Sunday, 29 June 2025
TheStatesTimes

‘หมอมนูญ’ หมอชี้ไวรัสโควิด-19 มีวิวัฒนาการนำหน้าเรา 1 ก้าวเสมอ คาดต้องอยู่กันไปอย่างน้อย 1-2 ปี

นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ แพทย์เฉพาะทางด้านโรคระบบการหายใจ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊ก ‘หมอมนูญ ลีเชวงวงศ์ FC’ ระบุว่า เชื้อไวรัสโควิด-19 มีวิวัฒนาการทางธรรมชาติ นำหน้าเรา 1 ก้าวเสมอ

เมื่อปีที่แล้วประเทศไทยประสบความสำเร็จในการควบคุมการระบาดระลอกแรกเป็นอย่างดี ช่วงมกราคมถึง 14 ธันวาคม พ.ศ.2563 ระยะเวลา 11 เดือนครึ่ง มีผู้ป่วย 4,237 คน เสียชีวิต 60 คน

สหประชาชาติชื่นชมไทยรับมือโรคโควิดในด้าน

1.) การดำเนินมาตรการของรัฐบาล

2.) ความสามัคคีของประชาชนในการช่วยกันป้องกันโรค สวมใส่หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง และล้างมือ

3.) ความรับผิดชอบต่อสังคมของอาสาสมัครสาธารณสุข หรือ อสม.

มองย้อนหลังตัวแปรสำคัญคือเชื้อไวรัสโควิด-19 ขณะนั้นสายพันธุ์ G ยังไม่เก่งเหมือนเชื้อปัจจุบัน อาจปรับตัวไม่เข้ากับสภาพอากาศของประเทศไทยซึ่งร้อนและชื้น จึงหยุดการแพร่ระบาด

ขณะนี้ประเทศไทยเผชิญการระบาดอย่างรวดเร็ว การระบาดระลอก 3 เพียง 2 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ถึง 31 พฤษภาคม พ.ศ.2564 มีผู้ป่วยสะสม 130,929 ราย เสียชีวิตสะสมแล้ว 937 คน

จากการตรวจรหัสพันธุกรรมแบบทั้งตัวซึ่งต้องใช้เงิน 1-2 หมื่นบาท พบมีการระบาดของสายพันธุ์อังกฤษ B.1.1.7 ซึ่งติดต่อกันง่าย แพร่กระจายเร็ว ทนร้อน ทนชื้น รุนแรงทำให้ตายมากขึ้น การรับมือการระบาดครั้งนี้ต้องอาศัยวัคซีน เร่งฉีดเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้เร็วที่สุด

เชื้อไวรัสโควิด-19 กำลังนำหน้าเราไปอีกแล้ว ล่าสุดเวียดนามรายงานตรวจพบไวรัสโควิดกลายพันธุ์สายพันธุ์ใหม่ที่เป็นลูกผสมระหว่างสายพันธุ์อินเดีย B.1.617 กับสายพันธุ์อังกฤษ B.1.1.7 สามารถติดต่อแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วทางอากาศ หมายความว่า เชื้อนี้เหมือนสายพันธุ์อินเดียแพร่กระจายได้ดียิ่งกว่าสายพันธุ์อังกฤษ แต่รุนแรงเท่าสายพันธุ์อังกฤษ

เราจะเผชิญกับโรคโควิด-19 ที่ติดต่อกันง่ายยิ่งขึ้น และยังรุนแรงมากเท่าเดิม ถ้าเชื้อกลายพันธุ์นี้สามารถหลบหลีกภูมิคุ้มกันจากการฉีดวัคซีนปัจจุบัน ยิ่งจะสร้างปัญหา จำเป็นที่ทุกคนต้องฉีดวัคซีนรุ่นใหม่ที่กำลังพัฒนาเพื่อครอบคลุมสายพันธุ์ใหม่ๆปีหน้า ดูสถานการณ์แล้วเราตามเชื้อไวรัสโควิดไม่ทัน โรคโควิด-19 คงจะอยู่กับเราอย่างน้อยอีก 1-2 ปี

 

ที่มา : https://www.facebook.com/หมอมนูญ-ลีเชวงวงศ์-FC-604030819763686


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

มาเลเซียระดมงบประมาณเยียวยา Covid-19 กว่า 1.28 หมื่นล้านเหรียญ ข้าราชการกว่า 800,000 คน ยอมถูกตัดงบสวัสดิการ สมทบกองทุนช่วยชาติ

หลังจากที่นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย นายมูห์ยิดดิน ยัสซิน ได้ประกาศล็อกดาวน์ประเทศเป็นเวลานานถึง 2 สัปดาห์ เพื่อหวังที่จะตัดวงจร ควบคุมการแพร่ระบาดระลอกล่าสุดของ Covid-19 ในมาเลเซีย ที่พบยอดผู้ติดเชื้อพุ่งสูงเกือบ 7,000 คนต่อวัน โดยจะเริ่มล็อคดาวน์ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน นี้เป็นต้นไป

