Tuesday, 10 June 2025
NewsFeed

ศาลพิพากษา 'ไอทีวี' ชนะคดีข้อพิพาท สปน. บอกเลิกสัญญา ไม่ต้องชำระหนี้กว่า 2 พันลบ. และไม่มีภาระต่อกันอีกต่อไป

(25 ม.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) ออกหนังสือชี้แจงผู้ถือหุ้น ระบุว่า บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) ขอแจ้งผลคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดกรณีข้อพิพาทระหว่างบริษัท และสำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) กรณีที่ไอทีวีได้ยื่นข้อพิพาทต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2550 เพื่อให้พิจารณาว่าการบอกเลิกสัญญาเข้าร่วมงานและดำเนินการสถานีวิทยุโทรทัศน์ระบบ UHF (สัญญาเข้าร่วมงาน) ในวันที่ 7 มีนาคม 2550 ของ สปน. ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น

หนังสือถึงผู้ถือหุ้น ลงวันที่เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2567 ระบุเรื่องศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง ที่ได้พิพากษายกคำร้องของ สปน. ด้วยเหตุว่า คำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการนั้น ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ซึ่งมีผลให้คดีนี้ถึงที่สุด โดยบริษัทและ สปน. ต่างไม่มีหนี้ที่จะต้องชำระต่อกันอีกรวมจำนวนทั้งสิ้น 2,890,345,205.48 บาท (สองพันแปดร้อยเก้าสิบล้านสามแสนสี่หมื่นห้าพันสองร้อยห้าบาทสี่สิบแปดสตางค์)

ทั้งนี้ จากผลของคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดดังกล่าว ส่งผลให้บริษัท ไม่มีหนี้ที่ต้องชำระ หรือ
ภาระหน้าที่ หรือความรับผิดตามสัญญาเข้าร่วมงาน หรือภาระผูกพันใด ๆ กับ สปน. อีกต่อไป ทั้งนี้ บริษัทจะเรียกประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาทิศทางของไอทีวีต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า การอ่านคำพิพากษากรณีที่ไอทีวีได้ยื่นข้อพิพาทต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2550 เพื่อให้พิจารณาว่าการบอกเลิกสัญญาเข้าร่วมงานและดำเนินการสถานีวิทยุโทรทัศน์ระบบ UHF (สัญญาเข้าร่วมงาน) ในวันที่ 7 มีนาคม 2550 ของ สปน. ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น ศาลปกครองสูงสุด ได้มีการนัดอ่านคำพิพากษา เมื่อเวลา 10.00 น. ของวันที่ 25 มกราคม 2567

ชื่นชม!! ‘ทีมแพทย์จีน’ มุ่งมั่นเดินหน้า ‘ผ่าตัดสมอง’ สำเร็จ แม้ต้องเผชิญเหตุ ‘แผ่นดินไหว’ ในซินเจียงอุยกูร์ก็ตาม

(25 ม.ค. 67) ย้อนชมการปฏิบัติงานอย่างมืออาชีพของทีมแพทย์และพยาบาลประจำโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในเมืองอาลาเอ่อร์ เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ซึ่งยังคงปฏิบัติการ ‘ผ่าตัด’ ต่อไปอย่างระมัดระวังแม้เผชิญเหตุแผ่นดินไหว

ซึ่งคลิปวิดีโอเผยภาพทีมแพทย์และพยาบาล นำโดยศัลยแพทย์อันซูฟาง กำลังทำการผ่าตัดเปิดกะโหลกศีรษะผู้ป่วยวิกฤตรายหนึ่ง ก่อนที่ไม่กี่วินาทีถัดมา จะเกิดการสั่นไหวจนพวกเขาทั้งหมดรับรู้ได้และนิ่งค้างอยู่ชั่วอึดใจ

แม้อุปกรณ์การแพทย์ในห้องผ่าตัดจะสั่นไหวตามแรงแผ่นดินไหว อันซูฟางและทีมงานยังคงสงบและมีสมาธิอย่างมืออาชีพ จนกระทั่งทำการผ่าตัดที่มีความเสี่ยงสูงนี้เสร็จสิ้น และผู้ป่วยอยู่ในภาวะปลอดภัย

อันซูฟางเล่าว่าผู้ป่วยรายนี้ต้องรับการผ่าตัดเปิดกะโหลกฉุกเฉิน หลังจากประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์จนเกิดภาวะสมองเลื่อน ส่วนเหตุแผ่นดินไหวทำให้เตียงสั่น แต่เขายังคงผ่าตัดต่อจนสำเร็จลุล่วงด้วยดี

