Monday, 30 June 2025
TheStatesTimes

"โรม" ยัน "พิธา" ประกาศตัดงบไม่ขัดรธน. ลั่น ไม่ให้ค่า "เรืองไกร" คนเปลี่ยนสี ชี้ ถ้ากมธ.ตัดงบไม่ได้ก็ไม่ต้องมีสภาฯ

นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองเลขาธิการพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์กรณีที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ โฆษกกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 ที่กล่าวว่า การประกาศตัดงบประมาณของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลอาจขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 ว่า ความจริงนายเรืองไกรก็ทำงานในกมธ. งบประมาณฯ ในสัดส่วนพรรคเพื่อไทยมานาน ซึ่งก็ทำร่วมกับพรรคก้าวไกลด้วย ที่ผ่านมาเราก็ทำอย่างเต็มที่ ปี 64 เราก็ตัดงบประมาณไปได้กว่าหมื่นล้านบาท ตนคิดว่านายเรืองไกรก็น่าจะรู้ว่าสิ่งที่เราทำไม่ได้ผิด การที่เราประกาศตัดงบประมาณเพื่อนำไปใช้อย่างอื่น ไม่ได้หมายความว่าเป็นการวิ่งเต้นโครงการ หรือเสนอโครงการอะไรเข้ามา แต่เป็นการเสนอตามกลไกรัฐธรรมนูญ เพียงแต่ว่าในการพิจารณางบประมาณจำเป็นต้องตัดงบในส่วนที่ไม่จำเป็นและเป็นภาระออกก่อน แล้วนำไปกองไว้รวมกัน จากนั้นหน่วยงานรัฐต่างๆ ก็ทำโครงการมาเสนอก็ได้ บางทีนายเรืองไกรควรจะมองคนรอบข้างของตัวเองมากกว่าว่าอาจจะมีแนวโน้มที่จะไปกระทำความผิดขัดต่อมาตรา 144 ซึ่งในหลายปีที่ผ่านมาจะพบว่ามีความพยายามวิ่งเต้นโครงการต่างๆ เพื่อนำเงินที่ตัดออกไป ไปใช้ในลักษณะเพื่อพวกพ้องตัวเอง 

เมื่อถามว่าหากพิจารณาตามตัวบท การประกาศตัดงบประมาณเช่นกรณีนายพิธา ถือว่าขัดต่อกฎหมายหรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า สิ่งที่นายพิธาประกาศจะทำไม่มีทางขัดกฎหมาย เพราะการตัดงบประมาณสามารถทำได้ เพราะเราเป็นฝ่ายนิติบัญญัติที่ทำหน้าตรวจคัดกรองโครงการของหน่วยงานรัฐ ทั้งนี้ ตามมาตรา 144 ระบุสิ่งที่ทำไม่ได้ เช่น การเสนอโครงการเอง ที่ผ่านมาพรรคก้าวไกลและอดีตพรรคอนาคตใหม่ก็ไม่เคยวิ่งเต้นโครงการ แต่เราเพียงให้ความเห็นว่าการของบทำโครงการบางโครงการไม่เหมาะสมในภาวะโควิด-19

เมื่อถามว่าการแสดงความเห็นของนายเรืองไกรจะทำให้เป็นอุปสรรคต่อการตัดลดงบประมาณในส่วนที่ไม่จำเป็นของสภาฯ หรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาเราก็ทำแบบนี้แล้วก็ไม่เคยผิดรัฐธรรมนูญ ถ้าเราผิด คงโดนร้องไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้นายเรืองไกรมาแนะนำ หากเราไม่สามารถตัดงบประมาณที่ไม่จำเป็นได้ก็ไม่ต้องมีสภาฯ เหมือนในยุคสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่ขอโครงการอะไรก็ได้หมด อำนาจของสภาฯ คือ สามารถตัดโครงการที่ไม่จำเป็นได้ ซึ่งเป็นการทำหน้าที่ร่วมกันไม่ใช่เฉพาะของส่วนพรรคก้าวไกลเท่านั้น ส่วนหน้าที่ของหน่วยรับงบประมาณทั้งกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ ก็มีหน้าที่ให้เหตุผลว่าโครงการที่เสนอมามีความจำเป็นหรือไม่ 

