Sunday, 8 June 2025
NewsFeed

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง จัดทีมสังคมสงเคราะห์ เร่งส่งต่อธารน้ำใจ มอบชุดแรกรับ และส่งต่อชุดยังชีพพร้อมน้ำดื่ม แก่ศูนย์พักคอย  พร้อมมอบหน้ากากอนามัย (แบบผ้า) และขนม แก่ผู้ขาดแคลน และสถานสงเคราะห์เด็กและศูนย์ฝึกอบรมและเยาวชนต่างๆ สู้ภัยโควิด-19

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง โดยนายพินัย ศรีพนาสณฑ์ ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์มอบชุดแรกรับให้แก่ศูนย์พักคอยเทศบาลเมืองบางบัวทอง  และศูนย์พักคอยเทศบาลเมืองใหม่บางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี รวมจำนวน 400 กล่อง คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 86,000 บาท (แปดหมื่นหกพันบาทถ้วน) โดยมีนางจิระนันท์ จิรชัยเมธาพงษ์ หัวหน้าฝ่ายบริการสาธารณสุขนักบริหารงานสาธารณสุข และนายดำรงรัตน์ โพธิรัตน์  เป็นตัวแทนมารับมอบ ณ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย กรุงเทพฯ

และในวันเดียวกันนี้ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง จัดทีมสังคมสงเคราะห์ ลงพื้นที่มอบเครื่องอุปโภคบริโภค (ชุดยังชีพ พร้อมน้ำดื่ม) จำนวน 580 ชุด เพื่อส่งต่อธารน้ำใจจาก ร้าน Paperroom Cafe และ Sifa Decoupage แก่ ศูนย์พักคอยวัดอินทรวิหาร เขตพระนคร ศูนย์พักคอยศูนย์สร้างสุขทุกวัยเกียกกาย เขตดุสิต และศูนย์พักคอยเยาวชนไทย-ญี่ปุ่น เขตดินแดง กรุงเทพฯ  รวม 3 แห่ง สู้ภัยโควิด-19 โดยมีผู้แทนจากศูนย์พักคอยแต่ละแห่งเป็นผู้รับมอบ

โดยเมื่อวันที่ 17-18 สิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นางสาวศุภรัตน์  สมบัติเจริญไทย  ผู้ช่วยหัวหน้าแผนกสังคมสงเคราะห์ พร้อมด้วยทีมสังคมสงเคราะห์ ลงพื้นที่ส่งต่อธารน้ำใจ มอบหน้ากากอนามัย(แบบผ้า) พร้อมขนม แก่ผู้ประสบปัญหารายเดือน และสถานสงเคราะห์เด็กและศูนย์ฝึกอบรมและเยาวชนต่างๆ รวม 9 แห่ง ได้แก่  บ้านพักเด็กและครอบครัว  จังหวัดปทุมธานี สถานสงเคราะห์เยาวชน มูลนิธิมหาราช  จังหวัดปทุมธานี สถานแรกรับเด็กหญิงบ้านธัญญพร  จังหวัดปทุมธานี สถานสงเคราะห์คนไร้ที่พึ่ง ชายธัญบุรี  จังหวัดปทุมธานี สถานสงเคราะห์คนไร้ที่พึ่ง หญิงธัญบุรี  จังหวัดปทุมธานี ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน บ้านอุเบกขา  จังหวัดนครปฐม ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน บ้านมุทิตา  จังหวัดนครปฐม ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน บ้านกาญจนาภิเษก  จังหวัดนครปฐม และศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนชายสิรินธร  จังหวัดนครปฐม รวมมูลค่าเป็นเงินทั้งสิ้น 256,080 บาท (สองแสนห้าหมื่นหกพันแปดสิบบาทถ้วน) โดยมีผู้แทนสถานสงเคราะห์แต่ละแห่งเป็นผู้รับมอบ

นับตั้งแต่เกิดวิกฤตแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (โควิด-19) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ปรับแผนการดำเนินงานการช่วยเหลือประชาชนทั้งด้านบรรเทาสาธารณภัย สังคมสงเคราะห์ และหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน พร้อมประสานงานเพื่อให้ความช่วยเหลือเชิงรุกทั้งในส่วนของประชาชน ชุมชน และบุคลากรทางการแพทย์อย่างต่อเนื่อง รวมถึงจัดตั้งโรงครัวที่มูลนิธิฯ ประกอบอาหารปรุงสุกเพื่อบรรเทาทุกข์ผู้ได้รับผลกระทบ รวมงบประมาณดำเนินการออกช่วยเหลือประชาชนในสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 นับตั้งแต่ปี 2563 จนถึงปัจจุบันเป็นเงินไม่ต่ำกว่า 35 ล้านบาท


ติดต่อสอบถาม รวมถึงติดตามข่าวสารกิจกรรมการช่วยเหลือผู้ประสบเหตุ – ผู้ประสบภัยต่างๆ ของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung
#ป่อเต็กตึ๊ง ยึดมั่นอุดมการณ์ อยู่เคียงข้างทุกวิกฤต
“มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”
#มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง110ปีความดีที่ยั่งยืน
#แอปพลิเคชันป่อเต็กตึ๊ง1418
#ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน...

