Saturday, 24 May 2025
PoliticsQUIZ

“ศักดิ์สยาม” รอตรวจหาเชื้อโควิด-19 อีกรอบหลังแพทย์ให้กลับบ้านได้ ย้ำต้องยกการ์ดสูงแม้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันแล้ว ขอให้เชื่อมั่นสาธารณสุข​ไทย รอ “อนุทิน” หารือกรมควบคุมโรคยังต้องฉีดวัคซีน​เข็มที่ 2 หรือไม่

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เปิดเผยถึงการรักษาอาการจากการติดเชื้อ​โรควิด-19 ว่า ขณะนี้​แพทย์อนุญาตให้กลับมาพักและกักตัวที่บ้าน ที่ จ.บุรีรัมย์​ และอีก 2-3 วัน จะต้องไปรับการตรวจหาเชื้อแบบ Swab และเจาะเลือดตามมาตรฐานสาธารณสุขอีกครั้งหนึ่ง เพื่อดูจำนวนเชื้อที่ยังคงมีอยู่ ซึ่งหากทุกอย่างเป็นไปตามมาตราฐาน​ของสาธารสุข ก็สามารถ​ใช้ชีวิตตามปกติได้ และพร้อมเข้าปฏิบัติงาน​ที่กระทรวง​คมนาคม​ ซึ่งภายหลังที่ตนเองติดเชื้อโควิด-19 นั้น ได้มีการพ่นยาฆ่าเชื้อที่กระทรวง ห้องทำงาน และตรวจหาเชื้อไม่พบว่ามีใครติดเชื้อโควิด-19 

เมื่อมีการตรวจหาเชื้อรอบที่ 2 เมื่อประมาณ 3 วันที่ผ่านมาพบมีเพียงแม่บ้าน 1 ราย ที่ติดเชื้อ ซึ่งเป็นช่วงวันหยุดยาวเทศกาล​สงกรานต์​ ไม่ได้ไปทำงานที่กระทรวง ทั้งนี้ เมื่อทราบทางทีมงานตนเองได้ประสานไปยังกรมควบคุมโรค เพื่อนำตัวเข้ารับการรักษาต่อไป โดยเบื้องต้น ทราบว่าแม่บ้านที่ติดเชื้ออยู่กับครอบครัว​จำนวน 8 คน จึงไม่ทราบว่าติดเชื้อจากที่ใด แต่ยืนยันว่า ไม่ได้ติดเชื้อจากสถานที่ทำงานแน่นอน และขณะนี้ได้สั่งการให้พ่นยาฆ่าอีกครั้งเพื่อสร้างความมั่นใจ

นายศักดิ์​สยาม​ กล่าวว่า ตามมาตราฐานสาธารณสุข​ แม้ตนจะรักษาอาการหายแล้ว ร่างกายสร้างภูมิกัน แต่วันนี้โรคโรควิด-19 ยังเป็นโรคใหม่สามารถกลายพันธุ์​ได้ตลอดเวลา ก็ต้องปฏิบัติตามมาตรการ​สาธารณสุขอย่างเคร่งครัด​ โดยการสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์​ และเว้นระยะห่างทางสังคม เพื่อความปลอดภัย​ เนื่องจากเห็นได้จากตนเองที่ยกการ์ดสูงมากยังติดเชื้อโควิด-19 ได้อย่างไรก็ตาม ตนเชื่อมั่นกระบวนการสาธารณสุข​ของไทย 

เมื่อพบว่าป่วยต้องรีบไปรักษาจะไม่มีปัญหาอะไร และขอให้ยึดตามมาตรฐานสาธารณสุข​เป็นหลัก ให้ประชาชนเชื่อมั่นเป็นเรื่องที่สำคัญมากกว่า ตนก็เป็นประชาชนคนไทยคนหนึ่งที่ติดเชื้อแล้วเข้ารับการรักษา​ตามกระบวนการ ไม่ว่าจะเป็นคนป่วยหรือไม่ป่วยก็ต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของสาธารณสุข จะคิดเอาไม่ได้ว่าแข็งแรง หรือฉีดวัคซีน​แล้วจะไม่ติดเชื้อ และทางผู้เชี่ยวชาญก็ออกมาบอกแล้วว่า แม้ฉีดวัคซีน​มีภูมิคุ้มกัน​ โอกาสการติดเชื้อก็ยังมีอยู่ เพราะไม่ได้มีเชื้อสายพันธุ์​เดียว

ส่วนการรับวัคซีนชิโนแวค เข็มที่ 2 ยังคงต้องรับอีกหรือไม่ เพราะติดเชื้อโควิด-19 ไปแล้วนั้น นายศักดิ์สยาม กล่าวว่า ได้หารือกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข เพื่อให้สอบถามความชัดเจนเกี่ยวกับแนวทางการปฏิบัติ​กับกรมควบคุมโรค ว่จะต้องดำเนินการอย่างไรต่อไป เนื่องจากทางแพทย์​ที่ให้การรักษาตนบอกว่าร่างกายมีภูมิ​คุ้มกันโรคแล้ว แต่เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหม่ จึงต้องนำทุกเคส ทุกวิธีการรักษา​มาพิจารณา เพื่อใช้เป็นองค์ความรู้ในการต่อสู้กับเรื่องนี้ในอนาคต