เมื่อถามว่ามองว่าเจตนาของนายเรืองไกรซึ่งปัจจุบันย้ายไปสังกัดของพรรคพลังประชารัฐแล้วนั้นคืออะไร นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ตนไม่อยากจะวิจารณ์อะไรเยอะหรือให้ค่านายเรืองไกร คิดว่านายเรืองไกรก็คงพยายามทำหน้าที่ ในฐานะที่มาจากโควตารัฐบาลที่จะเข้ามาปกป้องผลประโยชน์ของรัฐบาลให้มากที่สุด ส่วนสิ่งที่พรรคก้าวไกลทำคือการตัดในส่วนนี้ เพราะเป็นสิ่งที่รัฐบาลหวังว่าจะเป็นผลประโยชน์ที่ตัวเอง นายเรืองไกรก็มีสิทธิ์ที่จะแสดงความคิดเห็นเช่นนั้น แต่การแสดงความคิดเห็นของนายเรืองไกรไม่ได้หมายความว่านี่คือสิ่งที่ถูกต้องและไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่นายเรืองไกรพูดไปทั้งหมดเป็นผลประโยชน์ของประชาชน โดยปัจจุบันนายเรืองไกรได้เปลี่ยนสี ไปอยู่ฝ่ายรัฐบาล ตนก็ขอให้นายเรืองไกรโชคดี แต่เราก็ยืนยันว่าเราจะปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน

“บิ๊กแก้ว” ตรวจจุดบริการฉีดวัคซีน ”บก.ทท”

ที่กองบัญชาการกองทัพไทย (บก.ทท.) พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) ตรวจเยี่ยมการปฏิบัติของจุดบริการฉีดวัคซีน ณ อาคาร 15 บก.ทท. ทั้งนี้ จากที่รัฐบาลได้มีการกำหนดฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้กับผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปและกลุ่มผู้ป่วย 7 โรค โดยเริ่มการฉีดพร้อมกันทั่วประเทศ ในวันที่ 7 มิถุนายนนี้ 

บก.ทท.ได้จัดให้มีการฉีดวัคซีนให้กับกำลังพลกลุ่มเสี่ยงที่ปฏิบัติงานด่านหน้าในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 รวมทั้งเตรียมความพร้อมให้การสนับสนุนรัฐบาลในการฉีดวัคซีนให้กับกำลังพล ครอบครัว และประชาชนทั่วไป เพื่อสนับสนุนการกระจายวัคซีนและสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วประเทศ ตามนโยบายของรัฐบาลทั้งนี้ บก.ทท.มีความพร้อมทั้งในส่วนของสถานที่และบุคลากร สำหรับเป็นพื้นที่ให้บริการในการฉีดวัคซีนได้อย่างทั่วถึง และเกิดประสิทธิภาพสูงสุดต่อไป

ทอ.เปิดให้บริการฉีดวัคซีน ระยะที่ 2 เป็นวันแรกสำหรับประชาชนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และ กลุ่มที่มี 7 โรคประจำตัวเรื้อรัง

ที่กองทัพอากาศ โดย ศูนย์ปฏิบัติการพลเรือน-ทหาร ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพอากาศ และกรมแพทย์ทหารอากาศ เปิดให้บริการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในระยะที่ 2 เป็นวันแรกตามที่รัฐบาลประกาศให้มีการระดมฉีดวัคซีนให้กับประชาชนพร้อมกันทั่วประเทศ ในวันที่ 7 มิ.ย.2564 ซึ่งจะเป็นการเริ่มฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มประชาชนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และ กลุ่มที่มี 7 โรคประจำตัวเรื้อรัง ประกอบด้วย โรคทางเดินหายใจเรื้อรังรุนแรง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน และโรคอ้วน

โดยกองทัพอากาศ ได้จัดตั้งศูนย์บริการฉีดวัคซีน ให้บริการกลุ่มประชาชนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และ กลุ่มที่มี 7 โรคประจำตัวเรื้อรังดังกล่าว ที่ลงทะเบียนไว้แล้วจะเปิดให้บริการฉีดวัคซีนที่ ชั้น 1 อาคารชุมนุมสัญญาบัตร โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช กรมแพทย์ทหารอากาศ สามารถให้บริการได้วันละ 600 คน และ ห้องอาหาร ชั้น 2 อาคารสนับสนุน โรงพยาบาลทหารอากาศ (สีกัน) กรมแพทย์ทหารอากาศ สามารถให้บริการได้วันละ 200 คน