กลุ่มตอลิบานย้ำชัด ให้สิทธิสตรีภายใต้กรอบกฎหมายอิสลาม ยืนยันไม่อยากมีศัตรูทั้งในและนอกประเทศ

คาบูล (เอเอฟพี/รอยเตอร์/บีบีซี นิวส์) - กลุ่มตอลิบานแถลงอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ยึดกรุงคาบูล ว่า พวกเขาต้องการความสัมพันธ์ที่สงบสุขกับประเทศอื่น ๆ และจะเคารพสิทธิสตรีภายใต้กรอบกฎหมายอิสลาม ด้านประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ มีคะแนนนิยมเหลือเพียงร้อยละ 46 ในการสำรวจความคิดเห็นประชาชนอเมริกันล่าสุด ลดลงจากร้อยละ 53 ในการสำรวจครั้งก่อน และถือเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เขาเข้ารับตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ

โฆษกของกลุ่มตอลิบานกล่าวว่า พวกเขาไม่ต้องการศัตรูทั้งในและนอกประเทศ สตรีในอัฟกานิสถานจะได้รับอนุญาตให้ทำงาน เข้าเรียน รวมถึงการเคลื่อนไหวในสังคม แต่ต้องอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายอิสลาม พร้อมกับบอกว่าต้องการให้เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลชุดที่แล้วมาร่วมทำงานในรัฐบาลใหม่ด้วย

ส่วนประเด็นความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของผู้คน โดยเฉพาะชาวอัฟกันที่ทำงานให้กับสหรัฐฯ และชาติตะวันตกที่กลัวว่าจะถูกแก้แค้นนั้น โฆษกตอลิบานได้ประกาศนิรโทษกรรมให้ และระบุว่าจะไม่มีใครได้รับอันตราย ส่วนในระดับนานาชาติที่เกรงกันว่า อัฟกานิสถานจะกลายเป็นแหล่งซ่องสุมของกลุ่มก่อการร้ายอีกครั้งนั้น โฆษกตอลิบานย้ำว่า จะไม่ยอมให้ใครใช้อัฟกานิสถานเพื่อก่อการร้ายจะไม่ให้ใครใช้แผ่นดินนี้ไปทำร้ายประเทศอื่น

กลุ่มตอลิบาน ระบุว่า 'อับดุล กานี บาราดาร์' หนึ่งในแกนนำและผู้ก่อตั้งกลุ่มตอลิบาน ได้เดินทางกลับมายังอัฟกานิสถานเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 10 ปี ก่อนหน้านี้ บาราดาร์ถูกจับกุมในปี 2010 แต่ได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำในปี 2018 ตามคำขอของรัฐบาลอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ เพื่อให้เขามีส่วนร่วมในการเจรจาสันติภาพ

ทั้งนี้ ในช่วงที่กลุ่มตอลิบานปกครองอัฟกานิสถาน ในปี 1996-2001 พวกเขาได้นำกฎหมายชารีอะห์ของอิสลามมาใช้ ทำให้สตรีไม่มีสิทธิทำงาน และเด็กผู้หญิงไม่ได้รับอนุญาตให้ไปโรงเรียน นอกจากนี้ สตรีในอัฟกานิสถานยังต้องสวมผ้าคลุมแบบอิสลามตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าโดยเว้นเพียงดวงตาเมื่ออยู่นอกบ้าน และจะออกข้างนอกได้ก็ต่อเมื่อมีญาติผู้ชายอยู่ด้วยเท่านั้น

ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ และชาติตะวันตกเริ่มกลับมาเปิดเที่ยวบินอพยพเจ้าหน้าที่สถานทูตและพลเรือนอีกครั้ง หลังเกิดเหตุชุลมุนที่สนามบินคาบูลเมื่อวันจันทร์เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลสหรัฐฯ เผยว่า เที่ยวบินของกองทัพสหรัฐฯ อพยพชาวอเมริกันออกจากกรุงคาบูลได้ราว 1,100 คน ขณะที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ และนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน ของอังกฤษระบุว่า พวกเขาตกลงที่จะจัดการประชุมผ่านระบบออนไลน์ของกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก หรือจี 7 ในสัปดาห์หน้า เพื่อหารือเกี่ยวกับกลยุทธ์และแนวทางร่วมกันต่ออัฟกานิสถาน

ในอีกด้านหนึ่ง ผลสำรวจของรอยเตอร์/อิปซอสที่จัดทำขึ้นเมื่อวันจันทร์พบว่า ชาวอเมริกันวัยผู้ใหญ่ร้อยละ 46 ยอมรับในผลงานของประธานาธิบดีไบเดน ซึ่งร่วงลงแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เขาเข้ารับตำแหน่งในเดือนมกราคม โดยลดลงจากเดิมที่ร้อยละ 53 จากผลสำรวจครั้งล่าสุดเมื่อวันศุกร์ คะแนนนิยมของประธานาธิบดีไบเดนลดลงในขณะที่กลุ่มตอลิบานได้บุกยึดกรุงคาบูลหลังสหรัฐฯ ตัดสินใจถอนกำลังทหารทั้งหมดที่ประจำการในอัฟกานิสถานมาเป็นเวลา 20 ปี ซึ่งใช้งบประมาณไปเกือบ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 33 ล้านล้านบาท) และทำให้ทหารอเมริกันจำนวนมากต้องเสียชีวิต อย่างไรก็ดี ผู้ที่ออกเสียงลงคะแนนให้ทั้งพรรครีพับลิกันและเดโมแครตส่วนใหญ่ระบุว่า สถานการณ์วุ่นวายในอัฟกานิสถานเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าสหรัฐฯ ควรถอนตัวออกมา


ที่มา : https://www.naewna.com/inter/595967


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

มทบ.12 จัดรถครัวสนามช่วยเหลือประชาชนให้ผ่านพ้นสถานการณ์โควิด-19

ปราจีนบุรี-มทบ.12 จัดรถครัวสนามช่วยเหลือประชาชนให้ผ่านพ้นสถานการณ์โควิด-19 

19 ส.ค.64 ที่โรงพยาบาลค่ายจักรพงษ์ อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี พล.ต.ดิฐพงษ์ เจริญวงศ์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 12 และ คุณทัศนีย์ เจริญวงศ์ ประธานสมาคมแม่บ้านทหารบก มทบ.12 นางอารีย์ เลิศกิจเจริญผล ผู้อำนวยการวิทยาลัยสารพัดช่างปราจีนบุรี พร้อมด้วยผู้บริหาร กลุ่มวิทยากรจิตอาสา 904 จัดรถครัวสนาม เพื่อประกอบอาหารปรุงสำเร็จ และน้ำดื่ม จำนวน 500 ชุด พร้อมมอบเงินสนับสนุน เพื่อจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ สำหรับใช้ช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด-19 

