Friday, 25 April 2025
PETA

ห้างวอลมาร์ทเลิกขาย ‘กะทิชาวเกาะ’ ของไทย หลัง PETA แฉใช้แรงงานลิงเก็บมะพร้าวเยี่ยงทาส

‘วอลมาร์ท’ ค้าปลีกยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯตามอย่างห้างดังอื่น ๆ ในอเมริกาสั่งยกเลิกขายกะทิชาวเกาะแบรนด์ดังจากไทยหลัง PETA เปิดเผยการใช้แรงงานลิงบังคับขึ้นเก็บมะพร้าวในไทย 

บิสซิเนสอินไซเดอร์ รายงานวันพฤหัสบดี(9 มิ.ย)ว่า ในรายงานการสอบสวนของ PETA จำนวน 2 ชิ้นค้นพบว่ามีการใช้ลิงล่ามโซ่เก็บมะพร้าวโดยลิงเหล่านี้โดนขังกรงในอุตสาหกรรมการผลิตน้ำกะทิกระป๋องชื่อดังจากไทย

ห้างยักษ์ใหญ่วอลมาร์ท(Walmart)ชื่อดังที่มีสาขาทั่วสหรัฐฯล่าสุดยกเลิกการจำหน่าย "กะทิชาวเกาะ" แบรนด์ดังจากไทย ยอมเดินตามอย่างห้างยักษ์ใหญ่ต่าง ๆ ในอเมริการายอื่น ๆ ก่อนหน้า

ทั้งนี้ห้างในอเมริกาอื่น ๆ ที่ตัดสินใจยกเลิกการจำหน่ายกะทิชาวเกาะเป็นต้นว่า ห้างทาร์เก็ต(Target) ที่มีสาขาทั่วอเมริการาว 1,931 สาขา ห้างโครเกอร์ (Kroger) มีสาขาเกือบ 2,800 สาขา ห้างอัลเบิร์ตสันส์(Albertsons) มีราว 2,253 สาขา ห้าง Stop & Shop มีราว 415 สาขา ห้างฟู๊ดไลออน (Food Lion) มีราว 1,100 สาขา ห้างพับลิกซ์ (Publix)มีราว 1,288 สาขา ส่วนห้างเว็กแมนส์( Wegmans)มีราว 107 สาขา และห้างคอสต์โก(Costco)มีราว 572 สาขาทั่วสหรัฐฯ ต่างพร้อมใจยกเลิกการจำหน่ายกะทิชาวเกาะเช่นกันเป็นผลมาจากการเผยแพร่การสอบสวนของ PETA ในเรื่องนี้

สำหรับวอลมาร์ทพบว่ามีสาขาทั่วอเมริการาว 10,500 สาขา ซึ่งทั้งห้างวอลมาร์ท ห้างทาร์เก็ตและห้างคอสต์โกนั้นเป็นห้างที่มีสาขาเปิดทั่วโลก

บริษัทเทพพดุงพรมะพร้าวจำกัดเป็นผู้ผลิตกะทะชาวเกาะมีฐานการผลิตอยู่ในไทย 

โดยบนเว็บไซต์ทางการในรายงานการสอบสวนของ PETA ภายใต้หัวข้อ “10 เหตุผลที่ลิงต้องการให้พวกเราต้องไม่ซื้อกะทิชาวเกาะ” (https://www.peta.org/features/chaokoh-coconut-milk-monkeys/) กล่าวยืนยันว่า กะทิชาวเกาะที่มีจำหน่ายในบางห้างทั่วสหรัฐฯนั้นมีการใช้แรงงานทาสจากลิงเกิดขึ้น

โดยในรายงานกล่าวว่าลิงที่ถูกใช้เก็บมะพร้าวเพื่อนำมาผลิตเป็นน้ำกะทินั้นถูกล่ามโซ่ตลอดเวลา ทำการฝึกสอนอย่างทารุณ และบังคับให้ลิงขึ้นต้นมะพร้าวเพื่อเก็บมะพร้าว

ซึ่งหนึ่งในเหตุผลหลักที่ทาง PETA ให้กับผู้บริโภคจนนำมาสู่การบอยคอตจากห้างชื่อดังหลายห้างในสหรัฐฯคือ ลิงจำนวนมากในไทยที่ถูกใช้ในอุตสาหกรรมมะพร้าวมีรายงานว่าเป็นลิงเถื่อนที่ถูกพรากมาจากครอบครัวของพวกมัน