พร้อมกันนี้ จะดำเนินการฉีดวัคซีนให้แก่กำลังพลของกองทัพอากาศที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อสูง หรือผู้ที่ปฏิบัติภารกิจในการดูแลช่วยเหลือประชาชนที่ติดเชื้อ กลุ่มเสี่ยง และผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ศูนย์บริการฉีดวัคซีนกองทัพอากาศ ณ อาคารรณนภากาศ โรงเรียนนายเรืออากาศนวมินทกษัตริยาธิราช ซึ่งสามารถให้บริการได้วันละ 1,000 คน ระหว่างวันที่ 8-11 มิ.ย.

“บิ๊กบี้” สั่งรพ.สังกัดทบ.ทุกพื้นที่ร่วม “วาระแห่งชาติ ฉีดวัคซีนให้ปชช. ” สร้างภูมิคุ้มกันโควิด

ที่กองบัญชากการกองทัพบก (บก.ทบ.) พล.ท.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้ประกาศแผนการให้บริการวัคซีนโควิด-19 เป็นวาระแห่งชาติ และมีกำหนดการฉีดวัคซีนให้ประชาชนที่ลงทะเบียนในระบบ “หมอพร้อม” เริ่มในวันนี้ (7 มิถุนายน 64)  ในส่วนของกองทัพบก พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้มอบให้ ศบค. ทบ.และกรมแพทย์ทหารบก เตรียมการและประสานงานกับสาธารณสุขเพื่อร่วมดำเนินการฉีดวัคซีนดังกล่าวตามแผนการจัดสรรในแต่ละจังหวัดอย่างเต็มที่ เพื่อร่วมสร้างภูมิคุ้มกันให้ประชาชน ตามมาตรการป้องกันโรค และช่วยคลี่คลายสถานการณ์ โควิดของประเทศไทยให้กลับมาสู่ปกติได้ในที่สุด

โดยขณะนี้โรงพยาบาลกองทัพบกทุกแห่งทั่วประเทศ ได้ใช้กำลังพลสายแพทย์ 950 นาย สนับสนุนหน่วยงานสาธารณสุขและโรงพยาบาลประจำจังหวัด ร่วมในการฉีดวัคซีนให้ประชาชน นอกจากนี้ กองทัพบกยังได้สนับสนุนสถานที่ที่ใช้ในการฉีดวัคซีนจำนวน 38 แห่ง ทั้งที่เป็นโรงพยาบาลค่ายหรืออาคารของหน่วยทหารตามจังหวัดต่างๆ รวมทั้งการจัดกำลังพลจิตอาสาช่วยอำนวยความสะดวกให้ประชาชนที่มารับวัคซีนด้วย 

พล.ท.สันติพงษ์ กล่าวอีกว่า ขั้นต้นจะดำเนินการต่อเนื่องตลอดห้วงเดือนมิถุนายน และกรกฎาคม ซึ่งโรงพยาบาลในสังกัดกองทัพบก มีศักยภาพที่จะให้บริการฉีดวัคซีนให้ประชาชนได้วันละ 3,000 คน โดยขณะนี้มีผู้ที่ลงทะเบียนขอเข้ารับวัคซีนกับโรงพยาบาลกองทัพบก 79,172 คน สำหรับโรงพยาบาลค่าย/สถานที่ฉีดวัคซีนที่กองทัพบกรับผิดชอบในแต่ละแห่ง จะมียอดให้บริการฉีดวัคซีนในแต่ละวัน 80-1,500 คน ตามการลงทะเบียนในระบบหมอพร้อม ซึ่งผู้บัญชาการทหารบกกำชับให้โรงพยาบาลกองทัพบกได้บริหารจัดการการฉีดวัคซีนให้ประชาชนได้รับความสะดวกที่สุด มีความรวดเร็วในขั้นตอนต่างๆ ทั้งด้านการบันทึกข้อมูล ขั้นตอนการฉีด การสังเกตอาการ รวมทั้งการให้คำแนะนำในการปฏิบัติตนเพื่อป้องกันเชื้อโควิด

