เรียกคืนย้อนหลัง เบี้ยยังชีพคนชรา...งานนี้ใครผิด ใครถูก? | News มีนิสส More Minutes Contrast
เรียกคืนย้อนหลัง เบี้ยยังชีพคนชรา...งานนี้ใครผิด ใครถูก?
.

เรียกคืนย้อนหลัง เบี้ยยังชีพคนชรา...งานนี้ใครผิด ใครถูก?
.
ณฐพร โตประยูร VS ก้าวไกล มองต่างจนเป็นเรื่อง
.
เสียดาย หรือ ไม่เสียดายดี เมื่อเขาว่า ประเทศไทย คือ ชาติเดียวในอาเซียน ที่ ‘หลุดขบวน’ จากโครงการแจกจ่ายวัคซีนของ COVAX
.
มาไหว้เจ้าออนไลน์กันเต๊อะ!! ฉลองตรุษจีนแบบ New Normal ใครว่ายาก?
.
ต้นตอโควิด-19 มาจากค้างคาวที่ไทย จริงหรือ?
.
น้ำพุโซดา กาญจนบุรี กินได้แน่นะ?
.
ร้านอาหารเมนูกัญชาโผล่พรึ่บ ใคร ๆ ก็เปิดได้หรอ?
.
นายจงคล้าย วรพงศธร ผู้ตรวจราชการกระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายประกิต วงศ์ศรีวัฒนกุล รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช นายณัฐวุฒิ เพ็ชร์พรหมศร รองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี พร้อมด้วย นายพิชัย วัชรวงษ์ ผอ.สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่3 และ เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ตั้งโต๊ะเจรจาและรับฟังปัญหาการบุกรุกป่าจากชาวกระหร่างบางกลอยบน - ใจแผ่นดิน ที่บริเวณศาลาพอละจี บ้านบางกลอย หมู่ที่ 1 ต.ห้วยแม่เพรียง อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี
ทั้งนี้ มีนายประเสริฐ พร้อมด้วยตัวแทนชาวหร่างอีก 4 คน และ มีนายนิรันด์ พงษ์เทศ ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 1 บ้านบางกลอง และชาวบ้าน ร่วมเจรจา โดยมีฝ่ายปกครอง ภาคีเครือข่าย และสื่อมวลชน ร่วมเป็นสักขีพยาน
นายจงคล้าย เผยว่า จากการที่คณะทำงานแก้ไขปัญหากรณีบ้านบางกลอย-ใจแผ่นดิน ที่นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ตั้งขึ้น ลงพื้นที่ทำงานหาข้อมูลข้อเท็จจริงในพื้นที่ช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา และเจ้าหน้าที่ได้ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ตรวจสอบพื้นที่จากทางอากาศและได้บันทึกภาพไว้ และเมื่อนำมาประเมินเบื้องต้นพบว่า มีการบุกรุกป่าบริเวณ บ้านบางกลอยบน - ใจแผ่นดิน เพิ่มมากขึ้น ทั้งที่มีการลงนามบันทึกข้อตกลง เพื่อแก้ไขปัญหากรณีดังกล่าวกันแล้ว
แต่พบว่า มีพื้นที่ป่าถูกบุกรุกป่าด้วยการแผ้วถาง และเผาป่า กว่า 120 ไร่ และเห็นที่ชัดที่สุดคือ ตามซอกเขา หลายจุด จุดละประมาณ 15 ไร่เศษ จากนั้นเจ้าหน้าที่หลายฝ่ายได้เปิดยุทธการพิทักษ์ป่าต้นน้ำเพชร ระหว่างวันที่ 22 - 24 ก.พ. โดยเจ้าหน้าที่สนธิกำลังกว่า 80 นาย ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปลงจุดบุกรุกป่าต้นน้ำบางกลอยบน - ใจแผ่นดิน พร้อมเข้าร่วมเจรจาโดยใช้หลักละมุนละม่อม ปราศจากความรุนแรงโน้มน้าวให้ชาวกระหร่างลงมาที่บริเวณบ้านบางกลอยล่าง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่รัฐจัดสรรพื้นที่ไว้ให้ชาวกระหร่างทำกิน เพื่อแก้ไขปัญหาการบุกรุกป่า