ทั้งนี้ยังได้รับการสนับสนุนอาหารว่าง, Face Shield จำนวน 200 ชิ้น พร้อมด้วยน้ำดื่ม จากวิทยาลัยสารพัดช่างปราจีนบุรี เพื่อมอบให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ และประชาชนที่มารับบริการ รพ.ค่ายจักรพงษ์ อีกทั้งร่วมส่งกำลังใจ "หนึ่งคำพูด ล้านกำลังใจ สู้ภัยโควิด-19 " ขอบคุณบุคคลากรทางการแพทย์ ในการปฏิบัติงานอย่างทุ่มเท เสียสละเพื่อประชาชนชาวจังหวัดปราจีนบุรี

ในการนี้ได้นำอาหารปรุงสำเร็จแจกจ่ายให้กับประชาชนในพื้นที่ชุมชนรอบค่ายฯ (Army Delivery) เพื่อเป็นการช่วยลดค่าใช้จ่ายและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชน ตามโครงการ "มีแล้ว...แบ่งปัน"

ณัฐวัฒน์  กุลเศรษฐ์สุวภา  ผู้สื่อข่าว จ.ปราจีนบุรี

 

ปลัด พม. เปิดเผย จนท.พม. ทำงานทุ่มเท ตลอด 24 ชม. เฝ้าติดตามสถานการณ์ ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 และได้ช่วยเหลือกลุ่มคนเปราะบางกว่า 44,000 ราย

ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ นางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เปิดเผยว่า ด้วยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการบริหารภาวะวิกฤติโควิด-19 กระทรวง พม. เพื่อเป็นศูนย์กลางด้านข้อมูลและการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางทั้งเด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ คนเร่ร่อน ไร้บ้าน และผู้ด้อยโอกาส รวมทั้งผู้ป่วยติดเตียง ที่ประสบปัญหาความเดือดร้อนและความยากลำบากจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 พร้อมทั้งการสื่อสารสังคม การรายงาน และติดตามผลการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางจนสิ้นสุดกระบวนการ โดยทำงานเชื่อมโยงกับศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 ที่ทำงานตลอด  24 ชั่วโมง  อีกทั้งได้มีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการบริหารภาวะวิกฤติโควิด- 19 ระดับจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อประสานการช่วยเหลือไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระดับพื้นที่ 

นางพัชรี กล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 28 ก.ค. 64 จนถึงวันที่ 19 ส.ค. 64 กระทรวง พม. ได้ดำเนินการช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเปราะบางที่เป็นผู้ป่วยโควิด-19 และประสบปัญหาทางสังคมทั่วประเทศ  รวมจำนวน 44,847 ราย โดยทำงานประสานความร่วมมือกับ กระทรวงสาธาณสุข สำนักอนามัยกรุงเทพมหานคร ภาคเอกชน มูลนิธิต่างๆตลอดทั้งสื่อมวลชน แบ่งเป็นในพื้นที่ กทม. 6,717 ราย และส่วนภูมิภาค 38,130 ราย โดยแบ่งเป็น 1. เด็กและเยาวชน 7,950 ราย 2. คนพิการ 8,698 ราย 3. ผู้สูงอายุ 6,650 ราย 4. ผู้ป่วยติดเตียงและป่วยเรื้อรัง 555 ราย 5. คนเร่ร่อนและคนไร้ที่พึ่ง 1,787 ราย 6. สตรีตั้งครรภ์ 97 ราย และ 7. ผู้ประสบปัญหาทางสังคมอื่นๆ 19,110 ราย  สำหรับการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางตามภารกิจ กระทรวง พม. มีการดำเนินการที่สำคัญ  ดังนี้ 1. กระบวนการสังคมสงเคราะห์ ได้แก่ 1.1) การให้คำปรึกษา 13,920 ราย 1.2) ประสานส่งกลับภูมิลำเนา 377 ราย 1.3) ประสานส่งต่อ 2,729 ราย 1.4) การมอบเครื่องอุปโภคและบริโภค 183,552 ชุด และ 1.6) การช่วยเหลือเป็นเงิน 42,034,163 บาท และ 2. ประสานกระบวนการสาธารณสุข ได้แก่ 2.1) การตรวจเชื้อ 1,877 ราย 2.2) การรักษา 1,907 ราย 2.3) ฉีดวัคซีน 9,272 ราย และ 2.4) จัดหาที่พักชั่วคราวและศูนย์พักคอย 1,345 ราย 

นางพัชรี กล่าวเพิ่มเติมว่า หากประชาชนกลุ่มเปราะบางที่กำลังประสบปัญหาทางสังคมและได้รับความเดือดร้อนจากผลกระทบของโรคโควิด-19 สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ที่ 1) ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 บริการ 24 ชั่วโมง 2) สายด่วนคนพิการ โทร. 1479 บริการ 24 ชั่วโมง 3) สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดทั่วประเทศ และ 4) อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ในพื้นที่ 

กระทรวงแรงงาน ออกระเบียบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างฉบับใหม่ อำนวยความสะดวกให้ลูกจ้างใช้สิทธิรับเงินสงเคราะห์ได้รวดเร็วขึ้น

กระทรวงแรงงานเผยราชกิจจานุเบกษาประกาศเผยแพร่ ระเบียบคณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ว่าด้วยการจ่ายเงินสงเคราะห์ อัตราเงินที่จะจ่ายและระยะเวลาการจ่าย (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2564 โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 19 ส.ค.2564 เป็นต้นไป อำนวยความสะดวกให้ลูกจ้างใช้สิทธิรับเงินสงเคราะห์ได้รวดเร็วขึ้น