นอกจากนี้ในเหตุผลอื่น ๆ ยังรวมไปถึงลิงเหล่านี้ถูกปฎิบัติอย่างไร้มนุษยธรรมด้วยการที่ลิงพวกนี้ไม่สามารถมีอิสระในการเคลื่อนไหวร่างกายหรืออยู่รวมกลุ่มกับลิงอื่นๆเหมือนตามธรรมชาติ ส่งผลทำให้ลิงเหล่านี้อยู่ในสภาพไม่สามารถควบคุมตัวเองได้

นอกจากนี้ทางกลุ่มสิทธิสัตว์ยังยกตัวอย่างไปถึงการขนย้ายลิงในกรงใหญ่กว่าตัวที่ลิงไม่มากนักและยังถูกบรรทุกบนหลังรถปิ๊กอัพไปท่ามกลางฝนที่ตกลงมาอย่างหนักโดยที่ไม่มีสิ่งป้องกัน ประการสุดท้ายที่สำคัญที่สุดที่ PETA ชี้ให้เห็นคือ "ลิงถือเป็นสัตว์ป่าที่มนุษย์ไม่สมควรที่จะแสวงหาประโยชน์ ทารุณ หรือนำไปใช้งาน"

ซึ่งในรายงานกลุ่มสิทธิสัตว์กล่าวไปว่า การสนับสนุนผลิตภัณฑ์น้ำกะทิก็เท่ากับว่าเป็นการซื้อสิ่งที่ใช้แรงงานลิงบังคับ
 

'นิคอสรพิษวิทยา' โต้!! PETA ควรมองความจริง ปมให้เอา 'หมูเด้ง' ไปปล่อยป่า ถาม!! นี่ใช่องค์กรเดียวกับที่ประณามไทย 'ทรมานลิง-เก็บมะพร้าว' หรือไม่?

(28 ก.ย.67) จากกรณี องค์กรพิทักษ์สัตว์ หรือ PETA ได้ออกมาเรียกร้องให้ปล่อยหมูเด้ง ฮิปโปแคระ สวนสัตว์เปิดเขาเขียว ที่กำลังฮอตสุดขีดในหลากหลายวงการเวลานี้ กลับเข้าป่า โดยให้เหตุผลว่า การเอาหมูเด้งมาไว้ในสวนสัตว์เป็นการทรมานสัตว์ นั้น ด้าน นายนิรุทธิ์ ชมงาม หรือ 'นิคอสรพิษวิทยา' หัวหน้าผู้ก่อตั้งกลุ่มอสรพิษวิทยา และผู้เชี่ยวชาญการจับงูและสัตว์เลื้อยคลาน ก็ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า "มันเยอะไปไหม?" พร้อมทั้งกล่าวต่ออีกว่า...

จากข่าวองค์กรแห่งหนึ่ง ที่บอยคอต 'สวนสัตว์เขาเขียว' ในกรณีของหมูเด้ง ลูกฮิปโปแคระที่เป็นกระแสอยู่ตอนนี้ ว่าใช้สัตว์เพื่อผลประโยชน์และแสวงหาผลกำไร ลั่น!! ฮิปโปต้องอยู่ในป่าเท่านั้น

มีเพื่อนมาถามว่าในมุมมองของกลุ่มคนที่อนุรักษ์เขาคิดกันยังไง? ตอบได้แค่ว่า “อย่าสุดโต่งและอย่าเยอะ”

บางครั้งคนเราก็อินกันมากเกินไปจนตกขอบ เพราะอยู่แต่ในมุมของตัวเอง ในเรื่องของตัวเอง จนไม่ได้ดูบริบทแวดล้อมอะไรเลย

มันต้องอยู่ในป่า มันต้องอยู่ในธรรมชาติ จนไม่ได้คิดว่า ฮิปโปแคระที่เกิดในที่เลี้ยง พ่อแม่มันก็อยู่ในที่เลี้ยง แล้วรณรงค์ให้มันไปอยู่ป่า มันจะรอดไหม? แล้วมันได้จะอะไรขึ้นมา ซึ่งบางทีก็ไม่เข้าใจว่าเขามองแบบตีรวมเลยหรือเปล่า ว่าเพราะญาติโก โหติกามันถูกจับมาจากธรรมชาติ เชื่อมโยงไปสู่กระบวนการค้าสัตว์ป่า ผ่านมา รุ่น3 รุ่น4 มันเลยต้องถูกตีรวมทั้งหมด ต้องถูกประณามทั้งหมด