นายจงคล้าย วรพงศธร ผู้ตรวจราชการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ เผยว่า การเดินทางมาเจรจาในครั้งนี้ เบื้องต้นเพื่อมารับฟังปัญหาและความต้องการที่ชาวกระหร่าง ร้องขอ หากการร้องขอนั้นสามารถทำได้เลยก็จะทำ แต่สิ่งไหนที่ไม่สามารถรับปากในวันนี้ได้ก็จะนำไปรายงานให้คณะทำงานได้ประชุมหาทางแก้ไขเพื่อให้ปัญหายุติลง ขณะที่ ตัวแทนชาวกระหร่าง ได้ยื่นหนังสือข้อเจรจาให้กับเจ้าหน้าที่โดยมีวัตถุประสงค์ 7 ข้อ คือ
1.) พวกเราชาวบ้านบางกลอยขอยืนยันที่จะอยู่พื้นที่เดิมที่เคยอยู่มาก่อน
2.) คนที่ไม่มีความประสงค์จะกลับขึ้นไป ขอให้ช่วยเหลือเรื่องพื้นที่ทำกิน
3.) การปฏิบัติยุทธการพิทักษ์ป่าต้นน้ำเพชรที่เจ้าหน้าที่ดำเนินการเมื่อวันที่ 22 - 23 ก.พ.ที่ผ่านมา สร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านเนื่องจากอุปกรณ์ส่องสว่างได้รับความเสียหาย
4.) ขอให้เจ้าหน้าที่หยุดปฏิบัติการในช่วงนี้ จนกว่ากระทรวงทรัพยากรฯจะส่งคณะทำงานมา
5.) ขอให้เจ้าหน้าที่ และบางสื่อเสนอข่าว กล่าวหาว่า พวกเราไม่ใช่คนไทย
6.) ให้มีกระบวนการพิสูจน์สิทธิทั้งภาครัฐและนักวิชาการ กรณี เรื่องการทำไร่หมุนเวียน
7.) จะรอจนกว่าคณะทำงานที่ส่งมาจากกระทรวง ซึ่งอาจจะได้ข้อยุติ
ข้อเรียกร้องดังกล่าว นายจงคล้าย ยืนยันว่า จะนำเสนอให้กับคณะทำงานได้รับทราบและนำไปปฏิบัติเพื่อลดปัญหาการบุกรุกป่าต้นน้ำเพชร ต่อไป
ขณะเดียวกันประธานองค์กรอนาคตเพชรบุรี และภาคีเซฟแก่งกระจานป่าของโลกได้เดินทางไปยื่นร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน สภ. แก่งกระจานกล่าวหาว่า...
พบเห็นการกระทำความผิดอาญาโดยมีนายนอแอ๊ มีมิลูก นายคออี้ พร้อมพวก กลับขึ้นไปบุกรุกพื้นที่พิพาท ณ.ปัจจุบันซึ่งเป็นพื้นที่ที่ศาลปกครองกลางและศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาแล้วว่า เป็นพื้นที่ของ อุทยานแห่งชาติ แก่งกระจาน อาจเป็นการละเมิดมาตรา 16 พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ 2504
ซึ่งถือเป็นการกระทำความผิดทางอาญา จึงได้มาร้องทุกข์กล่าวโทษให้พนักงานสอบสวนดำเนินการสอบสวนและ ดำเนินคดีต่อ กลุ่มบุคคลดังกล่าวซึ่งมีทั้งตัวการและ ผู้สนับสนุน การกระทำความผิด โดยมีการแบ่งหน้าที่กันทำอันเป็นความผิด ตาม พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ 2562
เมื่อเวลาเวลา 8.30 น.วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 64 ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก นายสวัสดิ์ เจริญผล ทีมทนายความ เดินทางมาติดตามคำสั่งของศาลอุทธรณ์ภายหลังศาบอาญามีคำพิพากษาจำคุกเเกนนำ กปปส.เเละส่งคำร้องให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาประกัน ว่าในวันนี้ทางทนายจะไม่มีการดำเนินการยื่นเอกสารใดๆแล้วเพียงแต่อยู่ในขั้นของการรอฟังคำสั่งของศาลอุทธรณ์ที่จะมีการปล่อยตัวจำเลยทั้ง 8 คน ซึ่งมีการถูกควบคุมตัวมาแล้ว 2 วัน