"ราเมศ" สอน "วิโรจน์" ไปศึกษาคำว่า “จิตสำนึก” จี้ใจดำ กลับกลอกกลิ้งออกนอกใบบัว

นายราเมศ รัตนะเชวง เลขานุการประธานรัฐสภา ได้กล่าวถึงกรณีที่ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.พรรคก้าวไกล ออกมากล่าวถึงกรณีที่นายชวน หลีกภัย กล่าวว่ายังไม่ได้ฉีดวัคซีนแต่รอให้บุคลากรทางการแพทย์ได้ฉีดให้ครบก่อน เพราะเป็นบุคคลที่มีความเสี่ยง ว่า

การอธิบายสิ่งต่างๆให้นายวิโรจน์ ฟัง ยากเหมือนงมเข็มในมหาสมุทร นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ได้ตอบคำถามที่นักข่าวได้ถามว่า ส่วนตัวได้ฉีดวัคซีนแล้วหรือยัง นายชวน ตอบว่ารอให้บุคลากรทางการแพทย์ฉีดวัคซีนให้ครบก่อนทุกคน ไม่เช่นนั้นจะหาว่า นักการเมืองเอาไปก่อน ขณะที่บุคลากรผู้เสี่ยงต่อการติดเชื้อยังไม่ได้ฉีด ตนจึงรอให้เขาเรียบร้อยก่อน คำพูดที่นายชวนตอบ คือความตั้งใจของนายชวน ซึ่งขณะนี้สถานการณ์เห็นได้ชัดว่าบุคลากรทางการแพทย์คือกลุ่มที่มีความเสี่ยงและทุ่มเททำงานหนักมากที่สุด 

ส่วนในเรื่อง ส.ส.ที่ได้รับแจ้งให้ไปฉีดวัคซีนนั้น ทางสำนักงานเลขาธิการสภาได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่ได้มีการประสานงานกับกระทรวงสาธารณสุข มี ส.ส.หลายคนที่ไปฉีดมาแล้ว ก็ไม่ได้ผิดกฎเกณฑ์กติกาอะไรสามารถทำได้ เช่นกลุ่มนายวิโรจน์ แต่ที่ทุกคนสับสนคือ ก่อนหน้านี้ยืนยันปั้นหน้าหล่อชัดเจนว่า”ตราบใดที่วัคซีนมีจำกัด จะให้ไปแย่งประชาชนฉีดได้อย่างไร” อีกวันกลับกลอกพูดอีกอย่างว่า “เมื่อมีหมายให้ไปฉีด ก็ต้องไปฉีดตามหมายตามวัคซีนที่ทางการจัดสรรให้เพื่อให้เป็นไปตามแผน” ทุกคำพูดของนายวิโรจน์จะเป็นคำอธิบายได้ดีที่สุดว่าเป็นคนแบบไหนแล้วอย่าพยายามบิดเบือนคำพูดนายชวนเพื่อลบการกระกลับกลอกของตน

แต่ต้องขอชื่นชม ส.ส.หลายคนที่มีเจตนาเช่นนายชวน ที่มีความเป็นห่วงสถานการณ์การฉีดวัคซีนที่อยากให้บุคลากรทางการแพทย์ได้ฉีดก่อน ทั้งๆที่สามารถไปฉีดวัคซีนได้นายวิโรจน์คงต้องกลับไปศึกษาความหมายของคำว่า “จิตสำนึกที่ดี” เพื่อประกอบการทำงานการเมือง ซึ่งมีความสำคัญกว่าการพูดที่กลับกลอก กลิ้งไปกลิ้งมาจนหลุดจากใบบัว ลงไปอยู่ในโคลนตม

"บิ๊กป้อม" ประชุมคกก.แม่น้ำโขงแห่งชาติ ไทยเจ้าภาพเตรียมจัดประชุมสุดยอดผู้นำ ลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ยืนยันท่าทีไทย/ปชช. ได้รับประโยชน์สูงสุด สั่งเดินหน้า 24 โครงการ ร่วมพัฒนาลุ่มน้ำโขงยั่งยืน เร่งบรรเทาผลกระทบ ปชช.8 จ.ว.ริมโขง

พล.ต.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผช.โฆษกประจำรอง นรม. เปิดเผยว่าวันนี้ เวลา 10.00 น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. ได้เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564  ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1  ทำเนียบรัฐบาล

ที่ประชุม ได้รับทราบสถานการณ์แม่น้ำโขง  จากปัญหาภาพรวม การผันผวนของปริมาณน้ำในแม่น้ำโขง ตั้งแต่ 1 ม.ค 64 ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาชนของไทยริมฝั่งแม่น้ำโขง ในการดำเนินชีวิต อาทิ การเลี้ยงปลาในกระชัง การเดินเรือขนาดเล็ก เป็นต้น ต่อมากระทรวงการต่างประเทศ และ สทนช. ได้ประสานงานร่วมกับ กระทรวงทรัพยากรน้ำของจีน เพื่อแก้ปัญหา และได้รับความร่วมมือด้วยดีกระทั่ง ระดับน้ำเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว ตั้งแต่ มี.ค.64 และได้รับทราบ ผลการประชุมคณะมนตรีฯแม่น้ำโขงเมื่อ 26 พ.ย.63 เห็นชอบกรอบความร่วมมือ ทั้งการพัฒนาลุ่มน้ำโขง การจัดการสินทรัพย์ด้านสิ่งแวดล้อม และการคมนาคมขนส่ง เป็นต้น 