มันต้องแยกแยะให้ได้ สัตว์ในธรรมชาติก็ไม่ควรถูกนำมาเลี้ยงโดยไม่จำเป็น แต่สัตว์ที่มันถูกเพาะเลี้ยงมามันก็เป็นอีกประเด็น แต่ก็ควรได้รับสวัสดิภาพที่ดีในที่เลี้ยง บางทีการมองอะไรแค่ด้านเดียวมันก็ไม่ถูกต้อง

ต้องไม่ลืมว่าพันธุกรรมสัตว์หลายๆ ชนิดก็ถูกปกป้องในที่เลี้ยงนี่แหละ เรามีการปล่อยสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์กลับสู่ธรรมชาติ เช่น นกกระเรียน อีแร้ง ละมั่ง วัวแดง และสัตว์อีกหลายๆ ชนิดได้ ก็เพราะการถูกรักษาไว้ในที่เลี้ยงนี่แหละ (แต่ต้องทำตามกระบวนการศึกษาที่ถูกต้องนะครับ ไม่ใช่อยากปล่อยก็เอาไปปล่อย)

ไฟมีอันตราย แต่ก็ยังนำมาใช้ประโยชน์ได้ ดังนั้นทุกอย่างมี 2 ด้านเสมอ ขึ้นอยู่กับว่าจะใช้มันยังไง

บางทีการคิดการมองแค่มุมเดียวจนสุดโต่ง มันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร นอกจากนั้นยังทำให้ค่านิยมต่อคนที่ทำงานอนุรักษ์ด้วยความเป็นจริง ต้องถูกมองลบไปด้วย ว่า คนอนุรักษ์ต้องเป็นแบบนี้มองโลกแค่มุมเดียว

“ขอประณามกลับไป หัดกลับไปมองความจริง และคิดอะไรให้เหมือนชาวบ้านเขาบ้าง”

ปล.เกือบลืม องค์กรเดียวกับที่ประณามเราเรื่อง ประเทศไทยทรมานลิง ใช้ลิงเก็บมะพร้าวส่งออก

‘ผอ.สวนสัตว์เปิดเขาเขียว’ โต้กลับ PETA ปมแบน ‘หมูเด้ง’ หลังชี้นำ นทท. อังกฤษ ไม่ให้เข้าชม อ้างกักขังสัตว์แสวงหาผลกำไร

ผอ.สวนสัตว์เปิดเขาเขียว โต้ "องค์กรอนุรักษ์" ปมชี้นำ นักท่องเที่ยวอังกฤษ ไม่ให้ไปเยี่ยมชม "น้องหมูเด้ง" อ้างกักขังสัตว์เป็นนักโทษเพื่อแสวงหาผลกำไร

(25 ก.พ. 68) จากกรณีองค์กรอนุรักษ์ทั้ง Born Free และ PETA ออกรณรงค์แคมเปญ “แบนหมูเด้ง” โดยห้ามนักท่องเที่ยวอังกฤษ บินมาเที่ยวชม “หมูเด้ง” ที่สวนสัตว์เขาเขียว อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ซึ่งกักขังหมูเด้ง ในฐานะนักโทษเพื่อผลกำไร จึงวิตกว่ากระแสความโด่งดังของ หมูเด้ง จะเป็นภัยต่อสวัสดิภาพความเป็นอยู่ในฐานะสัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์ หลังมีนักท่องเที่ยวปาขวดน้ำ สิ่งของ หรือส่งเสียงดังเพื่อเรียกความสนใจเพื่อให้ “หมูเด้ง” มาอยู่ในเฟรมเพื่อที่จะถ่ายภาพเซลฟี่ ซึ่ง หมูเด้ง คงจะต้องตายอยู่คอกที่แห้งแล้ง ไร้โอกาสที่จะได้สัมผัสความอบอุ่นของถิ่นที่อยู่ตามธรรมชาติที่แท้จริงอย่างแอฟริกาตะวันตก 

