Saturday, 17 May 2025
NewsFeed

เศรษฐกิจไม่ ‘พัง’ เท่าปีก่อน แต่ยังลุ้นเหนื่อย!! ธปท. เชื่อ โควิด–19 ระลอกใหม่ ทำเศรษฐกิจเจ็บไม่เท่ารอบแรก เชื่อ ศก.ไทย กำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัว แต่ธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร ขนส่ง ค้าปลีก ยังเหนื่อยหนัก

ธนาคารแห่งประเทศไทยเผยผลกระทบโควิด–19 ระลอกใหม่ต่อภาคเศรษฐกิจ ไม่รุนแรงเท่ารอบแรก แต่ธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร ขนส่ง ค้าปลีก ยังได้รับผลกระทบหนักสุด พร้อมยันเศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงฟื้นตัว ชูการส่งออกเป็นพระเอกขับเคลื่อนในปีนี้ หลังเศรษฐกิจคู่ค้าดีขึ้น และนโยบายการค้าสหรัฐฯเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น

น.ส.พรเพ็ญ สดศรีชัย ผู้อำนวยการฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.ได้ประเมินผลกระทบการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปลายเดือน ธ.ค.63 โดยพบว่า แม้มีการระบาดที่รวดเร็วและรุนแรงกว่าครั้งก่อน แต่ผลต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ไม่รุนแรงเท่ารอบแรก เพราะภาครัฐออกมาตรการควบคุมดูแลที่เข้มงวดน้อยกว่า แต่มีกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบหนักคือ โรงแรม ร้านอาหาร ขนส่ง ผู้โดยสาร และค้าปลีก ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรม และอสังหาริมทรัพย์ยังไม่ได้รับผลกระทบรุนแรง และเป็นตัวช่วยให้เศรษฐกิจไทยเดือน ธ.ค.63 และไตรมาสที่ 4/63 ฟื้นตัว

ข่าวแนะนำ

“ช่วงปลายเดือน ธ.ค.63 และเดือน ม.ค.64 เราเห็นผลกระทบที่เกิดกับเศรษฐกิจไทยเพิ่มขึ้น จากการระบาดในระลอกที่ 2 แต่ในระยะต่อไป ปัจจัยที่จะต้องติดตามคือ พัฒนาการของโควิด-19 ทั้งในด้านผลกระทบต่อเศรษฐกิจ รวมทั้งการผ่อนคลายความเข้มงวด ซึ่งล่าสุดมีแนวโน้มว่า รัฐบาลอาจผ่อนคลายความเข้มงวดในการควบคุมกิจกรรมทางเศรษฐกิจเร็วกว่าที่ ธปท.คาดไว้ จากเดิม ที่มองว่า มาตรการคุมเข้มจะลากยาว 2-3 เดือน นอกจากนั้น เดือน ธ.ค. การส่งออกยังขยายตัวดีเกินคาดที่ 4.6% แสดงให้เห็นการฟื้นตัวของความต้องการซื้อของประเทศคู่ค้าและวัฏจักรสินค้าอิเล็กทรอนิกส์โลก ทำให้ ธปท.มองว่า เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าและการค้าโลก จะเป็นปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป โดยเฉพาะเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าของนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ”

ส่วนอีกปัจจัยหนึ่งที่จะต้องติดตามคือ ความต่อเนื่องของการฟื้นตัวของตลาดแรงงาน โดยจำนวนผู้ว่างงาน และผู้ขอรับสิทธิว่างงานลดลง ในเดือน พ.ย.63 ส่วนในเดือน ธ.ค.63 ผู้เสมือนว่างงาน หรือทำงานไม่ถึง 24 ชั่วโมงต่อสัปดาห์เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 200,000 คน มาอยู่ที่ 2.4 ล้านคน นอกจากนั้นยังต้องพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และบรรเทาความเดือดร้อนของ ประชาชนจากภาครัฐว่าจะมีผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจอย่างไร ส่วนการท่องเที่ยวคาดว่าปีนี้ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยอาจไม่มากนักจากเดิมที่ ธปท.คาดการณ์ตั้งแต่ก่อนที่โควิด-19 ระลอกใหม่จะรุนแรงว่า จะมีเข้ามา 5.5 ล้านคน จึงต้องเพิ่มรายได้จากจำนวนวันที่เข้ามานานขึ้นทดแทน