ทันทีที่มีข่าวยืนยันว่าจะประกาศล็อกดาวน์ให้ชาวมาเลเซียได้เตรียมตัว เตรียมใจ นายกรัฐมนตรีมูห์ยิดดิน ก็ได้ประกาศงบกระตุ้นเศรษฐกิจก้อนใหม่กว่า 4 หมื่นล้านริงกิต หรือประมาณ 3 แสนล้านบาทเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากมาตรการปิดเมืองของรัฐบาล

นายกรัฐมนตรีมาเลเซียได้กล่าวว่า การออกคำสั่งปิดทำการบริษัท ห้างร้านในช่วงล็อคดาวน์เป็นเรื่องที่ตัดสินใจได้ยาก เพราะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อเศรษฐกิจของประเทศ และการใช้ชีวิตของประชาชนอย่างมาก ซึ่งรัฐบาลก็ต้องยอมรับจากใจจริงว่าเรามีงบประมาณอย่างจำกัด แต่รัฐบาลก็จะพยายามอย่างเต็มที่ในการจัดสรรงบประมาณมาเพื่อบรรเทาทุกข์จากวิกฤตินี้

ส่วนงบกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งนี้ เรียกว่า "Pemerkasa Plus" ที่จะมอบเงินเยียวยาจำนวน 2,500 ริงกิต (ประมาณ 19,000 บาท) ต่อ 1 ครัวเรือน สำหรับครอบครัวที่มีรายได้น้อยกว่า 5,000 ริงกิตต่อเดือน และเงินช่วยเหลือรายเดือนอีกจำนวนหนึ่ง ที่คาดว่าจะมีผู้มีสิทธิ์รับเงินเยียวยานี้ถึง 2.5 ล้านคน

ส่วนผู้ประกอบการจะได้สิทธิ์ในการขอหยุดพักชำระหนี้ได้นาน 3 เดือน หรือลดจำนวนเงินในการผ่อนชำระลงครึ่งหนึ่ง ที่สามารถขยายการชำระหนี้ได้ 6 เดือน

แต่อย่างที่รัฐบาลมาเลเซียได้ออกตัวไว้แล้วว่า งบประมาณแผ่นดินมีอยู่อย่างจำกัด และตลอดช่วงวิกฤติ Covid-19 ที่ยาวนานมากกว่า 1 ปี ทำให้เศรษฐกิจมาเลเซียติดลบไป 5.6% ในปี 2020 ดังนั้นงบกระตุ้นเศรษฐกิจให้กับภาคประชาชนในครั้งนี้ บางส่วนจำเป็นต้องดึงมาจากงบสวัสดิการข้าราชการกว่า 800,000 คน

นาย ตัน สรี โหมด ซุกิ อาลี หัวหน้าเลขาธิการรัฐบาล ได้กล่าวว่า เงินสวัสดิการที่จะถูกตัดจะเป็นงบค่าจัดเลี้ยง รับรอง งบเบิกจ่ายหากมีภารกิจพิเศษจำนวน 3 เดือน ที่หักจากข้าราชการระดับสูงตั้งแต่เกรด 29 ขึ้นไปเท่านั้น คาดว่าน่าจะได้งบมาไม่น้อยกว่า 30 ล้านริงกิต ส่วนข้าราชการชั้นผู้น้อย หรือหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงในการดูแลสถานการณ์ Covid-19 จะไม่โดนตัดงบใดๆ

ซึ่งการเสียสละครั้งนี้เป็นสิ่งที่แสดงออกถึงความเป็นอันหนึ่ง อันเดียวกับรัฐบาล เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่กำลังเดือดร้อน ลำบาก นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี มูห์ยิดดิน ยัสซิน และคณะรัฐบาลทั้งหมดจะงดรับเงินเดือนเป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่มิถุนายนนี้เป็นต้นไป เพื่อสมทบกองทุนกระตุ้นเศรษฐกิจของชาติในครั้งนี้ด้วย

ช่างเป็นเวลาที่ลำบากอย่างมากจริงๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และ ภาคประชาชนกับสถานการณ์ Covid-19 ที่เจ็บแต่ไม่จบสักที แต่หากทุกคนในชาติสามัคคี พร้อมที่จะแบกรับความยากลำบากร่วมกัน ต้องผ่านไปได้อย่างแน่นอน

 

อ้างอิง

https://www.straitstimes.com/asia/se-asia/800000-malaysian-civil-servants-take-allowance-cut-to-contribute-to-covid-19-fund

https://www.straitstimes.com/asia/se-asia/malaysia-announces-additional-128b-financial-stimulus-ahead-of-lockdown

https://www.straitstimes.com/asia/se-asia/people-prepare-for-a-tough-time-during-lockdown-in-malaysia

https://www.aljazeera.com/news/2021/5/28/malaysia-pm-orders-total-lockdown-amid-covid-19-surge