จากนั้น คณะกรรมการฯ ได้ร่วมกันพิจารณาเห็นชอบเรื่องสำคัญ ได้แก่การเตรียมจัดการประชุมสุดยอด ผู้นำลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ครั้งที่ 4  การประชุมคณะมนตรีครั้งที่ 28 และการประชุมร่วมระหว่างคณะมนตรีกับกลุ่มหุ้นส่วนการพัฒนาครั้งที่ 26 ในฐานะไทยเป็นประธานคณะมนตรีฯปีพ.ศ.2564 ประมาณช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 64 และขึ้นอยู่กับสถานการณ์ covid-19 ด้วย และเห็นชอบให้ทำการศึกษาการพัฒนาเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำในแม่น้ำโขง โดยให้ สทนช.ร่วมกับ กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย เร่งประสานงานกับ สปป.ลาว รวมถึงเห็นชอบ ร่างแผนปฏิบัติการระดับประเทศ (พ.ศ.2564-2568) จำนวน 24 โครงการ เพื่อบริหารจัดการแม่น้ำโขง อย่างยั่งยืน สอดคล้อง แผนแม่บทบริหารทรัพยากรน้ำ 20ปี

พล.อ.ประวิตร ยังได้สั่งการ สทนช. และกำชับ หน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องให้เร่งดำเนินการตามแผนงาน ที่ผ่านความเห็นชอบแล้ว โดยขอให้มีความคืบหน้าตามเป้าหมาย อย่างเป็นรูปธรรม โดยจะต้องคำนึงถึงประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับสูงสุด ภายใต้กรอบความร่วมมือ และส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศให้มากขึ้น ที่สำคัญอย่างยิ่งจะต้องเร่งขับเคลื่อนโครงการที่จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อน จากผลกระทบ ของพี่น้องประชาชน 8 จังหวัด ริมแม่น้ำโขงของไทย อย่างรีบด่วน

โพลพระปกเกล้า เผย ปชช. ต้องการแก้ไขรธน. พร้อมหนุนให้ส.ส.ร.ดำเนินการ เชื่อเหมาะสมสุด ขณะที่ปชช.ส่วนใหญ่ บอกไม่รู้จัก "แอปฯหมอพร้อม"

เมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ.2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สถาบันพระปกเกล้า ร่วมกับสำนักงานสถิติแห่งชาติ ร่วมกันสำรวจความคิดเห็นของประชาชน ต่อการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2560 โดยเก็บข้อมูลจากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปทั่วประเทศ จำนวน 22,830 ตัวอย่าง กระจายตามเพศ อายุ อาชีพ และระดับการศึกษา ระหว่างวันที่ 1-19 เม.ย.ที่ผ่านมา  ทั้งนี้ ผลสำรวจพบว่า ประชาชนในสัดส่วนร้อยละ 77.5 มีความต้องการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ขณะที่ร้อยละ 22.5 บอกว่าไม่ต้องการแก้ไข โดยให้เหตุผลว่า รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันดีอยู่แล้ว การแก้ไขเพิ่มเติมทำให้สิ้นเปลืองงบประมาณ เสียเวลา และไม่มีประโยชน์ ขณะที่บางส่วนให้เหตุผลว่าไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่อง และไม่รู้จัก 

เมื่อสำรวจลึกลงไปถึงกลุ่มประชาชนที่ต้องการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ พบว่า คณะบุคคลที่มีความเหมาะสมให้ดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญนั้น ควรเป็นสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ ส.ส.ร. ร้อยละ 39.1  รัฐสภา ร้อยละ 30.8 คัดเลือกบุคคลที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับของสังคมมาร่วมกันแก้ไขรัฐธรรมนูญ ร้อยละ 13.6 ขณะที่ประชาชนร้อยละ 12.7 และ 2.6 เสนอให้เป็นรัฐบาลและฝ่ายค้าน ตามลำดับ 

การสำรวจยังสอบถามความเห็นของประชาชนเกี่ยวกับการไปลงประชามติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญด้วย โดยกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 93.2 บอกว่าจะไปออกเสียงประชามติแน่นอน ขณะที่ร้อยละ 6.8 ตอบว่า ไม่ไป โดยให้เหตุผลว่า ไม่มีเวลา ไม่สนใจ และเบื่อการเมือง 

อย่างไรก็ตาม การสำรวจความคิดเห็นของประชาชนที่จัดทำโดยสถาบันพระปกเกล้า ร่วมกับสำนักงานสถิติแห่งชาติในครั้งนี้ ยังได้สอบถามถึงการรับรู้ของประชาชนเกี่ยวกับแอปพลิเคชัน "หมอพร้อม" ที่รัฐบาล กำลังประชาสัมพันธ์เพื่อใช้ในการจองคิวฉีดวัคซีนโควิด-19 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพัฒนาก่อนเริ่มใช้จริง ผลปรากฏว่ามีประชาชนร้อยละ 19.7 เท่านั้นที่บอกว่ารู้จักและใช้แอปพลิเคชัน "หมอพร้อม" ร้อยละ 4.3 บอกว่า รู้จัก แต่ไม่ใช้ ขณะที่ประชาชนร้อยละ 76 บอกว่า ไม่รู้จักแอปพลิเคชันนี้

