Friday, 23 May 2025
PoliticsQUIZ

‘อรรถวิชช์’ ขอ กทม. เร่งส่งหนังสือเวียนชุมชนต่าง ๆ งดจัดกิจกรรมต่าง ๆ ช่วงสงกรานต์โดยเฉพาะกิจกรรมกับผู้สูงอายุ ป้องกันเสี่ยงรวมตัวระบาดโควิด-19

นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรคกล้า ในฐานะดูแลกลุ่ม กทม. พรรคกล้า กล่าวถึงกรณีที่กรุงเทพมหานคร ประกาศงดจัดกิจกรรมเทศกาลสงกรานต์ที่ลานคนเมือง และกิจกรรของสำนักงานเขตรวมถึงหน่วยงานในสังกัด เพื่อป้องกันการรวมตัวเสี่ยงระบาดโรคติดเชื้อโควิด-19 แต่ยังไม่ชัดเจนว่าการจัดงานในชุมชนของกรุงเทพมหานคร ยังต้องดำเนินการต่อไปหรือไม่ หลายชุมชนเดินหน้าเตรียมงาน เพราะเข้าใจว่ายังสามารถจัดกิจกรรมเทศกาลสงกรานต์ได้อยู่ จึงขอให้กรุงเทพมหานคร เร่งส่งหนังสือเวียนถึงชุมชนทั้ง 2,016 ชุมชน งดจัดกิจกรรมที่มีการรวมตัวกันในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันโรคระบาดที่กำลังแพร่เชื้ออย่างรวดเร็วในขณะนี้

"แม้จะมีการประกาศงดจัดกิจกรรมของ กทม. เองในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ทำให้การจัดกิจกรรมใหญ่ ๆ หลายพื้นที่ต้องประกาศงดไป แต่ตามชุมชนหลายพื้นที่ยังเข้าใจว่าสามารถจัดกิจกรรมได้ จึงอยากให้ทาง กทม. เร่งส่งหนังสือเวียนขอให้ชุมชนต่าง ๆ งดจัดกิจกรรม และเพื่อความรวดเร็ว สำนักงานเขตก็สามารถส่งหนังสือเวียนผ่าน Line แจ้งต่อชุมชนหรือผู้นำชุมชน หรือให้ฝ่ายพัฒนาชุมชน โทรหาผู้นำชุมชนเร่งกระจายข่าวให้ทราบโดยเร็ว ซึ่งสามารถทำได้ทันที เพื่อ หลีกเลี่ยงการรวมตัวกัน ป้องกันการระบาดโรคติดเชื้อโควิด-19" นายอรรถวิชช์ กล่าว

‘บิ๊กตู่’ แจงทุกเรื่อง!! ลั่นหยุดสักทีพวกเที่ยวที่อโคจร!! เตือนนักการเมืองเป็นบทเรียน บอกตัวเองไม่เคยไปมาหลายสิบปี ส่วนตอนหนุ่มๆ คนละเรื่อง พร้อมขู่ฟ้องคนโยง ‘ไทยคู่ฟ้าคลับ’ ยันไทยไม่ได้ฉีดวัคซีนช้ากว่าใคร แจงต้องยึดความปลอดภัย

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม แถลงภายหลังร่วมกับคณะแพทย์ ประชุมคณะกรรมการศูนย์บริหารป้องกันโควิด-19 (ศบค.) ชุดเล็กว่า ขอให้พวกเราทุกคนระวังตัวไว้ด้วยกับสถานการณ์ในวันนี้ ซึ่งการที่ตนบอกว่าอะไรจะเกิดมันต้องเกิดนั้น เพราะตราบใดที่ยังควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ทั้งหมด เมื่อเกิดปัญหาก็ต้องแก้ไขกันต่อไปไม่มีอะไรจบปุ๊บปั๊บ เพราะเป็นเรื่องเชื้อโรค เราต้องมองไปข้างหน้าด้วยว่าหลังโควิดแล้วอะไรจะเกิดขึ้นอีก เช่น เชื้อสายพันธุ์ใหม่

นายกฯ ย้ำว่าตนให้ความสำคัญทุกช่วงให้เมื่อยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น ซึ่งวันนี้ได้พูดคุยทำความเข้าใจกันกับหน่วยงานด้านสาธารณสุข รวมทั้งได้เชิญตัวแทนโรงพยาบาลเอกชน มาด้วย โดยหารือหลักการนำเข้าวัคซีนเพิ่มขึ้นอีกทางหนึ่ง แต่ปัญหาคือต้องไปแก้ไขเรื่อง อย.และเภสัชด้วย เพื่อพิจารณาการนำเข้าวัคซีน เพราะย้ำว่าเป็นการใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน จึงให้ไปหาทางว่าจะเอาเข้ามาได้อย่างไร เพื่อเป็นวัคซีนทางเลือก วันนี้เราจึงเดินหน้าเรื่องวัคซีนทางเลือก โดยหารือกับผู้ผลิตด้วย เพราะมีหลักการหลายอย่างที่เกี่ยวข้อง ดังนั้นต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนยินดีที่โรงพยาบาลเอกชนจำนวนมากอยากหาวัคซีนช่วยรัฐบาล ซึ่งยืนยันว่ารัฐบาลไม่เคยปิดกั้นอยู่แล้ว แต่มีปัญหาในเรื่องการนำเข้า ซึ่งเกี่ยวกับต่างประเทศด้วย จึงต้องไปปลดล็อคตรงนี้ อย่างไรก็ตามที่ผ่านมามีวัคซีนเข้ามาแล้ว 3.5 แสนโดส และในเดือนเม.ย.นี้ จะเข้ามาเพิ่มเติม 1.5 ล้านโดส และจะเข้ามาตามลำดับ เว้นแต่มีปัญหาที่ต้นทาง ซึ่งจะควบคุมได้ยาก ส่วนที่จำนวนผู้ติดเชื้อมีเพิ่มขึ้น 300-400 ที่ทำให้ตระหนกกันนั้น ยืนยันว่าเราควบคุมได้ โดยหาตัวมาเข้าสถานกักตัว เข้ารับการรักษา และเตรียมโรงพยาบาลสนาม ซึ่งเตรียมการไว้ทั้งหมด หากสถานการณ์แพร่ระบาดมากขึ้น