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ขอนแก่น - สหกรณ์โคนมจี้รัฐ ทบทวนสิทธิ์การจัดสรรโควตานมโรงเรียนให้กับสหกรณ์มากขึ้น หวั่นนมล้นตลาด หลังพบเอกชนรายใหญ่เจาะตลาดนมโรงเรียนและนมพาณิชย์มากขึ้น เฉพาะที่ขอนแก่นนมคงค้างมากถึงวันละเกือบ10 ตัน วอนทุกหน่วยเร่งแก้ปัญหา

เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 1 มิ.ย.2564 ที่สหกรณ์โคมนม จ.ขอนแก่น นายนัยฤทธิ์ จำเล ประธานกรรมการชุมนุมสหกรณ์โคนมแห่งประเทศไทย จำกัด  พร้อมด้วย นายคำพันธ์ ไชยหัด ประธานสหกรณ์โคนมขอนแก่น จำกัด นำคณะกรรมการสหกรณ์โคมนมแห่งประเทศไทย และสหกรณ์โคนมขอนแก่น ร่วมกันจัดกิจกรรมเนื่องในวันดื่มนมโลกประจำปี 2564 แบบวิถีใหม่ หรือนิวนอมอล ภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยด้านสาธารณสุขจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างเข้มงวด ด้วยการรณรงค์ให้ประชาชนดื่มนมกันอย่างแพร่หลาย และการนำเสนอผลิตภัณฑ์ของเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมในพื้นที่  ก่อนที่ทั้งหมดจะร่วมประชุมเพื่อรับทราบถึงปัญหาและแนวทางในการแก้ไขปัญหาเพื่อนำเสนอต่อรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมที่ได้รับผลกระทบอยู่ในขณะนี้

นายคำพันธ์ ไชยหัด ประธานสหกรณ์โคนมขอนแก่น จำกัด กล่าวว่า เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมที่เป็นสมาชิกขณะนี้มีอยู่กว่า 174 ราย แต่ละวันมีการส่งน้ำนมโคดิบให้กับสหกรณ์วันละ ประมาณ 42 ตัน ในราคารับประกันการซื้อที่ กิโลกรัมละ 17.50 บาท ซึ่งสหกรณ์ได้ทำการคัดคุณภาพและผ่านขั้นตอนกระบวนการต่างเพื่อส่งจำหน่ายให้กับกลุ่มลูกค้าหลัก 2 กลุ่มแยกเป็นกลุ่มบริษัทเชิงพาณิชย์ อาทิ  อสค.,ซีพี ,บริษัทเอกชนตามสัญญาคู่ค้า วันละ ประมาณ 20 ตัน และอีกส่วนคือส่งจำหน่ายให้กับ กลุ่มนมโรงเรียนวันละ 22 ตัน แต่ปัญหาที่พบคือการส่งจำหน่ายให้กับกลุ่มนมโรงเรียนนั้นมีการรับซื้อวันละ 15 ตัน ทำให้นมของสหกรณ์คงค้างอยู่ในสต๊อกมากถึงวันละ 7  ตัน ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเกิดจากการจัดสรรโควต้า ซึ่งสหกรณ์โคนมขอนแก่นอยู่ในกลุ่ม 3 ที่กรมปศุสัตว์กำหนด ครอบคลุมพื้นที่ 12 จังหวัดภาคอีสานตอนบนโดยมีผู้ประกอบการทั้งในส่วนของสหกรณ์และบริษัทเอกชน รวมทั้งสิ้น 14 ราย โดยมีการรับซื้อน้ำนมจากผู้ประกอการดังกล่าววันละ 166 ตัน ในรูปแบบของการจัดสรรโควต้า

“ยอมรับว่าสถานการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้น นั้นส่งผลกระทบต่อเกษตรกรอย่างมาก การจัดสรรโควต้าของกลุ่มนมโรงเรียน ที่ประกาศให้กลุ่มที่ 3 รับซื้อวันละ 166 ตัน แต่ก็มีการจัดสรรให้กับกลุ่มสหกรณ์ในสัดส่วนที่น้อยกว่ากลุ่มบริษัทเอกชน จนทำให้ขณะนี้น้ำนมจากสหกรณ์โคนมขอนแก่นคงค้างอยู่ในสต็อกแต่ละวันจำนวนมาก ซึ่งหากไม่มีการแก้ไขก็จะส่งผลกระทบต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงโคมที่อาจจะต้องปล่อยทิ้งน้ำนมทั้งหมดไป”