‘วรรณวรี ก้าวไกล’ ถามดัง ๆ ถึง ‘ประยุทธ์’ คนไทยจะฉีดวัคซีนครบเมื่อไหร่ SMEs กำลังจะไปไม่รอดแล้ว พ้อไม่อยากเห็นประเทศไทยมีรัฐบาลที่จัดการวัคซีนได้แย่ที่สุดในโลก

กรณีที่ภาคเอกชนกว่า 40 องค์กร มีข้อเสนอแนะไปยังรัฐบาลเรื่องการจัดหาวัคซีนล่าช้า วรรณวรี ตะล่อมสิน ส.ส. เขตยานนาวาและบางคอแหลม กรุงเทพฯ พรรคก้าวไกล ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นถึงรัฐบาลว่า ประเทศไทยไม่ได้มีแต่เจ้าสัวที่พูดแล้วทำทันที แต่ให้ช่วยฟังเสียงธุรกิจรากหญ้าและ SMEs ที่ส่งเสียงมาตั้งนานแล้วด้วย

“การที่ไม่ว่าจะเป็นเจ้าสัว CP หรือกลุ่ม CEO บริษัทชั้นนำออกมาพูดเรื่องวัคซีนล่าช้า คงสะท้อนให้เห็นกันแล้วว่าวิกฤตครั้งนี้ คนเดือดร้อนไม่ใช่แค่คนรากหญ้า แต่ผลกระทบได้ขึ้นไปถึงคนระดับกลางและระดับบนด้วย แต่ก็รู้สึกน้อยใจอยู่นิด ๆ ที่รัฐบาลออกมาขานรับในการจัดหาวัคซีน Pfizer เพิ่มทันทีเมื่อมีเสียงจากคนระดับบนเคลื่อนไหว ขณะที่เสียงจากคนเล็กคนน้อยและเศรษฐกิจรากหญ้าที่เดือดร้อนสะท้อนมาตั้งนานแล้วกลับไม่ค่อยได้รับความสนใจ”

วรรณวรี กล่าวต่อไปว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากการที่รัฐบาลควบคุมโควิดไม่อยู่จนเกิดการระบาดระลอก 3 จากธุรกิจที่คิดว่าจะดีขึ้นในปีนี้จึงกลับแย่ลงไปอีก ทุกวันนี้หากเดินไปตามห้าง ตลาดสด ตลาดนัด ย่านการค้าต่าง ๆ สิ่งที่เห็นคือการค้าขายเงียบมาก เพราะกลุ่มคนที่เคยมีกำลังซื้อ เริ่มกลัวการออกมาจับจ่าย และเริ่มระวังการใช้เงินมากกว่าแต่ก่อน เนื่องจากไม่แน่ใจว่าสถานการณ์โควิดจะแย่ต่อเนื่องไปอีกนานเท่าไหร่ จึงต้องเก็บเงินไว้ใช้จ่ายเท่าที่จำเป็น

“มาตรการช่วยเหลือภาคธุรกิจที่ออกมาเพิ่มเติมถือว่าดีขึ้น แต่ก็ยังกังวลว่าการขยายวงเงินสินเชื่อนั้นจะไม่กระจายไปถึงผู้กู้รายใหม่และคนที่เดือดร้อนย่างแท้จริง สำหรับมาตรการ Softloan รัฐบาลทำให้เห็นชัดมากว่ากระบวนการช่วยเหลือล่าช้าและไม่ทันการ SMEs ในรอบปีที่ผ่านมาจึงมีหลายกิจการล้มหายตายจากไปเป็นจำนวนมาก พูดง่าย ๆ ก็คือตายไปตั้งแต่ระลอก1-2 แล้ว ถึงแม้รัฐบาลจะมีการออก พ.ร.ก. Softloan ฉบับใหม่ออกมา มีการปรับปรุงเนื้อหาเพิ่มวงเงินสินเชื่อ และให้มีการปล่อยกู้รายใหม่ตามที่พรรคก้าวไกลเสนอซึ่งเสนอมาแล้วเกือบปี

แต่ในขั้นตอนการปฏิบัติยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก ธนาคารยังอยากปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการรายเดิมและรายใหญ่มากกว่าอยู่ ส่วนรัฐก็ยังไม่สามารถขอความร่วมมือจากธนาคารได้ ขณะที่ธนาคารรัฐเองอย่าง SME Bank ที่ควรเป็นความหวังของ SMEs ก็ไม่มีกำลังพอที่จะประคองหรือเป็นความหวังให้ SMEs ได้เลย”

วรรณวรี ระบุต่อไปว่า มาตรการ Asset warehousing หรือโครงการ ‘พักทรัพย์ พักหนี้’ เอาเข้าจริง คนที่ได้ประโยชน์คือภาคธุรกิจอสังหาริมทรัยพ์ โรงแรม หรือผู้ประกอบการที่มีสินทรัพย์ไปค้ำ แต่คนค้าขายทั่วไป เช่น พ่อค้าแม่ค้าขายของในห้าง เขาจะเอาทรัพย์สินอะไรไปค้ำ มาตรการช่วยเหลือจึงยังตกหล่นบุคคลเหล่านี้