ทั้งนี้ อำเภออูสือ แคว้นอาเค่อซูของซินเจียง เผชิญเหตุแผ่นดินไหวรุนแรง ขนาด 7.1 ตามมาตราแมกนิจูด ตอนราว 02.09 น. ของวันอังคาร (23 มกราคม ) ตามเวลาปักกิ่ง โดยจุดศูนย์กลางการสั่นไหวอยู่ลึกใต้ดินราว 22 กิโลเมตร และห่างจากเมืองอาลาเอ่อร์ราว 240 กิโลเมตร

'หญิงต่างชาติ' ไม่มีเงิน หิวโซ ขอกินข้าวเหลือ เจ้าของร้านคนไทยใจดี ให้กินฟรี เติมเพิ่มให้จนอิ่ม

จากกรณีผู้โซเชียลรายหนึ่งได้โพสต์คลิปวิดีโอชาวต่างชาติรายหนึ่งที่มาขอข้าวกินที่ร้าน จนกลายเป็นโมเมนต์สุดประทับใจ

ล่าสุด (25 ม.ค. 67) น.ส.รัตนธร กำเนิดไทย เจ้าของโพสต์ เปิดเผยว่า ปกติตนไปช่วยลูกชายเลี้ยงหลานอยู่ที่ร้าน ช่วงเย็นเมื่อวานนี้ ตนทำอาหารไปให้ลูกชาย และวางไว้บนโต๊ะ โดยตนและลูกสะใภ้ทานเสร็จแล้ว เหลือแต่ลูกชายที่กำลังวุ่นกับการขายของ ระหว่างนั้นตนออกมาก็พบว่ามีหญิงต่างชาติรายหนึ่ง มานั่งกินกับข้าวอยู่ที่โต๊ะ

ลูกชายเล่าให้ฟังว่า ชาวต่างชาติรายนี้เข้ามาขอทานอาหารที่เหลืออยู่บนโต๊ะ เนื่องจากไม่มีเงิน เมื่อตนเข้าไปจะพูดคุย ก็พบว่ากินข้าวและพะโล้หมดเกลี้ยง แต่แกงส้มยังเหลืออยู่ ตนจึงถามไปว่า ไม่กินเผ็ดเหรอ แต่ตนก็ไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษ จึงใช้การพูดคุยผ่านภาษากายแทน

ตนเห็นดังนั้นจึงนำข้าวและพะโล้ไปเติมให้อีก ยังมีลูกค้าชายโต๊ะอื่นนำน้ำมาให้เธออีกด้วย หลังทานเสร็จ ชาวต่างชาติรายนี้ได้ขีดเขียนอะไรบางอย่าง ตนก็คิดกับลูกสะใภ้ว่าเขาคงเขียนบันทึกไดอารี่ แต่ปรากฏว่า เขานำกระดาษใบนั้นมายื่นให้ตน

เป็นภาพวาดของตนที่กำลังอุ้มหลาน ลูกชายที่กำลังวุ่นวายกับการเสิร์ฟกับข้าว และลูกสะใภ้ที่กำลังชงน้ำ ตนเข้าใจว่านี่เป็นการขอบคุณที่ตนได้ช่วยเหลือ

ทั้งนี้หลังจากที่ตนลงคลิปไปก็มีหลายคนเป็นห่วงว่าชาวต่างชาติจะมาหลอกหรือไม่ แต่ตนก็ไม่กังวล เพราะจากภาพที่เห็นคือเขาหิวโซ กินจนหมดเกลี้ยง และไม่ได้มาขอเงินอะไร

อีกทั้งยังมาตัวคนเดียว พร้อมกับกระเป๋าสัมภาระมากมาย ตนและลูกชายเป็นคนใจอ่อนเห็นแบบนี้ก็อดที่จะไม่ช่วยไม่ได้ และดีใจที่ได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

'กวี ชูกิจเกษม' พาส่องเศรษฐกิจกัมพูชา ชี้ 'ผลดี-ผลเสีย' รอบทิศ แง้ม!! โอกาสภาคธุรกิจไทยอาจไม่ใช่เร็ววัน แต่ห้ามตกขบวน

(25 ม.ค. 67) จากเฟซบุ๊ก 'กวี ชูกิจเกษม' โดยคุณกวี ชูกิจเกษม นักลงทุน VI และนักวิเคราะห์ที่ได้รับการยอมรับในระดับประเทศ ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง Head of Research and Content. บล.Pi ได้เผยทริปเยือนกัมพูชากับ CSI พาชมความคืบหน้าเศรษฐกิจกัมพูชาภายใต้โอกาสของธุรกิจไทย โดยระบุว่า...