ขณะที่ นายนัยฤทธิ์ จำเล ประธานกรรมการชุมนุมสหกรณ์โคนมแห่งประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า กลุ่ม 3 ของสหกรณ์โคนมแห่งประเทศไทย พบว่ามีสหกรณ์ที่ได้รับผลกระทบในลักษณะนี้เกิดขึ้นแล้วที่ สหกรณ์โคนมขอนแก่น และ สหกรณ์โคนมวาริชภูมิ จึงต้องมีการประชุมด่วนหารือถึงทางออกในการแก้ไขปัญหาเพราะหากปล่อยทิ้งไว้เข้ามารับฟัง รับทราบ หรือแก้ไขปัญหาตั้งแต่ต้นทางก็จะส่งผลต่อเหตุการณ์ที่ไม่เกิดขึ้น เพราะต้องยอมรับว่าสถานการณ์โควิดที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบในด้านต่างๆอย่างมาก ทุกภาคส่วนกำลังกำหนดแนวทางและพากันก้าวผ่านวิกฤติเหตุการณ์นี้ไปได้ด้วยกันโดยเร็ว ดังนั้นการจะออกมาเทนมทิ้งหรือการกระทำใด ๆ นั้นควรไม่มีเกิดขึ้น

“เราต้องหาทางออกและได้ข้อสรุปหรือข้อเสนอแนะที่เป็นการแก้ไขปัญหาให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม ซึ่งต้องยอมรับว่าปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นนี้นั้นแต่ละสหกรณ์นั้นแตกต่างกัน โดยเฉพาะการเลื่อนการเปิดภาคเรียนของโรงเรียนทุกแห่ง ทำให้การบริโภคนมลดลง จึงขอเชิญชวนให้คนไทยทั้งประเทศร่วมกันช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงโค ด้วยการดื่มนมทุกวัน ขณะที่คณะทำงานเมื่อได้ข้อสรุปจากปัญหาดังกล่าวแล้ว จะมีการเสนอต่อกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และรัฐบาลเพื่อได้รับทราบจนนำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่ตรงจุดและชัดเจนต่อไปอย่างเร่งด่วน”

วันนี้ถือเป็นวันพิเศษอีกหนึ่งวัน หากย้อนเวลากลับไปเมื่อ 68 ปีก่อน เป็นวันพระราชพิธีบรมราชาภิเษก สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร

สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 พระราชสมภพเมื่อวันที่ 21 เมษายน ค.ศ.1926 เมื่อครั้งทรงพระเยาว์พระองค์ประทับ ณ กรุงลอนดอน บริเวณพิคคาเดลลี ไวท์ลอดจ์ ริชมอนด์ พาร์ค พระองค์ทรงได้รับการศึกษาชั้นต้น ณ ที่ประทับ และเมื่อพระบิดาได้เสด็จขึ้นครองราชย์ พระองค์จึงต้องทรงศึกษาทางด้านประวัติศาสตร์ และกฎหมาย เพื่อเตรียมพร้อมที่จะเป็นกษัตริย์ในอนาคต นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงศึกษาทางด้านศิลปะ ดนตรี และเรียนการขี่ม้า

สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงเริ่มต้นปฏิบัติพระราชกรณียกิจ ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ทรงพระราชดำรัสออกอากาศ ในรายการสำหรับเด็กทางสถานีโทรทัศน์บีบีซี ตั้งแต่พระชนมายุได้ 16 พรรษา กระทั่งเมื่อมีพระชนมายุ 18 พรรษา ทรงได้รับการประดับยศเป็นทหารชั้นพันเอกแห่งกองทหารราบรักษาพระองค์ โดยทรงตรวจพลสวนสนาม และยังทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับเด็ก และเยาวชนอีกมากมาย

พระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1952 หลังจากที่พระราชบิดาเสด็จสวรรคต ขณะที่พระองค์กำลังประทับอยู่ที่ประเทศเคนยา ซึ่งเป็นประเทศแรกตามหมายกำหนดการเยือนประเทศในเครือจักรภพของพระองค์

พระราชพิธีบรมราชาภิเษกถูกจัดขึ้นที่มหาวิหารเวสมินสเตอร์ เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน ค.ศ.1953 แม้เป็นช่วงที่อังกฤษกำลังอยู่ในภาวะรัดเข็มขัดทางงบประมาณในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่พระราชพิธีบรมราชาภิเษกก็เป็นไปอย่างยิ่งใหญ่ สมพระเกียรติ และมีการถ่ายทอดสดผ่านทางสถานีโทรทัศน์บีบีซี ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ราชวงศ์อังกฤษที่มีการถ่ายทอดสดพระราชพิธีบรมราชาภิเษกผ่านทางโทรทัศน์

สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงเป็นพระประมุขของ 16 ประเทศ จาก 53 รัฐ สมาชิกในเครือจักรภพแห่งชาติ โดยเมื่อวันที่ 9 กันยายน ค.ศ.2015 พระองค์ทรงได้รับการยกย่องว่า เป็นประมุขแห่งรัฐบริเตนที่ทรงราชย์นานที่สุด และเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงพระชนมายุมากที่สุดของบริเตน มีพระชันษา 95 พรรษา