“ผู้บัญชาการทหารบก ได้ไปตรวจเยี่ยมการบริการวัคซีนให้กับประชาชน พร้อมให้กำลังใจกับเจ้าหน้าที่และประชาชนที่มารับการฉีดวัคซีน ที่รพ.พระมงกุฏเกล้า ซึ่งได้ใช้อาคารสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ชั้น G เป็นสถานที่ฉีดวัคซีนเป็นการเฉพาะแยกออกจากบริเวณการรักษาและบริการผู้ป่วยของโรงพยาบาลโดยมียอดประชาชนที่ลงทะเบียนในระบบเข้ารับการฉีดวัคซีนในวันนี้ 1,117 คน” โฆษกกองทัพบก กล่าว

การบินไทย ประกาศ 5 เที่ยวบินตรงรับภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์

นายนนท์ กลินทะ ประธานเจ้าหน้าที่สายการพาณิชย์ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในเดือน ก.ค.-ก.ย.64 บริษัทฯ ได้จัด 5 เที่ยวบินตรงสู่ภูเก็ตจาก 5 เมืองในยุโรป ได้แก่ โคเปนเฮเกน แฟรงก์เฟิร์ต ปารีส ลอนดอน และซูริก เพื่อให้เป็นไปตามแผนการกระตุ้นและขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ภายใต้โมเดล “ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์” (Phuket Sandbox) ที่เปิดประเทศเชิญชวนนักท่องเที่ยวที่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวที่จังหวัดภูเก็ตแบบไม่ต้องกักตัว 

สำหรับรายละเอียดของ 5 เที่ยวบิน ประกอบด้วย

1.) เที่ยวบินที่ทำการบินทุกวันศุกร์ เริ่มเที่ยวบินแรก ในวันที่ 2 ก.ค.64 ได้แก่ เที่ยวบินที่ ทีจี 953 เส้นทาง โคเปนเฮเกน-ภูเก็ต ออกเดินทางจากโคเปนเฮเกน เวลา 14.25 น. (เวลาท้องถิ่น) ถึงภูเก็ต เวลา 06.25 น. ในวันถัดไป, เที่ยวบินที่ ทีจี 923 เส้นทาง แฟรงก์เฟิร์ต-ภูเก็ต ออกเดินทางจากแฟรงก์เฟิร์ต เวลา 14.45 น. (เวลาท้องถิ่น) ถึงภูเก็ต เวลา 07.10 น. ในวันถัดไป และเที่ยวบินที่ ทีจี 933 เส้นทาง ปารีส-ภูเก็ต ออกเดินทางจากปารีส เวลา 15.50 น. (เวลาท้องถิ่น) ถึงภูเก็ต เวลา 08.00 น. ในวันถัดไป 

2.) เที่ยวบินที่ทำการบินทุกวันเสาร์ เริ่มเที่ยวบินแรก ในวันที่ 3 ก.ค.64 ได้แก่ เที่ยวบินที่ ทีจี 917 เส้นทาง ลอนดอน-ภูเก็ต ออกเดินทางจากลอนดอน เวลา 12.30 น. (เวลาท้องถิ่น) ถึงภูเก็ต เวลา 06.10 น. ในวันถัดไป และเที่ยวบินที่ ทีจี 973 เส้นทาง ซูริก-ภูเก็ต ออกเดินทางจากซูริก เวลา 15.20 น. (เวลาท้องถิ่น) ถึงภูเก็ต เวลา 07.45 น. ในวันถัดไป