ปัจจุบันขนาดเศรษฐกิจต่อหัวของประเทศกัมพูชามีขนาดเล็กเพียง 2 พันเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับประเทศไทยที่ 8 พันเหรียญสหรัฐฯ 

แต่ถึงกระนั้น ก็มีบริษัทใหญ่ ๆ จากประเทศไทยสนใจเข้ามาลงทุนมากพอควรเช่น CP Group, MAKRO, CPALL, PTT, OR, MINOR FOOD, GLOBAL, SJWD, TCC, SAMART, SCG etc. แสดงให้เห็นถึงโอกาสในการทำธุรกิจ 

อย่างไรก็ตามประเทศกัมพูชาต้องพัฒนาอีกหลายด้าน ปัจจุบันยังคงเน้นอุตสาหกรรมแรงงานถูกเช่นอุตสาหกรรมสิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม ที่คิดเป็น 80% ของมูลค่าการส่งออกรวม หรือโครงสร้างพื้นฐานที่ยังล้าหลัง ซึ่งทำให้ต้นทุนโลจิสติกส์ค่อนข้างสูง 

ขณะที่ต้นทุนในการเริ่มธุรกิจค่อนข้างสูงเทียบกับประเทศคู่แข่ง ด้านการท่องเที่ยวซึ่งเป็นรายได้หลักของประเทศก็ยังขาดเสน่ห์อยู่บ้าง 

แต่ข้อดีของประเทศนี้คือ อายุเฉลี่ยของคนกัมพูชาต่ำเพียง 25 ปี ขณะที่อัตราการเกิดสูงที่สุดในประเทศอาเซียน ยังขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจเติบโตได้อยู่ โดยปีที่แล้วเศรษฐกิจกัมพูชาโต 5% ขณะที่ปีนี้คาดจะโตประมาณ 6% 

อย่างไรก็ตามธุรกิจในไทยคงยังไม่อาจได้ประโยชน์จากประเทศกัมพูชามากนักในระยะสั้น แต่ในอนาคตผมเชื่อว่าธุรกิจในไทยก็คงไม่อาจปิดประตูโอกาสในประเทศกัมพูชาได้ และจากการที่ผมมาประเทศนี้เมื่อห้าปีที่แล้วเทียบกับวันนี้บอกได้เลยว่าพัฒนาขึ้นมาก 

เพียงแต่ปัญหาระยะสั้นที่ต้องแก้ไขช่วงนี้คือ ผมมองว่าทุนจีนเข้ามามากไป ทำให้ราคาอสังหาฯ หรือราคาสินค้าแพงขึ้น จนสร้างความเหลื่อมล้ำมากเกินไป ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคที่สำคัญในการก้าวต่อไปได้ และเรื่องการศึกษาที่เป็นปัญหาเหมือนประเทศไทยเช่นกัน

เปิดประวัติ ‘มายด์ ณภศศิ’ อดีตเน็ตไอดอลชื่อดัง สาวสวยสุดเก่ง คนที่ ‘สงกรานต์’ ยอมรับว่า “ใช่”

ชั่วโมงนี้คงไม่มีใครฮอตไปกว่า ‘มายด์ อุทัยทิพย์’ หรือ ‘มายด์ ณภศศิ สุรวรรณ’ อดีตเน็ตไอดอลชื่อดัง เจ้าของตำแหน่ง Miss Uthaitip Freshy Idol 2008

เพราะเมื่อช่วงต้นปี 2566 ที่ผ่านมา ชื่อของ ‘มายด์ ณภศศิ’ กลับมาได้รับความสนใจในวงการบันเทิงอีกครั้ง หลังมีข่าวถูกโยงเป็นหวานใจคนใหม่ของ ‘สงกรานต์ เตชะณรงค์’ ไฮโซหนุ่ม เจ้าของโบนันซ่า เขาใหญ่ โดยนักสืบโซเชียลจับสังเกตได้ว่าทั้ง 2 ลงรูปและวิดีโอในสถานที่คล้าย ๆ กัน แถบลงในช่วงเวลาใกล้ ๆ กัน โดย ‘มายด์ ณภศศิ’ ได้โพสต์วิดีโอเล่นกับลูกสิงโตลงในติ๊กต็อก ส่วนทาง ‘สงกรานต์’ ก็ได้โพสต์รูปลงเช่นกัน

นอกจากนี้แล้ว ‘มายด์ ณภศศิ’ ก็ยังเคยโพสต์วิดีโอในติ๊กต็อกระบุว่าตนไม่โสดแล้ว ส่วน ‘สงกรานต์’ ก็เคยตอบคำถามในรายการซุปตาร์พาตะลุย ที่ถามถึงสถานะหัวใจว่าโสดหรือไม่โสด ซึ่งหนุ่มสงกรานต์ก็ตอบมาว่า “ไม่โสดมาสักพักแล้ว” พร้อมยิ้มกว้าง 

และล่าสุด ‘สงกรานต์ เตชะณรงค์’ ได้มาร่วมงาน Soft Power Thailand's Next Weapon เวทีเสวนา Soft Power แบบไม่ซอฟต์ โดยไทยรัฐกรุ๊ป และได้ตอบคำถามนักข่าวที่ถามถึงเรื่องสถานะหัวใจด้วย