“แต่สิ่งสำคัญที่สุดคืออยากให้รัฐบาลหรือนายกรัฐมนตรีออกมาบอกให้ชัดเจนว่าวัคซีนจะกระจายถึงมือคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศเมื่อไหร่ เพื่อให้คนทำธุรกิจวางแผนได้ถูกต้อง สำหรับภาคธุรกิจ ตอนนี้เราคิดว่ามาตรการช่วยเหลือเยียวยาเป็นเรื่องรอง แต่เราอยากเห็นความชัดเจนจากรัฐบาลเพื่อให้เราสามารถรู้ได้ว่าจะกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติเมื่อไหร่ จะอีก 3 เดือน 6 เดือน หรือปีหน้า เรื่องเหล่านี้มีผลต่อการวางแผนธุรกิจทั้งสิ้น จะได้ประเมินว่าต้องมีกระแสเงินสดในมือเท่าไหร่เพื่อพยุงธุรกิจ ต้องจัดการสต็อกสินค้าในช่วงนี้อย่างไร หรือต้องปิดกิจการไปก่อนแล้วไปรอเปิดใหม่อีกที ตอนนี้ความหวังของทุกคนจึงอยู่ที่วัคซีน แต่สิ่งที่ดิฉันและคนไทยหลายคนไม่อยากเห็น คือเรากำลังจะมีรัฐบาลที่จัดการวัคซีนได้แย่ที่สุดประเทศหนึ่งของโลก” วรรณวรี กล่าว


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

ผช.โฆษก ศบค. เผย พบ 6 ราย มีอาการหลังฉีดวัคซีน ไม่ใช่โรคอัมพฤกษ์ แจง “คล้ายอัมพฤกษ์” หรือสโตรก กล้ามเนื้ออ่อนแรง-รู้สึกชา แนะ ฟังข่าวรอบด้าน อย่าเชื่อโซเชียล บางข่าวไม่จริง

วันที่ 21 เมษายน พ.ศ.2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วย โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือศบค. แถลงสถานการณ์ประจำวัน ว่า กรณีที่ปรากฎข่าวหลังการฉีดวัคซีน พบว่ามีคนไทย6คนมีอาการอัมพฤกษ์ ในข้อเท็จจริงเรื่องนี้ในที่ประชุมกระทรวงสาธารณสุข มีการรายงานเคสที่มีผลตามมาจากการฉีดวัคซีนแล้ว และมีคณะกรรมการสอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ประกอบด้วย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ อายุรแพทย์โรคสมองโดยเบื้องต้นที่มีการรายงานในเช้าวันนี้พบว่าอาการที่เกิดขึ้นไม่ได้เรียกว่าโรคอัมพฤกษ์ แต่ใช้คำว่ามีอาการคล้ายอัมพฤกษ์หรือสโตรก เป็นเรื่องของกล้ามเหนืออ่อนแรง รู้สึกชาหรือประสาทสัมผัสไม่รู้สึก อย่างไรก็ตามพบว่าในเช้าวันนี้ทุกคนที่มีอาการฟื้นตัวดีขึ้น

พญ.อภิสมัย กล่าวว่า ขอให้ติดตามการรายงานของกระทรวงสาธารณสุข ส่วนการบริโภคข่าวขอให้ตั้งคำถามเสมอ เพราะทุกข่าวที่ปรากฎและมีการแชร์ไปในโลกโซเชียลอาจจะไม่ใช่ข่าวจริง บางท่านอาจจะเป็นนักวิชาการ เป็นอาจารย์ เป็นคุณหมอที่เราเคารพนับถือ แต่ขอให้ตรวจสอบและอยากให้ฟังรายงานรอบด้านเพราะกระทรวงสาธารณมีการสอบสวนและนำข้อมูลข้อเท็จจริงมาเป็นหลักฐานมายืนยันไอ้ติดตามในช่วงการแถลงของกระทรวงสาธารณสุขในบ่ายวันเดียวกันนี้

“บิ๊กตู่” เตรียมประชุมสภากลาโหม ถก “ผบ.เหล่าทัพ”ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ จากทำเนียบฯ ไปกลาโหม 23 เม.ย.นี้ ขณะที่ “บิ๊กบี้”กักตัว มอบ รองผบ.ทบ.ประชุมแทน

เมื่อวันที่ 21 เม.ย.ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เรียกประชุมสภากลาโหม ครั้งที่ 4/2564 ในวันที่ 23 เม.ย.เวลา 14.00 น.รูปแบบการประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ โดยนายกฯจะประชุมจากที่ทำเนียบรัฐบาล โดยมีพล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม ร่วมประชุม ด้วย 

ส่วน พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม และรองปลัดกลาโหม จะประชุมที่ กระทรวงกลาโหม  พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู่บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) ประชุมพร้อมรองผบ.ทมม. ที่ห้องประชุมกองบัญชาการกองทัพไทย ส่วนผู้บัญชาการเหล่าทัพ พร้อมรองผู้บัญชาการ จะประชุมที่เหล่าทัพ 

ทั้งนี้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ยังจะไม่เข้าร่วมประชุมวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ เพราะยังครบกำหนดกักตัว 14 วัน ในวันที่  23 เม.ย. จึงมอบหมายให้พล.อ.ธีรวัฒน์ บุณยะวัฒน์ รองผู้บัญชาการทหารบก (รองผบ.ทบ.)นำประชุมแทนร่วมกับ ผู้ช่วยผบ.ทบ. และเสธ.ทบ. 