ย้ำว่านายกฯ ไม่เคยทอดทิ้งใคร ขณะเดียวกันวันนี้ได้ข่าวว่ามีเจ้าหน้าที่สาธารณสุข หมอและพยาบาลติดเชื่ออีก ดังนั้นทำอย่างไรไม่ให้มีการระบาดในโรงพยาบาลจึงต้องมีโรงพยาบาลสนามไว้ตรวจคัดกรอง นอกจากนี้ยืนยันว่าน้ำยาตรวจมีเพียงพอ ไม่มีปัญหาอะไร

นายกฯ กล่าวย้ำว่า วันนี้ขอให้ทุกคนระมัดระวังตัวเองเว้นระยะห่างสวมหน้ากากและล้างมือและเว้นไปในที่อโคจร ระมัดระวังตัวเอง ซึ่งตนก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะไปสั่งห้ามคนไม่ให้ไปไม่ได้ มีอย่างเดียว คือ สั่งปิดสถานบริการ ซึ่งวันนี้ สั่งปิดเพิ่มอีกใน 41 จังหวัดตามมาอีก แล้วใครเดือดร้อน ซึ่งเราโทษใครไม่ได้ แต่ทุกคนต้องทำเพื่อคนไทยซึ่งนายกฯ เข้ามาเพื่อแบบนี้

นอกจากนี้ในพื้นที่เสี่ยง กลุ่มเสี่ยงและกิจกรรมเสี่ยง ต้องได้รับการดูแลโดย สงกรานต์ปีนี้ขอให้เป็นสงกรานต์ปลอดภัย เป็นแบบ New Normal การไปรดน้ำพระหรือไปที่ที่มีคนจำนวนมากยังอันตรายทั้งหมด จึงขอให้รดน้ำคนที่บ้าน สิ่งสำคัญนอกจากไหว้พระแล้ว ต้องทำกุศลให้คนอื่นปลอดภัยด้วย มีจิตสำนึกรู้คิด รู้ทำ รู้ปฏิบัติ นอกจากนี้ยังมีความเป็นห่วงในช่วงรอมฎอนด้วย ขอให้ระมัดวังที่สุด เพราะสถานการณ์โควิดทั่วโลกยังไม่หยุด มีคนติดเพิ่มเป็นหมื่น ๆ บางประเทศตายเป็นแสน ๆ แต่ของเราไม่ได้จะว่ามากหรือน้อย เพราะชีวิตคือชีวิต

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องการฉีดวัคซีนอย่ามองว่าฉีดช้าหรือเร็ว ซึ่งขึ้นอยู่กับจำนวนวัคซีนที่มีอยู่ ทั้งนี้หลายประเทศไม่ต้องจัดหา วัคซีนเองด้วยซ้ำ เช่นประเทศมีรายได้ร้อย แต่เป็นการฉีดให้ทดลองก่อนแล้วเรากล้าหรือไม่ ดังนั้นไม่ใช่ช้ากว่าเขา ถ้าวัคซีนมีฉีดได้หมด แต่เราไม่ใช่วัคซีนบริจาคซื้อเอง เพราะเรารายได้ปานกลาง ค่อนข้างสูง ขณะเดียวกันวันนี้เราต้องบริหารความเข้าใจให้ได้ลดความแตกแยก เพราะทุกคนเป็นคนไทยและสำคัญทั้งหมด ซึ่งตนเองในมุมหนึ่งเป็นนายกฯและนักการเมือง แต่ก็เป็นประชาชนเหมือนทุกคน

นายกฯ กล่าวด้วยว่า ขณะเดียวกันได้ตั้งคณะทำงานโดยมี นพ.ปิยสกล สกลสัตยาทร ที่ปรึกษาศูนย์ศบค. เป็นประธานร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขเพื่อพิจารณาจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมและบริหารการฉีดวัคซีน โดยต้องฉีดให้ได้ อย่างน้อย 45 ล้านคนทั้งประเทศ

เมื่อถามถึง ความเป็นไปได้ในการลดขั้นตอนการนำเข้าวัคซีนของ ภาคเอกชนได้ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนพร้อมที่จะลดขั้นตอน แต่ต่างประเทศเขาไม่ยอมลด เพราะมีมาตรฐานที่ทั้งโลกต้องดำเนินการ แต่ปัญหาหลักคือตอนนี้ต่างประเทศจะขายให้เราหรือไม่ เนื่องจากตอนนี้ก็มีการแย่งวัคซีนกัน ยืนยันว่าประเทศไทยไม่ได้ดำเนินการช้าไปกว่าประเทศอื่น อย่างในประเทศอินเดียที่เป็นผู้ผลิตวัคซีนรายใหญ่จากบริษัทแอสตราเซเนกา ยังประสบปัญหาผลิตไม่ทัน เพราะคนติดเชื้อมากขึ้น ส่วนสถานการณ์การติดเชื้อภายในประเทศไทยก็มีมากขึ้น แต่ที่สำคัญคือต้องไม่เจ็บและไม่ตาย รักษาให้ได้ ซึ่งขณะนี้ยารักษาภายในประเทศนั้นเพียงพอ ส่วนวัคซีนนั้นสามารถป้องกันได้ แต่ไม่ใช่ป้องกันได้ 100% เป็นเพียงการเพิ่มภูมิต้านทานให้ติดเชื้อยากขึ้น ไม่ใช่ว่าฉีดวัคซีนแล้วจะไปในสถานที่อโคจร ไม่เช่นนั้นก็ติดอยู่ดี