นักข่าว : กระแสข่าวที่ออกมาเรื่องความรักครั้งใหม่ ที่บอกว่าไม่โสดแล้ว หลายคนอยากรู้ว่าเป็นใคร?
สงกรานต์ : (หัวเราะ) เดี๋ยวไว้วันหลังชวนมาด้วยนะ (ยิ้ม)

นักข่าว : ใช่คนในข่าวมั้ย?
สงกรานต์ : ใช่ๆ (ยิ้ม)

นักข่าว : ไปเจอกันได้ยังไง?
สงกรานต์ : เพื่อน ๆ กัน เล่นกีฬาเหมือนกัน (เลยไปเป็นโปรกอล์ฟด้วยกัน?) ไม่ขนาดนั้น ไม่ได้เก่งขนาดนั้น เล่นได้พอ ๆ กันครับ (ยิ้ม)

นักข่าว : คุยกันมานานแค่ไหน?
สงกรานด์ : สักพักแล้วครับ (ยิ้ม) เขานิสัยดี อยู่ด้วยแล้วสบายใจ (ยิ้ม)

ก็ถือว่า คำตอบของ ‘หนุ่มสงกรานต์’ นั้นชัดเจน ตรงไปตรงมา และทำให้กองเชียร์ของทั้งคู่หัวใจฟูไปตาม ๆ กัน ก็ต้องมาตามดูกันต่อไปว่า ‘สาวมายด์’ จะมีรีแอ็กชันอย่างไร แต่เชื่อว่าในอนาคตจะได้เห็นโมเมนต์น่ารัก ๆ ของทั้งคู่มากกว่าเดิมแน่นอน

ไหน ๆ ก็มีข่าวให้ใจฟูแล้ว วันนี้ขอพาไปรู้จักประวัติ ‘มายด์ ณภศศิ’ อย่างลึกซึ้งกันอีกครั้ง รับรองเลยว่า สาวสวยคนที่ ‘ใช่’ คนนี้ ทั้งสวยและมากความสามารถสุด ๆ 

‘มายด์ ณภศศิ’ เกิดเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2534 ครอบครัวทำธุรกิจค้าขายไม้แปรรูป ภายใต้ชื่อ ‘บายพาสค้าไม้’ ที่จังหวัดชลบุรี

ภายหลังสอบได้ที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา สายศิลป์คำนวณ (ต.อ.70) จึงย้ายมาอยู่ที่กรุงเทพมหานคร

‘มายด์’ เป็นเด็กที่ขยันทั้งเรียนและการทำกิจกรรมให้กับโรงเรียนมาอย่างเนื่อง ช่วงที่เรียนมัธยมปลาย โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ได้ทำกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย เช่น เป็นนางนพมาศ ปี 2550 ถือป้ายโรงเรียนในกิจกรรมกีฬาสี เชียร์ลีดเดอร์ในกีฬาประเพณีโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาและโรงเรียนเตรียมทหาร ครั้งที่ 25 และ 26 นอกจากนี้ ยังอยู่ในโครงการความสามารถพิเศษทางภาษาไทย (Gifted ไทย) 

หลังจากจบมัธยมศึกษาจากโรงเรียนเตรียมอุดมฯ ‘มายด์’ ได้เข้าศึกษาระดับปริญญาตรี คณะนิเทศศาสตร์ เอกวารสารสนเทศ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และยังได้เป็นผู้นำเชียร์ คณะนิเทศศาสตร์ ในงานกีฬาเฟรชชี่ และจุฬาฯ คฑากร อีกด้วย

จบระดับปริญญาโท จากวิทยาลัยการแพทย์บูรณาการ (ANTI-AGING) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ สาขาวิทยาการชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ

และ ระดับปริญญาเอกจาก Lyceum of the Philippines University ประเทศฟิลิปปินส์ หลักสูตร : Doctorof Philosophy in Management (PhD in Management)

ส่วนผลงานในวงการบันเทิง ‘มายด์’ เป็นที่รู้จักจากการแสดงโฆษณาต่าง ๆ โดยเริ่มเข้าวงการจากการได้รับตำแหน่ง Miss Uthaitip Freshy Idol 2008 นอกจากนี้ ยังมีงานบันเทิงทั้งถ่ายแบบ เดินแบบ งานแสดง พิธีกร ดีเจ ฯลฯ เรียกว่ามายด์ เคยทำมาหมดแล้ว

ปัจจุบัน มายด์ เป็นนักธุรกิจเต็มตัว โดยเป็นเจ้าของธุรกิจ คลินิกกายภาพบำบัดชื่อ ‘Restart 24 Rehabilitation Center’ และยังเป็นเจ้าของแบรนด์ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร LYFEWELLNESS อีกด้วย

เรียกได้ว่า ทั้งเก่งทั้งขยัน และ ‘ดีกรี’ ไม่ธรรมดาเลย สำหรับสาวสวยหน้าหวาน ‘ดร.มายด์’ คนนี้ 

