Wednesday, 9 July 2025
TheStatesTimes

1 กรกฎาคมของทุกปี เป็น "วันคล้ายวันสถาปนาคณะลูกเสือแห่งชาติ" หรือ "วันลูกเสือ"

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จไปทรงศึกษา ณ ประเทศอังกฤษ ระหว่างที่ทรงศึกษาอยู่นั้น ได้ทรงทราบเรื่องการสู้รบเพื่อรักษาเมืองมาฟิคิง (Mafeking) ของลอร์ด โรเบิร์ต เบเดน-โพเอลล์ (Lord Robert Baden-Powell) ซึ่งตั้งกองทหารเด็กเป็นหน่วยสอดแนมช่วยรบในการรบกับพวกบัวร์ (Boer) จนประสบผลสำเร็จ และเป็นที่มาของการตั้งกองลูกเสือขึ้นในประเทศอังกฤษ เมื่อ พ.ศ. 2450 

เมื่อพระองค์เสด็จนิวัติสู่ประเทศไทยก็ได้ทรงจัดตั้งกองเสือป่า (Wild Tiger Corps) ขึ้นเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2454 มีจุดมุ่งหมายเพื่อฝึกหัดให้ข้าราชการและพลเรือนได้เรียนรู้วิชาทหาร ต่อจากนั้นอีก 2 เดือน ก็ได้พระราชทานกำเนิดลูกเสือไทยขึ้นเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2454 ด้วยมีพระราชปรารภว่า เมื่อฝึกผู้ใหญ่เป็นเสือป่า เพื่อเตรียมพร้อมในการช่วยเหลือชาติบ้านเมืองแล้ว เห็นควรที่จะมีการฝึกเด็กชายปฐมวัยให้มีความรู้ทางเสือป่าด้วย เมื่อเติบโตขึ้นจะได้รู้จักหน้าที่และประพฤติตนให้เป็นประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง

จากนั้น ทรงตั้งกองลูกเสือกองแรก ขึ้นที่โรงเรียนมหาดเล็กหลวง (วชิราวุธวิทยาลัย ในปัจจุบัน) และจัดตั้งกองลูกเสือ ตามโรงเรียนต่าง ๆ รวมถึงกำหนดข้อบังคับลักษณะปกครองลูกเสือขึ้นประกาศใช้เมื่อวันเสาร์ที่ 1 กรกฎาคม รศ.130 (พ.ศ. 2454) กำหนดให้ลูกเสือเป็นสาขาหนึ่งของเสือป่า ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานคำขวัญไว้ว่า “เสียชีพอย่าเสียสัตย์” โดยผู้ที่นับว่าเป็นลูกเสือไทยคนแรกคือ นายชัพน์ บุนนาค ซึ่งต่อมาได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น “นายลิขิตสารสนอง”

เพื่อเป็นการระลึกถึงพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงก่อตั้งกิจการลูกเสือไทยให้พัฒนารุ่งเรือง มาจวบจนทุกวันนี้ ทางราชการจึงกำหนดให้ทุกวันที่ 1 กรกฎาคม ของทุกปี เป็น "วันคล้ายวันสถาปนาคณะลูกเสือแห่งชาติ" หรือ "วันลูกเสือ"

 

ที่มา : https://hilight.kapook.com/view/38711

https://th.wikipedia.org/wiki/คณะลูกเสือแห่งชาติ


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

วันนี้เมื่อ 27 ปีก่อน ในหลวงรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดอนุสรณ์สถานแห่งชาติ

วันนี้เมื่อ 27 ปีก่อน ซึ่งตรงกับวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2537 พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดอนุสรณ์สถานแห่งชาติ

โดยอนุสรณ์สถานแห่งชาติ เกิดขึ้นจากดำริของ พลเอกสายหยุด เกิดผล อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด ว่าที่ผ่านมารัฐบาลได้จัดสร้างอนุสาวรีย์เพื่อบรรจุอัฐิของผู้เสียชีวิตในสงครามต่าง ๆ เช่น อนุสาวรีย์ทหารอาสา เป็นที่ระลึกสำหรับผู้เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ 1, อนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ สำหรับเหตุการณ์ปราบกบฏบวรเดช, อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ สำหรับกรณีพิพาทไทย-ฝรั่งเศส และสงครามโลกครั้งที่ 2 

แต่ยังมีการสู้รบเกิดขึ้นอีกหลายครั้ง เช่น สงครามเกาหลี สงครามเวียดนาม การปราบปรามผู้ก่อการร้าย มีผู้เสียชีวิตทั้งทหาร ตำรวจ และพลเรือน ซึ่งได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนินไปพระราชทานเพลิงศพเป็นประจำทุกปี แต่อัฐิของผู้พลีชีพเพื่อชาติเหล่านี้ยังคงเก็บรวบรวมไว้ และยังมิได้จัดสร้างถาวรวัตถุขึ้นเป็นอนุสรณ์อย่างสมเกียรติ

กระทรวงกลาโหมจึงได้จัดทำโครงการก่อสร้างอาคารอนุสรณ์วีรชนแห่งชาติเป็นส่วนรวม โดยพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรและสมเด็จ เสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2526 เมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จ พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิด เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2537 และพระราชทานนามสถานที่นี้ว่า “อนุสรณ์สถานแห่งชาติ”

โดยอนุสรณ์สถานแห่งชาติประกอบด้วยส่วนสำคัญ 5 ส่วน ประกอบไปด้วยหมู่อาคารต่าง ๆ อาทิ ลานประกอบพิธี อาคารประกอบพิธี อาคารประวัติศาสตร์และพิพิธภัณฑ์ทหาร อาคารภาพปริทัศน์ พิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง นิทรรศการภายในเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์และวีรกรรมสำคัญในการสู้รบต่าง ๆ ของไทย วิวัฒนาการเครื่องแบบทหารต่าง ๆ ของไทย เป็นต้น ส่วนผนังกำแพงโดยรอบอาคารประกอบพิธี จารึกนามผู้กล้าหาญที่เสียชีวิตในการสู้รบเพื่อปกป้องประเทศชาติในการสู้รบในสมรภูมิรบต่าง ๆ ส่วนภายในอาคารปริทัศน์แสดงภาพวาดสีน้ำมันเขียนด้วยสีอคริลิค เป็นภาพจิตรกรรมไทยร่วมสมัย ร้อยเรียงประวัติศาสตร์ชาติไทยผ่านเหตุการณ์การสู้รบต่าง ๆ โดยมีอาจารย์ปรีชา เถาทอง เป็นหัวหน้าคณะออกแบบ