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศไทย รวมทั้งส่งผลกระทบต่อลูกจ้างที่ได้รับ ความเดือดร้อนจากการเลิกจ้าง และอาจไม่ได้รับการชดเชยตามกฎหมาย กรณีที่ลูกจ้างได้ยื่นเรื่องขอใช้สิทธิรับเงินช่วยเหลือจากเงินกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ซึ่งติดระเบียบที่ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนที่ใช้ระยะเวลานาน ดังนั้นเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบดังกล่าว กระทรวงแรงงานจึงได้ดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบคณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ว่าด้วยการจ่ายเงินสงเคราะห์ อัตราเงินที่จะจ่ายและระยะเวลาการจ่าย (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2564 เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการพิจารณาคำขอรับเงินสงเคราะห์จากกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ซึ่งเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2564 ราชกิจจานุเบกษา ได้ประกาศระเบียบดังกล่าวแล้ว โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันถัดจากประกาศในราชกิจจานุเบกษาคือมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 19 ส.ค. 2564 เป็นต้นไป การแก้ไขระเบียบคณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างครั้งนี้ประเด็นสำคัญคือให้ลูกจ้างได้รับการบรรเทาความเดือดร้อนได้อย่างรวดเร็ว สามารถเข้าถึงสิทธิการขอรับเงินสงเคราะห์อย่างทั่วถึง

นางโสภา เกียรตินิรชา โฆษกกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวเพิ่มเติมว่า ระเบียบคณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างฉบับใหม่นี้ มีประเด็นสำคัญ ได้แก่ กรณีนายจ้างนำคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานไปยื่นอุทธรณ์ต่อศาลแรงงานจะต้องรอคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานเป็นที่สุดลูกจ้างจึงมีสิทธิขอรับเงินสงเคราะห์จากกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ซึ่งได้แก้ไขระเบียบดังกล่าวเป็นลูกจ้างสามารถยื่นขอรับเงินสงเคราะห์ โดยไม่ต้องรอคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานเป็นที่สุด หรือนายจ้างเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชยเพราะเหตุที่นายจ้างไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปโดยพนักงานตรวจแรงงานมีคำสั่งให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยดังกล่าว แม้คำสั่งนั้นไม่เป็นที่สุด และขยายระยะเวลาการยื่นขอรับเงินสงเคราะห์ เดิมลูกจ้างต้องยื่นขอรับเงินสงเคราะห์ภายใน 1 ปี นับแต่วันที่คำสั่งพนักงานตรวจแรงงานเป็นที่สุด แก้ไขระเบียบเป็น ลูกจ้างสามารถยื่นขอรับเงินสงเคราะห์ภายใน 2 ปี นับแต่วันที่คำสั่งพนักงานตรวจแรงงานเป็นที่สุด นอกจากนี้การรักษาสิทธิในการยื่นคำขอรับเงินสงเคราะห์ เดิมลูกจ้างจะต้องมารับเงินสงเคราะห์ภายใน 60 วันนับตั้งแต่วันที่ทราบผลการพิจารณาจ่ายเงินสงเคราะห์ หากไม่มารับเงินภายใน 60 วัน สิทธิการรับเงินสงเคราะห์นั้นเป็นอันระงับ แก้ไขระเบียบดังกล่าวเป็นกรณีลูกจ้างไม่สามารถมารับเงินภายใน 60 วัน ลูกจ้างสามารถยื่นคำขอรับเงินสงเคราะห์ใหม่ได้ภายใน 1 ปี หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการขอรับเงินกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง สามารถติดต่อสอบถามได้ที่สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองจังหวัดทุกจังหวัด หรือสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครทุกพื้นที่ หรือโทรศัพท์สายด่วน 1546 หรือ 1506 กด 

"มหาวิทยาลัยมหิดล" คณะเทคนิคการแพทย์ และภาครัฐ บริการตรวจคัดกรองการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ให้กับ "คนพิการ"

มูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อการพัฒนาคนพิการ ต.หนองปรือ อ.บางบะมุง จ.ชลบุรี คณะเทคนิคการแพทย์ "มหาวิทยาลัยมหิดล" นำโดย "อ.ดร.ธารารัตน์  ขาวเขียว" รักษาการแทนหัวหน้าสถานเวชศาสตร์ชันสูตร และทีมงานจากคณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล รพ.บางละมุง / นพ.ชาญชัย ลิ้มธงเจริญ รอง ผอ.บางละมุง และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เขต 6 ระยอง / นายวิศิษฎ์ ยี่สุ่นทอง ผู้ช่วยผู้อำนวยการ รักษาการ ผอ.สปสช.เขต 6 ระยอง ร่วมกิจกรรมให้บริการตรวจคัดกรองหาเชื้อไวรัสโควิด-19 ให้กับ กลุ่มคนพิการ และครอบครัว ในพื้นที่อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี

โดยมี "บาทหลวงภัทรพงศ์ ศรีวรกุล, C.Ss.R." ประธานมูลนิธิฯ / นายสัมฤทธิ์ ชาภิรมย์ ผู้จัดการฯ และคณะเข้าร่วมกิจกรรมคัดกรองฯ ซึ่งกิจกรรมในวันนี้มี "คนพิการ"  และครอบครัว เข้าร่วมตรวจคัดกรองหาเชื้อไวรัสโควิด-19 รวมทั้งสิ้น จำนวน 622 ราย โดยได้รับการตรวจแบบ RT PCR และในช่วงระหว่างรอผลตรวจ RT PCR ทางมูลนิธิฯ จัดเตรียมที่พักไว้ให้ หากทราบผลตรวจ RT PCR "เป็นบวก" จะประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและนำตัวเข้ารับการรักษาที่ "ศูนย์พักคอย" Community Isolation (CI) ซึ่งตั้งอยู่ ในมูลนิธิฯ ต่อไป

ในการนี้ "มูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อการพัฒนาคนพิการ" (ชลบุรี) ขอขอบคุณทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ได้เสียวละเวลาอันมีค่า และแรงกาย แรงใจ เพื่อมอบโอกาสให้ "คนพิการ" และครอบครัว เข้าถึงบริการตรวจคัดกรองหาเชื้อไวรัสโควิด-19 ในครั้ง

ครอบครัว ‘ธนากิจอำนวย’ แถลงการณ์ยืนยัน ‘ไฮโซลูกนัท’ แพทย์สรุปตาขวาไม่สามารถมองเห็นได้อีก ต้องรักษาต่อเนื่องอีกกว่า 6 เดือน เตรียมยื่นฟ้องตำรวจทั้งแพ่งและอาญา เหตุใช้วิธีสลายการชุมนุมผิดหลักสากล