ปลุกพลังผู้ให้ทั่วประเทศ ให้โลหิต ให้ชีวิต ให้ประจำทุก 3 เดือนตลอดปี 2567

ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ ปลุกพลังผู้ให้ทั่วประเทศ ชวนบริจาคโลหิตช่วยเหลือผู้ป่วยกับโครงการ “ให้โลหิต   ให้ชีวิต ให้ประจำ” ตลอดปี 2567  โดยเพิ่มจำนวนครั้งการบริจาคโลหิตอย่างสม่ำเสมอทุก 3 เดือน หรือปีละ 4 ครั้ง เพื่อให้มีโลหิตสำรองเพียงพอสม่ำเสมอสำหรับผู้ป่วยในโรงพยาบาลทั่วประเทศ 

รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิงดุจใจ ชัยวานิชศิริ ผู้อำนวยการศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย เปิดเผยว่า  ตลอดปี 2567 ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ได้จัดโครงการ “ให้โลหิต ให้ชีวิต ให้ประจำ Give Blood ,Give lives, Give forever” เป็นโครงการหลักประจำปี 2567 เพื่อเป็นกรอบการดำเนินงานด้านการบริจาคโลหิตให้แก่ภาคบริการโลหิตแห่งชาติ โรงพยาบาลสาขาบริการโลหิตทั่วประเทศ และเหล่ากาชาดจังหวัดต่างๆในการรณรงค์ส่งเสริมให้ผู้บริจาคโลหิตมีการบริจาคโลหิตอย่างสม่ำเสมอทุก 3 เดือน หรือปีละ 4 ครั้ง เพิ่มมากขึ้น หรืออย่างน้อยบริจาคโลหิตเพิ่มปีละ 2 – 3 ครั้ง รวมถึง การเพิ่มจำนวนผู้บริจาคโลหิตรายใหม่ให้มีจำนวนมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการบริจาคโลหิตได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน

จากสถิติความถี่การบริจาคโลหิตทั่วประเทศ ปี พ.ศ. 2566 จากจำนวนผู้บริจาคโลหิตทั้งหมด  1,606,743 คน พบว่ามีผู้บริจาคโลหิตปีละ 1 ครั้ง มีปริมาณมากถึง 1,057,894 คน คิดเป็นร้อยละ 65.84  ในขณะที่ ผู้บริจาคโลหิตปีละ 4 ครั้ง มีจำนวนเพียง 73,770 คน คิดเป็นร้อยละ 4.59 และยังมีผู้บริจาคโลหิตปีละ 2 ครั้ง จำนวน 313,029 คน คิดเป็นร้อยละ 19.48 บริจาคโลหิตปีละ 3 ครั้ง จำนวน 156,052 คน คิดเป็นร้อยละ 9.71 ส่วนผู้บริจาคโลหิตมากกว่า 4 ครั้ง (รวมกับบริจาคส่วนประกอบโลหิตอื่นๆ) จำนวน 5,998 คิดเป็นร้อยละ 0.37 หากมี     ผู้บริจาคโลหิตบริจาคทุก 3 เดือน หรือปีละ 4 ครั้งเพิ่มมากขึ้น จะทำให้มีโลหิตที่เพียงพอสำหรับผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอตลอดปี  

ทั้งนี้ โลหิตยังคงเป็นยารักษาโรคที่ยังไม่มีนวัตกรรมใดๆ มาทดแทนได้ จึงจำเป็นต้องมีการรับบริจาคโลหิตจากเพื่อนมนุษย์ เพื่อให้ได้มาซึ่งโลหิตสำหรับใช้ในการช่วยชีวิตผู้ป่วย โดยโลหิตที่ได้รับบริจาคร้อยละ 23 นำไปใช้รักษากลุ่มผู้ป่วยโรคเลือด อาทิ โรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย ฮีโมฟีเลีย เกล็ดเลือดต่ำ เป็นต้น ในรายที่เป็นชนิดรุนแรงต้องได้รับโลหิตในการรักษาเป็นประจำอย่างน้อยเดือนละ 1-2 ยูนิต หากไม่ได้รับโลหิตผู้ป่วยจะมีภาวะซีด อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตประจำวัน   อีกร้อยละ 77 นำไปใช้รักษาผู้ป่วยที่สูญเสียโลหิตเฉียบพลันจากอุบัติเหตุ การผ่าตัด ตกเลือดหลังคลอดบุตร เลือดออกในทางเดินอาหาร เป็นต้น  ต้องมีโลหิตสำรองไว้ระหว่างการผ่าตัด 2 - 3 ยูนิต ในกรณีที่มีอาการรุนแรง 5 - 10 ยูนิต  ถ้าโลหิตไม่เพียงพอต้องเลื่อนการผ่าตัด อาจเกิดอันตรายแก่ผู้ป่วยถึงชีวิตได้  จึงต้องมีการรณรงค์ให้ผู้บริจาคโลหิต เพิ่มความถี่ในการบริจาคโลหิต จากปีละ 1 ครั้ง เป็นปีละ 2 ครั้ง จากปีละ 2 ครั้ง เพิ่มเป็นปีละ 3 ครั้ง จากปีละ 3 ครั้ง เพิ่มเป็น 4 ครั้งต่อปี ก็จะทำให้โลหิตมีปริมาณเพียงพอสำหรับช่วยเหลือผู้ป่วยได้   สามารถบริจาคโลหิตทั่วประเทศ ได้ที่