น.ส.พรเพ็ญ กล่าวต่อถึงเศรษฐกิจไทยในปี 63 ว่า ธปท.ยังคาดว่าจะขยายตัวตามประมาณการเดิมที่ติดลบ 6.6% โดยเดือน ธ.ค.เศรษฐกิจไทย ยังทยอยฟื้นตัวได้แต่ยังไม่ทั่วถึง และเห็นผลกระทบจากโควิดระลอกใหม่ชัดเจนขึ้น ดัชนีบริโภค ภาคเอกชนเริ่มได้รับผลกระทบ ส่งผลให้การใช้จ่าย หมวดบริการลดลง แต่การใช้จ่ายหมวดสินค้าคงทนยังเพิ่มขึ้น 2.7% เมื่อเทียบกับเดือน ธ.ค.62 แต่ลดลง 2.9% เมื่อเทียบกับเดือน พ.ย.63 ส่วนดัชนี การผลิตภาคอุตสาหกรรมหดตัว 2.4% จากเดือน ธ.ค.62 แต่หมวดยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและชิ้นส่วนและแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ยังขยายตัวสอดคล้องกับความต้องการสินค้ากลุ่มนี้ที่เพิ่มขึ้น ทำให้เมื่อเทียบกับเดือน พ.ย.63 ดัชนีเพิ่ม 1.5%

ด้านดัชนีการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวสูงขึ้น 4.5% จากเดือน ธ.ค.63 ยกเว้นหมวดก่อสร้างยังหดตัว จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศหดตัวสูงต่อเนื่อง จากมาตรการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศของไทย ขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัดยังคงเกินดุล 16,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ส่วนดุลการค้าเกินดุล 39,800 ล้านเหรียญฯ แต่ดุลบริการซึ่งสะท้อนรายได้จากการท่องเที่ยวติดลบ 23,000 ล้านเหรียญฯ

“ธปท. มองว่าการส่งออกจะยังมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องตามเศรษฐกิจคู่ค้า รวมทั้งนโยบายการค้าที่ชัดเจนขึ้นของสหรัฐฯ จะช่วยสนับสนุนการค้าโลกในระยะต่อไป ดังนั้น แนวทางและนโยบายในด้านการค้าที่ควรทำในระยะนี้คือ เร่งยกระดับมาตรฐานการผลิตและคุณภาพสินค้า เพื่อให้ตอบสนองความต้องการสินค้าได้ทันท่วงที สร้างสมดุลทางการค้ากับทั้งสหรัฐฯ และจีน เพื่อรักษาห่วงโซ่การผลิตและการตลาด รวมทั้งรักษาสิทธิในการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เพื่อรักษาผลประโยชน์ระยะยาว”


ที่มา:

https://www.thairath.co.th/news/business/market-business/2022681

จัดอันดับความโปร่งใส ‘ไทย’ ร่วง!! ‘อนุชา’ เผย ไทยรั้งอันดับความโปร่งใสที่ 104 จาก 180 ประเทศ ดิ่งลง 3 อันดับ เชื่อเหตุ ‘บ่อนพนัน’ ฉุดเรตติ้ง!! ด้านลุงตู่รู้ สั่งเข้มห้ามเกิดเหตุซ้ำซากอีก

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (TI) ประกาศให้ประเทศไทยมีคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต หรือ CPI ประจำปี 2020 อยู่ในอันดับ 104 ของโลกจาก 180 ประเทศ ว่า

ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา อันดับของไทยถูกปรับขึ้นลงตามปัจจัยที่ผันแปรในแต่ละปี เช่น แหล่งข้อมูลที่สำรวจ หรือจำนวนประเทศ เป็นต้น ปีนี้เราขยับลงไป 3 อันดับ แต่ไทยยังคงรักษาคะแนนรวมไว้ได้ตลอด 3 ปี ตั้งแต่ปี 2018-2020 ที่ 36 คะแนน และอันดับของไทยในกลุ่มเอเชียแปซิฟิกอยู่ที่ 19 จาก 31 ประเทศ และเป็นอันดับ5ในอาเซียนดีขึ้นจากเดิมที่อยู่ในอันดับ 6 ซึ่งคะแนนจากแหล่งข้อมูล 9 แหล่ง พบว่าไทยมีคะแนนไม่เปลี่ยนแปลงทั้งหมด 8 แหล่ง มีเพียงข้อมูลจากการสำรวจของ IMD เท่านั้น ที่คะแนนลดลงจาก 45 เหลือ 41