 

ที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki/อนุสรณ์สถานแห่งชาติ


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

วันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2440 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสรัสเซียและได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-รัสเซียอย่างเป็นทางการ

ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศรัสเซียและประเทศไทยเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการในวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2440 (ค.ศ. 1897) เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสรัสเซีย ในระหว่างการเสด็จประพาสยุโรปครั้งแรกของพระองค์

โดยในการประพาสรัสเซียครั้งนั้น รัฐบาลสยามได้แต่งตั้งราชทูตประจำกรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กคนแรก คือ พระยาสุริยานุวัตร (เล็ก บุนนาค) ซึ่งเป็นอัครราชทูตผู้มีอำนาจเต็มประจำกรุงปารีสให้มาเป็นอัครราชทูตผู้มีอำนาจเต็มประจำประเทศรัสเซีย โดยมีถิ่นที่พำนักในกรุงปารีส เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน ค.ศ.1897 จนถึงปี ค.ศ. 1899 รัฐบาลสยามจึงได้ส่งพระชลบุรีนุรักษ์มาเป็นราชทูตคนที่สองประจำประเทศรัสเซีย ตั้งแต่วันที่ 12 พฤศจิกายน ค.ศ. 1989 และเป็นราชทูตคนแรกของไทยที่มีถิ่นที่พำนักในประเทศรัสเซีย และให้มีฐานะเป็นผู้แทนส่วนพระองค์ประจำราชสำนัก 

ซึ่งเป็นกุศโลบายของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ต้องการให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองรัฐเป็นความสัมพันธ์พิเศษระหว่างราชวงศ์ และขณะเดียวกันก็เป็นพระราชประสงค์ของพระองค์ที่ต้องการให้พระยามหิบาลบริรักษ์ทำหน้าที่ดูแลสมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ ภูวนาถในขณะที่ทรงศึกษาอยู่ที่โรงเรียนนายร้อยทหารมหาดเล็กคอร์ เดอ ปาฌ และทรงประทับอยู่ในพระราชวังฤดูหนาวในฐานะพระโอรสบุญธรรมของพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 เป็นประการสำคัญ 

จนถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า 124 ปีแล้ว ที่ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและรัสเซียดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง แม้จะปรากฏเหตุการณ์ต่าง ๆ ของโลกหลายเหตุการณ์ที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศผันแปรไปในทิศทางต่าง ๆ หากแต่ว่าการเสด็จเยือนรัสเซียของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนี้ นับได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญอย่างยิ่งของประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ทางการทูตไทยและรัสเซีย


ที่มา : https://moscow.thaiembassy.org/th/page/76223

วันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2387 หนังสือพิมพ์ฉบับแรกของไทย หนังสือจดหมายเหตุ บางกอกรีคอร์เดอร์ ฉบับปฐมฤกษ์เริ่มออกวางแผง

เมื่อ 177 ปีก่อน หนังสือจดหมายเหตุ บางกอกรีคอร์เดอร์ หรือ The Bangkok Recorder เป็นหนังสือพิมพ์ฉบับแรกของไทย เผยแพร่ครั้งแรกตรงกับวันชาติสหรัฐอเมริกาคือวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2387 โดยนายแพทย์แดน บีช บรัดเลย์ (Dr. Dan Beach Bradley) หรือ “หมอบรัดเลย์” มิชชันนารีอเมริกันในสยามเป็นผู้จัดพิมพ์

โดยหนังสือพิมพ์ บางกอกรีคอร์เดอร์ ตีพิมพ์ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2387-2388 ซึ่งตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 โดยได้ออกเป็นฉบับรายเดือนและได้กลับมาฟื้นฟูในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 อีกครั้งในระหว่างปี พ.ศ. 2407-2411 โดยเปลี่ยนจากหนังสือพิมพ์รายเดือนเป็นรายปักษ์หรือรายครึ่งเดือน

โดยรูปแบบหนังสือพิมพ์มีจัดพิมพ์ทั้งภาษาไทยและอังกฤษ ออกปักษ์ละ 2 ใบ มี 4 หน้า โดยฉบับภาษาไทยขนาด 6"x9" ฉบับภาษาอังกฤษจะมีขนาดใหญ่กว่าคือขนาด 12"x18" รูปแบบการจัดหน้าแบ่งออกเป็น 2 คอลัมน์ มีภาพประกอบคือภาพวาดขายปลีกใบละสลึงเฟื้อง ถ้าซื้อแบบพิมพ์เป็นเล่มรวมเมื่อปลายปีขายเล่มละ 5 บาท เล่มหนึ่งมี 26 ใบ

เนื้อหาในหนังสือพิมพ์มีลักษณะเป็นตำรา ข่าวทั้งต่างประเทศและในประเทศ ในแต่ละฉบับมีข้อมูลสิ่งประดิษฐ์ เทคโนโลยีวิทยาศาสตร์ การแพทย์และการสาธารณสุข คำศัพท์สำนวนภาษาอังกฤษ พงศาวดารต่างชาติ ราคาสินค้า และเรื่องที่น่าสนใจอื่น ๆและมีการนำเสนอ เป็นการรายงานข่าวและการเขียนบทความแบบวิพากษ์ วิจารณ์ ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ จุดประสงค์ของหนังสือพิมพ์เล่มแรกฉบับนี้ หมอบรัดเลย์พยายามเน้นให้คนเห็นว่า "หนังสือพิมพ์คืออะไร มีความสำคัญอย่างไร พยายามชี้ให้เห็นว่าหนังสือพิมพ์นั้นมีคุณต่อบ้านเมืองเป็นอันมาก เป็นแสงสว่างของบ้านเมือง คนชั่วเท่านั้นที่กลัวหนังสือพิมพ์ เพราะกลัวว่าหนังสือพิมพ์จะประจานความชั่วของตน”

หนังสือจดหมายเหตุ บางกอกรีคอร์เดอร์ ถือเป็นปฐมบทการพิมพ์และการสื่อสารมวลชนในประเทศไทย เป็นการริเริ่มหนังสือพิมพ์แบบตะวันตกในประเทศไทย ทำให้มีการสื่อสารสองทางระหว่างผู้สื่อสารกับผู้รับสาร เช่น จดหมายร้องทุกข์ และเนื่องจากการตอบโต้ของรัชกาลที่ 4 ต่อเนื้อหาที่ให้ข่าวที่ผิด และการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของราชสำนักอย่างผิดพลาดคลาดเคลื่อน ทำให้เกิดหนังสือเผยแพร่ข่าวสารของราชการ คือ ราชกิจจานุเบกษา อีกด้วย