19 สิงหาคม 64 เฟชบุ๊ก “Nat Thanakitamnuay” ของนายธนัตถ์ ธนากิจอำนวย หรือ ไฮโซลูกนัท ที่โดนลูกหลงถูกยิงด้วยของแข็งเข้าที่บริเวณใบหน้าจนคิ้วขวาแตกได้รับบาดเจ็บระหว่างเข้าร่วมชุมนุม เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 64 ที่บริเวณแยกดินแดง โพสต์ระบุว่าอยู่ที่ กรมทหารราบที่ 1 ถ.วิภาวดี-รังสิต พร้อมข้อความ ว่า “I’m back cr: ไข่แมวชีส ดวงตาหนึ่งข้างที่ดับไปตลอดกาล แต่ผมไม่เคยมองเห็นชัดเจนขนาดนี้มาตลอดชีวิต #เผด็จการจงพินาศประชาราษฎร์จงเจริญ”

นอกจากนี้ยังมีการโพสต์แถลงการณ์ ดังนี้...

คำแถลงการณ์

กรณีอาการบาดเจ็บของนายธนัตถ์ ธนากิจอำนวย (คุณลูกนัท)

ตามที่ได้ปรากฏข่าวสารเผยแพร่ทั่วไปเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2564 ว่า นายธนัตถ์ ธนากิจอำนวย (ลูกนัท) ได้รับบาดเจ็บที่บริเวณใบหน้าและดวงตาจากการดำเนินการควบคุมและสลายการชุมนุมของเจ้าหน้าที่ ณ บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิและแยกดินแดง กรุงเทพมหานคร จนต้องเข้ารับการตรวจรักษาจากคณะแพทย์นั้น

นายธนัตถ์ฯ และครอบครัวธนากิจอำนวย ขอขอบคุณคณะแพทย์ผู้ทำการตรวจรักษาและผู้เกี่ยวข้องทุกท่าน ตลอดจนญาติมิตรที่ได้กรุณาช่วยเหลือ หรือติดตามสอบถามอาการบาดเจ็บของนายธนัตถ์ฯ และความคืบหน้าในการตรวจรักษาด้วยความห่วงใยและปรารถนาดีมาโดยตลอด ในการนี้ นายธนัตถ์ฯ และครอบครัว

ขอเรียนต่อสาธารณชนว่า ที่ผ่านมาทางครอบครัวและคณะแพทย์ผู้รักษายังไม่เคยให้ข่าวใด ๆ กับสื่อมวลชนหรือบุคคลที่มิใช่สมาชิกในครอบครัว ฉะนั้น ครอบครัวธนากิจอำนวยจึงขอแถลงข้อมูลตามความเป็นจริง โดยมีรายละเอียดดังนี้

ในประการแรก นายธนัตถ์ฯ ได้รับบาดเจ็บโดยมีบาดแผลฉีกขาดเป็นรูปครึ่งวงกลมที่บริเวณคิ้วขวา ลักษณะเกิดจากการถูกกระแทกด้วยวัตถุของแข็งไม่มีคม ลักษณะเป็นกระบอกกลม ซึ่งคณะแพทย์ผู้ตรวจรักษาได้ตรวจวินิจฉัยแล้วพบว่านายธนัตถ์ฯ มีแผลบวมช้ำที่เบ้าตาขวาและมีบาดแผลฉีกขาดที่คิ้วขวา กระจกตาขวาฉีกขาด ลูกตาขวาแตก จอประสาทตาขวาลอก จากนั้น นายธนัตถ์ฯ จึงได้เข้ารับการรักษาอาการบาดเจ็บจากคณะแพทย์ด้วยการผ่าตัดแล้ว ปัจจุบันมีอาการเบื้องต้นปลอดภัยและทรงตัว แต่ยังมีความจำเป็นที่จะต้องได้รับการตรวจรักษาจากแพทย์เพิ่มเติมต่อเนื่องไปอีกเป็นเวลามากกว่า 6 เดือน โดยแพทย์มีความเห็นว่าภายหลังการรักษาเสร็จสิ้นแล้ว ดวงตาข้างขวาของนายธนัตถ์ฯ จะไม่สามารถมองเห็นได้อีก

ครอบครัวธนากิจอำนวยขอเรียนว่า นายธนัตถ์ฯ ได้เข้าร่วมการชุมนุมเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2564 ซึ่งเป็นการใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ ตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ได้บัญญัติรับรองเสรีภาพดังกล่าวไว้ โดยนายธนัตถ์ฯ มีเจตนาที่จะแสดงความคิดเห็นและชุมนุมอย่างสงบโดยยึดมั่นในแนวทางสันติวิธีมาแต่แรกเริ่ม โดยตลอดการร่วมชุมนุมนายธนัตถ์ฯ ได้แสดงออกและพยายามอย่างเต็มที่ในการป้องกันและหลีกเลี่ยงพฤติการณ์ใด ๆ ที่อาจก่อให้เกิดความรุนแรง หรือความเสี่ยงต่อความรุนแรง ความวุ่นวาย และความเสียหายแก่บุคคลที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ดังที่ได้ปรากฏหลักฐานเป็นที่รับทราบโดยทั่วไป

ทั้งนี้ แม้ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชน (คฝ.) หรือเจ้าพนักงานที่เกี่ยวข้องนั้นจะมีอำนาจหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมายและดูแลความสงบเรียบร้อยในการชุมนุม แต่ก็ต้องปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวโดยเคารพและคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพและความปลอดภัยโดยรวมของประชาชนผู้เข้าร่วมการชุมนุม