โดยก่อนหน้านี้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ออกคำสั่งตั้งคณะกรรมการติดตามแก้ไขปัญหาเรื่องการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับบ่อนการพนันและแรงงานลักลอบเข้าเมือง ซึ่งอาจเป็นสาเหตุหลักของคะแนนที่ลดลงจากแหล่งข้อมูลนี้ โดยนายกฯ ได้กำชับให้ลงโทษเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดอย่างเด็ดขาด ตลอดจนบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง เกิดประสิทธิภาพสูงสุดต่อภาคธุรกิจและประชาชน เช่น พ.ร.บ.อำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการฯ

นายอนุชา กล่าวว่า นายกฯ รับทราบผลคะแนนดัชนีดังกล่าวแล้ว และได้สั่งการให้ทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องไปศึกษารายละเอียด และทบทวนการปฏิบัติงานใหม่ สิ่งใดที่เป็นข้อแนะนำ เช่น การสร้างความเข้มแข็งให้กับหน่วยงานตรวจสอบ การสร้างความเชื่อมั่นเกี่ยวกับการเปิดเผยและความโปร่งใสในการได้รับสัญญา จะต้องได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น ไม่ให้เกิดปัญหาเดิมซ้ำๆ อีกต่อไป

‘ลุงตู่’ ซาบซึ้ง ‘พระมหากรุณาธิคุณในหลวง’ พระราชทานรถวิเคราะห์ผลด่วนพิเศษเคลื่อนที่ต้นแบบ พร้อมชื่นชมการทำงานของเจ้าหน้าที่กองกำลังป้องกันชายแดน

‘ลุงตู่’ ซาบซึ้ง!! หลัง ‘ในหลวง’ พระราชทาน ‘รถวิเคราะห์ผลด่วนพิเศษ’ และ ‘รถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัย’ รวม 20 คัน เพื่อตรวจเชื้อโควิด-19 และวิเคราะห์ผลได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ทำการตรวจเชิงรุกได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวว่า รัฐบาลและประชาชนไทย ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี อย่างหาที่สุดมิได้ที่ทรงห่วงใยประชาชนไทย และพระราชทาน รถวิเคราะห์ผลด่วนพิเศษพระราชทาน และรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัยพระราชทาน รวมทั้งสิ้น 20 คัน เพื่อตรวจเชื้อโควิด-19 และวิเคราะห์ผลได้อย่างรวดเร็วขึ้น จะส่งผลให้ทำการตรวจเชิงรุกได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

นายอนุชา กล่าวว่า นายกฯ ชื่นชมการทำงานของศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ศปม.)มีผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นหัวหน้าศูนย์ฯ ที่สนธิกำลังกวดขันและบูรณาการการทำงานของกองกำลังป้องกันชายแดนอย่างเข้มข้น ทั้งเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครองเพื่อสกัดกั้นการลักลอบเข้าเมือง เพิ่มความถี่การตั้งจุดตรวจ และลาดตระเวนในพื้นที่ชายแดนทุกด้าน เพิ่มการวางเครื่องกีดขวางตามช่องทาง ท่าข้าม ที่ล่อแหลมและสำคัญในภูมิประเทศ และเครื่องมือพิเศษทุกระบบในการเฝ้าตรวจพื้นที่ เช่น ซีซีทีวี และการใช้โดรน ทั้งนี้เพื่อป้องกันการข้ามแดนผิดกฎหมาย ทั้งการลักลอบข้ามแดนของแรงงานผิดกฎหมาย การมั่วสุมผิดกฎหมายเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรค การลักลอบขนย้ายสินค้าผิดกฎหมาย และยาเสพติด ทั้งนี้นายกฯเน้นย้ำให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎหมาย โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคเพื่อรับผิดชอบต่อตนเอง และรับผิดชอบต่อผู้อื่นในสังคม

รัฐโรบินฮู้ด ‘ปล้นคนรวย มาช่วยคนจน’ อาร์เจนตินาเก็บ ‘ภาษีมหาเศรษฐี’ ดึงช่วยคนเดือดร้อนจากโควิด เกณฑ์รวยเกิน 68.69 ล้านบาท โดน!! เบื้องต้นพบเข้าข่าย 12,000 จากประชากร 44 ล้านคน