 

ที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki/ บางกอกรีกอเดอ


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

‘บิ๊กตู่’ ปลื้ม วัคซีนโควิด-19 ไทย รุดหน้า คาดช่วยส่งออก สร้างรายได้ให้ประเทศ

เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้ติดตามและแสดงความชื่นชมความก้าวหน้าผลงานวิจัยวัคซีนโควิด-19 โดยทีมแพทย์และนักวิจัยไทย เป็นอีกความหวังของประเทศในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคฯ ซึ่งนายกฯ ให้ความสำคัญในการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาวัคซีนภายในประเทศ 2 แนวทางสำคัญ คือ

1.) ให้การสนับสนุนสถาบันวัคซีนแห่งชาติ คณะแพทย์ในมหาวิทยาลัย และองค์กรชั้นนำ ในการวิจัยและพัฒนาวัคซีนในรูปแบบต่าง ๆ

และ 2.) รับการถ่ายทอดกระบวนการผลิตวัคซีนจากต่างประเทศโดยบริษัท Siam Bioscience Co,.Ltd. ของไทย สำหรับวางรากฐานในไทยเพื่อพึ่งพาตนเองด้านวัคซีน ลดงบประมาณการจัดซื้อและสามารถส่งออกเชิงพาณิชย์ได้ในอนาคตอีกด้วย

น.ส.รัชดา กล่าวว่า สำหรับความคืบหน้าการวิจัยพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ในไทย ประกอบด้วย

1.) โครงการศึกษาวิจัยระยะที่ 1/2 เพื่อประเมินความปลอดภัย และความสามารถในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันของวัคซีน NDV-HXP-S ในประเทศโดยองค์การเภสัชกรรม (อภ.) ร่วมกับศูนย์วัคซีน คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล เริ่มฉีดอาสาสมัครเมื่อวันที่ 22 มีนาคม ซึ่งวัคซีน NDV-HXP-S มีจุดเด่น คือ โรงงานของ อภ. มีความพร้อมในการผลิตระดับอุตสาหกรรม โดยใช้เทคโนโลยีเดียวกับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ และได้รับความร่วมมือระดับนานาชาติจากองค์กร PATH ในการสนับสนุนกล้าเชื้อไวรัส คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงการร่วมกันวิจัยจากผู้ผลิตจากประเทศเวียดนามและบราซิล

2.) โครงการพัฒนา mRNA วัคซีนเพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนา SARS-CoV-2 โดยศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นวัคซีนชนิด mRNA ที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตเช่นเดียวกับวัคซีนจาก Pfizer-BioNTech และวัคซีนจาก Moderna ผลศึกษาการทดลองใน “หนู และ ลิง” พบว่า กระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ในระดับสูง ช่วยยับยั้งการติดเชื้อในสัตว์ทดลองได้ โดยเริ่มการศึกษาในมนุษย์ เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน ทดสอบในระยะที่ 1 ใช้อาสาสมัครจำนวน 72 คน ซึ่งวัคซีน ChulaCov19 มีจุดเด่น คือ สามารถอยู่ในอุณหภูมิตู้เย็น (2-8 องศาเซลเซียส) ได้นาน 3 เดือน และเก็บในอุณหภูมิห้อง (25 องศาเซลเซียส) ได้นาน 2 สัปดาห์

จากการทดลองในหนูทดลองชนิดพิเศษที่ออกแบบให้สามารถเกิดโรคโควิด-19 ได้ พบว่า เมื่อหนูได้รับวัคซีน ChulaCov19 ครบ 2 เข็ม ห่างกัน 3 สัปดาห์ แล้วให้หนูทดลองได้รับเชื้อโควิด-19 เข้าทางจมูก สามารถป้องกันหนูทดลองไม่ให้ป่วยและยับยั้งไม่ให้เชื้อไวรัสเข้าสู่กระแสเลือด รวมทั้งสามารถลดจำนวนเชื้อในจมูกและในปอดลงไปอย่างน้อย 10,000,000 เท่า มีความปลอดภัยในสัตว์ทดลอง วัคซีนชนิด mRNA ยังสามารถปรับแต่งวัคซีนต้นแบบตามพันธุกรรมของเชื้อกลายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว

3.) โครงการพัฒนาและผลิตวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ชนิด DNA (วัคซีนโควิเจน) โดยบริษัท ไบโอเนท-เอเชีย จำกัด ผลการทดสอบในหนูทดลอง พบว่า วัคซีนมีความปลอดภัย และสร้างภูมิคุ้มกันได้ดีมาก ขณะนี้อยู่ระหว่างการยื่นขออนุมัติกับทาง อย. เพื่อทดสอบในมนุษย์ในระยะที่ 1 และคาดว่าจะวิจัยในคนระยะที่ 2 และ 3 ในปีนี้ (ข้อมูลเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2564) โดยมีแผนการทดสอบในมนุษย์ในระยะที่ 1 ในประเทศออสเตรเลียรวมด้วย

นอกจากนี้ ยังมีการวิจัยของบริษัทใบยา ไฟโตฟาร์ม จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ทอัพของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จากศูนย์กลางนวัตกรรมแห่งจุฬาลงกรณ์ฯ CU Innovation Hub ที่ใช้ใบยาสูบเป็นพืชในกระบวนการสร้างวัคซีน หลังจากที่มีการผลิตวัคซีนล็อตแรกเสร็จ จะนำไปสู่ขั้นตอนการทดสอบวัคซีนในมนุษย์ คาดจะอยู่ในช่วงประมาณเดือนสิงหาคม-กันยายนนี้

น.ส.รัชดา กล่าวว่า บริษัท AstraZeneca ประเทศไทย แจ้งแผนการส่งมอบวัคซีนให้กระทรวงสาธารณสุข ครบ 6 ล้านโดสในสัปดาห์นี้ ตามแผนทั้งหมด 61 ล้านโดส และในช่วงต้นของเดือนกรกฎาคม จะมีวัคซีนจากการสนับสนุนของรัฐบาลญี่ปุ่น อีกจำนวน 1.05 ล้านโดส ขณะเดียวกัน ระบบ "หมอพร้อม" ได้เลื่อนการฉีดวัคซีนให้เร็วขึ้นแก่ผู้ลงทะเบียนกลุ่มผู้สูงอายุ และกลุ่ม 7 โรคเสี่ยง ในพื้นที่กทม. จากเดือน สิงหาคม เป็น กรกฎาคม