ศรชล. ร่วมศูนย์ป้องกันและปราบปรามประมงทะเล จับ ‘ไอ้โง่’ ในทะเลผิดกฎหมาย

ศูนย์อำนวยการในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลจังหวัดชุมพร (ศรชล.จังหวัดชุมพร) บูรณาการร่วมกับ ศูนย์ป้องกันและปราบปรามประมงทะเล จังหวัดชุมพร ภายใต้การอำนวยการของ นายธีระ อนันตเสรีวิทยา ผวจ. / ผอ.ศรชล.จังหวัดชุมพร มอบหมายให้ น.อ.กิตติ พงษ์  พุ่มสร้าง รอง ผอ.ศรชล.จังหวัดชุมพร ร่วมกับ นาย พงศ์รันย์ รัตนพรหม ผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและปราบปรามประมงทะเลจังหวัดชุมพร จัดกิจกรรมควบคุมการทำประมงในช่วงประกาศปิดอ่าวไทยตอนกลาง (ประจวบ ฯ ชุมพร สุราษฎร์ธานี) โดยมี นายนุรัตน์ ขาวสะอาด เจ้าพนักงานเดินเรือปฏิบัติงาน เป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติงาน พร้อมเจ้าหน้าที่รวม 4 นาย นำเรือตรวจประมง 324  ออกตรวจพื้นที่ตามภารกิจที่ได้รับเรื่องร้องเรียนจากชาวบ้านที่มีอาชีพเลี้ยงหอย บริเวณชายทะเล อ่าวทุ่งมะขาม อ่าวทุ่งคา และอ่าวสวี ว่ามีการลักลอบนำเครื่องทำการประมงผิดกฎหมายมาใช้ในบริเวณดังกล่าว 

ในการนี้ ตรวจพบลอบพับ(ไอ้โง่) จำนวน 69 ลูก ไม่พบเจ้าของ โดยที่ลอบพับ ดังกล่าวเป็นเครื่องมือประมงผิดกฎหมาย ตาม พ.ร.ก.การประมง พ.ศ. 2558 และพ.ร.ก.การประมง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 เรื่องห้ามมิให้ผู้ใดใช้เครื่องมือลอบพับได้หรือไอ้โง่ ที่มีช่องทางเข้าของสัตว์น้ำสลับซ้ายขาวอยู่ทางด้านข้างใช้สำหรับดักสัตว์น้ำ มีความผิดตามมาตรา 67 มีโทษตามมาตรา 147 ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท หรือปรับจำนวนห้าเท่าของมูลค่าสัตว์น้ำที่ได้จาการทำการประมง แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า แต่ไม่พบผู้กระทำความผิด เจ้าหน้าที่จึงได้รื้อถอนและทำการยึดเครื่องมือประมงดังกล่าวนำของกลางส่งพนักงานสอบสวน สภ.ปากน้ำชุมพร อ.เมือง จังหวัดชุมพร ส่วนลอบพับ (ไอ้โง่ 69  ลูก) ทั้งหมดนำมาเก็บรวบรวมไว้ ณ ศูนย์ป้องกันและปราบปรามประมงทะเล จังหวัดชุมพร เพื่อทำการเผาทำลายต่อไป


ภาพ/ข่าว ปชส.ศรชล.ภาค 1 / นิราช / นันทพล ทิพย์ศรี

นราธิวาส - เลี้ยงจิ้งหรีด 1 เดียวในนราธิวาส สู้ชีวิตเพราะพิษโรค เป็นรายได้เสริมช่วงโควิดระบาด

สำหรับเรื่องราวดังกล่าวเราพาท่านไปยังบ้านเลขที่ 70/1 ม.3 ต.ปูโยะ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ซึ่งเป็นบ้านชั้นเดียวยกสูง ที่ปลูกอยู่ใจกลางของสวนยางพารา ซึ่งเราจะพบเห็นกรง 4 เหลี่ยม ที่สร้างด้วยโครงไม้และมีกระเบื้องแผ่นเรียบกรุโดยรอบทั้ง 4 ด้าน ขนาดความกว้าง 1.50 เมตร. ยาว 3 เมตร สูง 0.80 เมตร และมีผ้าพลาสติกสีฟ้าคลุมทับอีกชั้นหนึ่ง

และเราได้พบกับนายคุณากร อนุพันธ์ อายุ 41 ปี ซึ่งกำลังเดินแบกกระสอบอาหารไก่และเปลือกผลไม้เข้าบ้าน เมื่อสอบถามทราบว่าไปซื้ออาหารกระสอบ และนำเปลือกผลไม้มาให้จิ้งหรีดสายพันธุ์ทองดำที่เลี้ยงไว้ในกรงรับประทาน จึงถือโอกาสสอบถามเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับการเพาะเลี้ยงจิ้งหรีดสายพันธุ์ทองดำขาย ที่ถือว่าเป็นแห่งเดียวของ จ.นราธิวาส

