับวัคซีนแล้ว โดยสามารถเคลื่อนย้ายแรงงานก่อสร้างนั้นได้ ขณะเดียวกัน เห็นสมควรให้ผู้ว่าฯกทม. หรือผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นผู้พิจารณาอนุญาตโครงการก่อสร้างที่เข้าหลักเกณฑ์เป็นรายๆ ไป และขอให้ กทม.และจังหวัดปริมณฑลกำกับติดตามการดำเนินการก่อสร้างโครงการที่มีความจำเป็นตามที่ได้รับการผ่อนคลายให้ดำเนินการภายใต้มาตรการป้องกันโควิด-19 ที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดอย่างเคร่งครัด 

 รายงานข่าวแจ้งว่า ส่วนกรณีการก่อสร้างขนาดเล็กที่ไม่ถูกห้ามตามข้อกำหนดฉบับที่ 25 ถ้าผู้ว่าฯ กทม.หรือผู้ว่าราชการจังหวัดเห็นว่า หากปล่อยให้การก่อสร้างแล้วอาจเป็นเหตุให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ขอให้ใช้อำนาจตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อพิจารณาสั่งปิดสถานที่ก่อสร้างหรือหยุดการก่อสร้างได้ตามอำนาจ นอกจากนี้ ให้ทาง กทม.และจังหวัดปริมณฑลทำการประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการและประชาชนได้เข้าใจมาตรการตามข้อกำหนดฉบับที่ 25 ที่ไม่ห้ามการก่อสร้างโครงการขนาดเล็กซึ่งไม่มีการเคลื่อนย้ายแรงจำนวนมากอันเป็นเหตุให้เกิดการแพร่กระจายของโรค และให้จัดช่องทางสำหรับประชาชนหรือผู้ประกอบการในการที่จะสอบถามเกี่ยวกับการดำเนินการตามคำสั่งตามข้อกำหนดฉบับที่ 25 ด้วย ทั้งนี้ เมื่อ ศปก.ศบค.เสนอขอให้นายกฯ ในฐานะ ผอ.ศบค. แล้ว จึงได้ลงนามเห็นชอบมาตรการผ่อนคลายดังกล่าวไปเมื่อวันที่ 2 ก.ค.ที่ผ่านมาแล้ว

“ก้าวไกล” เผย จ่อยื่นซักฟอกรัฐบาลเร็วขึ้นภายใน ต.ค.-พ.ย. ชี้ยังไม่มีการคุยในฝ่ายค้าน แต่เตรียมข้อมูลกันอยู่ 

นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงการหารืออภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในฝ่ายค้าน ว่า ยังไม่ทราบว่ามีการหารืออย่างเป็นทางการ แต่ในส่วนของพรรคก้าวไกลได้เตรียมข้อมูลกันอยู่ เนื่องจาก 2 ครั้งที่ผ่านมาการอภิปรายไม่ไว้ใจจะเกิดขึ้นในช่วง ปลายสมัยประชุมคือเดือนก.พ. แต่ในครั้งนี้จะมีการยื่นญัตติขออภิปรายไม่วางใจเร็วขึ้นกว่า 2 ครั้งที่เคยมีมา ส่วนการหารือในพรรคร่วมฝ่ายค้านขณะนี้วิปฝ่ายค้านยังไม่มีการคุยกัน แต่อาจเป็นการหารือกันในระดับเลขาธิการพรรค สำหรับพรรคก้าวไกลตอนนี้กำลังเตรียมข้อมูลกันโดยเน้นหนักในเรื่องของงบประมาณ ซึ่งหลังจากที่พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 65 ผ่านวาระ 3 เสร็จประมาณปลายเดือนก.ย. ในเดือนต.ค.หรือเดือนพ.ย.ก็จะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ

“นทพ.” หนุน สธ. เสริมกำลังดูแลเปิดให้บริการใน  รพ.บุษราคัม เพิ่มเติม เปิดแล้ววันนี้อีก 1,500 เตียง พร้อมจตเคียงข้างประชาชน ใช้ศักยภาพทหารดูแลประชาชน จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย

พลเอก นเรนทร์  สิริภูบาล ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา (ผบ.นทพ.) จัดกำลังร่วมปฏิบัติงานกับกระทรวงสาธารณสุขในภารกิจดูแลรักษาผู้ป่วยติดเชื้อ COVID-19 ณ รพ.บุษราคัม อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยเสริมกำลังพลของ นทพ. ร่วมกับบุลากรทางการแพทย์ของ สธ. ในการขนส่งอาหาร ยารักษาโรคและสิ่งของเครื่องใช้จำเป็นในการดูแลรักษาให้กับผู้ป่วยติดเชื้อ COVID-19 ซึ่งในวันนี้เปิดเพิ่ม Hall Chalenger 2 ให้บริการกับประชาชนเข้ามาพักรักษาตัวไม่ทอดทิ้งผู้ป่วยไว้ที่บ้าน โดยมี นายอนุทิน  ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานพิธีเปิดและพลเอก นเรนทร์  สิริภูบาล ผบ.นทพ. พลโท ธวัชชัย  ดะนุดิษฐ์ เสธ.นทพ. ร่วมพิธี

อีกทั้งตามเจตนารมณ์ของรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พลเอก เฉลิมพล  ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด/หัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ผบ.ทสส./หน.ศปม.) โดยปฏิบัติงานทุกวันจนกว่าจะจบภารกิจ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top