ส่วนกรมการแพทย์ ได้เปิดให้ผู้สูงอายุตั้งแต่ 75 ปีขึ้นไป สามารถรับการฉีดวัคซีนที่ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ แบบระบบ On-site เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้สูงอายุที่ไม่สามารถลงทะเบียนออนไลน์ได้ โดยจะเริ่ม 30 มิถุนายน-18 กรกฎาคม

ทั้งนี้ รัฐบาลได้เร่งเดินหน้า ตามแผนการฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมประชากรร้อยละ 70 เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ประเทศเร็วที่สุด


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

'อดีตบิ๊กข่าวกรอง' การันตีความดี ‘หมอยง’ ย้ำชัด เป็นทรัพยากรสำคัญของชาติ

นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Nantiwat Samart ระบุว่า ตามที่มีบุคคลเรียกร้องผ่านสื่อมวลชนให้ทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยปลดนายแพทย์ยง ภู่วรวรรณ ออกจากตำแหน่งหัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะด้านไวรัสวิทยา คลีนิคภาควิชากุมารเวชศาสตร์ ด้วยการกล่าวอ้างว่า นายแพทย์ยง ในฐานะที่ปรึกษาสถานการณ์ระบาดโควิด-19 ให้กับรัฐบาล ขาดจรรยาบรรณรับใช้การเมือง นั้น

ผมไม่รู้คุณคือใคร กล้าที่จะเรียกร้องให้ปลดคนที่ทำงานเสียสละเพื่อส่วนรวม แต่ไม่กล้าเปิดเผยชื่อ การเรียกร้องผ่านสื่อเช่นนี้ ต้องมีตัวตน อย่าทำตัวลึกลับ หลบอยู่ในเงามืด

สถานการณ์การระบาดของโรคไวรัสโควิด เป็นสถานการณ์รุนแรงและอันตราย ต้องการบุคคลที่มีความรู้จริง ไม่ใช่การลองผิดลองถูก ต้องไม่เอาชีวิตเพื่อนมนุษย์มาทดลองวิชา

ได้ทราบว่า มีนิสิตเก่าคณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาฯ กำลังร่วมลงชื่อเพื่อสนับสนุนและให้การรับรองความดีของนายแพทย์ยง ภู่วรวรรณ

ผมในฐานะนิสิตเก่าจุฬาคนหนึ่ง แม้จะไม่ได้เรียนคณะเดียวกับท่าน แต่เป็นเพื่อนร่วมรุ่นนิสิตปี 2512 ขอให้กำลังใจนายแพทย์ยง ขอให้ท่านยืนหยัด อดทน และทำงานเพื่อประเทศชาติ และเพื่อสุขภาพของคนไทยต่อไป

#save หมอยง

 

https://www.facebook.com/nantiwat.samart/posts/1656464041206238


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

รศ.ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น อดีตผู้อำนวยการศูนย์วิจัยยุทธศาสตร์ไทย-จีน แห่ง วช. ให้มุมมองเกี่ยวกับ BRI

เมื่อสถานการณ์ภาพรวมโควิด-19 ทั่วโลกเริ่มทรง ๆ ผู้คนเริ่มชินชากับตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวัน ประเด็นโรคระบาดครั้งใหญ่ แผ่วเบาลงบ้างจากความสนใจของประชาคมโลก

เวลานี้จึงมีเรื่องราวของ อภิมหายุทธศาสตร์ Belt and Road initiative (ข้อริเริ่มแถบและเส้นทาง) หรือ BRI หวนกลับมาเป็นหัวข้อสำคัญอีกครั้ง

ล่าสุด กลายเป็นหนึ่งในวาระการประชุมสุดยอดผู้นำ G7 ประกอบด้วย สหราชอาณาจักร, แคนาดา, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, อิตาลี, ญี่ปุ่น และ สหรัฐอเมริกา ซึ่งมีขึ้นที่รีสอร์ทริมทะเลคาร์บิสเบย์ มณฑลคอร์นวอลล์ ของสหราชอาณาจักร เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

‘ไบเดน ยุ G7 รวมพลังต้านอิทธิพลจีน เปิดแผนสู้โครงการเส้นทางสายไหม’ กลายเป็นพาดหัวข่าวใหญ่ของ เว็บไซต์ ผู้จัดการออนไลน์ เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2564

คล้อยหลังไม่ทันข้ามวัน เพจ TNN World รายงานข่าวในประเด็นเดียวกัน โดยอ้างถึงบทวิเคราะห์ของ สำนักข่าว Reuters ที่ระบุ ผู้นำ G7 กำลังหาหนทางร่วมกันในการรับมือกับ สี จิ้นผิง ผู้นำสูงสุดของจีน ที่แสดงท่าทีแข็งกร้าวมากยิ่งขึ้น หลังแผ่ขยายอำนาจทางเศรษฐกิจและทางทหารขนานใหญ่ ตลอด 40 ปีที่ผ่านมา

บทวิเคราะห์ จากรอยเตอร์ ยังเชื่ออีกว่า ผู้นำกลุ่ม G7 กำลังเตรียมเสนอโครงการโครงสร้างพื้นฐานให้แก่ประเทศกำลังพัฒนา เพื่อแข่งกับโครงการเส้นทางสายไหม ในศตวรรษที่ 21 หรือ Belt and Road initiative (BRI) มูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ของผู้นำจีน

ในโอกาสที่ BRI ถูกจับตาอีกครั้งและพรรคคอมมิวนิสต์จีน เฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปี ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2021 นี้ เพจเฟซบุ๊ก Platform Economy and Transition in the New Era under the BRI ASEAN ได้นำเสนอบทสัมภาษณ์แบบ Exclusive จาก รศ.ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อดีตผู้อำนวยการศูนย์วิจัยยุทธศาสตร์ไทย-จีน แห่ง วช. ซึ่งเกาะติดจับตาการเปลี่ยนแปลงของจีนมาอย่างต่อเนื่อง ยาวนานเกือบ 30 ปี มีบทความวิเคราะห์ผ่านสื่อต่าง ๆ มีผลงานหนังสือ 9 เล่ม และงานวิจัยเกี่ยวกับจีน อีก 20 กว่าเรื่อง อีกทั้งยังเน้นลงพื้นที่เก็บข้อมูลในจีน เพราะอยากไปเห็นด้วยตาตัวเอง ไม่ใช่แค่มองจีนผ่านสื่อตะวันตก จึงตั้งใจเดินทางไปให้ครบทุกมณฑลของจีนว่า...