อย่างไรก็ตาม ได้ปรากฏข้อเท็จจริงว่าในระหว่างการชุมนุมนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชน (คฝ.) ได้เลือกใช้มาตรการในการสลายการชุมนุมหลายประการที่มีความเสี่ยงในการก่อให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิตหรือร่างกายของผู้เข้าร่วมชุมนุม เช่น การยิงแก๊สน้ำตา หรือการยิงกระสุนยางเข้าใส่กลุ่มประชาชนผู้ชุมนุม ทั้งที่การชุมนุมดังกล่าวยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงหรือสถานการณ์การใช้ความรุนแรงถึงระดับที่จะเป็นเหตุให้รัฐบาลมีความจำเป็นต้องใช้มาตรการที่มีความรุนแรงในการสลายการชุมนุมดังกล่าว หรือหากแม้ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ในขณะนั้นอยู่ในสภาวะที่จำเป็นจะต้องใช้มาตรการยิงแก๊สน้ำตา หรือยิงกระสุนยาง ก็ตาม การปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ดังกล่าวก็จะต้องกระทำไปตามหลักการและมาตรฐานสากล

กล่าวคือ ในการปฏิบัติการยิงแก๊สน้ำตานั้น ต้องใช้วิธีการยิงแบบวิถีโค้งในลักษณะโพรเจกไทล์ (Projectile) โดยต้องไม่ทำการยิงวิถีตรงหรือเล็งเข้าหาตัวบุคคลอย่างเด็ดขาด และในส่วนของการยิงหรือใช้กระสุนยางนั้นต้องเล็งยิงไปในบริเวณที่ต่ำกว่าเอวหรือบริเวณขาเท่านั้น ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นแก๊สน้ำตาหรือกระสุนยาง ต้องห้ามยิงจากที่สูงหรือมุมสูงโดยเด็ดขาด ซึ่งในกรณีของนายธนัตถ์ฯ เกิดจากการยิงแก๊สน้ำตาที่ไม่ใช่การยิงแบบวิถีโค้ง จนเกิดเป็นความเสียหายที่ไม่อาจประเมินได้นั่นเอง

ดังนั้น นายธนัตถ์ฯ และครอบครัวจึงเห็นว่าการใช้มาตรการสลายการชุมนุมดังกล่าวเป็นการใช้กําลังและเครื่องมือควบคุมฝูงชนที่เกินจําเป็น ไม่ได้สัดส่วนที่เหมาะสมและไม่สอดคล้องกับแนวทางสากลในการจัดการและควบคุมฝูงชน ทั้งยังเป็นการกระทำที่เกินสมควรแก่เหตุและไม่ชอบด้วยกฎหมาย จนเป็นเหตุให้ประชาชนจำนวนมากรวมถึงนายธนัตถ์ฯ ได้รับบาดเจ็บอันเป็นการละเมิดต่อสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการชุมนุมของประชาชน

ด้วยเหตุนี้ นายธนัตถ์ฯ และครอบครัวจึงมีความประสงค์ที่จะใช้สิทธิในการดำเนินคดีตามกฎหมายทั้งในคดีอาญา คดีแพ่ง และคดีอื่นใด กับบุคคลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ในการพิสูจน์ข้อเท็จจริงและความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อนายธนัตถ์ฯ เนื่องจากการใช้อำนาจหน้าที่ การปฏิบัติการ และการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายดังกล่าวจนถึงที่สุดในทุกวิถีทาง โดยมีเจตนาเพื่อที่จะให้เป็นบรรทัดฐานและแบบอย่างในการปกป้องสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธของประชาชนตามรัฐธรรมนูญฯ ที่บุคคลย่อมมีสิทธิเสรีภาพที่จะแสดงออกซึ่งความคิดเห็นของตน และอยู่ร่วมกันในสังคมโดยสามารถแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างกันได้ รวมถึงเพื่อเป็นการปกป้องสิทธิและศักดิ์ศรีของนายธนัตถ์ฯ และครอบครัวตามกรอบของกฎหมายและตามรัฐธรรมนูญฯ โดยการดำเนินการดังกล่าวข้างต้นนี้นายธนัตถ์ฯ และครอบครัวมิได้มีเจตนาและมิได้มีความประสงค์ที่จะให้บุคคล กลุ่มบุคคล หรือฝ่ายการเมืองใดนำไปใช้ประโยชน์ในทางการเมือง ไม่ว่าในลักษณะหรือแง่มุมใดก็ตาม

ครอบครัวธนากิจอำนวยขอเรียนว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับนายธนัตถ์ฯ ถือเป็นความสูญเสียครั้งร้ายแรงของครอบครัว ซึ่งครอบครัวธนากิจอำนวยหวังว่าการดำเนินการใด ๆ ต่อจากนี้ จะช่วยไม่ให้เกิดความสูญเสียหรือความรุนแรงในลักษณะเดียวกันต่อบุคคล หรือประชาชนที่ต้องการแสดงออกทางความคิดของตนโดยสงบและปราศจากอาวุธ โดยขอยืนยันว่าการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญฯ ของประชาชนต้องไม่ถูกขัดขวางหรือคุกคามโดยรัฐ รวมทั้งการใช้อำนาจหรือการปฏิบัติงานของหน่วยงานและเจ้าหน้าที่ของรัฐตามกฎหมายต้องเป็นไปตามแนวทางสันติวิธีและเป็นไปตามหลักสากล โดยหลีกเลี่ยงการใช้กำลังหรือการทำให้เกิดความรุนแรงใด ๆ

ขอแสดงความนับถือ
ครอบครัวธนากิจอำนวย
วันที่ 19 สิงหาคม 2564


ที่มา : https://www.facebook.com/nat.tanat.democrat/posts/10165228930350648


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

จับตา คลังเตรียมเสนอ ครม. ยืดเก็บ VAT 7% ต่ออีก 2 ปี          

แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง  เปิดเผยว่า กรมสรรพากรอยู่ระหว่างการเสนอกระทรวงการคลัง เพื่อส่งเรื่องให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบให้ขยายเวลามาตรการลดภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จาก 10% เหลือ 7% ที่จะสิ้นสุดในวันที่ 30 ก.ย. 2564 ออกไปอีก 1-2 ปี เพื่อเบาเทาความเดือดร้อนประชาชนและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19"สถานการณ์เศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบรุนแรงจากการระบาดโควิด-19 ตอนนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีการขึ้นภาษี VAT ดังนั้นกรมสรรพากรจึงเสนอให้กระทรวงการคลังพิจารณาการเก็บภาษี VAT 7% ออกไป 1 หรือ 2 ปี โดยการที่เสนอทางเลือกให้ขยายนานถึง 2 ปีด้วยนั้น เพราะเห็นว่าโควิด-19 ยังกระทบกับเศรษฐกิจอีก 1-2 ปี ถึงจะเริ่มฟื้นตัวได้ และที่ผ่านมาการเสนอคง VAT ก็จะมีทั้ง 1 ปี และขอขยายทีเดียว 2 ปีเลย หากเห็นว่าเศรษฐกิจมีปัญหามาก เพื่อให้ประชาชนและผู้ประกอบการมีความมั่นใจและวางแผนธุรกิจในระยาวได้" แหล่งข่าว กล่าว

