Thursday, 26 June 2025
TheStatesTimes

สหราชอาณาจักร (UK) เร่งฉีดวัคซีนสัปดาห์ละ 3 ล้านคน กลุ่มคนอายุ 40 ขึ้นไปในยูเค จะเป็นกลุ่มต่อไปที่จะได้คิวรับวัคซีนป้องกันโควิด หลังจากกลุ่มคนอายุ 50 ปีขึ้นไป ได้รับการฉีดวัคซีนทุกคนภายในวันที่ 15 เมษายนนี้

โดยใช้เกณฑ์อายุเป็นหลัก ไม่ใช่อาชีพ ที่จะได้รับการจัดลำดับความสำคัญต่อไปในแผนการฉีดวัคซีนป้องกันโควิดในระยะที่สอง

การฉีดวัคซีนตามลำดับอายุเป็นวิธีที่เร็วที่สุดในการลดการเสียชีวิตจากโควิด -19 ในระยะถัดไป ผู้เชี่ยวชาญที่ปรึกษารัฐบาล สหราชอาณาจักร กล่าว

คนอายุ 40 ขึ้นไปจะเป็นกลุ่มต่อไป เมื่อการฉีดแผนปัจจุบันเสร็จ

การจัดลำดับความสำคัญตามอาชีพจะ "ซับซ้อนมากขึ้น" และอาจทำให้โปรแกรมการฉีดวัคซีนช้าลงได้ คณะกรรมการร่วมว่าด้วยการฉีดวัคซีนและการสร้างภูมิคุ้มกันโรคกล่าว

ทั้ง 4 ประเทศของสหราชอาณาจักร (อังกฤษ, เวลส์, สก๊อตแลนด์ และ ไอร์แลนด์เหนือ) จะปฏิบัติตามแนวทางนี้โดยมีเป้าหมายในการฉีดวัคซีนให้กับทุกคนทั้งหมดภายในสิ้นเดือนกรกฎาคมนี้

จนถึงขณะนี้มีคนมากกว่า 20 ล้านคนในสหราชอาณาจักรที่ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มแรกแล้ว

บุคคลอาชีพ ครูและเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นหนึ่งในผู้ที่รณรงค์ให้มีการจัดลำดับความสำคัญในระยะต่อไป - แต่ตอนนี้พวกเขาจะได้รับการฉีดวัคซีนตามกลุ่มอายุ

คณะกรรมการร่วมว่าด้วยการฉีดวัคซีนและการสร้างภูมิคุ้มกันโรค (JCVI) ได้พิจารณาถึงหลักฐานในการลดการเจ็บป่วยและการเสียชีวิตจากโควิด -19 ในระยะที่สองของโครงการฉีดวัคซีนของสหราชอาณาจักรกล่าวว่าการจัดลำดับความสำคัญทางอาชีพ อาจทำให้กลุ่มเปราะบาง บางคนต้องรอการฉีดวัคซีนเข็มแรกนานขึ้น

JCVI กล่าวว่า ควรจัดลำดับความสำคัญของกลุ่มต่อไปนี้เมื่อกลุ่มเสี่ยงทั้งหมดในระยะที่หนึ่งได้รับวัคซีนอย่างน้อยหนึ่งเข็มฉีดไปแล้ว (ภายในกลางเดือนเมษายน): คิวกลุ่มถัดไปคือ

- ทุกคนที่มีอายุ 40 - 49 ปี

- ทุกคนที่มีอายุ 30 - 39 ปี

- ทุกคนที่มีอายุ 18 - 29 ปี

และขอแนะนำ ให้บุคคลบางกลุ่มมารับวัคซีนทันทีเมื่อถึงคิว กลุ่มเหล่านี้คือ :

- ผู้ชาย

- ผู้ที่อยู่ในชุมชนคนผิวสี, เอเชีย และ ชนกลุ่มน้อย (หมายถึงคนไทยทุกคนในสหราชอาณาจักร)

- ผู้ที่มีค่าดัชนีมวลกายมากกว่า 30

- ผู้ที่อาศัยอยู่ในย่านที่ยากจน

ในระยะที่หนึ่งมีการกำหนดกลุ่มลำดับความสำคัญ 9 กลุ่มตามอายุและสภาวะสุขภาพพื้นฐาน ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการเพิ่มความเสี่ยง รวมถึงเจ้าหน้าที่ด้านสุขภาพและการดูแล เพื่อปกป้องคนที่เปราะบางที่พวกเขาดูแล

การฉีดวัคซีนกลุ่มเหล่านี้น่าจะป้องกันได้ประมาณ 99% แก่ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจาก Covid-19 มากที่สุด

ผู้ที่อยู่ในกลุ่มที่มีลำดับความสำคัญสูงสุด 4 อันดับแรก - ราว 15 ล้านคนได้รับการฉีดวัคซีนภายในกลางเดือนกุมภาพันธ์ มากกว่า 95% ของผู้ที่มีอายุเกิน 70 ปีที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว

มีผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนทุกสัปดาห์ จำนวนสัปดาห์ละสามล้านคนในสหราชอาณาจักรด้วยวัคซีน ไฟเซอร์ ไบโอเอ็นเทค (Pfizer-BioNTech) หรือไม่ก็ ของ อ็อกซ์ฟอร์ด-เอสด้าเซนเนก้า (Oxford-AstraZeneca)

การวิจัยเบื้องต้นชี้ให้เห็นว่า วัคซีนมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญในการป้องกันโรคร้ายแรงจาก Covid-19 ในสหราชอาณาจักร นอกจากนี้ยังมีข้อบ่งชี้บางประการที่อาจลดการแพร่กระจายของไวรัสระหว่างคนได้


ที่มา : https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=3863670853671897&id=178210772217942

https://www.bbc.com/news/health-56208674

รพ.ศิริราช เผยความคืบหน้าอาการ ผู้ว่าฯ สมุทรสาคร ล่าสุด สามารถลุกเดินเองได้ โดยไม่ต้องใช้วอล์คเกอร์ การหายใจ พูดจา ทานอาหาร เข้าสู่ภาวะปกติ สามารถตักอาหารทานเองได้ เตรียมตรวจภูมิคุ้มกันอีก 1 - 2 วัน

วันนี้ (1 มีนาคม 2564) ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล แถลงความคืบหน้าอาการป่วยของ นายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ผ่านระบบ Zoom โดยระบุว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา รวมทั้งวันหยุดที่ผ่านมา ตอนนี้ผู้ว่าฯ ลุกเดินแล้ว โดยไม่ต้องใช้วอล์คเกอร์ ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟูที่ทำกายภาพเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อโดยเฉพาะขา พบว่าเดินได้ดี ยิ่งเดินมาก ก็ยิ่งจะมั่นใจในตัวเองมากขึ้น และกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิมได้เร็ว การพูดจาปกติ การทานอาหารเข้าสู่ภาวะปกติ มือตักอาหารทานข้าวได้เอง

“สำหรับการออกจากโรงพยาบาลกลับไปยัง จ.สมุทรสาคร จะปรึกษากันอีกครั้งว่า หากมีคนสามารถดูแลการเพิ่มกำลังกล้ามเนื้อที่สมุทรสาครได้ ท่านก็พร้อมและสามารถกลับได้ แต่หากจะอยู่ที่นี่ให้นักกายภาพช่วยพัฒนาความแข็งแรงอีกระยะก็ทำได้ แต่ตอนนี้เข้าสู่ระยะฟื้นตัวปกติ หายใจอากาศปกติ โดยจะเจาะเลือดดูภูมิคุ้มกันอีก 1 - 2 วัน แต่แม้ภูมิจะขึ้น ก็ยังต้องใส่หน้ากากเว้นระยะห่าง”

ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวต่อไปว่า ตอนนี้เข้าสู่ระยะพักฟื้น เพิ่มกำลังกล้ามเนื้อ เพราะตอนนี้ผ่านพ้นระยะวิกฤติเรียบร้อยแล้ว หากกลับไปจะทำงานก็ทำได้ เพราะตอนนี้ทำงานที่บ้านได้ มือ แขน ทำงานได้ปกติ และตอนนี้เป็นจังหวะที่สมุทรสาครการติดเชื้อใหม่น้อยลง เป็นจังหวะดีที่อาจจะไม่ต้องทำงานหนักเกินไป

"ส่วนการรับวัคซีน ตอนนี้รอดูผลการตรวจภูมิคุ้มกัน หากตอนนี้ภูมิสูงมาก วัคซีนอาจจะไม่จำเป็นเพราะภูมิคุ้มกันสูง สามารถรอไปก่อนได้ เพราะตอนนี้ ทั่วโลกยังไม่รู้ว่าคนที่ติดเชื้อและมีภูมิคุ้มกันสูง ภูมิจะอยู่ได้กี่เดือน จากการวิจัย สำนักงานสาธารณสุขในอังกฤษ (Public Health England: PHE) ที่ผ่านมา พบว่าภูมิคุ้มกันอยู่ได้ 7 เดือน แต่ก็ยังตอบไม่ได้ว่า 8 - 9 เดือนหลังจากนั้นจะเป็นอย่างไร"

ที่มา : https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/925060

ทำดี ย่อมได้รับผลดีตอบแทน...จากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2435 ณ มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ระหว่าง นักศึกษาวัย 18 ปี HERBERT HOOVER ประธานาธิบดีคนที่ 31 แห่งสหรัฐอเมริกา และ Ignacy Jan Paderewski นักเปียโนชื่อดัง และนายกรัฐมนตรีคนที่ 3 แห่งสาธารณรัฐโปแลนด์

มนุษย์ธรรมดาส่วนใหญ่คิดเพียงว่า “ถ้าเราช่วยพวกเขาแล้ว อะไรจะเกิดขึ้นกับเรา” แต่มนุษย์ซึ่งมีน้ำใจยิ่งใหญ่กลับคิดเพียงว่า “ถ้าเราไม่ช่วยพวกเขาแล้ว อะไรจะเกิดขึ้นกับพวกเขา”