วันที่ ‘สื่อไทย’ ต้องรู้เท่าทันแผนการใหญ่ BRI หรือ Belt and Road initiative (เส้นทางสายไหมใหม่) ของจีน!!

แน่นอนว่าหลายคนอาจจะวัดจากปริมาณงานที่ทำเกี่ยวกับจีนของ รศ.ดร.อักษรศรี และมีเข้าใจผิดไปบ้างว่าเธอเป็นนักวิชาการ ‘โปร จีน’ ซึ่งเธอออกตัวก่อนว่า ไม่ใช่เลย เพียงแต่เธอมอง จีน ในมุมของความซับซ้อนซ่อนเงื่อน และเปลี่ยนแปลงเร็วมาก จึงต้องศึกษาให้รู้เท่าทัน และเกาะติดจับตาอย่างต่อเนื่อง

รศ.ดร.อักษรศรี >> “จับเรื่องจีนอย่างจริงจังมาตั้งแต่ปี 2535 ที่เริ่มเรียนปริญญาโท เพราะมี Passion ที่เริ่มจากความสงสัยในระบบแบบจีน ต้องการไขปริศนาระบบแบบจีนที่ไม่เหมือนใคร จากที่เคยเรียนรู้มาแบบเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก จึงเกิดความสงสัยว่า การที่จีนปกครองแบบคอมมิวนิสต์ แต่จะใช้เศรษฐกิจแบบทุนนิยมกลไกตลาด แล้วมันจะไปด้วยกันได้เหรอ มันจะทำได้นานแค่ไน มันจะพังลงสักวันหนึ่งมั้ย หรือจะล่มสลายเหมือนสหภาพโซเวียตมั้ย” รศ.ดร.อักษรศรี ยิ้มเมื่อเล่าถึงจุดเริ่มต้นที่สนใจไขปริศนาระบบแบบจีน ก่อนบอกจริงจังว่า…

รศ.ดร.อักษรศรี >> “ช่วงแรก ๆ บอกเลยว่า ออกแนวจับผิดว่า ระบบแบบจีนจะไหวมั้ย มันจะล่มสลายเมื่อไร ตอนนั้นมองอย่างนั้น เพราะเพิ่งเรียนจบปริญญาตรีแนวเศรษฐศาสตร์กระแสหลักมาไง เลยเอากรอบแบบตะวันตกไปมองจีน แต่เมื่อเวลาผ่านไป จีนเติบโตอย่างที่ยากจะหยุดยั้ง ด้วยระบบทุนนิยมโดยรัฐของจีนที่ไม่ได้เดินตามตำราฝรั่ง จึงสนใจศึกษาเรื่องจีนที่แปลกไม่เหมือนใครอย่างต่อเนื่อง ด้วยความสนุกกับการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกผันของจีน และมามองจีนตามข้อเท็จจริงที่ได้ไปเห็นหรือสัมผัสมาด้วยตัวเอง”

ทั้งนี้หากมองในประเด็นเกี่ยวกับ BRI นั้น เธอชี้ว่าไทยไม่ควรเคลิ้มเกินไป และไม่เชียร์เกินงาม…

รศ.ดร.อักษรศรี >> “เมื่อโลกหมุนมาถึง พ.ศ. นี้ ปฏิเสธไม่ได้ หากเอ่ย ถึง จีน เมื่อไหร่ ย่อมจะมีความเชื่อมโยงกับ BRI ไม่ทางใดทางหนึ่ง เพราะยุทธศาสตร์ BRI เป็น Long Term Strategy ที่จีน “คิดใหญ่ มองไกล” ไม่ใช่ยุทธศาสตร์ที่ฉาบฉวยทำไปวัน ๆ และภายใต้ BRI จีน ไม่ใช่แค่ส่งออกแค่สินค้าจีน หรือจีนไม่ได้แค่ส่งออกแค่นักธุรกิจจีน แต่จีนใช้ BRI เพื่อส่งออกแพลตฟอร์มจีน และส่งออกเทคโนโลยีจีน นี่คือสิ่งที่อยากให้ความสำคัญว่าหลายอย่างที่จีนทำวันนี้ ล้วนเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ใหญ่ BRI

“ที่สำคัญ BRI ไม่ใช่แค่ FTA (Free Trade Area) แต่ BRI คือ Grand Strategy เป็นยุทธศาสตร์ระยะยาวที่ครอบคลุมหลายมิติ เป็นหนังเรื่องยาวที่ต้องเกาะติด เป็นคัมภีร์ที่ สี จิ้นผิง ใช้บุกโลก ฉะนั้น ทุกภาคส่วนต้องตื่นตัว รวมทั้งสื่อมวลชนด้วย”

รศ.ดร.อักษรศรี ยังบอกต่อ “จากประสบการณ์ที่จับเรื่องจีนมานาน สามารถสรุปได้ว่า Mindset ของสื่อไทย ทั้งสื่อกระแสหลัก และสื่อโซเซียลที่มีต่อจีนนั้น แบ่งเป็นสองกลุ่มสุดขั้ว คือ กลุ่มโปรจีน กับ กลุ่มไม่เอาจีน ซึ่งสื่อโซเชียลไทยที่โปรจีนก็จะชื่นชม สี จิ้นผิง ดุจดั่งผู้นำในฝันดีเลิศไปหมด ส่วนฝ่ายที่ไม่เอาจีน ก็แสดงความเห็นรุนแรง แบบสุดขั้ว จับผิดไปหมด และรู้สึกเสียดายมาก ที่สื่อไทยกระแสหลัก มักทำงานเรื่องจีน แค่ตามวาระงาน เช่น การทำข่าว BRI ก็นำเสนอเป็นข่าวรูทีน ตามวาระ Event การประชุมที่เกิดขึ้นเนือง ๆ ไม่ต่างกับข่าวต่างประเทศทั่ว ๆ ไป ไม่ค่อยมีการวิเคราะห์เจาะลึกอะไรมากมายนัก

“สื่อไทยส่วนใหญ่ ทำงานเหวี่ยงไปตามกระแส มากกว่านำกระแส ในขณะที่ตัวอาจารย์เองเริ่มเกาะติดเรื่อง One Belt One Road (ชื่อเรียกเดิม BRI) มาตั้งแต่ครั้งแรกที่สี จิ้นผิง ไปพูดคำนี้ที่เอเชียกลางเมื่อกันยายน 2013 และเขียนบทความเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่องหลาย 10 ชิ้น ตั้งแต่นั้นมา จนเขียนหนังสือวิเคราะห์ BRI โดยเฉพาะออกมาหนึ่งเล่ม ชื่อว่า ‘The Rise of China จีนคิดใหญ่มองไกล’ 