ส่วนเมื่อถามถึงกรณีที่โรงพยาบาลเอกชนไม่รับตรวจโควิด-19 นายกรัฐมนตรี ระบุว่า เกิดจากสาเหตุเตียง โรงพยาบาลเอกชนไม่เพียงพอ หากรับตรวจเมื่อพบว่าติดเชื้อก็ต้องรักษา จึงต้องนำผู้ป่วยนี้ดึงออกมาอยู่ในโรงพยาบาลสนาม และยืนยันว่าขณะนี้เองโรงพยาบาลเอกชนสามารถตรวจได้แล้วและมีน้ำยาเพียงพอ พร้อมอธิบายว่าหากรับผู้ป่วยที่ติดเชื้อทั้งหมดจะไม่สามารถรักษาโรคปกติได้ ซึ่งต้องมีการบริหารคนหมู่มาก

ส่วนแผนการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวนั้น นายกรัฐมนตรี ระบุว่า เป็นเพียงแผน หากดำเนินการไม่ได้ก็ไม่ทำตามแผน ซึ่งหากจะบังคับใช้ได้จริงจะต้องออกมาเป็นคำสั่งไม่ใช่แผน รวมถึงการเจรจากับประเทศ เช่น มีวัคซีนพาสปอร์ตหรือไม่ พร้อมย้ำว่าแผนการเปิดประเทศไม่ใช่เปิดโล่งทั้งหมด ต้องดูด้วยว่าประเทศเพื่อนบ้านเขาเปิดหรือไม่ ทุกวันนี้ต้องย้ำเรื่องเศรษฐกิจค้าขายเป็นหลัก ทั้งต้องเตรียมวัคซีนให้พร้อมในพื้นที่ท่องเที่ยวของประเทศ ซึ่งทำอะไรต้องเป็นกลางเสมอ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม เท่าเทียม รับฟังความคิดเห็นว่าสิ่งใดทำได้หรือไม่ได้บ้าง ไม่ใช่เพียงแค่คิดแล้วสั่งโครมๆ ลงไปเลย

ส่วนเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ที่นักการเมืองหรือรัฐมนตรีบางคนยังเดินทางไปที่อโคจร รัฐบาลจะเรียกความเชื่อมั่นได้อย่างไรนั้น นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ตนมองว่าเป็นเรื่องที่ไก่เกิดก่อนไข่หรือไข่เกิดก่อนไก่ ใครจะไปที่ไหนมาก็รู้ตัวอยู่แล้ว รัฐบาลจะไปห้ามก็ไม่ได้อยู่ที่ตัวบุคคล วันนี้ตนมองว่าเป็นบทเรียนพอสมควรแล้ว ขอให้หยุดกันเสียที เพราะหากใครติดเชื้อก็ต้องรักษา ซึ่งเป็นบทเรียนว่าสถานที่อโคจร ไม่ควรไป เพราะนายกฯ ก็ไม่เคยไปไหนเลยกว่า 10 ปีแล้ว ไม่เคยออกจากบ้านไปไหนเลย แต่สมัยหนุ่มๆ ก็คงคนละเรื่อง แต่ไม่ไปขนาดนี้

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึง นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รวมถึงรัฐมนตรีคนอื่น ๆ ว่า มีการรายงานการกักตัวเข้ามาให้ทราบ ซึ่งเขาก็โอเค และตนได้สั่งการให้ทำงานอยู่ที่บ้าน ผ่านการประชุมระบบวีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ สั่งงานผ่านแอปพลิเคชันไลน์ ไม่ใช่ 14 วันและจะหายไปเลย ทุกคนมีความรับผิดชอบ ซึ่งไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนเวลาใดก็รับผิดชอบ จึงขอทุกคนรับผิดชอบไปกับตนเองด้วยรวมถึงสื่อมวลชนด้วยว่าจะทำยังไงให้บ้านเมืองสงบ

ส่วนกรณี ที่รัฐสภามีการเลื่อนพิจารณาร่างประชามตินายกรัฐมนตรีย้อนถามว่าเพราะอะไร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก็เพราะมีการติดเชื้อโควิด ซึ่งตนจะไปบังคับใครไม่ได้เนื่องจากเป็นเรื่องของสภาฯ เมื่อมีการระบาดสมาชิกก็กลัวจะติดไปด้วย ยืนยันว่าตนจะไม่เข้าไปยุ่งกรณีที่ร่างพ.ร.บ. ฉบับนี้จะผ่านหรือไม่ผ่าน เพราะหลายอย่างที่เสนอผ่านรัฐบาลไปแล้วเป็นสิ่งที่เห็นชอบและจะไปควบคุมไม่ได้ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายอะไร เพราะทุกคนมีความคิดไม่ต้องไปสั่งเขา

ส่วนการออกมาตรการของจังหวัดที่ออกมาควบคุมป้องกันการแพทย์ระบาดนั้น นายยกรัฐมนตรี กล่าวว่า มี 2 อย่าง คือ จังหวัดจะจัดการพื้นที่อย่างไรที่มีการระบาดอย่างไร และจะเข้าไปอย่างไร และอีกประการคือคนที่จะเข้าไป มาจากพื้นที่ใดบ้าง ทั้งนี้ต้องคำนึงด้วยว่า การเดินทางจากกรุงเทพมหานคร ถึงจังหวัดปลายทางจะรับหรือไม่ ส่วนจะเพิ่มพื้นที่หรือไม่ ศบค. จะเป็นผู้แถลงชี้แจง และในวันนี้ สถานบันเทิงก็มีปิดตัวลงและได้รับความเดือดร้อนด้วย อีกทั้งตนยังได้สั่งตำรวจดูแลในเรื่องของอุปกรณ์การตรวจวัดแอลกอฮอล์ในจุดตรวจด่านแอลกอฮอล์เพื่อลดการแพร่ระบาดด้วย โดยยืนยันว่ามีการเปลี่ยนหลอดเป่าอยู่ตลอดไม่ใช่การเป่าปี่หรือดูดแต่อย่างใด