นักศึกษาวัยเพียง 18 ปี ซึ่งต้องดิ้นรนเพื่อหาเงินมาจ่ายค่าเล่าเรียน เขาเป็นเด็กกำพร้า และไม่รู้ว่าจะหาเงินด้วยวิธีไหน แต่แล้วก็บังเกิดความคิดบรรเจิด เขาและเพื่อนจึงตัดสินใจที่จะจัดคอนเสิร์ตเดี่ยวเปียโนของ Ignacy Jan Paderewski นักเปียโนผู้มีชื่อเสียง ณ ขณะนั้น ในมหาวิทยาลัยเพื่อหาเงินมาเป็นทุนการศึกษา

พวกเขาจึงได้ติดต่อ Ignacy J. Paderewski นักเปียโนชื่อดังคนดังกล่าว ซึ่งผู้จัดการของ Paderewski เรียกค่าตัวสำหรับการแสดงเปียโนเป็นเงิน 2,000 ดอลลาร์ เมื่อตกลงกันได้แล้วสองหนุ่มก็เริ่มทำงานเพื่อให้คอนเสิร์ตเปียโนครั้งนี้ประสบความสำเร็จ แต่น่าเสียดายเมื่อวันสำคัญมาถึงพวกเขาขายตั๋วทั้งหมดได้เงินเพียง $ 1600 เท่านั้น ภายหลังการแสดงสองหนุ่มไปพบกับ Paderewski ด้วยความผิดหวัง และอธิบายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้ Paderewski โดยพวกเขามอบเงินสดทั้งหมด $ 1,600 กับเช็คมูลค่า $ 400 ให้กับ Paderewski และสัญญาว่าจะ เอาเงินเข้าบัญชีเพื่อเคลียร์เช็คฉบับนั้นให้เร็วที่สุด

“ไม่” Paderewski กล่าว “เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมไม่สามารถยอมรับได้” เขาได้ฉีกเช็คฉบับดังกล่าว และคืนเงินสด $ 1600 และบอกกับสองหนุ่มว่า “นี่คือ เงิน $ 1,600 กรุณาหักค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น แล้วเก็บเงินที่คุณต้องการสำหรับเป็นค่าเล่าเรียน และมอบส่วนที่เหลือให้กับผม” สองหนุ่มต่างประหลาดใจ และขอบคุณ Paderewski อย่างมากมาย แม้ว่า จะเป็นการแสดงน้ำใจเพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่เป็นการแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า Paderewski เป็นมนุษย์ผู้มีน้ำใจที่ยิ่งใหญ่

ทำไมเขาต้องช่วยคนสองคนซึ่งเขาไม่รู้ด้วยซ้ำ? เราทุกคนต้องเจอสถานการณ์เช่นนี้ในชีวิต และพวกเราส่วนใหญ่จะคิดเพียงว่า “ถ้าเราช่วยพวกเขา แล้วอะไรจะเกิดขึ้นกับเรา” ขณะคนซึ่งมีน้ำใจที่ยิ่งใหญ่กลับคิดว่า “ถ้าเราไม่ช่วยพวกเขา และอะไรจะเกิดขึ้นกับพวกเขาเล่า” พวกเขาจึงไม่ได้ทำด้วยหวังสิ่งตอบแทน พวกเขาทำเพราะรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ควรทำ

ต่อมา Paderewski ได้กลายเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 3 ของสาธารณรัฐโปแลนด์ เขาเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ แต่น่าเสียดายที่เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 เริ่มขึ้นโปแลนด์ก็ถูกทำลายจนเหลือเพียงแต่ซากปรักหักพัง ภายหลังสงครามฯจึงมีผู้คนมากกว่า 1.5 ล้านคนที่อดอยากขาดแคลน โปแลนด์ขณะนั้นซึ่งไม่มีเงินและอาหารเพียงพอที่จะเลี้ยงดูผู้คนชาวโปแลนด์ที่อดยอยากหิวโหยเหล่านั้น นายกรัฐมนตรี Paderewski ไม่รู้ว่าจะขอความช่วยเหลือจากที่ไหน เขาจึงได้ติดต่อขอรับความช่วยเหลือจากองค์การอาหารและการบรรเทาทุกข์แห่งสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีผู้บริหารคือ HERBERT HOOVER และในเวลาต่อมาได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯคนที่ 31 HOOVER รีบตกลงที่จะให้ความช่วยเหลือ และจัดส่งเรือบรรทุกเมล็ดพันธุ์พืชและอาหารจำนวนมากไปเลี้ยงดูชาวโปแลนด์ที่กำลังอดอยากและหิวโหยอย่างรวดเร็ว และสามารถพลิกสถานการณ์ภัยพิบัติได้ในเวลาอันสั้น