ในขณะที่ สื่อไทยเพิ่งจะมาสนใจ BRI ก็ตอนที่มีกระแสดราม่า ว่า ผู้นำไทยไม่ได้รับเชิญจากจีนให้เข้าร่วมประชุม BRI Summit ครั้งแรกที่ปักกิ่งในเดือนพฤษภาคมปี 2017 บางคนบอกว่า เพราะเป็นผู้นำทหารที่มาจากการปฏิวัติ พอมีดราม่าเรื่อง BRI ขึ้นมาเท่านั้นแหละ คนไทยรู้จักยุทธศาสตร์นี้ของจีนขึ้นมาเลย (ยิ้ม) แต่น่าเสียดายที่บางคนก็ยังรู้จักแบบคลาดเคลื่อน เช่น บอกว่า BRI ไม่พาดผ่านไทย ไม่รวมประเทศไทยด้วย (หัวเราะ) ทั้ง ๆ ที่นายกฯ จีน หลี่ เค่อเฉียง พูดชัดว่าโครงการรถไฟไทย-จีน คือ ส่วนหนึ่งของ BRI และหลี่ เค่อเฉียง มาประกาศ 1 ใน 6 ระเบียงเศรษฐกิจของ BRI ตอนบินกรุงเทพฯ (ธันวาคม 2014) คือ ระเบียงเศรษฐกิจจีน-คาบสมุทรอินโดจีน (China-Indochina Peninsula Economic Corridor) ที่เกี่ยวข้องกับไทยโดยตรง

สื่อไทยต้อง #แปลงจีนให้เป็นโอกาส!!

รศ.ดร.อักษรศรี >> “อีกหนึ่งข้อเท็จจริงที่ปรากฏ ตั้งแต่เกาะติดพัฒนาการของ BRI จีนได้พยายามใช้แผนการใหญ่ BRI ในการออกไปมีอิทธิพลระดับโลกแบบเนียน ๆ ไม่โฉ่งฉ่าง และใช้เป็น Soft Power เพื่อสร้างสัมพันธ์อันดีกับสื่อทั่วโลก รวมทั้งสื่อไทยผ่านการจัดสอนภาษาจีนให้ฟรี จัดทำกิจกรรมด้านวัฒนธรรมและศิลปะบันเทิง รวมทั้งจัดพาสื่อไทยจากค่ายต่าง ๆ ไปทัศนศึกษาในจีนและดูแลอย่างดี เป็นต้น”

นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ท่านนี้ ให้ความเห็นในประเด็นนี้ว่า การไปศึกษาดูงาน การไปเรียนรู้ด้านภาษาหรือวัฒนธรรมต่าง ๆ ที่จีนเสนอมาให้สื่อไทย ก็ไม่ได้เสียหายอะไร จึงคิดว่า ไม่ควรปฏิเสธ เพียงแต่ต้องใช้วิจารญาณในการที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อ ไม่ควรเคลิ้มตามโดยง่าย แต่ควรทำสิ่งที่ขอแนะนำว่า ต้อง ‘แปลงจีนให้เป็นโอกาส’ เพื่อไปรู้เท่าทันจีนด้วยตาเราเอง ไปอัปเดทข้อเท็จจริงด้วยตัวเอง โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีที่ล้ำหน้ามาก อัปเดทชีวิตความเป็นอยู่ของคนจีนในจีน แต่ต้องตระหนักด้วยว่า สิ่งที่ฝ่ายจีนจัดให้ไปดู ก็คงจะโรยผักชีรออยู่เช่นกัน จึงไม่ควรเคลิ้มจนเกินไป หรือเชียร์จนเกินงาม

“การไปเห็นด้วยตาตัวเองย่อมจะดีกว่า อย่ามองจีนโดยผ่านสายตาสื่อตะวันตกมากเกินไป เพราะต้องยอมรับ มีสื่อไทยจำนวนไม่น้อย ที่อ่านแค่แมกกาซีนฝรั่ง อ่านบทความฝรั่ง แล้วนำมาแปลเพื่อเผยแพร่ในช่องทางต่าง ๆ ของสื่อไทย มีคอลัมน์นิสต์ไทยบางคนไม่เคยบินไปจีนเลยด้วยซ้ำ หรือไปจีนนานมากแล้ว แต่ก็แปลบทความฝรั่งแล้วมาเขียนวิเคราะห์เรื่องจีน แล้วก็ใส่ซีอิ๊ว พริกไทย เข้าไปหน่อย เพื่อทำให้ดูเป็นเวอร์ชั่นไทย” 

รศ.ดร.อักษรศรี ให้ข้อสังเกตก่อนบอกต่ออีกว่า “ระบบจีนไม่เหมือนใคร ยิ่งจีน มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนแค่ไหน ยิ่งต้องรู้ให้จริง เรื่องจีน ทุกวันนี้มี Fake News เรื่องจีนเยอะมาก สื่อมวลชน ยิ่งต้องรู้ให้รอบด้าน ยิ่งต้องเกาะติดอัปเดท จึงขอแนะนำคาถาในการทำรายงานสื่อเกี่ยวกับจีน ด้วยหลัก 4 ร คือ รู้เขา รู้เรา รู้จริง และ รู้เท่าทัน”

แล้วสื่อไทยต้องทำอย่าง ถึงจะรู้จริง?

รศ.ดร.อักษรศรี >> “ต้องใฝ่รู้ เกาะติด ทำการบ้าน ฟังข้อมูลหลายฝ่าย ทั้งจากสื่อตะวันตก สื่อจีน นักวิชาการจากค่ายต่าง ๆ แล้วนำมาวิเคราะห์ มันไม่ยากนะ ถ้าอยากจะรู้จริงในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เพียงแต่มีใจทุ่มเทรึเปล่าแค่นั้นเอง”

ในฐานะนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ มองอย่างไร? หากสื่อมีข้ออ้างเรื่องข้อจำกัดในการนำเสนอข่าวเกี่ยวกับจีนให้รอบด้าน 

รศ.ดร.อักษรศรี มองว่า “ถ้าเป็นสื่อมืออาชีพ ไม่ควรมีข้ออ้าง ไม่ว่าจะอ้างเรื่องไม่มีงบในการบินไปลงพื้นที่เก็บข้อมูล ไม่มีงบค่าแปลหรือมีข้อจำกัดด้านภาษา ฯลฯ เพราะยุคนี้มีเทคโนโลยีช่วยได้ และมีข้อมูลเกี่ยวกับจีนหลายช่องทางมาก สื่อมืออาชีพ ต้องทำได้ สิ่งสำคัญอยู่ที่ตัวสื่อเอง มี Passion ที่สนใจใฝ่รู้เรื่องจีน อย่างจริงจังแค่ไหน

สุดท้าย ถ้าสื่อไม่มี Passion เรื่อง BRI แล้ว ‘ประเทศไทย’ จะไปต่อได้หรือไม่? 