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึง กรณีที่มีการโยงสถานบันเทิงกับตึกไทยคู่ฟ้าว่า กำลังสั่งการให้ฝ่ายกฎหมายพิจารณาว่าผิดกฎหมายหรือไม่ การใช้คำว่าไทยคู่ฟ้า ไปทำโน้นทำนี้ คงไม่ใช่ ขอให้ระวังกันด้วย

รมช. แรงงาน ยำแผนบูรณาการ เทรนแรงงานป้อนอุตสาหกรรม S-Curve

วันที่ 9 เมษายน 2564 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพในอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve ครั้งที่ 2/2564 เพื่อพิจารณาแนวทางการจัดทำแผนพัฒนากำลังคนของประเทศรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve  โดยมีหม่อมหลวงปุณฑริก สิมิติ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน และคณะทำงาน เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมปกรณ์ อังศุสิงห์ ชั้น 10 กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน

ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวว่า จากการประชุมคณะกรรมการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพแห่งชาติครั้งที่ 1/2563 เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2563 คณะกรรมการฯ ได้เห็นชอบให้จัดทำแผนพัฒนากำลังคนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) ได้รวบรวมแผนงาน/โครงการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนากำลังคนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-curveประกอบด้วย ข้อมูลแผนงาน/โครงการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) และกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน รวมจำนวน 160 โครงการ ประกอบด้วย อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดี และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ อุตสาหกรรมดิจิทัล อุตสาหกรรมหุ่นยนต์เพื่อการอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร อุตสาหกรรมการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร อุตสาหกรรมพัฒนาคนและการศึกษา เพื่อให้สอดรับกับการพัฒนาแรงงานในกลุ่ม 12 อุตสาหกรรมเป้าหมายได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

จากข้อมูลแผลการดำเนินของแต่ละหน่วยงาน มีเป้าหมายในการพัฒนาจำนวนกำลังแรงงานประมาณ 890,000 คน ครอบคลุมประมาณการความต้องการกำลังแรงงานใหม่และแรงงานที่อยู่ในสถานประกอบกิจการ ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ปี 2562 - 2566 รวมกว่า 475,000 คน ยกตัวอย่างเช่น อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ มีความต้องการแรงงานกว่า 142,00 คน อุตสาหกรรมดิจิทัลจำนวนกว่า 116,000 คน และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์จำนวนกว่า 58,000 คน เป็นต้น ซึ่งการจัดทำแผนฯ ครั้งนี้ ทำให้สามารถเห็นภาพความต้องการกำลังแรงงานของ 12 อุตสาหกรรมเป้าหมายใน S-Curve ของประเทศ พร้อมวางแผนการพัฒนากำลังแรงงานเพื่อนำไปสู่การพัฒนาแรงงานในเชิงรุก ด้วยการ re skill และ up skill 

“แผนพัฒนากำลังคนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย เป็นการบูรณาการการทำงานร่วมกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั่วประเทศ โดยเน้นการพัฒนาทักษะเพื่อการทำงาน ตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรมและการประกอบอาชีพในอนาคต โดยจะนำกรอบแผนพัฒนากำลังคนเข้าสู่การพิจารณาในที่ประชุมคณะกรรมการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพแห่งชาติ (กพร.ปช.) เพื่อเร่งขับเคลื่อนต่อไป” รมช.แรงงาน กล่าวทิ้งท้าย

"ชัยวุฒิ" โชว์ผลตรวจเป็นลบ ไม่พบเชื้อโควิด หลังร่วมเปิดงาน หลักสูตรDigital Tranformation For CEO#3 ที่จัดโดยเครือเนชั่น งานเดียวกับที่พ่อปันปันไปร่วมงานเลี้ยง

ภายหลังจากที่ นายสุรศักดิ์ อุดมศิลป์ หรือ พ่อของน.ส.สุทัตตา อุดมศิลป์ หรือ ปันปัน ดารานักแสดงชื่อดัง ที่ไปร่วมงานเลี้ยงเปิดตัวหลักสูตร Digital Tranformation For CEO#3 ช่วงค่ำของวันที่ 2 เม.ย.ที่ผ่านมา และได้ไปตรวจหาเชื้อโควิด-19 ซึ่งผลออกมาวันนี้ พบว่าติดเชื้อโควิด โดยในงานดังกล่าว มีนายชัยวุฒิ  ธนาคมานุสรณ์  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ได้ไปเป็นประธานเปิดงาน ในช่วงเวลา 14.30 – 15.30 น. แล้วได้เดินทางกลับทันที ไม่ได้อยู่ในช่วงงานเลี้ยงอาหารค่ำแต่อย่างใด

ล่าสุดนายชัยวุฒิ เปิดเผยว่า หลังจากทราบข่าวกรณีที่ตนไปเปิดงานหลักสูตรDTC ดังกล่าว แล้วเกิดพบว่ามีผู้ติดโควิดมาร่วมในงานด้วยนั้น จึงได้ไปตรวจหาเชื้อโควิดตั้งแต่ช่วงเย็นของวันที่ 7 เม.ย. 64 แล้ว ส่วนตัวไม่รู้สึกกังวลอะไรเพราะไม่ได้อยู่ร่วมในงานเลี้ยงอาหารค่ำ จึงไม่ได้สัมผัสกับผู้ติดเชื้อโดยตรง แต่เพื่อให้เกิดความสบายใจแก่เจ้าหน้าที่ หน่วยงานในสังกัดกระทรวงที่ตนเองได้ร่วมประชุม และหารือการทำงานให้เกิดความมั่นใจ และปลอดภัยจึงไปตรวจไว้