ส่วน พล.ร.อ.ชาติชาย ศรีวรขาน ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) ครบกำหนดกักตัว  14 วันแล้ว โดยจะร่วมประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ด้วย จากกองบัญชาการกองทัพเรือ วังนันทอุทยานด้านพล.อ.อ.แอร์บูล สุทธิวรรณ ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) ประชุมพร้อม 5 เสื้ออากาศทอ.ที่กองบัญชาการกองทัพอากาศ ด้วยตัวเอง 

โดยคาดว่าการประชุมดังกล่าวจะเป็นการหารือบทบาทกองทัพที่มีส่วนสนับสนุนการตั้งโรงพยาบาลสนาม และ แพทย์ทหาร  รวมถึงการดูแลชายแดน เพื่อป้องกันการลักลอบข้ามแดนเข้ามา และแผนงบประมาณ ปี2565 คณะรัฐมนตรี(ครม.)มีมติเห็นชอบไปเมื่อวันที่ 20 เม.ย.ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ถือว่าเป็นการประชุมสภากลาโหม ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ครั้งแรก  เนื่องจากเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ระลอก 3 โดยที่ผ่านมาในช่วงโควิด-19 ระลอก 1 - 2

‘หมอวรงค์’ ผุดแคมเปญ "หยุดเชื้อ อยู่บ้าน ขอล้านชื่อ ไล่ระบอบสามกีบ หยุดรื้อรัฐธรรมนูญ" ตั้งคำถามคนไทย 5 ข้อ ‘ระบอบการเมืองแบบนี้’ จะเอาหรือ?

เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2564 พรรคไทยภักดี ที่นำโดย นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม รักษาการหัวหน้าพรรคไทยภักดี ได้ไลฟ์สดพร้อมออกแถลงการณ์ภายใต้แคมเปญ "หยุดเชื้อ อยู่บ้าน ขอล้านชื่อ ไล่ระบอบสามกีบ หยุดรื้อรัฐธรรมนูญ" โดยมีเนื้อหารับุว่า ปัจจุบันได้เกิดระบอบการเมือง มีการให้ร้าย สร้างความเกลียดชัง ปล่อยเฟคนิวส์ เพื่อให้เกิดการหลงเชื่อในข้อมูลผิด ๆ จนประชาชนและสังคมโซเชียลได้ผลิตคำว่า "สามกีบ" ขึ้นมา และมีการใช้คำคำนี้กันอย่างแพร่หลาย เพื่อให้ประชาชนเข้าใจ การเมืองระบอบสามกีบ มีลักษณะดังนี้

1.) การทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะเขาเชื่อว่า ถ้าสามารถทำลายสถาบันที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชนได้ เขาจะครอบครองทุกอย่างในประเทศไทยได้ แม้แต่รัฐบาล

2.) รื้อรัฐธรรมนูญ 2560 ให้เกิดสภาเดี่ยว ไม่ต้องการ สว. เพราะ สว. สรรหาจากกลุ่มอาชีพ จะยากแก่การควบคุม ให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ แต่งตั้งโดยสภาฯ โดยอ้างคำที่สวยหรูว่า ยึดโยงต่อประชาชน แต่หวังให้ว่าที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีการวิ่งเต้นผ่านพรรคการเมือง และท้ายที่สุด ก็เป็นคนของพรรคการเมือง

3.) มุ่งแบ่งแยกประชาชน โดยพุ่งเป้าไปที่เยาวชน คนรุ่นใหม่ ให้หลงคล้อยตาม และสร้างกระแสด้อยค่าคนรุ่นอื่น โจมตีว่าเป็นคนเฒ่า เต่าล้านปี ให้รู้สึกไม่มีคุณค่า เพราะคนรุ่นนี้ จะมีประสบการณ์ และรู้เท่าทันระบอบสามกีบ

4.) สร้างความรู้สึกชังชาติ ชังแผ่นดินเกิด กะลาแลนด์ ด้อยค่าประวัติศาสตร์ชาติ วัฒนธรรม ประเพณี วิถีไทย ให้หลงคล้อยตามตะวันตก โดยใช้คำว่าประชาธิปไตย (จอมปลอม) มาหลอกชี้นำ

5.) ขายชาติและชักศึกเข้าบ้าน สมคบกับสถานทูต และองค์กร NGO เพื่อมาทำลายและสร้างความขัดแย้งในประเทศไทย ปั่นหัวอาจารย์ นิสิตนักศึกษา หรือดึงตัวแทนทูตมาสังเกตการณ์เข้าลักษณะ "ชักศึกเข้าบ้าน" รวมทั้งมีการสมคบคิด และรายงานสถานการณ์ เข้าข่าย "ขายชาติ"

สิ่งเหล่านี้คือระบอบสามกีบ ที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน พวกเราคนไทย จะยอมให้มีระบอบการเมืองแบบนี้ในประเทศหรือ?