•    ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ถนนอังรีดูนังต์ 
•    หน่วยรับบริจาคโลหิตประจำที่ (Fixed Station) ได้แก่  สถานีกาชาด 11 วิเศษนิยม (บางแค)   เดอะมอลล์  สาขาบางแค สาขาบางกะปิ สาขางามวงศ์วาน สาขาท่าพระ ศูนย์การค้าดิเอ็มโพเรียม และบ้านทรงไทย (ย่านวงศ์สว่าง)
•    ภาคบริการโลหิตแห่งชาติ 12 แห่งทั่วประเทศ ได้แก่ จังหวัดลพบุรี ชลบุรี ราชบุรี นครราชสีมา ขอนแก่น อุบลราชธานี นครสวรรค์ พิษณุโลก เชียงใหม่ นครศรีธรรมราช (ทุ่งสง) สงขลา และภูเก็ต
•    โรงพยาบาลสาขาบริการโลหิตทั่วประเทศ 
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ ฝ่ายจัดหาผู้บริจาคโลหิตและสื่อสารองค์กร ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย โทร. 0 2256 4300, 0 2263 9600-99 ต่อ 1101, 1760, 1761
*********************

ขอบคุณที่ท่านได้กรุณาเผยแพร่ข่าวนี้  
ฝ่ายจัดหาผู้บริจาคโลหิตและสื่อสารองค์กร  
ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย 
โทรศัพท์ 0 2256 4300, 0 2263 9600-99 ต่อ 1760, 1761 

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งลงพื้นที่ซับน้ำตา..มอบเงินช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิตจากเหตุโรงงานพลุระเบิด จังหวัดสุพรรณบุรี

ตามที่ได้เกิดเหตุโรงงานพลุระเบิดในพื้นที่ ตำบลศาลาขาว อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรีเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้ความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินจำนวนมากนั้น โดยภายหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง โดย นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้มอบหมายให้ นายอรัณย์ โตทวด ผู้จัดการใหญ่มูลนิธิฯ จัดทีม ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นำโดย นางศิริพร กระจ่างหล้าง ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ พร้อมด้วย นายรัชพร ประสงค์ทรัพย์ หัวหน้าแผนกสาธารณภัย ลงพื้นที่สำรวจข้อมูลเพื่อเตรียมการให้ความช่วยเหลือแก่ญาติผู้เสียชีวิตในทันที

วันนี้ (วันพุธที่ 24 มกราคม 2567) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายวิชิต ชินวงศ์วรกุล รองประธานกรรมการ พร้อมด้วย นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ นายจารุรัตน์ คุณัตถานนท์ กรรมการและเหรัญญิก และ นายนิพนธ์ โชคภิรมย์วงศา กรรมการปฏิคม นำทีมแผนกสาธารณภัย ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นำโดย นางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ ลงพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบลศาลาขาว  เพื่อเข้าพบพร้อมให้กำลังใจและมอบเงินช่วยเหลือค่าฌาปนกิจแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว รวม 23 รายๆ ละ 20,000 บาท รวมงบประมาณทั้งสิ้น 460,000 บาท (สี่แสนหกหมื่นบาทถ้วน) โดยมี 
นายประทีป การมิตรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี พร้อมด้วย อาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย ดร.ปภัสรา เตชะไพบูลย์ อาสาสมัครกิตติมศักดิ์ ร่วมในพิธี ณ องค์การบริหารส่วนตำบลศาลาขาว อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ขอแสดงความเสียใจ และขอส่งกำลังใจไปยังครอบครัวผู้เสียชีวิต ผู้ได้รับบาดเจ็บ และผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวทุกท่านมา ณ ที่นี้

ตลอดระยะเวลา 114 ปี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง  ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้รวมถึงการช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิตจากสาธารณภัย และพัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลายทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธาน “ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต ”

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

# มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต 
#แอปพลิเคชันป่อเต็กตึ๊ง1418
#ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน

สตูล กอ.รมน.จังหวัด สตูล จัดกิจกรรม บวร/บรม ร่วมใจสร้างชุมชนคุณธรรม ประจำปีงบประมาณ 2567