รศ.ดร.อักษรศรี บอกตรง ๆ ว่า...

“ไปต่อได้แน่นอน เพราะคุณูปการ (Contribution) ของสื่อหรืออิทธิพลของสื่อที่มีต่อนโยบายต่างประเทศของไทยที่ผ่านมา ก็ไม่ได้มากมายอะไรขนาดนั้น (ยิ้ม) เพราะข้อเท็จจริง คือ การกำหนดนโยบายของไทยเป็นเรื่องของนักการเมืองหรือชนชั้นปกครองมากกว่า แต่ถ้าจะขออนุญาตแนะนำ คือ สื่อต้องมีจุดยืนที่แน่วแน่ มี Strong Position ของตัวเองในการนำเสนอข้อเท็จจริงและบทวิเคราะห์อย่างรอบด้าน ที่สำคัญ อย่าสร้างดราม่า หรือปั่นกระแส เพื่อแค่หวังยอดวิวหรือยอดแชร์ รวมทั้งอย่าตกเป็นเหยื่อหรือเครื่องมือของนักการเมือง จนทำให้งานที่สื่อออกมาจะแกว่งไปแกว่งมา ตามผลประโยชน์ของคนบางกลุ่ม”

 

ที่มา : https://www.facebook.com/1037140385/posts/10223542323199664/?d=n
https://www.facebook.com/101768495251562/posts/178195904275487/?d=n


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

กระทรวงสาธารณสุขอิสราเอลประกาศหาผู้ที่สนใจซื้อต่อวัคซีน Pfizer มากกว่า 8 แสนโดสที่ค้างอยู่ในสต็อค และกำลังจะหมดอายุภายในสิ้นเดือนกรกฎาคม 2021 นี้ หากไม่มีประเทศไหนสนใจก็จำเป็นต้องทำลายทิ้งทั้งหมด

วัคซีนตกค้างมูลค่ารวมหลายล้านเหรียญที่อิสราเอลถือครองอยู่และประกาศขายเป็นเพียงส่วนหนึ่ง เพราะจากข้อมูลที่เปิดเผยโดยสื่อมวลชนอิสราเอลพบว่า รัฐบาลมีวัคซีน Pfizer เหลือค้างที่กำลังจะหมดอายุถึง 1.4 ล้านโดส แต่ด้วยสถานการณ์การระบาดของ Covid-19 สายพันธุ์ Delta ที่กลับมาใหม่ในอิสราเอล จึงต้องเร่งฉีดวัคซีนประมาณ 6 แสนโดส ให้กับกลุ่มเยาวชนชาวอิสราเอลอายุระหว่าง 12-15 ปี ให้ทันภายในเดือนนี้

ส่วนที่เหลือมากกว่าครึ่งที่ฉีดไม่ทัน จำเป็นต้องทิ้งไป

ตอนนี้รัฐบาลอิสราเอลกำลังเร่งเจรจาหาประเทศที่สนใจมาซื้อวัคซีนต่อจากอิสราเอล หรือแม้แต่ขายโควตายอดจองวัคซีนล่วงหน้า ซึ่งมีรายงานว่ามีถึง 3 ประเทศที่เข้ามาติดต่อขอรับซื้อวัคซีนแล้ว

แต่ก่อนหน้านี้ อิสราเอลก็มีวัคซีนล็อตที่หมดอายุภายในเดือนมิถุนายนปีนี้ และได้ติดต่อส่งมอบให้กับรัฐบาลปาเลสไตน์ แต่ถูกปฏิเสธไปเมื่อช่วงกลางเดือนมิถุนายน ซึ่งกระชั้นชิดกับวันหมดอายุมากจึงต้องทิ้งไป

แต่วัคซีนล็อตที่กำลังจะหมดอายุในเดือนกรกฎาคมมีมากถึงกับต้องประกาศขาย และเร่งฉีดวัคซีนเข็มแรกให้กับวัยรุ่นอิสราเอลให้ทันภายในวันที่ 7 กรกฎาคมนี้ เพื่อจะได้มารับวัคซีนเข็ม 2 ได้ทันวันหมดอายุ เท่ากับว่าจำเป็นต้องเร่งฉีดให้ได้มากถึง 1.3 หมื่นคนต่อวันเป็นอย่างน้อย

จนถึงตอนนี้ มีประชาชนชาวอิสราเอลรับวัคซีนครบ 2 เข็มไปมากกว่า 5 ล้านคน คิดเป็น 57% ของประชากร มากเป็นอันดับ 1 ของโลก และอิสราเอลเป็นประเทศแรก ๆ ในโลกที่ได้รับวัคซีน Pfizer ในจำนวนที่ไม่มีการเปิดเผย

แต่ถึงแม้จะมีวัคซีนในสต็อคเป็นจำนวนมากแล้ว จนไม่สามารถฉีดทันวันหมดอายุ และต้องเหลือทิ้งเกือบล้านโดส แต่เมื่อช่วงเดือนเมษายนก็พบว่าอดีตนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ได้เซ็นสั่งวัคซีน Pfizer เข้ามาเพิ่มอีก 18 ล้านโดส เตรียมที่จะฉีดกระตุ้นเข็ม 3 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

อ้างอิง : https://www.timesofisrael.com/israel-may-have-to-throw-away-nearly-1-million-covid-vaccines/

https://www.fr24news.com/a/2021/06/israel-may-have-to-throw-away-nearly-a-million-covid-vaccines.html


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

จับตาดู ทีมสิงโตคำราม จะเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ในฐานะ ‘แชมป์’ ได้หรือไม่?