นอกจากนี้ ระบอบสามกีบก็กำลังดำเนินการรื้อรัฐธรรมนูญ ขณะเดียวกันก็มีนักการเมือง ที่มุ่งแต่ประโยชน์ส่วนตนผสมโรงฉวยโอกาสนี้รื้อรัฐธรรมนูญในหลายมาตรา โดยไม่มีประโยชน์ของประชาชนแม้แต่น้อย เช่นการรื้อเพื่อให้ ส.ส. แปรญัตติงบประมาณ หรือให้ ส.ส. ไปวุ่นวายกับระบบราชการได้ ที่สำคัญที่สุดคือการรื้อระบบเลือกตั้ง จากบัตรใบเดียว สู่บัตรสองใบ

ระบบบัตรใบเดียว ออกแบบคัดกรองคนได้สอดคล้องกับสภาพการเมืองไทย เพราะทุกคะแนนจะมีความหมาย ไม่ใช่คะแนนแพ้ตัดทิ้ง ประชาชนจะมีอำนาจมาก ในการลงโทษพรรคการเมือง จะทำลายระบบมุ้งการเมือง นายทุนพรรค นักเลือกตั้ง ตระกูลอิทธิพลประจำจังหวัด ที่สำคัญระบบนี้ ประชาชนจะเลือกได้ทั้ง ส.ส. และนายกรัฐมนตรีในคราวเดียวกัน

ระบบบัตรสองใบ ในระยะยาว เท่ากับเป็นการแก้เพื่อเอื้อให้ระบอบทักษิณ กลับเข้ามาครอบงำประเทศผ่านการเลือกตั้ง สภาจะเต็มไปด้วยนายทุนและ กลุ่มอิทธิพลจังหวัด ที่สำคัญคือประชาชนจะเลือกได้แค่ ส.ส.และ ส.ส. จะไปเลือกนายกตามที่นายทุนสั่ง ในอนาคตจะเกิดระบบ นายกนอมินินีหุ่นเชิดตามคำสั่ง เหมือนสมัย นายสมัคร นายสมชาย น.ส.ยิ่งลักษณ์ และประเทศจะถูกครอบงำจากทุนสามานย์เหมือนเดิม

เรื่องแก้รัฐธรรมนูญจึงต้องฝาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี คิดให้รอบคอบ เพื่อแสดงเจตนารมย์ว่า ประชาชนอึดอัดกับระบอบสามกีบ และค้านการรื้อรัฐธรรมนูญ จึงขอเชิญทุกท่านร่วมลงชื่อ ผ่านแคมเปญ "หยุดเชื้อ อยู่บ้าน ขอล้านชื่อ ไล่ระบอบสามกีบ หยุดรื้อรัฐธรรมนูญ" โดยสแกน QR code หรือคลิกลิงก์ https://1mcampaign.thaipakdee.org


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

"อนุทิน" แจงแผนจัดหาวัคซีนโควิด 19 เผยหารือ "ไฟเซอร์ฯ" แล้ว รอใบเสนอราคา ย้ำ หากส่งได้ในเดือน มิ.ย. - ก.ค. พร้อม "คว้าหมับ" ทันที

ที่กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงความคืบหน้าการจัดหาวัคซีนป้องกันโควิด 19 ว่า สนับสนุนในการจัดหาวัคซีนทุกชนิดที่มีความปลอดภัย ทั่วโลกให้การยอมรับ ไม่ได้ระบุเป็นยี่ห้อใดยี่ห้อหนึ่ง 

ทางทฤษฏีบอกว่า การฉีดวัคซีนได้ร้อยละ 60 ของจำนวนประชากรก็จะมีภูมิคุ้มกันหมู่แล้ว แต่ทางรัฐบาล ได้ให้เป็นแนวทางว่า ให้เผื่อไว้ที่ร้อยละ 70 ของจำนวนประชากร สำหรับวันที่ 22 เมษายน 2564 จะเจรจากับตัวแทนผู้ผลิตวัคซีนอีก 2-3 ราย แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ ช่วงเวลาการจัดส่งวัคซีน ที่ต้องไม่ช้าเกินไป เพราะเราต้องทำให้เกิดความมั่นใจ

ส่วนวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า ที่ผลิตในประเทศไทย ยืนยันว่าไม่ได้ช้า เพราะผู้ผลิตระบุช่วงเวลาการจัดส่งวัคซีนไว้ในสัญญาตั้งแต่ในเดือนต.ค.2563 ว่าจะส่งให้ในวันที่ 1 มิ.ย.2564 สำหรับ วัคซีนจากไฟเซอร์ยังอยู่ในการเจรจา ซึ่งเราก็ขอให้เขาส่งใบเสนอราคาเงื่อนไข ข้อจำกัดต่างๆ มาให้ตัดสินใจ 

“สมมติว่าพรุ่งนี้เขาส่งใบเสนอราคามา จะส่งให้ได้ 10 ล้านโดสภายในเดือน มิ.ย.หรือ เดือน ก.ค. ปีนี้ รับรองว่าคว้าหมับเลย เพราะเราไม่ต้องการขี่ม้าตัวเดียว เราต้องมีทางเลือก แต่เราต้องมีม้าหลักก่อน” นายอนุทิน กล่าว

เมื่อถามว่าวัคซีนไฟเซอร์ หากได้มาจะฉีดให้กลุ่มอายุ 12 ปีขึ้นไป หรือกลุ่มวัยรุ่นหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า หากเราได้มา 10 ล้านโดส เราก็ฉีดให้กลุ่มอายุ 12 ปีขึ้นไปได้ แต่ถ้าได้เพิ่มมากขึ้น ก็ฉีดกับกลุ่มทั่วไปได้ ซึ่งรัฐบาลฟังทุกเสียงแนะนำ 