ทั้งนี้ทางแพทย์โรงพยาบาลพญาไท ได้แจ้งผลตรวจหาเชื้อโควิดออกมาแล้ว โดยพบว่า ผลเป็นลบ ไม่พบเชื้อโควิด-19 แต่อย่างใด ซึ่งหลังจากนี้ก็ต้องเข้มเรื่องมาตรการป้องกันโควิดมากขึ้น และที่สำคัญพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีก็ได้กำชับรัฐมนตรีและครม. ให้ไม่ประมาทในการไปร่วมงานต่าง ๆ พบปะประชาชนต้องเข้มมาตรการด้านสาธารณสุขมากขึ้นกว่าเดิม

ประกันสังคม เปิดรับสมัคร รพ.เอกชน เพื่อให้บริการทางการแพทย์แก่ผู้ประกันตน ประจำปี 2565

นายทศพล กฤตวงศ์วิมาน เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน กล่าวถึงการดำเนินการจัดหาสถานพยาบาลเพื่อให้บริการทางการแพทย์ให้แก่ผู้ประกันตน ว่าสำนักงานประกันสังคม ได้เปิดรับสมัครสถานพยาบาลเอกชนเข้าร่วมเป็นสถานพยาบาลเพื่อให้บริการ ทางการแพทย์แก่ผู้ประกันตนประจำปี พ.ศ. 2565 โดยสถานพยาบาลเอกชนที่มีความประสงค์เข้าร่วมเป็นสถานพยาบาลคู่สัญญากับสำนักงานประกันสังคม สามารถขอรับและยื่นใบสมัครได้ที่สำนักจัดระบบบริการทางการแพทย์ สำนักงานประกันสังคม เลขที่ 88/28 หมู่ที่ 4 ถนนติวานนท์ ตำบลตลาดขวัญ อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี หรือสำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ สำนักงานประกันสังคมจังหวัด/สาขา ในท้องที่ที่สถานพยาบาลตั้งอยู่ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป 

จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 ในวันและเวลาราชการ โดยสามารถดูข้อมูลและดาวน์โหลดเอกสารการรับสมัครได้ที่เว็บไซต์สำนักงานประกันสังคม http://www.sso.go.th หากมีข้อสงสัยสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สำนักจัดระบบบริการ ทางการแพทย์ หรือติดต่อสำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ 12 แห่ง/จังหวัด/สาขา ทั่วประเทศ ทั้งนี้ การเปิดรับสมัครสถานพยาบาลเอกชนเข้าร่วมเป็นคู่สัญญากับประกันสังคมเป็นประจำทุกปี นอกเหนือจากการให้บริการทางการแพทย์แก่ผู้ประกันตนเป็นไปอย่างต่อเนื่องแล้ว ยังจะช่วยรองรับจำนวนผู้ประกันตนที่เพิ่มมากขึ้นในแต่ละปี และเป็นการกระตุ้นให้สถานพยาบาลเอกชนเกิดการแข่งขันทั้งด้านการให้บริการและคุณภาพในการรักษาพยาบาลแก่ผู้ประกันตนอีกด้วย

ศบค.มท. แจ้งทุกจว. อนุญาตผ่อนคลายเฉพาะการซ้อมชนโค ชนไก่ กัดปลาโดยไม่มีผู้เข้าชมในสนาม

เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2564  ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) เปิดเผยว่า ด้วยคณะรัฐมนตรี มีมติเมื่อวันที่ 23 มี.ค. ให้กระทรวงมหาดไทยหรือหน่วยงานผู้มีอำนาจตามกฎหมาย พิจารณาผ่อนคลายกิจกรรมตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 18) กรณีสนามชนโค สนามชนไก่ สนามกัดปลา สนามฝึกซ้อมหรือแข่งขันหรือการจัดกิจกรรมอื่นในลักษณะทำนองเดียวกัน โดยให้สามารถจัดการฝึกซ้อมหรือแข่งขันได้แบบไม่มีผู้ชม และปฏิบัติตามมาตรการ D-M-H-T-T อย่างเคร่งครัด และเพื่อให้การดำเนินการตามมติครม.เป็นไปในแนวทางเดียวกันทุกจังหวัด 

รวมทั้งเป็นการส่งเสริมให้เกษตรกรผู้เลี้ยงโค ไก่ชน และปลากัด ได้กลับมาประกอบอาชีพอีกครั้ง นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทยในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับการสั่งการและประสานกับผู้ว่าฯ และผู้ว่าฯ กทม. ได้สั่งการให้ผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดเสนอคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด พิจารณาอนุญาตผ่อนคลายกิจกรรมพื้นบ้านได้เฉพาะการซ้อมชนโค ชนไก่ และกัดปลา โดยไม่มีผู้เข้าชมในสนาม โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด และต้องปฏิบัติตามมาตรการ D-M-H-T-T อย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ หากพบว่ากิจกรรมใดไม่ปฏิบัติตามมาตรการทางสาธารณสุข ให้เสนอคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดพิจารณาสั่งปิดเป็นรายกรณีต่อไป

“ผบ.ทร.” มอบนโยบาย ประชุมหัวหน้าหน่วยขึ้นตรงกองทัพเรือ เตรียมความพร้อมในการรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รอบใหม่

เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2564 พล.ร.อ.เชษฐา ใจเปี่ยม โฆษกกองทัพเรือ เปิดเผยว่า เมื่อเวลา 13.30 น. ที่ผ่านมา กองทัพเรือ ได้จัดให้มีการประชุมหัวหน้าหน่วยขึ้นตรงกองทัพเรือ โดยมี พล.ร.อ.ชาติชาย ศรีวรขาน ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) เป็นประธานการประชุมผ่านระบบการประชุมทางไกลผ่านดาวเทียม (VTC) ร่วมด้วยผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองทัพเรือ และหัวหน้าหน่วยขึ้นตรงกองทัพเรือ ที่ห้องประชุม กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด ค่ายตากสิน อำเภอเมืองจันทบุรี จ.จันทบุรี

ในการประชุมกล่าวถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) รอบใหม่ โดย ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้สั่งการให้หน่วยต่างๆที่เกี่ยวข้องดำเนินการเตรียมความพร้อมของโรงพยาบาล/สถานพยาบาล/โรงพยาบาลสนาม  เพิ่มเติมเพื่อรองรับการแพร่ระบาด ดังนี้ 

1.) ให้โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า และ โรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ เป็นโรงพยาบาลหลัก สามารถให้บริการตรวจทางห้องปฏิบัติการ มีหอผู้ป่วยวิกฤต ห้องแรงดันลบ หอผู้ป่วยรวม และห้องแยก รวมแล้ว 54 เตียง มีขีดความสามารถในการตรวจวินิจฉัย และให้การรักษา ตั้งแต่อาการเล็กน้อย จนถึงขั้นวิกฤติ

2.) ตั้งโรงพยาบาลเฉพาะโรค ได้แก่ โรงพยาบาลทหารเรือกรุงเทพ และ โรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ มีหอผู้ป่วยรวม จำนวน 90 เตียง มีขีดความสามารถในการรักษาผู้ป่วยที่มีอาการเล็กน้อย โดยเน้นในการดูแลในส่วนของกำลังพลกองทัพเรือเป็นหลัก

3.) ให้จัดตั้งคลินิก โรคระบบทางเดินหายใจ ในพื้นที่ หน่วยแพทย์ปฐมภูมิ ที่มีนายแพทย์ปฏิบัติงาน

4.) จัดตั้งพื้นที่ เฝ้าระวัง ควบคุมโรค สำหรับกำลังพลกองทัพเรือ ประกอบด้วย
- พื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล / ใช้พื้นที่ สถาบันวิชาการทหารเรือชั้นสูง กรมยุทธศึกษาทหารเรือ
- พื้นที่สัตหีบ จังหวัดชลบุรี / ใช้พื้นที่ อาคารรับรองของ หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง และหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน
- พื้นที่จังหวัดจันทบุรี และตราด / ใช้พื้นที่ กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด ค่ายตากสิน
- พื้นที่จังหวัดสงขลา / ใช้พื้นที่ ฐานทัพเรือสงขลา
- พื้นที่จังหวัดนราธิวาส / ใช้พื้นที่ ค่ายจุฬาภรณ์
- พื้นที่จังหวัดพังงา และภูเก็ต ใช้พื้นที่ ฐานทัพเรือพังงา

5.) จัดตั้ง โรงพยาบาลสนาม ให้การสนับสนุนหน่วยงานสาธารณสุข จังหวัดชลบุรี ระยอง และจันทบุรี ประกอบด้วย
- ที่ศูนย์ฝึกทหารใหม่ หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง
- ที่ค่ายพระมหาเจษฎาราชเจ้า อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี
- ที่สนามฝึกกองทัพเรือ บ้านจันทเขลม จังหวัดจันทบุรี
และยังให้จัดตั้งคลินิกให้บริการวัคซีน โควิด ให้กับกำลังพล และประชาชนทั่วไป มีการจัดทีมสอบสวนโรค เมื่อพบผู้ป่วยต้องสงสัยในพื้นที่ที่กองทัพเรือรับผิดขอบ และให้มีการจัดทีมคัดกรอง และตรวจ เมื่อได้รับการประสานให้มีการสนับสนุนเพิ่มเติมกับหน่วยงานภายนอก

ทั้งนี้ ผู้บัญชาการทหารเรือเน้นย้ำให้ข้าราชการกองทัพเรือ เพิ่มความระมัดระวังทั้งแก่ตนเองและสมาชิกในครอบครัวในช่วงสถานการณ์ COVID-19 โดยการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคระบาดตามที่รัฐบาลกำหนด และมาตรการเพิ่มเติม 18 ข้อ ตามที่ผู้บัญชาการทหารเรือเคยได้ให้ไว้แล้ว เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) รอบใหม่

“บิ๊กบี้” ตรวจความพร้อม รพ. สนาม 12 พื้นที่ รวม 2,220 พร้อมรับการแพร่ระบาดโควิด-19 

เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2564 ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พล.ท.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ โฆษกกองทัพบก ในฐานะ ผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 กองทัพบก เปิดเผยว่า ตามสั่งการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ให้ กระทรวงมหาดไทย ร่วมกับกระทรวงกลาโหม ดำเนินการเตรียมโรงพยาบาลสนาม เพื่อรองรับการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่พบคลัสเตอร์ใหม่ในหลายพื้นที่ และมีความรุนแรงกระจายเป็นวงกว้าง ส่งผลให้ยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากในห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่งผลต่อปริมาณเตียงในสถานพยาบาลไม่เพียงพอต่อการรองรับผู้ป่วย

ในการนี้ กองทัพบกซึ่งเป็นหน่วยงานด้านความมั่นคงได้เตรียมความพร้อม โดยจัดตั้งโรงพยาบาลสนามในพื้นที่ทั่วประเทศ สอดคล้องตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อดูแลรักษาผู้ติดเชื้อและเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดให้อยู่ในวงจำกัด