ทางการอาร์เจนตินาเริ่มบังคับใช้มาตรการจัดเก็บภาษีแบบครั้งเดียวที่เรียกว่า ‘ภาษีมหาเศรษฐี’ จากกลุ่มคนที่มีฐานะมั่งคั่ง เพื่อนำเงินมาจัดซื้ออุปกรณ์การแพทย์และช่วยเหลือภาคธุรกิจขนาดเล็กที่ได้รับผลกระทบจาก Covid-19 รวมถึงเป็นทุนการศึกษาและจัดหาอุปกรณ์บรรเทาทุกข์ให้ประชาชน

มาตรการนี้ใช้กับบุคคลที่มีทรัพย์สินตั้งแต่ 200 ล้านเปโซ หรือ 68.69 ล้านบาท ต้องจ่ายภาษี 3.5% ของทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศ และ 5.25% ของทรัพย์สินที่อยู่ต่างประเทศ ซึ่งมีบุคคลเข้าข่ายราว 12,000 คนจากประชากรทั้งหมด 44 ล้านคน

รัฐบาลของประธานาธิบดี อัลแบร์โต แฟร์นานเดซ คาดว่าจะได้เงินราว 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 89,601 ล้านบาท

มาตรการดังกล่าวได้รับการอนุมัติจากสภาเมื่อเดือน ธ.ค.ปีที่แล้วด้วยคะแนนเสียง 42 ต่อ 26 ทว่ามีเสียงคัดค้านจากฝ่ายค้านว่ามาตรการนี้เสมือนเป็นการยึดทรัพย์คนรวย และยังมีความกังวลจากสมาคมชนบทอาร์เจนตินาซึ่งเป็นปากเสียงของเกษตรกรในประเทศว่ามาตรการนี้อาจนำมาใช้แบบถาวร

ทั้งนี้ กว่า 40% ของประชากรอาร์เจนตินาอยู่ใต้เส้นแบ่งความยากจน คือมีรายได้วันละ 1.90 เหรียญสหรัฐ หรือ 56.75 บาท ขณะที่อัตราการว่างงานอยู่ที่ 11


ที่มา : https://www.posttoday.com/world/644042

ฝรั่งเศสเตรียมปิดพรมแดน ห้ามผู้ที่เดินทางมาจากประเทศนอกสหภาพยุโรปเข้าฝรั่งเศส ตั้งแต่วันที่ 31 ม.ค.นี้ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19

นายฌอง กัสเต็กซ์ นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส ออกมาประกาศเมื่อคืนที่ผ่านมาว่า ฝรั่งเศสจะปิดพรมแดน ห้ามผู้ที่เดินทางมาจากประเทศที่อยู่นอกสหภาพยุโรปเข้าฝรั่งเศส เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยมาตรการนี้จะเริ่มใช้บังคับตั้งแต่วันอาทิตย์นี้ (31 ม.ค.) เป็นต้นไป และผู้ที่เดินทางมาจากประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป ทุกคนจะต้องมีหลักฐานการตรวจโควิด-19 ที่มีผลเป็นลบด้วย

นอกจากนี้ยังจะให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเพิ่มการตรวจจับผู้ฝ่าฝืนเคอร์ฟิว วันละ 12 ชั่วโมง และผู้ที่รวมกลุ่มกันจัดงานปาร์ตี้ รวมทั้งเจ้าของภัตตาคารที่เปิดบริการ อันเป็นการท้าทายคำสั่งของทางการด้วย


ที่มา : https://tna.mcot.net/world-627725

หวั่นๆ ‘ระบบราชการ’ รองหัวหน้าประชาธิปัตย์ เตือน ‘ก.ศึกษาฯ’ ระวังนโยบายใหม่ ติดหล่มระบบราชการ...จนอดปัง!!