โดยนายคุณากร ได้พาไปชมขั้นตอนต่าง ๆ ที่เพาะเลี้ยงจิ้งหรีดขาย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องแปลก แท้จริงแล้วจิ้งหรีดเป็นอาหารสุดโปรดของคนภาคอีสาน คนภาคใต้จะไม่คุ้นเคยรับประทานมากนัก โดยปัจจัยสำคัญที่หันมาเพาะเลี้ยงจิ้งหรีดขาย อันเนื่องมาจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา หรือ โควิด-19 ซึ่งตนประกอบอาชีพเร่ขายผลไม้กับรถจักรยานยนต์ 3 ล้อ และในช่วงโควิด-19 ระบาด ส่งผลทำให้รายได้ตกต่ำแถมเสี่ยงต่อการติดเชื้อ

จนกระทั่งรัฐบาลมีโครงการช่วยเหลือประชาชน เมื่อตนได้สิทธิ์คนละครึ่ง จึงได้นำเงินก้อนนั้นมาลงทุนซื้อพันธุ์จิ้งหรีดทองดำจาก จ.ศรีสะเกษ ที่เป็นภูมิลำเนาเกิดจากเพื่อนให้ส่งมา และตนเริ่มเพาะเลี้ยงเพราะคิดว่าอาชีพดังกล่าวนี้ไม่มีคนทำ ซึ่งมันท้าทายดีและมีโอกาสได้เปิดตลาดจิ้งหรีด แถมต้นทุนที่ใช้จ่ายก็ไม่มากนัก

ซึ่งการเพาะเลี้ยงจิ้งหรีดก็ไม่ได้ยากมากนัก เพียงแต่อาศัยการเอาใจใส่ เริ่มแรกต้องไปหาซื้อรังไข่ที่ท้องตลาด ซึ่งขายกิโลกรัมละ 5 บาท มาใส่ไว้ในกรงเรียง 1 แถวจนครบทั้ง 4 ด้าน จากนั้นนำพันธุ์จิ้งหรีดที่ใส่ถาดไว้เรียงบนรังไข่ทั้ง 4 ด้าน โดยให้อาหารกระสอบที่ใช้สำหรับเลี้ยงไก่ รวมทั้งใบหม่อนใบกล้วยที่ปลูกข้างบ้าน และเปลือกผลไม้ที่ตนขายผลไม้เป็นประจำอยู่แล้ว มาใส่ให้จิ้งหรีดกินช่วงเช้าและช่วงเย็น เลี้ยงผ่านไปประมาณ 35 ถึง 40 วัน ก็สามารถจับขายได้ โดยขายกิโลกรัมละ 200 บาท แถมส่วนที่เหลือก็จะแปรรูปนำไปทอดปรุงรส และนำมาแพ็คใส่ถุง ขายถุงละ 20 บาท ตระเวนขี่รถจักรยานยนต์ 3 ล้อ ขายคู่กับผลไม้ในพื้นที่ อ.สุไหงโก-ลก และสุไหงปาดี ที่ถือว่าเป็นรายได้เสริมในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา หรือ โควิด-19 เป็นอย่างดี

และจากการสอบถามผู้บริโภคครอบครัวหนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นขาประจำสำหรับจิ้งหรีดทอดปรุงรส รายหนึ่ง ที่เด็กน้อยวัยประมาณ 2 ขวบ กำลังรับประทานจิ้งหรีดอย่างเอร็ดอร่อย 3 คนแม่ลูก พบว่า เป็นที่ถูกปากของคนทั้งครอบครัวและหาซื้อมารับประทานยากมาก

ด้านนายคุณากร อนุพันธ์ ผู้เพาะเลี้ยงจิ้งหรีดพันธุ์ทองดำ กล่าวว่า หลังจากได้เกิดเชื้อไวรัสโควิด-19 ระบาด ตนได้เงินจากรัฐโครงการคนละครึ่ง ผมจึงได้เงินส่วนนั้นซื้อพันธุ์จิ้งหรีดจาก จ.ศรีสะเกษ มาเพาะเลี้ยงดูเพื่อว่าที่จะเป็นรายได้อีกทางหนึ่งเสริมขึ้นมา เมื่อทำขึ้นมาประสบความสำเร็จ จึงวางขายกฺดลกรัมละ 200 บาท อีกส่วนหนึ่งก็จะนำไปแปรรูปขายในพื้นที่ อ.สุไหงโก-ลก และสุไหงปาดี จ.นราธิวาส