ทั้งนี้กองทัพบกได้จัดตั้งโรงพยาบาลสนามระยะที่ 1 ใน 12 พื้นที่ รวม 2,220 เตียง โดยพิจารณาจัดตั้งในพื้นที่โล่ง อากาศถ่ายเทได้สะดวก, ห่างไกลจากแหล่งชุมชน อาทิ กรมทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 1 ถ.แจ้งวัฒนะ กทม. จำนวน 200 นาย,กรมพลาธิการทหารบก จ.นนทบุรี 50 เตียง, ค่ายฝึกนักศึกษาวิชาทหารเขาชนไก่ จ.กาญจนบุรี 300 เตียง, กรมการทหารช่าง จ.ราชบุรี 740 เตียง และกองพันทหารเสนารักษ์ในทุกกองทัพภาค อีก 930 เตียง

ซึ่งเป็นการนำศักยภาพของกองทัพ ทั้งด้านบุคลากร ยานพาหนะและสิ่งอุปกรณ์ เตียงสนาม พร้อมเครื่องนอน หมอนมุ้ง ในการจัดการดูแลรักษาผู้ติดเชื้อ พร้อมกันนี้ในปัจจุบันโรงพยาบาลค่ายในสังกัดกองทัพบกทั้ง 37 แห่ง ก็ได้สนับสนุนสาธารณสุขในพื้นที่ บริการคัดกรอง ดูแลรักษาประชาชน รวมทั้งสร้างการรับรู้ ให้คำแนะนำในการปฏิบัติตนตามมาตรการป้อง COVID-19 เพื่อให้ประชาชนได้ปฏิบัติตัวอย่างถูกต้อง มีส่วนร่วมในการรับผิดชอบต่อสังคม ลดการแพร่กระจายเชื้อไปในพื้นที่ต่าง ๆ อีกทางหนึ่งด้วย

ซึ่งในวันนี้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้เดินทางไปตรวจความพร้อมการเตรียมการโรงพยาบาลสนามเพื่อรองรับกรณีสถานการณ์การแพร่ระบาดของCOVID-19 สนับสนุนรัฐบาล และกระทรวงสาธารณสุข โดยมุ่งเน้นการดูแลและสิ่งอำนวยความสะดวก เครื่องมือและอุปกรณ์ที่จำเป็นใน 2 พื้นที่ ได้แก่ กรมพลาธิการทหารบก, กรมทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 1

“กองทัพบกยืนยันความพร้อม และพร้อมสนับสนุนทุกภาคส่วนในการดูแลพี่น้องประชาชน ซึ่งได้เตรียมการวางแผนมาตั้งแต่แรกเริ่มที่พบการระบาดในประเทศ ต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน เพื่อสามารถรับมือต่อสถานการณ์ บริหารจัดการได้อย่างทันท่วงที และเป็นที่พึ่งของประชาชนในทุกโอกาส” พล.ท.สันติพงศ์ กล่าว


 

รมว.สุชาติ หารือร่วม ผู้ว่าฯ นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ ขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้การต้อนรับผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ หารือร่วมเร่งเดินหน้านโยบายขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน บูรณาการทุกภาคส่วน ส่งเสริมการมีงานทำ สร้างหลักประกันความมั่นคงแก่แรงงานทุกคน สอดคล้องกับบริบทในพื้นที่
        
เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ที่ห้องจัตุมงคล ชั้น 6 อาคารกระทรวงแรงงาน ให้การต้อนรับ นายสุจินต์ ไชยชุมศักดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี และนายชัยพจน์ จรูญพงศ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ ในโอกาสเข้าพบเพื่อหารือการดำเนินงานของคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน และแนวทางในการปฏิบัติงานของคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน โดยมี นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน และผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย 

โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า รัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาในระดับพื้นที่ โดยเริ่มจากปัญหาที่เป็นความเดือดร้อนเร่งด่วนเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรมและรวดเร็วทันเหตุการณ์ ในส่วนของกระทรวงแรงงาน ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้รับมอบหมายจากท่านนายกรัฐมนตรีให้รับผิดชอบแนวคิดการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับพื้นที่จังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ
        
นายสุชาติ กล่าวต่อว่า ในวันนี้ผมได้ต้อนรับท่านผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 3 จังหวัด คือ นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ ในโอกาสเข้าพบเพื่อหารือการดำเนินงานของคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน และแนวทางในการปฏิบัติงาน ตลอดจนรับทราบความก้าวหน้า ปัญหาอุปสรรค และข้อเสนอแนะของจังหวัด เพื่อนำข้อมูลไปประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันตามภารกิจของกระทรวงแรงงาน 

ทั้งนี้ รมว.แรงงาน ยังได้เน้นย้ำกับผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 3 จังหวัดให้บูรณาการทำงานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ และรับฟังความคิดเห็นจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน อาทิ ด้านส่งเสริมสินค้าเกษตรและสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ในพื้นที่ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ การยกระดับการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานทั้งระบบไฟฟ้า น้ำประปา และติดตั้งกล้องวงจรปิดตามแหล่งท่องเที่ยวเพื่อสร้างมั่นใจและเพิ่มความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยว 

โดยหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจะเข้าไปสนับสนุนตามภารกิจ อาทิ การฝึกอบรมฝีมือแรงงานโดยต่อยอดให้พี่น้องแรงงานในพื้นที่สามารถนำไปประกอบอาชีพได้ ส่งเสริมระบบตลาดออนไลน์ การส่งเสริมการมีงานทำในระดับชุมชนพื้นที่ การพัฒนาทักษะฝีมือ Up – skill Re – skill และ New – skill ตามความต้องการของแรงงานทุกกลุ่ม การคุ้มครองดูแลให้พี่น้องผู้ใช้แรงงานทั้งแรงงานในระบบและแรงงานนอกระบบได้รับสิทธิประโยชน์และมีหลักประกันความมั่นคงในชีวิต เป็นต้น