ล่าสุด เมื่อวันที่ 24 ก.พ.68 นายณรงค์วิทย์ ชดช้อย ผู้อำนวยการสวนสัตว์เปิดเขาเขียว กล่าวถึงกระแสข่าวการโจมตีสวนสัตว์เรื่องให้ “หมูเด้ง” มาสร้างผลประโยชน์ว่า กรณีดังกล่าวไม่เป็นความจริง เพราะทางสวนสัตว์เน้นดูแลสวัสดิภาพให้กับสัตว์ทุกตัวที่อยู่ในสวนสัตว์เป็นหลัก และในเดือน มี.ค.นี้ จะมีทีมคณะมาตรวจประเมินสวัสดิภาพของสัตว์ ซึ่งสวนสัตว์เปิดเขาเขียว ผ่านการประเมินทุกปี

“ก็ไม่เป็นความจริงอย่างที่เค้านำเสนอนะครับ คือเรายังคงความเป็นสวนสัตว์ที่มีภารกิจ 4 ด้านด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นอนุรักษ์ วิจัย ให้การศึกษาและพักผ่อนหย่อนใจ ของน้องหมูเด้ง เอง เราก็มีการตรวจสวัสดิภาพสัตว์ทุกปี ซึ่งสวนสัตว์เปิดเขาเขียว จะได้รับการตรวจประเมินสวัสดิภาพสัตว์ ภายในเดือนมีนายนี้ ทุกปีจะต้องมีการตรวจประเมิน เราก็มีทีมคณะตรวจประเมินสุขภาพสัตว์จากหลากหลายพื้นที่เข้ามาตรวจเรา เพราะฉะนั้นเรายืนยันได้ว่า เรายังคงความเป็นสวนสัตว์ที่มีมาตรการในการจัดการด้านสวัสดิภาพสัตว์ที่ดีต่อไปด้วยนะครับ”

ขณะที่ น.ส.อิสริยา สเตาบ์ สาวไทยที่อาศัยอยู่ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเดินทางมาดู “น้องหมูเด้ง” พร้อมแฟนหนุ่มชาวอเมริกัน กล่าวถึงกระแสข่าวเรื่ององค์กรอนุรักษ์ของประเทศอังกฤษ ประกาศแบน “น้องหมูเด้ง” ว่า กรณีดังกล่าวไม่น่าจะทำได้ เพราะตนและแฟนหนุ่มเคยเดินทางไปเที่ยวชมสวนสัตว์ในหลายประเทศ ซึ่งยอมรับว่า สวนสัตว์เปิดเขาเขียว ดูแลสัตว์ต่างๆ ได้ดีมาก โดยเฉพาะ “น้องหมูเด้ง” ที่ถูกปล่อยให้ใช้ชีวิตตามธรรมชาติ ซึ่ง น้องหมูเด้ง ไม่ได้โดนจำกัดพื้นที่แต่อย่างใด

“เคยไปเที่ยวสวนสัตว์ที่ไมอามี แฟนบอกว่าที่นี่เค้าเลี้ยงอย่างดีมาก แบบปล่อยเป็นธรรมชาติ ซึ่งน้องไม่ได้รู้สึกว่าโดนจำกัดพื้นที่เลยนะคะ จริงๆ ตรงนี้ดรามาที่เคยเกิดขึ้นมาตั้งแต่เริ่มต้นมันไม่ใช่ หรือแม้แต่ที่บอกว่าอยากให้คนเลี้ยงเปลี่ยนเป็นผู้หญิง ซึ่งจริงๆ แล้วคุณ ผอ.ก็บอกแล้วว่า น้องเบนซ์ เค้าเลี้ยงมาตั้งแต่เกิด เพราะฉะนั้นเค้ารู้ว่าต้องทำยังไง ผู้ชายเค้ามีกำลังมีแรงที่จะดูแลสัตว์ประเภทนี้ คิดว่าทุกอย่างดีมากๆ การดูแลที่นี่ดีมากๆ ดีใจมากๆ ที่ได้มาที่นี่”

น.ส.อิสริยา บอกอีกว่า หากเป็นไปได้ตนและแฟนหนุ่ม ขอเชิญนักท่องเที่ยวต่างชาติ ให้มาเที่ยวชม น้องหมูเด้ง และสัตว์ป่านานาชนิดที่สวนสัตว์เปิดเขาเขียว กันให้มากๆ เพราะที่นี่ถือเป็น The Best Zoo โดยเชื่อว่าหากมาเที่ยวชมจะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top