หายนะจากความอดอยากขาดแคลนของโปแลนด์จึงผ่านพ้นไป และนายกรัฐมนตรี Paderewski รู้สึกโล่งใจและตัดสินใจที่จะเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไปพบกับ HOOVER เพื่อขอบคุณเป็นการส่วนตัว เมื่อพบกันแล้ว นายกรัฐมนตรี Paderewski ก็เริ่มขอบคุณสำหรับความเมตตาอันสูงส่ง แต่ Hoover ก็รีบแทรกขึ้นมาอย่างรวดเร็วว่า “ท่านไม่จำเป็นต้องขอบคุณผมเลย ท่านนายกรัฐมนตรี ท่านอาจจำเรื่องนี้ไม่ได้ แต่เมื่อหลายปีก่อนท่านได้ช่วยนักศึกษาสองคนให้สามารถจ่ายค่าเล่าเรียนในขณะที่เรียนในมหาวิทยาลัยได้ และผมเป็นหนึ่งในสองคนนั้น”

…ทำดี ย่อมได้รับผลดีตอบแทน...

เข้าโค้งสุดท้าย ! กรณ์ จาติกวณิช นำทีมพรรคกล้า เบอร์ 1 หาเสียงเลือกซ่อมเมืองคอน ชี้ไม่ใช่แค่เดินขอคะแนนเสียง แต่ต้องหาโอกาสให้ชาวบ้านในพื้นที่ ปั้นท่องเที่ยวชุมชน เติมเงินในกระเป๋าชาวบ้าน ชู "วังหอน - ชะอวด" เพชรเม็ดงามที่ถูกเก็บซ่อน

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า กล่าวถึงการหาเสียงช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง ส.ส.นครศรีธรรมราชเขต 3 ว่า จริงๆ แล้วสำหรับพรรคกล้า ไม่ใช่แค่การหาเสียงอย่างเดียว เพราะคำว่า "หาเสียง" หมายถึงการขอคะแนนชาวบ้านให้มากที่สุด เพื่อทำให้ชนะการเลือกตั้ง

แต่เท่านั้นไม่พอ ในระหว่างที่มีโอกาสลุยทุกชุมชน ตนได้ย้ำกับผู้สมัครของพรรคกล้าคือ สราวุฒิ ปิง สุวรรณรัตน์ เสมอว่า ต้องหาโอกาสให้ชาวบ้านไปในตัว ต้องการให้ทุกคนได้กินดีอยู่ดี และมีเงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้น ดังนั้นทุกๆ กิจกรรมการหาเสียงจึงจะต้องเน้นไปที่ประเด็นเหล่านี้เป็นที่ตั้ง การลงพื้นที่ในนครศรีฯ เขต 3 ตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา พบว่านอกจากมีปัญหาที่ต้องแก้ไขหลายจุดด้วยกันแล้ว ยังมีของดีที่ถูกซ่อนอยู่อีกมาก เปรียบเหมือนเพชรรอการเจียระไนให้โลกได้เห็น

“วันก่อนนี้ผมได้มีโอกาสไปหาเสียงที่ชุมชนบ้านวังหอน อำเภอชะอวด สองจุดสำคัญคือ ท่าน้ำลุงดม และ ล่องแพบ้านวังหอน ผมตะลึงกับความใสของน้ำ และความเงียบสงบของธรรมชาติ ความคิดแวบแรกของผมคือ ผมมาที่นครศรีฯ ก็หลายครั้งแล้ว แต่กลับไม่รู้เลยว่ามีสถานที่ดีๆ แห่งนี้อยู่" นายกรณ์ กล่าว

หัวหน้าพรรคกล้า บอกว่า ได้คุยกับเจ้าของทั้งสองแห่ง พวกเขาอยากให้สถานที่ท่องเที่ยวเหล่านี้เป็นที่รู้จัก ถ้าได้มีการโปรโมทดีๆ สักหน่อย ไปได้อีกไกลมาก เพราะนอกจากที่เที่ยวที่สวยงามแล้ว ยังมีที่พักที่ให้ค้างคืนได้ พักผ่อนอยู่ที่นี่สักคืนหรือสองคืน จะทำให้ชีวิตได้ชาร์จแบตเพื่อกลับไปทำงานได้อย่างสดชื่น จึงขออาสาเป็น Influencer เพื่อช่วยโปรมทให้ทุกคนได้รู้ว่า พื้นที่ นครศรีฯ อ.ชะอวด มีเพชรเม็ดงามที่ถูกซ่อนอยู่ พร้อมทั้งย้ำว่า

"7 มีนาคม เข้าคูหา กาเบอร์ 1 เพราะเมืองคอนต้องกล้าเปลี่ยน"

'ขนมจีน' เดิมเป็นอาหารของชาวมอญ

โดยขนมจีนในภาษามอญนั้น เรียกว่า 'คนอม' ส่วนคำว่า “จีน” นั้น ไม่มีใช้ในภาษามอญ มีแต่คำว่า 'จิน' ซึ่งแปลว่า 'สุก'