แหล่งข่าว กล่าวอีกว่า การคงเก็บภาษี VAT ที่ 7% จะไม่กระทบกับการเก็บรายได้ของกรมสรรพากรในปีงบประมาณ 2564 และ 2565 เนื่องจากการทำงบประมาณในส่วนของการประมาณการเก็บรายได้มีการประเมินไว้แล้วว่าจะไม่มีการเพิ่มภาษี VATอยู่แล้ว โดยการขึ้นภาษี VATทุก 1% จะทำให้รัฐบาลเก็บรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 7 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้ คาดว่านายอาคม  เติมพิทยาไพสิฐ รมว.การคลัง จะนำข้อเสนอเรื่องการขยายเวลามาตรการลดการจัดเก็บภาษี VAT จาก 10% เหลือ 7% ออกไปอีก 1 ปี หรือ 2 ปี ให้ ครม. พิจารณาภายในเดือนนี้ เพื่อให้ผู้ประกอบการและประชาชนได้วางแผนในการลงทุนและเกิดความมั่นใจเศรษฐกิจมากขึ้น

"การคงภาษี VAT 7% ไม่ได้ขึ้นเป็น 10% ทำให้รัฐบาลเก็บภาษีได้น้อยลง แต่เป็นผลดีกับเศรษฐกิจโดยรวมมากกว่า เพราะในวิกฤตโควิด-19ที่เศรษฐกิจขยายตัวลดลงมาก ประชาชนและผู้ประกอบการมีรายได้ลดลง แต่รายจ่ายยังเท่าเดิม การขึ้น VATตอนนี้จะเป็นการซ้ำเติมให้ประชาชนและผู้ประกอบการมีภาระมากขึ้น จนทำให้มีปัญหาเศรษฐกิจขยายตัวลดลงเพิ่มมากขึ้นไปอีก" แหล่งข่าว ระบุ

ป่วยโควิดทะลุล้านแล้ว พท.บี้ “ประยุทธ์” เร่งจองวัคซีน NOVAVAX 

น.ส.อรุณี กาสยานนท์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในที่สุดผู้ติดเชื้อโควิด-19 สะสมทะลุเกิน 1 ล้านคนแล้วในวันนี้ โดยอยู่ที่  1,009,710 ราย สอดคล้องกับแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ของนักวิชาการม.มหิดล หากแบบจำลองนี้มีความคาดเคลื่อนต่ำ ก็มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่าผู้ติดเชื้อสะสมของไทยจะแตะ 4 ล้านคนในเดือนต.ค.นี้ ทั้งหมดสะท้อนให้เห็นว่ากระบวนการตรวจรักษาในระดับที่ลึกขึ้นนั้นไม่เพียงพอต่อการระบาดของโรค ผู้ติดเชื้อบางรายไม่ทราบว่าเชื้อลงปอดแล้วหรือไม่ ขณะที่จำนวนผู้ติดเชื้อที่เห็นอาจจะไม่สะท้อนความเป็นจริง เนื่องจากในระบบการรักษาในโรงพยาบาลหรือ Hospitel ลดการกักตัวหรือรักษาจาก 14 วัน เหลือ 10 วัน แต่ในบางประเทศเพิ่มการกักตัวเป็น 21 วันเพื่อให้แน่ใจว่าเชื้อตายแล้ว และไม่เอาไปแพร่เชื้อให้ผู้อื่นอีก    

น.ส.อรุณี กล่าวอีกว่า อยากเรียกร้องให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ในฐานะ ผอ.ศบค. ทำหน้าที่ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์สักครั้งก่อนพ้นตำแหน่ง   โดยสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งจัดหารถโมบายเคลื่อนที่ เพื่อตรวจเอกซเรย์ปอดหาเชื้อให้กับผู้ป่วยโควิด ซึ่งจะสามารถส่งต่อโรงพยาบาลได้ทันท่วงที ลดอัตราการเสียชีวิตได้ รวมทั้งเร่งสั่งจองจัดหาวัคซีนที่ป้องกันสายพันธ์เดลต้าได้ และวัคซีน NOVAVAX ที่มีรายงานประสิทธิภาพสามารถป้องกันการแสดงอาการป่วยได้มากกว่า 90% และป้องกันป่วยหนักได้ 100%  ศบค.ต้องเร่งดำเนินการทันที โดยอาจจะใช้เป็นวัคซีนหลักหรือเป็นวัคซีนบูสเตอร์ก็ได้ ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์บริหารผิดพลาดล้มเหลวจนยอดคนตายพุ่งสูง ต้องยอมเปิดหูเปิดตาดูตัวอย่างจากต่างประเทศว่าบริหารจัดการอย่างไร รอฟังแต่รายงานคนใกล้ชิดที่ประจบสอพลอ ถึงแก้ปัญหาไม่ได้  หยุดไล่ตามปัญหา แล้วเดินหน้าวางแผนงานป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้น ปัญหาตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่บุคลากรไม่พอ แต่ถามว่าเรามีวัคซีนในมือกี่โดส" น.ส.อรุณี กล่าว

สภากาชาดไทย ส่งหนังสือด่วนมาก ถึงผู้ว่าราชการจังหวัด-นายกอบจ. 38 จังหวัด เปิดแผนกระจายวัคซีนโมเดอร์นา ใหม่ เพิ่มเติม ห้ามฉีดเป็นวัคซีนเข็มที่ 3