ภาพ/ข่าว  แวดาโอ๊ะ หะไร จ.นราธิวาส

กรุงเทพฯ - พลเอก เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ตรวจเยี่ยมการปฏิบัติของจุดบริการฉีดวัคซีนกองบัญชาการกองทัพไทย

วันที่ 7 มิถุนายน 2564 เวลา 09.00 น. พลเอก เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ตรวจเยี่ยมการปฏิบัติของจุดบริการฉีดวัคซีนกองบัญชาการกองทัพไทย ณ อาคาร 15 กองบัญชาการกองทัพไทย ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ จากที่รัฐบาลได้มีการกำหนดฉีดวัคซีนป้องกัน covid -19 ให้กับผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปและกลุ่มผู้ป่วย 7 โรค โดยเริ่มการฉีดพร้อมกันทั่วประเทศ ในวันที่ 7 มิถุนายน 2564 

กองบัญชาการกองทัพไทย ได้จัดให้มีการฉีดวัคซีนให้กับกำลังพลกลุ่มเสี่ยงที่ปฏิบัติงานด่านหน้าในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) รวมทั้งเตรียมความพร้อมให้การสนับสนุนรัฐบาลในการฉีดวัคซีนให้กับกำลังพล ครอบครัว และประชาชนทั่วไป เพื่อสนับสนุนการกระจายวัคซีนและสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วประเทศ ตามนโยบายของรัฐบาล ทั้งนี้ กองบัญชาการกองทัพไทยมีความพร้อมทั้งในส่วนของสถานที่และบุคลากร สำหรับเป็นพื้นที่ให้บริการในการฉีดวัคซีนได้อย่างทั่วถึง และเกิดประสิทธิภาพสูงสุดต่อไป


ภาพ/ข่าว ทีมข่าว v.13 รายงาน

สมุทรปราการ - “พระครูแจ้” เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง จับมือ นายอำเภอบางพลี ลงพื้นที่มอบถุงยังชีพภายในชุมชนประสานสัมพันธิ์

ภายในชุมชนประสานสัมพันธิ์ ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ นายสมศักดิ์ แก้วเสนา นายอำเภอบางพลี  พร้อมด้วย ท่านพระครูปลัดสุวัฒนศีลคุณ (พระครูแจ้) เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง นำข้าราชการตำรวจ สภ.บางพลี  ลงพื้นที่เยี่ยมเยียนประชาชนภายในชุมชนประสานสัมพันธิ์ พร้อมทั้งนำถุงยังชีพและเงินสดไปมอบแก่ประชาชนที่พักอาศัยอยู่ภายในชุมชนแห่งนี้ เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนและช่วยเหลือประชาชนที่ขาดรายได้รวมถึงช่วยเหลือผู้ป่วยติดเตียง

ด้านท่านพระครูปลัดสุวัฒนศีลคุณ (พระครูแจ้) เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง กล่าวว่า ด้วยในวันนี้ทางวัดบางพลีใหญ่กลาง พร้อมด้วยนาย สมศักดิ์ แก้วเสนา นายอำเภอบางพลี มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่พักอาศัยอยู่ในบริเวณพื้นที่อำเภอบางพลีและบริเวณใกล้เคียง ทางวัดบางพลีใหญ่กลางจึงพร้อมด้วยท่านนายอำเภอบางพลี ลงพื้นที่เยี่ยมเยียนประชาชน โดยได้นำถุงยังชีพพร้อมเงินอีกจำนวนหนึ่งไปมอบให้กับประชาชน และครอบครัวผู้ยากจนภายในชุมชนประสานสัมพันธิ์แห่งนี้

ท่านพระครูปลัดสุวัฒนศีลคุณ เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง ยังกล่าวต่ออีกว่า ถุงยังชีพที่นำมามอบให้กับพี่น้องประชาชนนั้น ประกอบไปด้วย ข้าวสารอาหารแห้ง มาม่า ปลากระป๋อง นม และของใช้ที่จำเป็นเพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชน อีกทั้งยังได้มอบเงินแก่เด็กที่อยู่ในชุมชนแห่งนี้คนละ 100 บาท และมอบเงินให้ทุกครอบครัวอีกครอบครัวละ 500 บาท เพื่อไว้ใช้จ่ายหรือนำไปซื้อของใช้ที่จำเป็น