ว่ากันว่า ขณะที่คนมอญกำลังทำคนอมอยู่ ก็มีคนไทยเดินมา และร้องถามว่ากำลังทำอะไรอยู่

คนมอญก็ตอบเป็นภาษามอญว่า 'คนอมจินโก๊กเซมเจี๊ยะกัม' แปลว่า ขนมจีนสุกแล้ว เรียกคนไทยมากินด้วยกัน

และจากนั้นเป็นต้นมา คนไทยก็เรียกอาหารชนิดนี้ว่า 'คนอมจิน' และเพี้ยนมาเป็น 'ขนมจีน'

จากภาพเป็นการทำขนมจีนในช่วงปีพ.ศ. 2479 โดยชุมชนบ้านหาดเสี้ยว ศรีสัชณาลัย สุโขทัย มีการทำเส้นขนมจีนมายาวนาน เริ่มจากนำข้าวสารแช่น้ำ หมักข้าวไว้จนเปื่อยนำมาโม่ เก็บแป้ง นวดแป้ง ต้มแป้ง แล้วนำมาเริ่มการผลิตตัวเส้นขนมจีนเอาแป้งมานวดกับน้ำจนเหนียวข้น กดใส่พิมพ์กระบอกไม้เจาะรูลงน้ำร้อน ล้างเส้นขนมจีนผ่านน้ำสะอาด 2 - 3 น้ำ แล้วจับเส้นเป็นจับ

ทั้งนี้การผลิตเส้นขนมจีนในสมัยโบราณ มีขั้นตอนเยอะ และใช้เวลาอย่างน้อย 2 - 3 วัน ในการทำเส้นขนมจีน


ที่มา: https://www.facebook.com/groups/280946712327847/permalink/1159710627784780/

ธนาคารแห่งประเทศไทย เผยภาพรวมธุรกิจเดือน ก.พ.64 ปรับตัวดีขึ้น หลังภาครัฐผ่อนคลายมาตรการคุมเข้ม ขณะที่ภาคท่องเที่ยวได้อานิสงส์วันหยุดยาว

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยผลสำรวจเรื่องผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ต่อภาคธุรกิจไทยในเดือนก.พ. 2564 พบว่า ระดับการฟื้นตัวของธุรกิจในภาพรวมปรับดีขึ้นจากเดือนก่อน หลังมีการผ่อนคลายมาตรการ และปรับโซนพื้นที่ควบคุมใหม่ โดยภาคการค้าได้รับอานิสงส์เพิ่มเติมจากมาตรการของรัฐ และภาคท่องเที่ยวเริ่มเห็นสัญญาณปรับดีขึ้นจากผลของวันหยุดยาว โดยธุรกิจส่วนใหญ่ คาดว่า ผลกระทบจากการแพร่ระบาดระลอกใหม่ในไทยจะใกล้เคียงหรือน้อยกว่าระลอกก่อนเล็กน้อย อีกทั้งยังปรับตัวได้ค่อนข้างมากและดีขึ้นจากเดือนก่อน ยกเว้นภาคท่องเที่ยวและภาคการค้า

ส่วนระดับกิจกรรมทางธุรกิจปรับดีขึ้นจากปีก่อน หลังมีการผ่อนคลายมาตรการ และปรับโซนพื้นที่ควบคุมใหม่ในเดือน ก.พ. ส่งผลให้ความเชื่อมั่น รวมถึงกิจกรรมบางส่วนที่หยุดชะงักไปเริ่มทยอยกลับมา และช่วยให้ระดับการจ้างงานและรายได้ของแรงงานในธุรกิจส่วนใหญ่ทยอยปรับดีขึ้น ทั้งจำนวนแรงงาน ชั่วโมงการทำงานเฉลี่ยและรายได้เฉลี่ยต่อคน

ขณะที่การใช้นโยบายปรับเปลี่ยนการจ้างงาน พบว่า ธุรกิจทั้งในและนอกภาคการผลิตใช้นโยบายปรับเปลี่ยนการจ้างงานลดลงจากเดือนก่อน โดยเฉพาะการสลับกันมาทำงาน และลดชั่วโมงทำงาน แต่ธุรกิจนอกภาคการผลิตมีแนวโน้มใช้นโยบายปลดคนงานเพิ่มขึ้น เพื่อประคับประคองธุรกิจให้สามารถเดินหน้าต่อไป

วันนี้ในอดีต เป็นอีกหนึ่งวันสำคัญของประเทศไทย และถูกบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์ตลอดระยะเวลากว่า 87 ปี โดยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ทรงสละราชสมบัติ รวมเวลาในการครองราชย์ 9 ปี

ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช เป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 โดยคณะราษฎร ที่นำโดย นายปรีดี พนมยงค์ และพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา ต่อมา พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ไปประทับยังประเทศอังกฤษ โดยทรงแต่งตั้ง สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัดติวงศ์ เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

ระหว่างช่วงเวลาดังกล่าว พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงติดต่อราชการกับรัฐบาล ที่มีพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นนายกรัฐมนตรี ผ่านทางผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ซึ่งปรากฏข้อขัดแย้งต่าง ๆ ที่ไม่สามารถหาข้อยุติกันได้ กระทั่งเมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2477 จึงทรงมีพระราชหัตถเลขา ประกาศสละราชสมบัติ ส่งมายัง เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะผู้แทนรัฐบาล มีใจความส่วนหนึ่งว่า...