นายสวัสดิ์ กล่าวว่า ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่สมควรแล้วที่ทางศาลจะมีคำสั่งปล่อยตัวจำเลยทั้ง 8 คน เพราะการถูกพิพากษาในครั้งนี้เป็นผลจากการชุมนุมตั้งแต่ปีพ.ศ 2556 และสิ้นสุดการชุมนุมเมื่อปีพ.ศ.2557 พฤติการณ์ทั้งหมดของผู้ที่ถูกตัดสินถือเป็นการต่อสู้เพื่อชาติบ้านเมือง มาโดยตลอดจนกระทั่งวันที่ศาลมีคำสั่งพิพากษาตัดสินให้จำเลยมีความผิด
สำหรับหลักการที่จะไม่มีการปล่อยตัวศาลจะพิจารณาจากหลัก 4 ข้อประกอบด้วย
1.) จำเลยมีการพยายามหลบหนีหรือไม่
2.) มีการยุ่งเกี่ยวกับพยานหรือไม่
3.) มีการทำผิดในเรื่องอื่นหรือไม่
และ 4.) หลักประกันมีความน่าเชื่อถือหรือไม่ซึ่งที่ผ่านมาหลักประกันที่ทางทนายยื่นไปประกอบไปด้วยเงินสด
ซึ่งจากที่ทีมทนายได้มีการวิเคราะห์ร่วมกันกับจำเลยทั้ง 8 คน สรุปว่าที่ผ่านมาทั้งหมดไม่เคยมีใครมีพฤติการณ์หลบหนี ทุกคนมีการมาพบเจ้าหน้าที่ตามนัด ทำตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัดมีหลักประกันที่น่าเชื่อถือและไม่เคยมีใครปฏิเสธอำนาจของศาล
ฉะนั้นแล้วทั้งหมดจึงอยู่ในข่ายที่สมควรได้รับการประกันตัว ถึงแม้วันนี้จะยังไม่ทราบว่าศาลจะพิจารณาคำสั่งอนุญาตประกันเมื่อใด แต่ถ้าศาลมีการอนุญาตให้ประกันแล้วขั้นตอนต่อไปก็จะเป็นในส่วนของ การให้หมายปล่อยและราชทัณฑ์จะมีการตรวจสอบ การใช้เวลาน้อยหรือมากขึ้นอยู่ที่ขั้นตอนของทั้งสองส่วนซึ่งทางทนายไม่อาจละเมิดได้ ส่วนคำตอบจะเป็นอย่างไร ทนายและจำเลยก็ยินดีน้อมรับ
ส่วนเหตุการณ์เมื่อวานนี้ (25 ก.พ.) ที่ศาลไม่มีคำสั่งให้ประกันทางทนายไม่ มีการพูดคุยกับจำเลยทั้ง 8 คนเนื่องจากเลยเวลาเข้าเยี่ยมของราชทัณฑ์แล้วเพียงแต่โทรศัพท์แจ้งทางญาติที่เฝ้ารออย่างมีความหวัง
ส่วนเรื่องของโรคประจำตัวทางราชทัณฑ์การแจ้งผ่านทนายว่าสามารถมีการฝากยาไว้ให้จำเลยทั้ง 8 คนได้ แต่อย่างไรก็ตามในเรือนจำเองมีโรงพยาบาลที่จะคอยอำนวยความสะดวกในอาการเจ็บป่วยอยู่แล้ว
รายงานข่าวแจ้งว่า โดยเมื่อสักครู่ที่ผ่านมาทางศาลอาญาได้มีการประสานทำความเข้าใจว่ากรณีการจำคุกนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับพวกว่าที่ผ่านมาทางศาลอาญายังไม่มีคำสั่ง "ไม่ให้ประกันตัว" แต่มีคำสั่งว่า เห็นควรส่งศาลอุทธรณ์พิจารณาว่าจะให้ปล่อยตัวหรือไม่ ดังนั้นจะไม่ใช่การยื่นขอประกันใหม่ แต่เป็นการรอฟังผลการพิจารณาจากทางศาลอุทธรณ์เท่านั้น โดยขณะนี้มีรายงานว่าทางศาลอาญาเตรียมความพร้อมที่จะอ่านคำสั่งของศาลอุทธรณ์ในช่วงเช้านี้
ต้องยอมรับถึงความร้อนแรงของตลาดการเงินดิจิทัลตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ยิ่งมีข่าวการกระโดดเข้ามาร่วมทุนอย่างเต็มตัวของเจ้าพ่อ Tesla อย่าง อีลอน มัสก์ ที่ยอมเทกระเป๋าลงทุนใน Bitcoin ไปแล้วถึง 45,000 ล้านบาท ก็ยิ่งทำให้ Botcoin กลายเป็นที่สนใจ และทำราคาพุ่งทะลุ 5 หมื่นดอลลาร์/ บิทคอยน์ เพิ่มขึ้นเท่าตัวในเวลาเพียง 2 เดือน