 

ที่มา: https://th.wikipedia.org/wiki/สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่_2_แห่งสหราชอาณาจักร


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

อุทัยธานี - หน่วยทหารยื่นมือช่วยชาวบ้าน แก้ปัญหาน้ำท่วม กำจัดผักตบชวาในลำคลอง เขาฆ้องชัย หมู่ 11 บ้านวังหน้าศาล ต.ประดูยืน อ.ลานสัก

ณ ลำคลองเขาฆ้องชัย บ้านวังหน้าศาล หมู่ 11 ต.ประดู่ยืน อ.ลานสัก จ.อุทัยธานี โดยมี นาวาเอกเอกปิ่นแก้ว สาระปัญญา รองผู้บังคับบัญชาหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 15 พร้อมหน่วยข้าราชการในพื้นที่ ที่ขาดไม่ได้ ก็คือความร่วมมือของชาวบ้าน ที่ร่วมใจกัน ดำเนินการแก้ไขปัญหาผักตบชวาบ้านวังหน้าศาล และขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาล และแนวทางการดำเนินการ บูรณาการ เพื่อแก้ไขปัญหาผักตบชวาให้เกิดความเรียบร้อย เป็นรูปธรรม เกิดความต่อเนื่องอย่างยั่งยืนให้ประชาชนในพื้นที่ ที่ได้มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำรักษาความสะอาดและจัดเก็บขยะมูลฝอยในพื้นที่สาธารณะ คูคลอง ปัจจุบันปัญหาสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะปัญหาน้ำเน่าเสีย และสิ่งปฏิกูลจากการปล่อยลงแม่น้ำลำคลอง สารเคมี การสะสมของวัชพืชต่าง ๆ ส่งผล ให้คุณภาพน้ำต่ำลง คูคลอง ตื้นเขิน ไม่สามารถระบายน้ำได้ทันเมื่อฝนตกหนักทำให้เกิดน้ำท่วมตามมา


ภาพ/ข่าว ภาวิณี ศรีอนันต์ รายงาน

จเรตำรวจแห่งชาติ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมผู้เสียหายคดียาเสพติด พร้อมมอบนโยบายแก่ข้าราชการตำรวจ

วันนี้ 1 มิถุนายน 2564 พลตำรวจเอก วิสณุ ปราสาททองโอสถ จเรตำรวจแห่งชาติ เดินทางมายัง กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 11 โดยมี พลตำรวจตรี จรัล จิตเจือจุน รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 รักษาราชการแทนผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดจันทบุรี พร้อม พลตำรวจตรี สรศักดิ์ ชนะสิทธิ์ ผู้ทรงคุณวุฒิสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้การต้อนรับ จากนั้นเดินทางพร้อม นาย สุธี ทองแย้ม ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี ไปยังบ้านผู้เสียหายคดียาเสพติด ที่ ต.วังโตนด อ.นายายอาม จ.จันทบุรี เพื่อมอบสิ่งของและเงินช่วยเหลือเป็นขวัญ-กำลังใจ พร้อมสร้างความเชื่อมั่นในทางคดีจะให้ความเป็นธรรม

สำหรับผู้กระทำความผิดถ้ามีมูลกระทำความผิดจริงจะต้องถูกลงโทษทั้งทางวินัยร้ายแรงและทางอาญา ซึ่งขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยกองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 1 ก็ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง  กรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการข่าว กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 11 ถูกพาดพิงว่ากระทำการเรียกรับเงินจากการปฏิบัติหน้าที่ ตามข่าวในสื่อออนไลน์ สำนักข่าวไทย OnIine วันที่ 25 เมษายน 2564 เสนอข่าว "แม่ร้องทุกข์สื่อ ไขปมคลิปเสียงสนทนากับลูกสาว หลังถูกคนในเครื่องแบบอุ้มหายตัวไป กักขัง อ้างถูกจับยาเสพติดพร้อมรีดเงิน 30,000 บาท แลกกับการปล่อยตัวลูกสาว"

ดังนั้น เพื่อให้การตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าว เป็นไปด้วยความเรียบร้อย จึงอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 และระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วยการสั่งให้ข้าราชการตำรวจไปปฏิบัติราชการในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2563 ข้อ 6(2) จึงให้ข้าราชการตำรวจจำนวน 8 นาย ปฏิบัติราชการที่กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค1(งานการข่าว)โดยขาดจากการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งเดิม.ซึ่งทางท่านพลตำรวจเอก วิสณุ ปราสาททองโอสถ จเรตำรวจแห่งชาติ ได้กล่าวว่าทุกเรื่องต้องรวดเร็วตรวจสอบได้และเป็นธรรมจากนั้นได้เดินทางต่อมายังกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดจันทบุรี เพื่อตรวจเยี่ยม-มอบแนวทางปฏิบัติ พร้อมมอบพระพุทธรูปให้กับ ข้าราชการตำรวจทุกสภ.ในสังกัดภูธรจังหวัดจันทบุรี เพื่อเป็นขวัญ-กำลังใจและให้มุ่งมั่นในการปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นธรรมต่อไป