ต่แกรณีพบอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นหลังการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในบุคลากรทางการแพทย์ 6 รายที่ จ.ระยอง นายอนุทิน กล่าวว่า รับทราบข้อมูลเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้มีข้อสรุปมาหลายสมมติฐาน แต่การพิจารณาและออกข้อสรุปนั้นต้องให้ทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกัน ไม่ใช่ออกมาในหลายแนวทาง ซึ่งอาจารย์แต่ละท่านจะประชุมหารือกัน โดยมี ศ.พญ.กุลกัญญา โชคไพบูลย์กิจ คณะแพทย์ศาสตร์ ศิริราชพยาบาล ในฐานะประธานคณะกรรมการดูแลเรื่องความปลอดภัยจากการใช้วัคซีน ประชุมร่วมกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ 

นายอนุทิน กล่าวว่า อาการไม่พึงประสงค์ของการฉีดวัคซีน สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา จึงต้องมีการเฝ้าระวังสังเกตอาการหลังฉีด 30 นาที หากเกิดอะไรขึ้นจะได้เข้าสู่ระบบช่วยเหลือได้ทันที ส่วนใหญ่ที่ฉีดไปแล้วไม่มีผลข้างเคียงอะไร ตนก็ฉีดวัคซีนของซิโนแวค 2 เข็มแล้ว ไม่มีอาการข้างเคียงอะไรแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตาม ปฏิกิริยาของร่างกายมนุษย์แต่ละคนต่างกัน แต่ทุกรายก็สามารถกลับมาเป็นปกติได้ แต่ถึงอย่างเราก็ต้องระวังมากขึ้น

“ส่วนจะมีการระงับหรือฉีดต่อนั้นต้องได้รับความเห็นจากคณะกรรมการชุดนี้ก่อน รมว.สธ. ไปสั่งไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของวิชาการ เรื่องการแพทย์ ดังนั้นตอนนี้ไม่มีคำสั่งชะลอฉีด มีแต่คำสั่งให้เฝ้าระวัง สังเกตอาการมากเป็นพิเศษ และให้ความช่วยเหลืออาการที่ไม่พึงประสงค์” นายอนุทิน กล่าว

“ครูกัลยา” กำชับผู้บริหารสถานศึกษาในกำกับ เตรียมพื้นที่พร้อมรองรับโรงพยาบาลสนามกรณีโควิด-19 ขยายวงกว้างขึ้น

ครูกัลยา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ห่วงประชาชนได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในสถานการณ์ปัจจุบันที่มีความรุนแรงและขยายวงกว้าง มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก พร้อมสั่งการให้โรงเรียนในกำกับดูแลปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด และเตรียมพื้นที่บริเวณโรงเรียนพร้อมปรับใช้ให้เป็นโรงพยาบาลสนามตามหลักสาธารณสุข หากโรงพยาบาลไม่สามารถรองรับผู้ป่วยได้เพียงพอ

นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย โฆษกประจำตัวรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช) เปิดเผยว่า คุณหญิงกัลยา มีความเป็นห่วงต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โควิด-19 ในปัจจุบันที่เริ่มรุนแรงขึ้น โดยได้สั่งการให้สถานศึกษาในกำกับทุกแห่งปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด และให้สถานศึกษาในกำกับจัดเตรียมพื้นที่เพื่อรองรับเป็นโรงพยาบาลสนามได้หากมีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้น และโรงพยาบาลไม่สามารถรองรับผู้ป่วยได้เพียงพอ

“คุณหญิงกัลยา ได้สั่งการให้ผู้บริหารในโรงเรียนที่กำกับดูแล เตรียมพื้นที่ให้พร้อมปรับเปลี่ยนเป็นโรงพยาบาลสนามรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่จะมีความรุนแรง และขยายวงกว้างขึ้น หากโรงพยาบาลในพื้นที่ไม่สามารถรองรับผู้ป่วยได้เพียงพอ เพื่อเป็นที่พักสำหรับการสังเกตอาการผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการหรืออาการเล็กน้อย เพื่อป้องกันการระบาดสู่บุคคลภายนอกและชุมชน” นางดรุณวรรณ กล่าว

นางดรุณวรรณ กล่าวต่อด้วยว่า คุณหญิงกัลยา มีความเป็นห่วงประชาชนและนักเรียนเป็นอย่างมาก และ ย้ำเน้นให้ทุกคนปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการระบาดของโรคอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะนักเรียนที่เป็นผู้พักค้างประจำในโรงเรียนต่าง ๆ ที่ยังอาศัยอยู่ที่บ้านที่มีผู้ปกครองเป็นกลุ่มผู้สูงอายุในระหว่างปิดเทอม ให้ยึดหลัก D-M-H-T-T ของกรมควบคุมโรคเพื่อหยุดโอกาสในการแพร่กระจายเชื้อ ทั้งนี้หากมีการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามในสถานศึกษาในกำกับนั้นจะจัดขึ้นตามหลักสาธารณสุข เพื่อดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ให้มาอยู่ในพื้นที่ที่จัดไว้ให้ นอกจากจะเพื่อลดความเสี่ยงแพร่เชื้อในชุมชนแล้วยังจะเป็นการดีกว่าหากผู้ป่วยได้อยู่ใกล้ทีมแพทย์อีกด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top