วันนี้ 24 ม.ค. 67 พ.อ.พิเชษฐ์  ชุติเดโช รอง ผอ.รมน.จังหวัด สตูล (ท.) ปฏิบัติราชการแทน
 ผอ.รมน.จังหวัด สตูล มอบหมายให้ พ.ท.จารุกิตติ์ ทองคง หัวหน้าฝ่ายการข่าว กลุ่มงานนโยบายแผนและการข่าว กอ.รมน.จังหวัด สตูลพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ กอ.รมน.จังหวัด สตูล ลงพื้นที่จัดกิจกรรม บวร/บรม ร่วมใจสร้างชุมชนคุณธรรม ประจำปีงบประมาณ 2567 ณ โรงเรียนท่าแพผดุงวิทย์ ต.แป-ระ อ.ท่าแพ จ.สตูล มีนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 และ 6 เข้าร่วมโครงการ จำนวน 105 คน เพื่อสร้างจิตสำนึกความเป็นไทย, การฝึกอบรมพัฒนาจิตใจ พร้อมทั้งแลกเปลี่ยนเรียนรู้การเป็นอยู่แบบพหุวัฒนธรรม โดยมีกิจกรรมพัฒนาสัมพันธ์จากทีมวิทยากร กอ.รมน.จังหวัด สตูล ซึ่งมี ร.ต.ท.ศักยภาพ พงศาปาน เจ้าหน้าที่สันทนาการชุดวิทยากรขุนด่าน กอ.รมน.จังหวัด สตูล และ ร.ต.วุฒินันท์  สังข์ชาติ รอง หน.ฝ่ายประสานการปฏิบัติ ฯ ให้ความรู้เกี่ยวกับการเสริมสร้างความปรองดองในสังคมไทย, การเสริมสร้างความมั่นคงสถาบันหลักของชาติ, การสร้างจิตสำนึกความเป็นไทย, โครงการเพชรในตม และการประชาสัมพันธ์สายด่วนความมั่นคง 1374 ทั้งนี้ได้รับเกียรติจาก นายเจ๊ะหมีน หะแหละ ที่ปรึกษา ประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดสงขลา/ คอเต็บ มิสยิดบัสตานัดดีน อ.จะนะ จ.สงขลา เป็นวิทยากรให้ความรู้เกี่ยวกับการอยู่ร่วมกันแบบพหุวัฒนธรรม ผลการปฏิบัติ ผู้เข้ารับการอบรม บวร/บรม ฯ มีความตระหนักรู้ มีความภาคภูมิใจ เข้าใจถึงบทบาทความสำคัญของสถาบันหลักของชาติ และการอยู่ร่วมกันแบบพหุวัฒนธรรมเป็นอย่างดี
นิตยา แสงมณี // ผู้สื่อข่าวภูมิภาคประจำจังหวัดสตูล

เชียงราย-พ่อเมืองเชียงราย!!จับต่อน้ำกระท่อมแต่งกลิ่นรสชาติร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดระเบียบสังคมป้องกันเด็กและเยาวชน"

วันที่ 24 มกราคม 2567 เวลา 23.50 น. ภายใต้การอำนวยการของ นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และนายบัลลังก์ ไวทย์ศิริ ปลัดจังหวัดเชียงราย ได้สั่งการให้คณะทำงานจัดระเบียบสังคมแบบบูรณาการจังหวัดเชียงราย นำโดยนายกองรบ กระทุ่มนัด ป้องกันจังหวัดเชียงราย  ผู้ช่วยป้องกันจังหวัดเชียงราย สมาชิกกองอาสารักษาดินแดน กองร้อยอาสารักษาดินแดนจังหวัดเชียงรายที่ 1 ปลัดอำเภอเมืองเชียงราย สมาชิกกองอาสารักษาดินแดน กองร้อยอาสารักษาดินแดนอำเภอเมืองเชียงรายที่ 3 กอ.รมน. ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงราย ปปส. เทศบาลนครเชียงราย  สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดเชียงราย พมจ.เชียงรายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าตรวจเพื่อจัดระเบียบสังคมตรวจสอบการกระทำผิดของสถานประกอบการที่ฝ่าฝืนกฎหมาย 

จากการที่เจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจสอบร้านเอเดนแคมป์ปิ้ง หมาล่า (ร้านท่อมบ่าวเหนือโฟน) บริเวณตลาดห้วยปลากั้งเจริญทรัพย์ หมู่ที่ 3 ตำบลริมกก อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย  เนื่องจากมีการแจ้งเบาะแสมาที่คณะทำงานฯ ว่าร้านดังกล่าวมีการจำหน่ายน้ำกระท่อมปรุงให้แก่เด็กและเยาวชน มีการมั่วสุม เสียงดัง เปิดให้บริการจนกว่าลูกค้าจะหมด และเด็กและเยาวชนที่มาใช้บริการ หากออกจากร้านจะมีการแข่งมอเตอร์ไซต์แต่งเสียงดัง ในทางสาธารณะ ก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญให้แก่ผู้ที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้นเป็นอย่างมาก