นายกฯ ไทย - ญี่ปุ่นหารือชื่นมื่นพร้อมต่อยอดความร่วมมือทางเศรษฐกิจ โดยไทยพร้อมเป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาค  พร้อมจับมือไทยสนับสนุนลดความตึงเครียดในเมียนมาด้วยสันติวิธี และให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมกับผู้หนีภัย

วันที่ 9 เมษายน 2564 ที่ห้องโดม ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หารือทางโทรศัพท์กับนายซูกะ โยชิฮิเดะ (H.E. Mr. Suga Yoshihide) นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ในโอกาสที่นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเข้ารับตำแหน่ง

นายกรัฐมนตรี กล่าวแสดงความยินดีในโอกาสที่ได้มีโอกาสหารือกับนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก ทราบว่านายกรัฐมนตรีได้เคยทำหน้าที่เป็นประธานร่วมฝ่ายญี่ปุ่นของคณะกรรมาธิการร่วมระดับสูงไทย -ญี่ปุ่น (High Level Joint Commission: HLJC) สมัยที่ดำรงตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น จึงหวังว่าจะสานต่อความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างไทย - ญี่ปุ่น ได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ รัฐบาลไทยมุ่งมั่นที่จะกระชับความร่วมมือกับญี่ปุ่นในฐานะประเทศหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน ซึ่งที่ผ่านมาแม้ว่าทั่วโลกจะพบกับความท้าทายจากสถานการณ์โควิด-19 รัฐบาลไทยและรัฐบาลญี่ปุ่นยังมีการติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง โดยไทยได้อำนวยความสะดวกการเดินทางระหว่างนักธุรกิจและประชาชนของทั้งสองฝ่ายตามมาตรการควบคุมโรคของรัฐบาลไทย  

ด้านนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น กล่าวยินดีที่ได้หารือกับนายกรัฐมนตรีเป็นครั้งแรก พร้อมระบุว่า จากที่มีโอกาสทำหน้าที่สนับสนุนความร่วมมือระหว่างญี่ปุ่นกับไทย และเคยเยือนไทยเพื่อเข้าร่วม การประชุมสุดยอดอาเซียนและการประชุมที่เกี่ยวข้องเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2562 ทั้งนี้ ญี่ปุ่นชื่นชมการจัดการเพื่อควบคุมโควิดของไทย และญี่ปุ่นพร้อมให้ความสนับสนุนอุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น ตู้แช่วัคซีน และบริการขนส่งแก่ไทย และประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นๆ ภายใต้ โครงการให้ความช่วยเหลือแบบให้เปล่าฉุกเฉินผ่านองค์การ UNICEF และ JICA ซึ่งจะช่วยทำให้แจกจ่ายวัคซีนให้แก่ประชาชนมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

จากนั้นทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ ซึ่งนายกรัฐมนตรีขอบคุณญี่ปุ่นที่สนับสนุนการค้าการลงทุนกับไทย และให้ความสำคัญกับการลงทุนในเขตEEC มาโดยตลอด รัฐบาลไทยเตรียมการที่จะปรับปรุงแก้ไขอุปสรรคด้านการลงทุนต่าง ๆ พร้อมยกระดับสภาพแวดล้อม การทำธุรกิจภายในประเทศเพื่อให้เอื้อต่อการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติที่มีศักยภาพและมีความสนใจ ซึ่งนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นประสงค์ให้มีความร่วมมือระหว่างกันอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น ทั้งสองฝ่ายพร้อมสนับสนุนให้จัดการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมระดับสูงไทย - ญี่ปุ่น (High Level Joint Commission: HLJC) ครั้งที่ 5 เพื่อขับเคลื่อนความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะมีส่วนฟื้นฟูสำคัญภายหลังสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงนโยบายที่รัฐบาลให้ความสำคัญ คือ การพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG Model) อนุรักษ์พลังงานและการรักษาสิ่งแวดล้อม จึงเชิญชวนให้ญี่ปุ่นพิจารณาไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในรูปแบบต่างๆ ในประเทศไทย 

ในส่วนของความร่วมมือพหุภาคี ญี่ปุ่นเชื่อมั่นบทบาทของไทยการเป็นผู้นำในหลายด้านของภูมิภาค และพร้อมสนับสนุนความร่วมมือกับไทยเพื่ออนาคตความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น (Mekong-Japan Cooperation - MJ) ที่ญี่ปุ่นให้ความสำคัญ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่าไทยพร้อมร่วมมือกับญี่ปุ่นและประเทศสมาชิกอาเซียนในโอกาสที่ไทยเป็นผู้ประสานงานความสัมพันธ์อาเซียน – ญี่ปุ่น ช่วงปี 2564-2567 ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นพร้อมสนับสนุนการเป็นเจ้าภาพของไทย และร่วมมือกับไทยอย่างใกล้ชิดในห้วงที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผู้นำเอเปคในปี 2565 

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับญี่ปุ่นต่อสถานการณ์ในเมียนมา ซึ่งฝ่ายญี่ปุ่นชื่นชมบทบาทของไทยและอาเซียน ทั้งนี้ทั้งสองฝ่ายพร้อมให้การสนับสนุนเมียนมาให้ลดความตึงเครียดของสถานการณ์ด้วยสันติวิธี และยืนยันให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมสำหรับผู้หนีภัยความไม่สงบในเมียนมาตามหลักมนุษยธรรม 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top