“...ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิม ให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใดโดยเฉพาะ เพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของราษฎร...บัดนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่า ความประสงค์ของข้าพเจ้า ที่จะให้ราษฎรมีสิทธิออกเสียง ในนโยบายของประเทศไทยโดยแท้จริงไม่เป็นผลสำเร็จ

และเมื่อข้าพเจ้ารู้สึกว่าบัดนี้เป็นอันหมดหนทางที่ข้าพเจ้าจะช่วยเหลือหรือให้ความคุ้มครองแก่ประชาชนได้ต่อไปแล้ว ข้าพเจ้าจึงขอสละราชสมบัติและออกจากตำแหน่งพระมหากษัตริย์แต่บัดนี้เป็นต้นไป ข้าพเจ้าขอสละสิทธิของข้าพเจ้าทั้งปวง ซึ่งเป็นของข้าพเจ้าในฐานที่เป็นพระมหากษัตริย์ แต่ข้าพเจ้าสงวนไว้ซึ่งสิทธิทั้งปวงอันเป็นของข้าพเจ้าแต่เดิมมาก่อนที่ข้าพเจ้าได้รับราชสมบัติสืบสันตติวงศ์…”

ภายหลังจากมีพระราชหัตเลขาสละราชสมบัติ คณะรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร จึงได้อัญเชิญเสด็จพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล พระราชนัดดาในสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ซึ่งเป็นเจ้านายเชื้อพระบรมวงศ์พระองค์ที่ 1 ในลำดับพระราชสันตติวงศ์แห่งกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พ.ศ. 2467 ขึ้นทรงราชย์สืบพระราชสันตติวงศ์ต่อไป


ที่มา: https://www.matichonacademy.com/content/culture/article_38342

https://th.wikipedia.org/wiki, https://www.silpa-mag.com/this-day-in-history/article_1746

‘เบญจา ก้าวไกล’ ชี้ ประชาชนชุมนุมเพราะคาใจ ทำไม ‘บ้านประยุทธ์’ ไปอยู่ในเขตพระราชฐาน แนะควรใช้เหตุผลอย่าใช้กำลังตอบโต้ ย้ำ เป็นนายกฯ ต้องรักษาพระเกียรติ อย่าดึง ‘สถาบัน’ เป็นเกราะเพื่อรักษาอำนาจตัวเอง ย้ำไม่เห็นด้วยกับความรุนแรงไม่ว่ามาจากฝ่ายใด

เบญจา แสงจันทร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า จากการเข้าร่วมสังเกตการณ์การชุมนุมเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ขอยืนยันว่า การชุมนุมเมื่อวานนี้ (28 ก.พ.64) เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพปกติตามระบอบประชาธิปไตยที่สามารถทำได้ เพราะเป็นเพียงการแสดงออกเพื่อตั้งคำถามถึงกรณีบ้านพักของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่อยู่ในค่ายทหารซึ่งเป็นการรับประโยชน์อื่นใดที่ผิดกฎหมาย ปปช. และบังคับใช้กับนักการเมืองทุกคน แต่ทำไมจึงยกเว้นสำหรับนายกรัฐมนตรีคนนี้

นอกจากนี้ พวกเขายังมีคำถามถึงค่าน้ำค่าไฟที่มาจากภาษีประชาชน และยังมีคำถามว่าเหตุใดบ้านของนายกรัฐมนตรีจึงสามารถไปตั้งอยู่ในเขตพระราชฐานได้ สมควรย้ายออกมาหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าพวกเขาจะมีคำถามใด สิ่งที่คนเป็นนายกฯ ควรทำคือการให้คำตอบด้วยเหตุผลไม่ใช่ การล้อมรั้วลวดหนามและส่งกองกำลังมาสลาย ซึ่งในเรื่องนี้ ตั้งแต่มีการเปิดประเด็นในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ พวกเขาก็ยังไม่เคยได้รับคำชี้แจงที่ครบถ้วนจากนายกรัฐมนตรีเลย

เบญจา ยังกล่าวอีกว่า เป็นเรื่องที่น่าเสียใจที่การชุมนุมของประชาชนซึ่งเป็นการแสดงออกตามปกติกลับจบลงด้วยการใช้กำลังสลายการชุมนุม ซึ่งตนและพรรคก้าวไกลยืนยันว่า ไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรงไม่ว่ามาจากฝ่ายใด และเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่สังคมไทยจะต้องยินยอมเปิดพื้นที่ให้ทุกคนทุกฝ่ายสามารถแสดงออกและสามารถพูดคุยในประเด็นต่างๆรวมถึงประเด็นที่อ่อนไหวได้อย่างสันติ