จากนั้นได้เดินเท้าเข้าไปภายในชุมชนประสานสัมพันธิ์ นำข้าราชการตำรวจนำถุงยังชีพอีกจำนวนหนึ่งไปมอบให้กับผู้ป่วยติดเตียงที่อยู่ภายในชุมชนแห่งนี้ พร้อมทั้งได้มอบเงินสดอีกจำนวนหนึ่งแก่ผู้ป่วยติดเตียง โดยการลงพื้นที่ครั้งนี้ทางวัดบางพลีใหญ่กลาง ตลอดจนท่านนายอำเภอบางพลี มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ที่ยังคงแพร่กระจายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทางวัดบางพลีใหญ่กลางก็ให้ความอนุเคราะห์เอื้อเฟื้อเผาศพผู้เสียชีวิตด้วยโรคโควิดให้ฟรี โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายอีกด้วยและนับว่าผู้เสียชีวิตที่ป่วยด้วยโรคโควิดนั้น ทางวัดบางพลีใหญ่กลางได้สงเคราะห์เผาให้ฟรีเป็นรายที่ 11 แล้ว จึงขอฝากไปยังพี่น้องประชาชนอย่าประมาทดูแลรักษาสุขภาพ ดูแลบุคคลในครอบครัว เว้นระยะห่าง และลงทะเบียนฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเราเอง


ภาพ/ข่าว  คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

อุทัยธานี – คึกคัก !! ฉีดวัคซีนวันแรก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นให้กำลังใจชาวจังหวัดอุทัยธานี

เมื่อเวลา 10.00 น. ของวันที่ 7 มิ.ย. 64 ณ บรรยากาศศูนย์กีฬาเยาวชนเทศบาลเมืองอุทัยธานี สถานที่ให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้กับประชาชน และผู้สูงอายุ ประกอบด้วยโรคทางเดินหายใจ เรื้อรังรุนแรง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตเรื้อรัง ระยะ 5 โรคหลอดเลือดสมอง โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน และโรคอ้วน โดยการจัดลำดับขั้นตอนเพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้สูงอายุและผู้ป่วยโรคเรื้อรังโดยเริ่มจากการตรวจสอบเอกสารซักประวัติ วัดความดัน รับบัตรคิว ฉีดวัคซีนและรออีก 30 นาที หลังฉีดวัคซีน เพื่อดูอาการก่อนอนุญาตให้ประชาชนกลับบ้าน และรับใบนัดหมายฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 ต่อไป

บรรยากาศเป็นไปอย่างเรียบร้อย ผู้ที่เข้ารับการฉีดวัคซีนให้ความร่วมมือปฏิบัติตามขั้นตอนและตามมาตรการอย่างเคร่งคัด เพื่อให้กับประชาชน ทุกคนทุกกลุ่มเป้าหมายได้เข้าถึงวัคซีนที่มีคุณภาพปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรครวมทั้งช่วยลดความรุนแรงของโลก โดยแบ่งการฉีดวัคซีนเป็น 3 ระยะ ตามกลุ่มเป้าหมาย ระยะ 1 ปกป้องระบบสาธารณสุขของประเทศ ระยะ 2 ป้องกันการติดเชื้อและลดความรุนแรงของโรคในกลุ่มเสี่ยงสูง ระยะ 3 ฟื้นฟูขับเคลื่อนเศรษฐกิจสังคมและความมั่นคงของประเทศโดยกำหนด Kick Off การฉีดวัคซีนโควิด-19 อย่างเป็นทางการพร้อมกันทั่วประเทศไทย

ทั้งนี้ภายในงานได้มี นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มาเป็นประธานการดำเนินการฉีดวัคซีนโควิด-19 พร้อมหน่วยข้าราชการ คณะแพทยของจังหวัดอุทัยธานี ได้มาให้กำลังใจกับประชาชนชาวจังหวัดอุทัยธานีในครั้งนี้


ภาพ/ข่าว ภาวิณี ศรีอนันต์


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top