ภาพ/ข่าว เอกลักษณ์ อานาภรณ์ ผู้สื่อข่าว จ.จันทบุรี

ศรชล.จับเรือบรรทุกน้ำมันเถื่อน 25,000 ลิตร ปรับกว่า 1.78 ล้านบาทเข้าหลวง

เมื่อวันที่ 31 พ.ค.64 ระหว่างเวลา 15.00-22.00 น. ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 1 (ศรชล.ภาค 1) โดย ศรชล.จังหวัดสมุทรปราการ ให้ นาวาเอก สุระชัย ยงกัน รอง ผอ.ศรชล.จังหวัดสมุทรปราการ อำนวยการให้ ศคท.จว.สป. ส.รน.๓ กก.๔ บก.รน.  จท.ภูมิภาคสาขาสมุทรปราการ และ สรรพสามิตสมุทรปราการ ตรวจสอบจับกุมเรือ ธนธานี เป็นเรือประเภทบำบัดของเสีย แอบบรรทุกน้ำมันดีเซล ซึ่งยังไม่ได้เสียภาษีสรรพสามิต มีลูกเรือจำนวน 2 คน สัญชาติไทยทั้งหมด โดยไม่มีเอกสารหลักฐานการเสียภาษีสรรพสามิต และหลักฐานผ่านพิธีการทางศุลกากรมาแสดง ในระวางบรรทุกน้ำมัน จำนวน 25,000 ลิตร จึงได้ควบคุมลูกเรือ จำนวน 2 คน มาที่สรรพสามิตสมุทรปราการ เพื่อนำตัวผู้ต้องหาส่งผู้มีอำนาจเปรียบเทียบปรับ ตาม พรบ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2560 

ผลการดำเนินการตามกฎหมาย ได้เปรียบเทียบปรับตาม พรบ.สรรพสามิต เป็นเงินทั้งสิ้น จำนวน 1,787,100 บาท ต่อไปแล้ว


ภาพ/ข่าว ปชส.ศรชล.ภาค 1

ชายแดนไทยเมียนมา ริมน้ำสาละวิน สงบต่อเนื่อง 5 วัน เจ้าหน้าที่ทหารราบที่ 7 และทหารพราน 36 เข้าดูแลรักษาพยาบาลและมอบของอุปโภคบริโภค ให้กับผู้หนีภัยความไม่สงบจากเมียนมา ทั้ง 4 แห่ง

นายสิธิชัย จินดาหลวง ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน ในฐานะประธานคณะกรรมการศูนย์สั่งการชายแดน ไทย - เมียนมา ด้านจังหวัดแม่ฮ่องสอน แถลงสถานการณ์ชายแดนไทย-เมียนมา จ.แม่ฮ่องสอน ประจำวันที่ 1มิ.ย. 64 เวลา 12.00 น ว่าสถานการณ์การสู้รบฝั่งเมียนมา ตั้งแต่วันที่ 27 พ.ค. 64 เวลา 17.00 น. เป็นต้นมา ไม่มีการสู้รบระหว่างทหารเมียนมากับกองกำลังชนกลุ่มน้อยกะเหรี่ยง KNU ด้านตรงข้าม อ.แม่สะเรียง และ อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน และยังคงไม่มีการปฏิบัติการทางอากาศในฝั่งประเทศเมียนมา เป็นระยะเวลา 32 วัน

สำหรับผู้หนีภัยความไม่สงบชาวเมียนมา (ผภ.สม.) ที่อยู่ในพื้นที่ปลอดภัยชั่วคราวได้เดินทางกลับภูมิลำเนาในประเทศเมียนมา จำนวน 363 คน ยังคงเหลืออยู่ในพื้นที่ปลอดภัยชั่วคราว 4 แห่ง จำนวน 255 คน ดังนี้ พื้นที่ปลอดภัยชั่วคราว บริเวณห้วยมะระ ต.แม่คง อ.แม่สะเรียง จำนวน 7คน พื้นที่ปลอดภัยชั่วคราว บริเวณห้วยจอกลอ ต.แม่คง อ.แม่สะเรียง จำนวน 80 คน พื้นที่ปลอดภัยชั่วคราว บริเวณห้วยโกเกร๊ะ ต.แม่คง อ.แม่สะเรียง จำนวน 135 คน พื้นที่ปลอดภัยชั่วคราว บริเวณบ้านเสาหิน ต.เสาหิน อ.แม่สะเรียง จำนวน 33 คน โดยหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 7 และหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 36 ได้เข้าไปให้ความช่วยเหลือในเรื่องของการรักษาพยาบาลเบื้องต้น และมอบสิ่งของอุปโภคบริโภคให้กับผู้หนีภัยความไม่สงบชาวเมียนมา (ผภ.สม.) ในพื้นที่ปลอดภัยชั่วคราวทั้ง 4 แห่ง เพื่อให้ความช่วยเหลือขั้นต้นตามหลักมนุษยธรรม