อย่างไรก็ตาม ต่อกรณีที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ขอเรียกร้องไปยังเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมดูแลสถานการณ์ให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยสติและมีเหตุผล ปฏิบัติโดยยึดหลักการควบคุมการชุมนุมสากลอย่างเคร่งครัด โดยเริ่มจากมาตราเบาไปหาหนัก ไม่ใช่การกระทำแบบเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ ซึ่งปรากฏชัดว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยใช้ความรุนแรงเกินสัดส่วนการควบคุมสถานการณ์ ไม่ว่าการเข้าไปลากคนเจ็บมาจากหน่วยพยาบาลซึ่งไม่มีใครทำกันแม้กระทั่งในยามสงคราม การใช้แก๊สน้ำตาและยิงกระสุนยางใส่ผู้ชุมนุมโดยตรงซึ่งอาจมีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ รวมถึงการเข้าไปทำร้ายไล่ล่าผู้ชุมนุมอย่างป่าเถื่อนเสมือนเป็นอริราชศัตรู

ทั้งนี้ ปฏิบัติการหลายอย่างยังดำเนินไปอย่างไร้มนุษยธรรม ในส่วนตัวจึงขอประณามการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐและเรียกร้องไปยังนายกรัฐมนตรีให้ตระหนักถึงต้นเหตุของปัญหา ซึ่งก็คือตัวท่านเองให้รับผิดชอบต่อทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนสถานการณ์จะบานปลายไปมากกว่านี้ ทั้งนี้ ตนและพรรคก้าวไกลจะมีการติดตามตรวจสอบการละเมิดสิทธิต่างๆเพื่อดำเนินการไปตามช่องทางต่างๆต่อไป

“ขอยืนยันอีกครั้งว่า ทุกตารางนิ้วของกองทัพมาจากภาษีของประชาชน ประชาชนจึงควรจะมีสิทธิโดยชอบในการตรวจสอบได้ แต่ที่ผ่านมาอย่าว่าแต่ผู้ชุมนุม แม้กระทั่ง ส.ส.เองก็ยังทำหน้าที่นี้ได้ด้วยความลำบากหรือแทบไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบกองทัพได้เลย จึงถึงเวลาแล้วที่สังคมไทยจะต้องตอบตัวเองให้ชัดว่าจะปล่อยให้กองทัพกลายเป็นแดนสนธยาแบบนี้ต่อไปหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนพื้นที่กองทัพให้กลายเป็นเขตพระราชฐาน จะยิ่งทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ถูกยกเป็นเกราะกำบังให้แก่เรื่องที่ลี้ลับดำมืดจนยากจะตรวจสอบมากขึ้นไปอีก การกระทำเช่นนี้มีแต่จะยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์กับประชาชนแย่ลง ทั้งนี้ การรักษาไว้ซึ่งพระเกียรติเป็นหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะเมื่อควบตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมด้วยแล้วจึงยิ่งไม่บังควรอย่างยิ่งที่จะทำให้เกิดภาพแบบนี้ต่อสถาบันฯ”

พิมรี่พายติดไฟ LED โซลาร์เซลล์ บนถนนให้ชุมชนในคลองเตย "ความมืดมิดใจกลางเมืองหลวง เพราะพิมเชื่อว่า...ทุกคนมีสิทธิเข้าถึงแสงสว่าง"

วันที่ 1 มีนาคม 2564 พิมรี่พายแม่ค้าออนไลน์ และยูทูปเบอร์ชื่อดัง ได้เผยแพร่วิดีโอที่เธอได้ไปร่วมช่วยเหลือในชุมชนคลองเตย ในวิดีโอที่ชื่อว่า "ความมืดมิดใจกลางเหมืองหลวง เพราะพิมเชื่อว่า...ทุกคนมีสิทธิเข้าถึงแสงสว่าง"

โดยวิดีโอเริ่มต้นที่พิมรี่พายได้เดินไปรอบๆในชุมชนที่แออัด และผู้คนทำกิจกรรมต่าง ๆ ในความมืด เธอได้นั่งพูดคุยกับเด็กๆถึงความฝัน และเด็กหญิงคนหนึ่งพูดว่า "หนูจบม.6 มาหลายปีแล้ว หางานยากมาก แม่ไม่ได้ทำงานแล้ว แม่อายุเยอะแล้ว ไม่อยากให้แม่ทำงาน พี่พิมเป็นไอดอลหนู โตขึ้นอยากทำให้ได้แบบพี่พิม ถ้าหนูมีตัง ตอนนี้มันทำอะไรไม่ได้"

พิมรี่พายพูดกับเด็ก ๆ ว่า "โอกาสของชุมชน เดี๋ยวพี่พิมจัดให้ แต่โอกาสของชีวิต เอ็งต้องเดินไปหาเอง สู้ ๆ นะ"