‘รอง ปชป.’ เตือน ‘ก.ศึกษาธิการ’ ระวัง ‘ระบบราชการ’ ทำนโยบายเหลว หลังฝันดัน ‘โรงเรียนขนาดเล็กเลี้ยงตัวเอง - ยกระดับโรงเรียนมัธยมสี่มุมเมือง - สร้างโรงเรียนคุณภาพของชุมชน’ เพื่อดึงดูดเด็กรอบๆ เข้ามาเรียน

 

ศ.ดร.กนก วงศ์ตระหง่าน ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แสดงความห่วงใยในกรณีที่ “นายณัฐพล ทีปสุวรรณ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประกาศนโยบายหลักสำหรับการบริหารจัดการด้านการศึกษาในปี 2564 ว่า ต้องลงรายละเอียดในเรื่องของการนำนโยบายไปปฏิบัติของระบบราชการในหน่วยงานของทางกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ให้รอบคอบ เพราะที่ผ่านมา ระบบราชการของ ศธ. มิได้ดำเนินการทางนโยบายอย่างมีประสิทธิภาพมากพอ และขาดความรับผิดชอบอันเหมาะสมต่อปัญหาทางด้านการยกระดับคุณภาพทางการศึกษาของนักเรียน

 

“ข้าราชการใน ศธ. นั้น สามารถที่จะหยิบยกข้อมูลอันแท้จริงของบางส่วนเกี่ยวกับปัญหาการศึกษา ซึ่งพวกเขาประเมินแล้วว่า รัฐมนตรีต้องมีความสนใจ และให้ความสำคัญ มานำเสนอเพื่อออกแบบนโยบายในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวร่วมกัน และแน่นอนว่า รัฐมนตรีย่อมพอใจและเห็นชอบกับนโยบายนั้น ทั้งๆ ที่ถ้าลองวิเคราะห์นโยบายดังกล่าวโดยละเอียดแล้ว ก็จะทราบว่ามันไม่ได้ครอบคลุมกับปัญหาทั้งหมด เป็นแค่การลูบหน้าปะจมูก แตะเพื่อให้มีผลงานเท่านั้น แล้วเก็บต้นตอสำคัญของปัญหาเอาไว้ใต้พรม”

 

“ส่วนในเรื่องของการปฏิบัติตามนโยบาย คาดว่าโรงเรียนเพียง 20% เท่านั้นที่จะได้รับอานิสงส์จากนโยบายใหม่นี้ ส่วนโรงเรียนที่เหลือจะถูกปล่อยให้เผชิญกับวิกฤตด้านการศึกษาต่อไป ด้วยเหตุผลที่ว่า อุปสรรคทั้งหนักและเหนื่อยเกินกว่าความรับผิดชอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ท้ายที่สุด โรงเรียน 20% ที่ได้รับการยกระดับไป ก็จะถูกประชาสัมพันธ์จนกลายเป็นผลงานเด่นทางนโยบายที่ประสบความสำเร็จของกระทรวง และโรงเรียน 80% ในความดูแลของ ศธ. ที่เหลือก็จะค่อยๆ ล้มหายตายจากไปตามความสามารถของผู้บริหารโรงเรียนในแต่ละพื้นที่ และก็คงจะไม่มีใครพูดถึงเช่นเคย”

 

ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีท่านนี้ ยังได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับนโยบายใหม่ของ รมว.ศธ. ก็คือ “การปรับลดงบประมาณที่ไม่จำเป็นออกไป แล้วเอาไปใช้กับการพัฒนาโรงเรียนในการดูแลให้มีคุณภาพยิ่งขึ้น” นั่นเพราะข้าราชการระดับสูงของกระทรวงจะเป็นคนปรับลดงบประมาณ และนำงบประมาณที่ปรับลดนั้นไปเพิ่มให้กับโครงการตามนโยบายด้วยตนเอง

 

“ดังนั้น ระดับรัฐมนตรี โดยเฉพาะถ้ารัฐมนตรีไม่ได้ทำงานลงรายละเอียด จะไม่ง่ายในการเข้าไปควบคุมเรื่องนี้ ส่งผลให้งบประมาณส่วนใหญ่ถูกนำไปใช้ทางกายภาพ และอุปกรณ์การศึกษา มากกว่าพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนของครู และการยกระดับแนวทางการเรียนรู้ของนักเรียน ซึ่งเป็นกระบวนการที่เน้นในเรื่องของการใช้เงินซื้อ เพื่อให้ครบรายการตามที่กำหนดมาเท่านั้น”

 