ด้วยความคึกคักของตลาดเงินดิจิทัล ทางรัฐบาลอินเดียยอมรับว่า มีนักลงทุนอินเดียจำนวนไม่น้อยออกไปลงทุนในตลาดเงินดิจิทอล ที่อาจส่งผลต่อเสถียรภาพของเงินสกุลรูปีของประเทศในระยะยาว
แต่หากทิศทางของการทำธุรกรรมในอนาคตมีแนวโน้มไปทางโลกดิจิทัล รัฐบาลอินเดียคงไม่สามารถเพิกเฉยต่อกระแสของเศรษฐกิจยุคใหม่ได้ และได้มีการพูดคุยกันถึงการผ่านร่างกฏหมายว่าด้วยเรื่องข้อกำหนดของเงินดิจิทัล และอีกประเด็นที่กำลังเป็นที่น่าจับตาก็คือ การออกเงินสกุล ดิจิทัล รูปี ของอินเดีย
แม้ตอนนี้เพิ่งอยู่ในขั้นตอนการถกประเด็นในสภา แต่การออกดิจิทัล รูปี เริ่มมีเสียงตอบรับและสนับสนุนจากภาคเอกชนบางส่วนในอินเดียที่เห็นด้วยว่า อินเดียควรมีเงินสกุลดิจิทัลเป็นของตัวเอง
นาย ราเคช จุนยุนวาลา อภิมหาเศรษฐีอินเดียที่ได้รับฉายาว่าเป็น วอเรน บัฟเฟตแห่งอินเดียให้ความเห็นว่า รัฐบาลอินเดียควรแบน Bitcoin เพื่อสร้างเงินสกุลดิจิทัล รูปีให้เกิดด้วยซ้ำไป
แต่ทั้งนี้รัฐบาลอินเดียยังไม่ได้พิจารณาถึงขั้นที่จะแบนเงินสกุลดิจิทัลอื่นๆ หรือไม่รับรองการซื้อขายเงินดิจิทอลในตลาดเงินอินเดีย แต่การสร้างเงิน ดิจิทัล รูปี มีโอกาสเกิดขึ้นจริงในเร็วๆ นี้ และอาจเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งด้วย หากพิจารณาจากศักยภาพของอินเดีย ประเทศที่มี GDP ใหญ่เป็นอันดับ 6 ของโลก
นอกจากจะมีโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่ใหญ่มากๆ แล้ว อินเดียยังสามารถพัฒนาระบบและเทคโนโลยีเป็นของตัวเองได้ และประสบความสำเร็จมากๆ อย่างเช่น ระบบ UPI หรือ Unified Payments Interface ซึ่งเป็นระบบการโอนเงินแบบเรียลไทม์ ที่พัฒนาโดยทีมนักพัฒนาระบบของอินเดียปี 2016 และอยู่ภายใต้การดูแลโดยธนาคารกลางอินเดีย
หลังจากที่ใช้ระบบ UPI ผ่านมาแล้ว 4 ปี ก็พบว่ามีธนาคารมากถึง 207 แห่ง รวมทั้ง Amazon เว็บไซท์ e-Commerce ชื่อดังได้ใช้ระบบ UPI เป็นช่องทางการทำธุรกรรมการเงิน และมีปริมาณการใช้งานต่อเดือนมากกว่า 2,330 ล้านครั้ง คิดเป็นมูลค่าเฉลี่ยมากถึง 57,800 ล้านเหรียญสหรัฐในแต่ละเดือน
และหากธุรกรรมการเงินเหล่านี้ใช้เป็นเงินดิจิทัล รูปี ในการซื้อขาย สกุลเงินนี้จะแข็งแกร่งถึงขนาดไหน
แต่การสร้างระบบเงินดิจิทัล รูปี ของอินเดีย รัฐบาลจะต้องสร้างระบบบันทึกรายการธุรกรรมดิจิทัลเป็นของตัวเอง ที่จะเป็นคนละระบบกับเงินดิจิทัลต่างชาติ เพื่อให้ง่ายต่อการควบคุมและตรวจสอบ แม้ว่าจะเป็นสิ่งจำเป็นในเรื่องเกี่ยวกับระบบจัดเก็บภาษี ที่อาจมีประเด็นตามมาในเรื่องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน ที่คงไม่อยากให้รัฐบาลรู้เรื่องเงินทุกบาท ทุกสตางค์ที่เรามีในกระเป๋า
และมีอีกเรื่องหนึ่ง ที่อาจเป็นอุปสรรคของการสร้างเงินดิจิทัล รูปี ก็คือการเข้าถึงเทคโนโลยีเงินดิจิทอลในประเทศ