หลังจากนั้นพิมรี่พายได้ไปนั่งกับคุณยาย ที่ใช้ชีวิตในชุมชนคลองเตย และขายขนมครกเพื่อเลี้ยงหลาน ยายเผยว่า ไม่มีแสงไฟ ทำให้ตกหลุมตกบ่ออยู่บ้าง "ความมืดอะกลัวอยู่ แต่อาศัยว่าเราชิน อย่างยายไม่มีตังหรอกลูก หามื้อกินมื้อเลี้ยงหลาน ไฟนี่อาศัยเพื่อนบ้านต่อให้ อยู่มาหกสิบปีแล้วลูก หน้าบ้านยังไม่มีไฟ"

พิมรี่พายตอบว่า "โอเคค่ะ เดี๋ยวยายมีไฟค่ะ ซึ่งทำให้คุณยายดีใจและร้องไห้ออกมา พิมรี่พาย "สู้นะคะ" คุณยาย "สู้"

"ใจกลางเมือง พระรามสี่ สุขุมวิท หนูไปทำไฟตั้งไกล ปล่อยให้กลางเมืองมืดขนาดนี้ไม่ได้หรอก ที่นี่คือคลองเตย มืดสนิท อยู่กันยังไง พรุ่งนี้ติดไฟให้หมดเลย เอาให้สว่างเลยนะ กี่ดวงก็ติด เท่าไหร่ก็ติด พรุ่งนี้เป็นต้นไป คนทั้งประเทศจะต้องได้เห็นคลองเตย ติดให้สว่างไปถึงใจเลยพี่" พิมรี่พายเผย

หลังจากนั้นพิมรี่พายได้ไปซื้อ ไฟติดถนน LED โซลาร์เซลล์ 500 วัตต์ 100 กว่าดวง และถัดมาเธอได้นำไฟเหล่านั้นไปติดตั้งรอบๆ ถนนในชุมชน และสนามฟุตบอล "เด็กๆ มีไฟใช้แน่"

เมื่อตกมืด ชุมชนได้เปิดไฟที่เพิ่งติดตั้งนี้ ที่ได้ส่องสว่างไปทั่ว "กูบอกแล้ว คลองเตยต้องสว่าง" พิมรี่พายพูด

และช่วงสุดท้ายเป็นภาพของไฟฟ้าสว่างไปทั่วชุมชนคลองเตย

"ที่นี่คลองเตย เห็นคลองเตยหรือยัง" พิมรี่พายพูดในตอนท้าย

.


ที่มา: https://www.naewna.com/likesara/555992

กระทรวงคมนาคม ดันแลนด์บริดจ์ ชุมพร - ระนอง มูลค่าลงทุนแสนล้านบาท เชื่อมโยง 2 ท่าเรือ ได้แก่ ท่าเรือระนองแห่งใหม่ และท่าเรือชุมพร พร้อมเปิดเส้นทางเดินเรือแห่งใหม่ 2 มหาสมุทร ทั้งมหาสมุทรอินเดีย และ มหาสมุทรแปซิฟิก

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ได้ลงนามสัญญาจ้างที่ปรึกษาเพื่อศึกษา ความเหมาะสม ออกแบบเบื้องต้น ประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและวิเคราะห์รูปแบบโมเดลการพัฒนาการลงทุนโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง เพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน (Land bridge) เป็นการขนส่งเชื่อมโยง 2 ท่าเรือ ได้แก่ ท่าเรือระนองแห่งใหม่ และท่าเรือชุมพร โดยออกแบบให้เป็นท่าเรือที่ทันสมัย ควบคุมการบริหารจัดการด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ คาดว่าจะศึกษาแล้วเสร็จภายในปี 2565

สำหรับโครงการนี้ กระทรวงคมนาคมจะบูรณาการรูปแบบการขนส่งเชื่อมโยง ท่าเรือระนองแห่งใหม่ และท่าเรือชุมพร โดยออกแบบให้เป็นท่าเรือที่ทันสมัย รวมทั้งการพัฒนาทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง และรถไฟทางคู่ รวมทั้งวางระบบการขนส่งทางท่อ โดยทำการก่อสร้างไปพร้อมกันในพื้นที่เดียวกัน เพื่อให้สอดคล้องตามแผนบูรณาการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองเชื่อมต่อแนวเส้นทางรถไฟทางคู่

ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบจากการเวนคืนที่ดินของภาคประชาชน โดยประมาณการวงเงินลงทุนทั้งโครงการ ประมาณ 100,000 ล้านบาท โดยให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนกับภาครัฐในรูปแบบ PPP

ทั้งนี้ เมื่อโครงการดังกล่าวดำเนินการแล้วเสร็จ จะสามารถลดระยะเวลาการขนส่งทางเรือลงได้ถึง 2 วัน ช่วยยกระดับประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางน้ำของภูมิภาค เปิดเส้นทางเดินเรือแห่งใหม่ของมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิก ส่งเสริมการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ช่วยสร้างโอกาส สร้างงานและรายได้เพิ่มขึ้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top