อนึ่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายณัฐพล ทีปสุวรรณ ได้กำหนดแผนบูรณาการการพัฒนาโรงเรียน โดยแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ คือ หนึ่ง การพัฒนาคุณภาพโรงเรียนขนาดเล็กที่ดำรงอยู่ได้ด้วยตนเอง (Stand alone) สอง การยกระดับคุณภาพโรงเรียนมัธยมศึกษาสี่มุมเมือง และสาม สร้างโรงเรียนคุณภาพของชุมชน เพื่อดึงดูดนักเรียนโรงเรียนโดยรอบให้เข้ามาเรียน ซึ่งแผนดังกล่าวนี้จะทำด้วยกระบวนการ ดังนี้ 1. ตัดงบประมาณที่ไม่จำเป็นออกไป และนำงบประมาณทั้งหมดนั้นไปจัดสรรเพื่อพัฒนาโรงเรียนทั้งหมดในการดูแล เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา 2. ปรับสถานศึกษา หลักสูตร ผู้บริหาร นักเรียน และระบบการเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานหลักของกระทรวงให้มีคุณภาพมากขึ้น 3. ลงทุนพัฒนาครูผู้สอนทั้งด้านวิชาชีพและทักษะการสอนเพื่อพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอน 4. ปรับระบบและเกณฑ์ให้มีความยืดหยุ่นต่อสถานการณ์ต่างๆ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา และ 5. คุ้มครองและปกป้องเยาวชนไม่ให้ถูกซ้ำเติมจากการคุกคามในรูปแบบต่างๆ

'เยล​ -​ การ์ด​ 3​ นิ้ว'​ คอตก!! 'เข้าคุกทหาร'​ ไร้ญาติประกันตัว หลังพนักงานสอบสวนค้านประกัน​ เกรงหลบหนี และยังรอสอบพยานอีกหลายปาก

ที่ศาลทหารกรุงเทพ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ​ สภ.เมืองสมุทรปราการ ได้นำตัว​ นายมงคล สันติเมธากุล หรือเยล การ์ดราษฎร ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลทหารทหารกรุงเทพ ที่ 36/2564 ลงวันที่ 21 ม.ค. 64 ในข้อหาแจ้งความเท็จ และ หลบหนีราชการทหาร จากกรณีกล่าวอ้างว่าตนเองถูกชายฉกรรจ์ อ้างเป็นเจ้าหน้าที่จากกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ควบคุมตัวไปจาก พื้นที่จ.สมุทรปราการ มาฝากขังผลัดแรกเป็นเวลา 12 วัน

เวลา 09.40 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ​ สภ.เมืองสมุทรปราการ ได้นำตัว นายมงคล หรือเยล เข้าพื้นที่ศาลทหาร โดยอยู่ระหว่างดำเนินกระบวนการทางศาล ต่อไป

ต่อมาเวลา 10.30 น. ศาลได้นั่งบัลลังก์ พิจารณาคดีโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้คัดค้านการประกันตัวเพราะเกรงว่า ผู้ต้องหาจะหลบหนีเนื่องจากมีพฤติกรรมที่หลบหนีมาก่อนหน้านี้ และเจ้าหน้าที่ตำรวจยังต้องสอบปากคำพยานอีกหลายปาก ซึ่งยังไม่แล้วเสร็จ จากนั้นได้นำตัวขึ้นรถเรือนจำทหารไปควบคุมตัวที่เรือนจำทหาร จ.นครปฐมต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวนายเยล มาที่ศาล ไม่มีญาติและทนายความมาที่ศาลแต่อย่างใด

โดยคดีดังกล่าว นายมงคล หรือเยล การ์ดราษฎร ได้อ้างว่า​ ตัวเองถูกชายฉกรรจ์ประมาณ 4-5 ใช้ถุงผ้าคลุมศีรษะ ออกจากไปจากซอยจัดสรรเสนาะ ต.ท้ายบ้าน อ.เมืองสมุทรปราการ ก่อนพาขึ้นรถตู้สีเทา พร้อมกับบังคับข่มขู่ให้เซ็นเอกสาร แต่นายมงคลไม่ยอมเซ็น และยังข่มขู่ไม่ให้เข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองอีก ก่อนกลุ่มชายฉกรรจ์จะนำตัวมาปล่อย ที่ใต้สถานีรถไฟฟ้า เคหะสมุทรปราการ และเข้าแจ้งความกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สอบพบข้อพิรุธหลายอย่าง จึงลงพื้นที่สอบสวนพยานบุคคล และกล้องวงจรปิดทั้งสองแห่ง จนกระทั่งเจ้าหน้าที่สืบสวนพบข้อมูลและตรวจสอบ จากกล้องวงจรปิด โดยไม่พบว่าวัน และเวลาที่นายมงคล อ้างจะถูกอุ้มแต่อย่างใด จึงได้ออกหมายเรียกนายมงคลให้มารับทราบข้อกล่าวหา แต่นายมงคลไม่เดินทางมาและหลบหนีไป จนกระทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขอหมายจับและสามารถจับกุมตัวได้ดังกล่าว