นายกฤษฎา บุญราช ผู้ช่วยเลขาธิการฯ ปฏิบัติการแทน เลขาธิการสภากาชาดไทย ส่งหนังสือด่วนมาก เรื่อง แนวทางการบริหารวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 Moderna สภากาชาดไทย ถึง ผู้ว่าราชการจังหวัด และ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด 38 จังหวัด เพื่อนำไปฉีดให้กับประชาชนกลุ่มเป้าหมาย 5 กลุ่ม ดังนี้

1.) คนพิการ ผู้ป่วยติดเตียง สตรีมีครรภ์

2.) ผู้สูงอายุ 70 ปี ขึ้นไป

3.) บุคลากรทางการแพทย์และพยาบาล

4.) ผู้ที่ทำงานประจำศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ครูผู้สอนหนังสือ

5.) บุคลากรที่ออกปฏิบัติงานสัมผัสประชาชนตามโครงการฉีดวัคซีนให้ประชาชนครั้งนี้ และบุคคลที่ไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน เนื่องจากติดขัดระเบียบกฎหมายทางราชการ และได้มีการขี้แจงแนวทางการบริหารจัดการวัคซีน เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2564 ไปแล้ว นั้น

เพื่อให้เป็นไปตามแนวทางการบริหารจัดการวัคซีนของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่ได้กำหนดการจัดหาวัคซีนนำมาฉีดให้กับประชาชนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้เป็นไปตามแนวทางหรืออยู่ในการกำกับดูแลของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การดำเนินการฉีดวัคซีนตามโครงการนี้ต้องให้ความสำคัญกับกลุ่มเป้าหมายทั้ง 5 กลุ่มซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงเป็นลำดับแรก สภากาชาดไทยจึงขอแจ้งแนวทางการบริหารจัดการวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 Moderna เพิ่มเติม ดังนี้

1.) ขอให้องค์การบริหารส่วนจังหวัด สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด หรือ ส่วนราชการที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด สำรวจจัดทำข้อมูลกลุ่มเป้าหมาย พร้อมรายชื่อสำรองอีกร้อยละ 30 ของจำนวนกลุ่มเป้าหมายที่จังหวัดได้รับการจัดสรรวัคซีน ตามแบบฟอร์ม Whitelist ของระบบหมอพร้อม ส่งให้คณะกรรมการโรคติดต่อถึงจังหวัดพิจารณาตรวจสอบและรับรองความถูกต้องของกลุ่มเป้าหมาย

และให้ส่งบัญชีข้อมูลกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดแล้ว ให้สภากาชาดไทยเพื่อนำไปตรวจสอบคุณสมบัติตามรายชื่อของกลุ่มเป้าหมายกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ อาจมีการนำรายชื่อดังกล่าวแสดงทางเว็บไซต์ของสภากาชาดไทยเพื่อให้สาธารณชนตรวจสอบเพื่อความโปร่งใสด้วย ก่อนนำข้อมูลดังกล่าวเข้าสู่ระบบหมอพร้อมต่อไป ทั้งนี้ ขอให้จัดส่งบัญชีรายชื่อดังกล่าว ให้สภากาชาดไทยภายในวันที่ 30 กันยายน 2564 ผ่านอีเมล์ [email protected] โดยสามารถดาวน์โหลดแบบฟอร์มและข้อมูลต่าง ๆ ได้ที่ลิงก์ shorturl.asia/067rS

2.) ในการกำหนดจำนวนประชาชนและกลุ่มเป้าหมายทั้ง 5 กลุ่ม ว่าจะฉีดให้กลุ่มใดจำนวนมากน้อยเท่าใดนั้น ขอให้จังหวัดให้ความสำคัญกับกลุ่มเข้าหมายที่เป็นกลุ่มเสี่ยง โดยเรียงลำดับความสำคัญจากกลุ่มที่ 1 กลุ่มที่ 2 กลุ่มที่ 3 กลุ่มที่ 4 และกลุ่มที่ 5 ตามลำดับ ทั้งนี้ประชาชนกลุ่มที่ 1 กลุ่มที่ 2 กลุ่มที่ 4 และกลุ่มที่ 5 นั้น ต้องไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน หรือห้ามนำไปฉีดเป็นวัคซีนเข็มที่ 3 (Booster) โดยเด็ดขาดเนื่องจากมีประชาชนจำนวนมากยังไมได้รับวัคนเข็มที่ 1 แต่อย่างใด

3.) เนื่องจากมีบางจังหวัดจะขอเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายในการฉีดวัคชีน โดยอ้างว่าประชาชนตามกลุ่มเป้าหมายทั้ง 5 กลุ่ม ได้รับการฉีดวัคซีนครบแล้วนั้น จังหวัดจะต้องมีการแสดงข้อเท็จจริงพร้อมหลักฐานที่ชัดเจนว่าประชาชนทั้ง 5 กลุ่มเป้าหมาย ได้รับการวัคซีนครบแล้ว จึงจะขอขยายหรือเพิ่มกลุ่มเป้าหมายใหม่ได้ โดยจะต้องให้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดมีมติรับรองการเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายดังกล่าวด้วย แล้วส่งไปยังสภากาขาดไทยพิจารณาก่อน

อนึ่ง สภากาชาดไทยขอเรียนว่า โครงการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนกลุ่มเปราะบางครั้งนี้ ซึ่งเป็นโครงการร่วมระหว่างสภากาชาดไทยกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดที่ได้รับความสนใจจากประชาชนและสังคมเป็นอย่างมาก จึงขอความร่วมมือผู้ว่าราชการจังหวัดและนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดที่เข้าร่วมโครงการได้โปรดช่วยกันดูแลกำกับการดำเนินงานของโครงการให้เป็นไปตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างสภากาชาดไทยและองค์การบริหารส่วนจังหวัดด้วยความโปร่งใสและเคร่งครัดด้วย


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top