ทางด้าน ราษฎรไทยที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ บ.ท่าตาฝั่ง ต.แม่ยวม อ.แม่สะเรียง ที่ได้รับผลกระทบจากการสู้รบ ยังอยู่ในพื้นที่ตำบลรวบรวมพลเรือน 2 แห่ง จำนวน 189 คน อยู่ในพื้นที่ตำบลรวบรวมพลเรือน ห้วยกองกูด ต.แม่ยวม อ.แม่สะเรียง จำนวน 168 คน พื้นที่ตำบลรวบรมพลเรือน ห้วยกองคา ต.แม่ยวม อ.แม่สะเรียงจำนวน 21 คน   


ภาพ/ข่าว  สุกัลยา / ถาวร อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน

สมุทรปราการ - มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ลงพื้นที่ส่งต่อน้ำใจไทย มอบเครื่องช่วยหายใจ พร้อมอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์แก่โรงพยาบาลสมุทรปราการ สู้ภัยโควิด-19

วันนี้ (วันที่ 1 มิถุนายน 64 เวลา 13.00 น.) นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พร้อมด้วยนายจารุรัตน์ คุณัตถานนท์ กรรมการและเหรัญญิก มอบอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ ในโครงการ “ส่งต่อน้ำใจไทย สู้ภัยโควิด-19”  แก่โรงพยาบาลสมุทรปราการ ประกอบด้วย เครื่องช่วยหายใจ จำนวน 1 เครื่อง ชุด Personal Protective Equipment ( PPE ) จำนวน 200 ชุด หน้ากาก N95 จำนวน 200 ชิ้น หน้ากากอนามัย จำนวน 200 กล่อง เจลแอลกอฮอล์ ขนาด 5 ลิตร จำนวน 20 แกลลอน รวมมูลค่าทั้งสิ้น 281,900 บาท(สองแสนแปดหมื่นหนึ่งพันเก้าร้อยบาทถ้วน) เพื่อใช้ในการรักษาผู้ป่วยจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-19) โดยมี นายแพทย์ปฏิวัติ วงศ์งาม รองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ โรงพยาบาลสมุทรปราการ เป็นผู้รับมอบ ณ ห้องประชุมโกศล อาคารผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลสมุทรปราการ

การมอบอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ริเริ่มดำเนินการมามอบมาแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 เป็นต้นมา พร้อมทั้งจัดตั้งกองทุน “ธารน้ำใจ สู้ภัยโควิด-19” เพื่อมอบอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลที่ขาดแคลนต่อเนื่อง ควบคู่กับโครงการ “ส่งต่อน้ำใจไทย สู้ภัยโควิด-19” โดยในสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (โควิด-19) ระลอกใหม่นี้ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ปรับแผนการดำเนินงานการช่วยเหลือประชาชนทั้งด้านบรรเทาสาธารณภัย สังคมสงเคราะห์ และหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน พร้อมประสานงานเพื่อให้ความช่วยเหลือเชิงรุกทั้งในส่วนของประชาชน ชุมชน และบุคลากรทางการแพทย์อย่างต่อเนื่อง รวมถึงจัดตั้งโรงครัวประกอบอาหารปรุงสุกเพื่อช่วยเหลือประชาชนในขณะนี้ รวมงบประมาณดำเนินการออกช่วยเหลือประชาชนในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 นับตั้งแต่ปี 2563 จนถึงปัจจุบันเป็นเงินไม่ต่ำกว่า 33 ล้านบาท

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ขอเชิญชวนผู้มีจิตศรัทธาทุกท่านร่วมบริจาคสมทบทุนช่วยเหลือในสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (โควิด-19) กับมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ติดต่อสอบถาม รวมถึงติดตามข่าวสารกิจกรรมการช่วยเหลือผู้ประสบเหตุ – ผู้ประสบภัยต่าง ๆ ของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

ตำรวจอุบลฯ รวบแก๊งรับจ้างส่งยาบ้าข้ามชาติได้ 1 อีก 1 รอดหวุดหวิด พร้อมยาบ้ากว่า 42,000 เม็ด