แม้ในอินเดียจะมีประชากรมากถึง 1,360 ล้านคน แต่ยังมีผู้ใช้สมาร์ทโฟนไม่ถึง 40% ของประชากร หรือราวๆ 600 ล้านเครื่อง และในจำนวนนี้ มีบัญชีผู้ใช้งานในระบบ UPI หรือระบบโอนเงินดิจิทัลของอินเดียเพียง 100 ล้านบัญชีเท่านั้น การเข้าถึงระบบธุรกรรมดิจิทัลในอินเดียตามสัดส่วนของประชากรทั้งหมดยังถือว่าน้อย
หากต้องการให้เงินดิจิทัล รูปี กลายเป็นอีกหนึ่งเงินสกุลหลักสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ รัฐบาลอินเดียจะต้องพยายามให้ชาวอินเดียเข้าถึงการใช้งานได้ทุกกลุ่ม ในอุปกรณ์ที่หลากหลายกว่าสมาร์ทโฟน เช่น คอมพิวเตอร์แล็บท็อปทั่วไป หรือ บัตรสมาร์ทการ์ด เพื่อผลักดันการใช้เงินดิจิทอล รูปี ในระบบเงินของอินเดียให้ได้อย่างน้อย 12% ของ GDP จึงจะเรียกว่า "ติดตลาด" ได้
และเมื่อพูดถึงโครงการดิจิทัล รูปี ก็อดเทียบกับเงินดิจิทัลของอีกประเทศที่ได้เปิดตัวไปแล้วก่อนหน้านี้ นั่นก็คือ ดิจิทัล หยวน
ในเวลานี้ ทางจีนได้มีการปล่อยเงินดิจิทัล หยวน ทดลองใช้ในตลาดจริงแล้วในบางเมือง เช่น เสิ่นเจิ้น และ ซูโจว ซึ่งชาวจีนก็มีความคุ้นเคยกับการใช้เงินดิจิทอลมาแล้วอย่างแพร่หลาย หากนับจากประชากรจีนที่มีพลเมืองใกล้เคียงกับอินเดีย แต่มีสัดส่วนของผู้ใช้สมาร์ทโฟนมากถึง 64% ในปี 2020 และมีแนวโน้มว่าจะมีผู้ใช้สมาร์ทโฟนสูงเกิน 75% ในอีก 5 ปีข้างหน้า
ซึ่งสกุลเงินดิจิทัล หยวน ก็ยังอยู่ภายใต้การดูแลของธนาคารกลางจีน ที่ทำให้เงินมีความเสถียรสูง และมีความเสี่ยงต่ำ
แต่สิ่งที่เป็นอุปสรรคของการเติบโตของดิจิทอล หยวน ของจีน ไม่ใช่คู่แข่งจากเงินดิจิทอลจากต่างประเทศอย่าง Bitcoin แต่กลับเป็นบริษัทผู้ให้บริการทางการเงินเอกชนในประเทศ อย่าง Alipay ของ Alibaba และ WeChat ของ Tencent ที่กินส่วนแบ่งในตลาดธุรกรรมการเงินดิจิทอลในจีนมากถึง 95% ซึ่งกลายเป็นโจทย์ใหญ่ของรัฐบาลจีนว่า จะทำอย่างไรให้คนจีนหันมาใช้ ดิจิทอล หยวน ให้แพร่หลายกว่านี้ และจะแข่งกับบริษัทเอกชนที่ครองตลาดอย่างเหนียวแน่น และเข้าถึงผู้ใช้ชาวจีนได้มากกว่าอย่างไร
นับเป็นสถานการณ์ที่แตกต่างกัน ระหว่าง 2 ประเทศ ที่โอกาสของ ดิจิทัล รูปี ยังดูสดใสมากในแง่ของผู้แข่งขันในประเทศยังไม่เด่นชัด และชาวอินเดียเพิ่งเริ่มเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทอล
ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าจับตามองมาก หากอินเดียผลักดัน ดิจิทัล รูปี ของตนเองจนประสบความสำเร็จ ก็อาจใช้เป็นโมเดลการสร้างเงินดิจิทัลของประเทศอื่นๆได้เลย
อ้างอิง
https://news.bitcoin.com/indias-warren-buffett-ban-bitcoin-digital-rupee/
https://en.wikipedia.org/wiki/Unified_Payments_Interface
https://www.cnbc.com/2021/02/17/chinas-digital-yuan-needs-to-beat-alipay-wechat-pay-first-piie.html
https://www.statista.com/statistics/309015/china-mobile-phone-internet-user-penetration/