#เก็บตกยูโร2020 ⚽

เมื่อคืน สิงโตคำรามใส่อินทรีเหล็ก จนจำต้องถอยทัพกลับแคว้นบาวาเรียเป็นที่เรียบร้อย เรากำลังพูดถึง ขุนพลทีมชาติอังกฤษ ที่ทำผลงานเอาชนะทีมชาติเยอรมันไปด้วยสกอร์ 2-0 กรุยทางผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้าย ศึกฟุตบอลยูโร 2020 ได้เป็นผลสำเร็จ

ได้ยินเด็กแถวบ้านตะโกนว่า ‘อังกฤษมาละเว้ยยย!’ แหม่ สงสัยจะมาจริงอะไรจริง ยิ่งใครดูฟอร์มเมื่อคืนที่ชนกับเยอรมัน ต้องบอกว่า ขุนพลสิงโตหนุ่มชุดนี้ เล่นบอลมีระบบ ระเบียบ และมีความเขี้ยวมากขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะ

ต้องยกความดีให้กับหัวหน้าคุมสิงโต นามว่า แกเร็ธ เซาธ์เกต ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษชุดนี้ ที่เพิ่มเติมโหมดความแข็งแกร่ง โดยเฉพาะการบิ้วท์เกมจากแผงหลังและแผงกลางขึ้นไป ทำได้ดี และเล่นกันได้ง่าย จนทำให้บอลของอังกฤษดูเนียนขึ้น

ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ เซาธ์เกตเลือกใช้งานเซ็นเตอร์แบ็คอย่าง แฮร์รี่ แม็คไกวร์ และ จอห์น สโตนส์ ที่เด่นเรื่องการพาบอลจากหลังขึ้นไปหน้าได้ดีทั้งคู่ รวมไปถึงคู่แผงมิดฟิลด์ตรงกลางอย่าง เดแคลน ไรซ์ และ คาลวิน ฟิลลิปส์ ที่เล่นบอลง่าย ไม่เลือกเก็บบอลนาน ทำชิ่งเปิดบอลให้เกมไหลลื่นอยู่ตลอด

แม้ว่าจะยิงได้น้อยในรอบแรก ไม่ถูกใจกองเชียร์สักเท่าไร แต่สำหรับฟุตบอลทัวร์นาเม้นท์แบบนี้ ทีมที่ค่อย ๆ ทำผลงานได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ นี่แหละ จะเป็นทีมที่น่ากลัว และจะไปได้ไกลที่สุด เพราะนั่นเป็นสัญญาณว่า รูปแบบการเล่นของทีมกำลังค่อย ๆ ลงตัวมากขึ้นเป็นลำดับ

ซึ่งทีมอังกฤษ กำลังเดินเครื่องไปแบบนั้น เหมือนเป็นเครื่องยนต์ดีเซลที่ต้นไม่แรง แต่แซงปลายกันยาว ๆ เอาเป็นว่า หากผ่านรอบ 8 ทีม ที่จะพบกับยูเครนไปได้ ถึงตรงนั้น อังกฤษมีโอกาสสูงที่จะคว้า ‘แชมป์ฟุตบอลยูโร 2020’ เพราะทั้งฟอร์มการเล่น กำลังใจ และกระแสกองเชียร์ มาเต็มร้อยแน่นอน

อีกไม่นาน คงได้รู้กันว่า สิงโตชุดนี้ จะเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ในฐานะ ‘แชมป์’ ได้หรือไม่?


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

บก.ทบ. จัดตรวจเชิงรุกคัดกรองเชื้อกำลังพล WFH สร้างความปลอดภัยกำลังพลผู้ปฏิบัติงานทุกระดับ 

ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พ.อ.หญิงศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่ส จากนโยบายพิทักษ์พลที่สอดคล้องกับมาตรการป้องกัน COVID-19 ที่กองทัพบกดำเนินการอย่างเคร่งครัด เพื่อลดการติดเชื้อสู่หน่วยทหารและกำลังพล โดยเฉพาะมาตรการ WFH (Work From Home) ให้กำลังพลปฏิบัติงาน ที่ที่พัก และผลัดเปลี่ยนมาปฏิบัติงานในหน่วยทหารตามวงรอบเพื่อลดความแออัด เมื่อกลับมาปฏิบัติงานในที่ตั้งหน่วยจะมีการตรวจคัดกรองหรือการตรวจคัดกรองเชิงรุกให้กำลังพลตามแนวทางของ ศบค.19 ทบ. 

สำหรับในพื้นที่กองบัญชาการกองทัพบก กทม. พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) มีนโยบายให้ดำเนินการตรวจคัดกรองเชิงรุก โดยมอบให้สถาบันวิจัยวิทยาศาตร์การแพทย์ทหาร เข้าดำเนินการตรวจคัดกรองเชิงรุกหาเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ด้วยวิธี Rapid Test ให้กับกำลังพลทุกระดับที่หมุนเวียนเข้ามาปฏิบัติงาน 

โดยได้จัดตรวจคัดกรองเชิงรุกในผลัดแรกไปแล้วเมื่อ 21 มิ.ย. ที่ผ่านมา และล่าสุดในวันที่ 30 มิ.ย. 64 ได้จัดตรวจคัดกรองเชิงรุกในผลัดที่ 2 ซึ่งมีกำลังพลเข้ารับการตรวจ 1,360 นาย โดย ผู้บัญชาการทหารบกได้มาตรวจเยี่ยมและเข้ารับการตรวจหาเชื้อพร้อมกับข้าราชการที่ปฏิบัติงานในกองบัญชาการกองทัพบกด้วย สำหรับผลการตรวจหากพบกำลังพลมีการติดเชื้อจะมีการตรวจซ้ำและนำเข้าสู่กระบวนการควบคุมและรักษาตามลำดับต่อไป โดยระหว่างการตรวจคัดกรองได้มีการให้ความรู้เกี่ยวกับความสำคัญของการตรวจหาเชื้อ การฉีดวัคซีน COVID-19 เพื่อให้ตระหนักและสามารถปฏิบัติตนได้สอดคล้องกับพัฒนาการของการแพร่ระบาด 

“การตรวจคัดกรองเชิงรุกก่อนเข้าปฏิบัติงาน เป็นไปตามนโยบายของผู้บัญชาการทหารบก ในการดูแลกำลังพลไม่ให้มีการติดเชื้อ เป็นการสร้างความปลอดภัย ป้องกันการแพร่ระบาดของ COVID ในสถานที่ทำงาน และไม่เป็นภาระด้านการรักษาพยาบาลให้กับระบบสาธารณสุข ที่สำคัญทำให้กำลังพลมีความมั่นใจในการปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้การตรวจคัดกรองเชิงรุกในพื้นที่กองบัญชาการกองทัพบกจะมีการจัดตรวจตามวงรอบแบ่งผลัดปฏิบัติงานตามมาตรการ WFH อย่างต่อเนื่องทุก 7 วันทำการ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top