'จับกัง1' ช่วยไว!! >> สั่งที่ปรึกษาฯ รุดเยี่ยมผู้บาดเจ็บจากเหตุเพลิงไหม้ 'บ.ซีรีคลอร์ คอร์ปอเรชั่นฯ'​ จ.เพชรบุรี พร้อมเร่งจ่ายสิทธิประโยชน์ทดแทนตามกฎหมาย

จับกัง​ 1​ -​ สุชาติ ชมกลิ่น เจ้ากระทรวงแรงงาน​ มอบหมายที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี รุดเยี่ยมให้กำลังใจและช่วยเหลือลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ประกันตนที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุเพลิงไหม้ที่​ อ.เขาย้อย จังหวัดเพชรบุรีอย่างเร่งด่วน

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี เยี่ยมและให้กำลังใจผู้ประกันตนที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุเพลิงไหม้ บริษัท ซีรีคลอร์ คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด โดยมี

หัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดเพชรบุรี เข้าเยี่ยมในครั้งนี้ด้วย โดยที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า รัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้ฝากแสดงความห่วงใยถึงผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ไฟไหม้ในครั้งนี้ จึงกำชับให้กระทรวงแรงงานเร่งเข้าไปตรวจสอบเพื่อให้การช่วยเหลือลูกจ้างที่ได้รับบาดเจ็บให้ได้รับสิทธิประโยชน์ทดแทนตามกฎหมายครบทุกคน ในวันนี้ท่านสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน จึงได้มอบหมายให้ดิฉันลงพื้นที่กับหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดเพชรบุรี เพื่อมาเยี่ยมให้กำลังใจและให้การช่วยเหลือด้านสิทธิประโยชน์ตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป

นางธิวัลรัตน์ กล่าวต่อว่า จากการตรวจสอบของสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดเพชรบุรี พบว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ (29 ม.ค.64) เวลาประมาณ 17.00 น.สถานที่เกิดเหตุเป็นที่ตั้งของบริษัท ซีรีคลอร์ คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 53/4 ตำบลเขาย้อย อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี ประกอบกิจการ ผลิตน้ำมันเครื่อง ปัจจุบันมีลูกจ้าง จำนวน 34 คน สาเหตุเบื้องต้นเกิดจากสายน้ำมันที่บรรจุภัณฑ์แตก น้ำมันรั่วไหลกระเด็นไปโดนสวิตช์ไฟทำให้เกิดประกายไฟและเกิดเพลิงไหม้อาคารโรงผลิต มีลูกจ้าง 1 คน ได้รับบาดเจ็บที่แขนจากการถูกไฟลวก ขณะนี้เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลพระจอมเกล้าเพชรบุรี ส่วนการให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นสำนักงานประกันสังคมจังหวัดเพชรบุรีได้ตรวจสอบสถานะความเป็นผู้ประกันตน ทราบชื่อ คือ นางสาววนัสนันท์ แจ้งกระจ่าง อายุ 34 ปี และสำนักงานประกันสังคมจังหวัดเพชรบุรีได้ประสานโรงพยาบาลเขาย้อยเรื่องสิทธิการรักษาพยาบาลแล้ว โดยกรณีดังกล่าวลูกจ้างมีสิทธิได้รับเงินทดแทนเป็นค่ารักษาพยาบาลเบื้องต้นไม่เกิน 50,000 บาท ในกรณีที่ลูกจ้างหยุดงานตั้งแต่ 1 วันขึ้นไปได้รับค่าทดแทนร้อยละ 70 ของค่าจ้างรายเดือนไม่เกิน 1 ปี

กรณีรักษาสิ้นสุดแล้วสภาพอวัยวะต่างๆ​ มีการสูญเสียสมรรถภาพในการทำงานจะมีค่าทดแทน​ ซึ่งทางสำนักงานประกันสังคมฯ​ จะเข้าไปเยียวยา​