วันที่ 1 มิ.ย.64 ที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุบลราชธานี ถนนสรรพสิทธิ์ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.อุบลราชธานี พล.ต.ต.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 พร้อมด้วย พล.ต.ต.สมพจน์ ขอมปรางค์ ผบก.ภ.จ.อุบลราชธานี พ.ต.อ.ณรงค์ฤทธิ์  ด่านสุวรรณ รอง ผบก.ภ.จ.อุบลราชธานี พ.ต.อ.ชาญชัย อินนรา ผกก.สส.ภ.จ.อุบลราชธานี และพ.ต.ท.นพดล เปลี่ยนรูป รอง ผกก.สส.สภ.เมืองอุบลราชธานี ร่วมกันแถลงข่าวจับกุมคดียาเสพติดรายสำคัญ และของกลางยาบ้า จำนวน 42,000 เม็ด พร้อมด้วยผู้ต้องหา จำนวน 1 คน      

   

สืบเนื่องมาจาก พ.ต.อ.ชาญชัย อินนราผกก.สส.ภ.จ.อุบลราชธานี และพ.ต.ท.นพดล เปลี่ยนรูป  รอง ผกก.สส.สภ.เมืองอุบลราชธานี ได้รับแจ้งจากสายลับ ว่าสามารถสั่งยาเสพติด (ยาบ้า) จากพ่อค้ายาเสพติดชื่อท้าวอ๊อด (ชาวสปป.ลาว) ได้  21 มัด ๆละ 25,000 บาท  จำนวน 42,000 เม็ด เมื่อได้รับแจ้ง พ.ต.อ.ชาญชัย อินนรา และพ.ต.ท.นพดล เปลี่ยนรูป จึงได้วางแผนจับกุม โดยนัดส่งยาเสพติดกันที่ ชายป่าบ้านคำสง่า หมู่ที่ 11 ต.หนองนกทา อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี 

หลังจากนั้นจึงได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจไปดักซุ่มจับกุมที่จุดดังกล่าว ในวันที่ 30 พ.ค. 64 ที่ผ่านมา จนกระทั่งเวลาประมาณ  09.00 น. ได้มีชายสองคน ขี่รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้าคลิกสีดำไม่ติดแผ่นป้าย เข้ามายังจุดนัดหมายคือชายป่าบ้านคำสง่า โดยชายคนซ้อนท้ายถือลังกระดาษ เมื่อมาถึงชายสองคนได้เจอกับสายลับตามที่นัดกันไว้ และในขณะเดียวกันนั้น สายลับได้ส่งสัญญาณให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ดักซุ่มอยู่ในบริเวณดังกล่าว

จากนั้น เจ้าหน้าที่ได้ออกจากจุดซ่อนตัวแล้วแสดงตัวเพื่อจับกุม เมื่อชายทั้งสองคนรู้ว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็ตกใจได้วิ่งหลบหนี  แต่เจ้าหน้าที่ได้ติดตามจับกุม จนสามารถจับกุมตัวได้ 1 คน ทราบชื่อต่อมาคือ นายศักดิ์ชัย (สงวนนามสกุล) อายุ 30 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ที่ ต.เขมราฐ อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี  พร้อมด้วยของกลางยาบ้า 21 มัด จำนวน 42,000 เม็ด ส่วนผู้ต้องหาอีกคน วิ่งหลบหนีไปได้  

เบื้องต้น นายศักดิ์ชัย (สงวนนามสกุล) รับสารภาพว่า ผู้ชายอีกคนที่หลบหนีไปได้ ชื่อ นายคณินธร (สงวนนามสกุล) อายุ 20 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ในหมู่บ้านเดียวกันกับตน โดยก่อนถูกจับกุมในครั้งนี้ ตนและนายคณินธร ได้รับจ้างขนยาบ้าจากนายอ๊อต (ชาวสปป.ลาว) โดยนายอ๊อต ให้นำยาเสพติดมาส่งให้ลูกค้า ที่บริเวณชายป่าบ้านคำสง่า โดยพวกตนทั้ง 2 คน จะได้รับค่าจ้างเป็นยาบ้าจำนวน 2000 เม็ด 

ซึ่งที่ผ่านมาพวกตนทั้งสองคน เคยรับจ้างขนยาบ้ามาแล้ว 2 ครั้ง แต่ครั้งนี้ ดวงไม่ดี จึงถูกจับกุมดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้แจ้งข้อกล่าวหาแก่นายศักดิ์ชัย ว่า ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) ไว้ในความครอบครองโดยผิดกฎหมาย แล้วนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.เขมราฐ จ.อุบลฯ เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย และจะได้ทำการขยายผลเพื่อจะได้ติดตามจับกุมเครือข่าย ส่วนผู้ต้องหาที่หลบหนีไปได้ เจ้าหน้าที่จะได้ติดตามจับกุมตัว มาดำเนินคดีตามกฏหมายต่อไป


ภาพ/ข่าว  ศูนย์ข่าวอุบลฯ 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top