นอกจากนี้​ สวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดเพชรบุรีจะเชิญนายจ้างไปพบเพื่อสอบข้อเท็จจริง​ ในวันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์นี้ เวลา 13.30 น.และหากนายจ้างปิดปรับปรุงโรงงานลูกจ้างต้องหยุดงาน​

สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดเพชรบุรีจะติดตามให้ลูกจ้างได้รับสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายแรงงาน​ เช่น​ ค่าจ้าง​ ในส่วนของโรงงานทางกระทรวงแรงงานมีกองทุนความปลอดภัย​ อาชีวอนามัย​ และสภาพแวดล้อมในการทำงาน​ เป็นแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ​ สูงสุดวงเงินไม่เกิน​ 1,000,000 บาท​ ดอกเบี้ยร้อยละ​ 2​ ต่อปี​ สำหรับให้บริการนายจ้างเพื่อให้กู้ยืมเงินไปแก้ไขสภาพความไม่ปลอดภัย หรือเพื่อและป้องกันการเกิดอุบัติเหตุและโรคจากการทำงาน​ ซึ่งทุกภาคส่วนของกระทรวงแรงงานจะดูแลและให้ความช่วยเหลืออย่างใกล้ชิดต่อไป

'บิ๊กตู่'​ เตือน!! ใครที่กำลัง แบ่งแยกคนไทยเป็น 2 ฝ่ายอยู่ ขอให้เลิกเสียเถอะ!! >> เตือนกันไว้แค่นั้นเอง >> ยัน!! ตนไม่ใช่ศัตรูของใคร และไม่ต้องการแบ่งแยกคนไทยออกเป็น​ 2 ฝ่าย

วาสนา​ นาน่วม​ ผู้สื่อข่าวสายทหารชื่อดัง​ โพสต์ลงเฟซบุ๊ก​ Wassana Nanuam ถึงกรณีที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม​ ออกมาเตือนกลุ่มคนที่กำลังแบ่งแยกคนไทยเป็น 2 ฝ่ายว่า...

“ผมไม่อยากให้เกิดความขัดแย้ง เพราะงานนี้ไม่มีพระเอก เพราะถ้ามีพระเอกเมื่อไหร่ก็มีผู้ร้ายเมื่อนั้น

ดังนั้นพระเอกก็คือ คนไทยทั้งประเทศเป็นพระเอกไปด้วยกัน ในการแก้ไขปัญหาโควิดฯ ระลอกสอง ซึ่งก็รวมทั้งสื่อมวลชนด้วยขอให้ช่วยกันด้วยพูดในสิ่งที่สร้างสรรค์มากกว่า เรื่องของความขัดแย้ง ถ้าเรามัวแต่เปิดรูขยายความขัดแย้งเรื่อยๆ​ ก็ไม่มีวันจบ ทุกเรื่องทำอะไรไม่ได้ซักอย่าง แน่นอนว่าไม่มีทางที่จะทำให้คนทุกคนเห็นชอบไปด้วยกันอยู่แล้ว แต่เราต้องเอาสิ่งที่ไม่เข้าใจมาอธิบายว่าอะไรคือปัญหา อะไรคือสิ่งที่ต้องร่วมมือและช่วยกัน รัฐบาลจำเป็นต้องฟังในทุกภาคส่วนทั้งฝ่ายเห็นด้วยและฝ่ายเห็นต่าง

ผมไม่ใช่ศัตรูของใครผมไม่ต้องการแบ่งแยกคนไทยออกเป็นสองฝ่ายเพราะฉะนั้นใครที่กำลังทำเรื่องนี้อยู่ก็ขอให้เลิกเสียเถอะก็เตือนกันไว้แค่นั้นเอง” พลเอกประยุทธ์ กล่าว


ที่มา: Wassana Nanuam

https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=3788854701172960&id=100001454030105

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน (30 มกราคม พ.ศ. 2564)

ผู้ติดเชื้อวันนี้ 930

เสียชีวิตสะสม 77

ผู้ติดเชื้อสะสม 17,953

หายป่วยแล้ว 11,505

 

อาเซียน

ประเทศบรูไน 180

ประเทศกัมพูชา 463

ประเทศอินโดนีเซีย 1.05 ล้าน

ประเทศลาว 44

ประเทศมาเลเซีย 2.04 แสน

ประเทศพม่า 1.4 แสน

ประเทศฟิลิปปินส์ 5.21 แสน

ประเทศสิงคโปร์ 59,449

ประเทศเวียดนาม 1,657


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top