ขณะเข้าตรวจสอบพบมีผู้ใช้บริการกว่า 40 คน นั่งดื่มกินน้ำกระท่อมผสมน้ำหวานแต่งกลิ่น ฯลฯ ภายในร้าน และมีการวิ่งหนีออกจากร้านอีกกว่า 10 คน เจ้าหน้าที่สามารถติดตามมาได้ส่วนหนึ่ง และจากการตรวจสอบอายุพบเป็นเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี จำนวน 1 คน และเยาวชนที่วิ่งหนีแต่ทิ้งกระเป๋าไว้ จากการตรวจสอบพบบัตรประชาชน ระบุอายุ 15 ปี จำนวน 1 คน เจ้าหน้าที่ได้ทำการสอบถามอาการของผู้มาใช้บริการ ว่าอาการที่กินน้ำกระท่อมเป็นอย่างไร ซึ่งแต่ละคนจะสำแดงอาการไม่เหมือนกัน เช่น เมา มึนๆ อึนๆ คึก ซึม แล้วแต่อาการของแต่ละคน และจากการตรวจค้นยังพบยาแก้ไอ ที่เปิดขวดแล้ว อยู่บริเวณจุดปรุงน้ำกระท่อม และตรวจสอบในเมนูของร้านยังพบว่าเมนูน้ำท่อม มีส่วนผสมของน้ำหวานปรุงหลายรดชาด และยังมีเมนูน้ำท่อมปั่น น้ำท่อมผสมเหล้า ให้บริการภายในร้านด้วย

ซึ่งจากการตรวจสอบภายในร้านพบมีบุคคลแสดงตัวเป็นเจ้าของร้าน
จำนวน 1 คน แต่จากการตรวจสอบใบอนุญาต ไม่พบหนังสือรับรองการแจ้งการสะสมอาหาร ตามพรบ.การสาธารณสุข และมีการจำหน่ายน้ำกระท่อม โดยฝ่าฝืน พรบ.อาหารฯ เจ้าหน้าที่ได้ตรวจร้านดังกล่าวยังไม่มีการตรวจความปลอดภัยของอาหารและไม่ได้ส่งมอบสลากให้สำนักงานอาหารและยาตรวจอนุมัติก่อนนำไปใช้ตามเงื่อนไขของประกาศกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยอาหารใหม่หรือที่ผลิตเพื่อการส่งออกเท่านั้น เจ้าหน้าที่จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานนำส่งพนักงานสอบสวน ดำเนินคดีตามกฎหมาย ต่อไป
สันติ วงศ์สุนันท์/ผู้สื่อข่าวเชียงราย

เชียงใหม่-คณะพยาบาลศาสตร์ มช.ร่วมยินดีกับรางวัลอันทรงเกียรติ

ผศ.ดร.ธานี แก้วธรรมานุกูล คณบดี พร้อมคณะผู้บริหาร คณาจารย์และบุคลากร คณะพยาบาลศาสตร์ มช. เข้ามอบช่อดอกไม้ร่วมแสดงความยินดีกับผู้บริหาร คณาจารย์ และนักศึกษาของคณะฯ ในพิธีทำบุญเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนา มช. ประจำปี 2567 ณ ศาลาธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2567

รางวัลผู้บริหารดีเด่นจากกองทุนอธิการบดี มช. ประจำปี 2566 ได้แก่ ผศ.ทพ.พิริยะ เชิดสถิรกุล รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และประธานกรรมการอำนวยการประจำคณะพยาบาลศาสตร์ มช.

รางวัลมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ "ช้างทองคำ" อาจารย์ดีเด่น สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ ประจำปี 2566 ได้แก่ อ.ดร.หรรษา เศรษฐบุปผา อาจารย์กลุ่มวิชาการพยาบาลจิตเวช สำนักวิชาพยาบาลศาสตร์

โล่ประกาศเกียรติคุณผู้ที่ได้รับพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ ประจำปี 2566 ได้แก่ ศ.ดร.ภัทราภรณ์ ภทรสกุล ศาสตราจารย์ในสาขาวิชาพยาบาลศาสตร์ 

Exemplary Award ได้แก่ ผศ.ดร.ณัฏฐณิชา ศรีบุณยวัฒน กลุ่มวิชาการพยาบาลกุมารเวชศาสตร์ สำนักวิชาพยาบาลศาสตร์

รางวัลหลักสูตรดีเด่น ประเภทหลักสูตรยอดนิยม ประจำปีการศึกษา 2565 ผู้เข้ารับรางวัลได้แก่ รศ.ดร.ฐิติณัฏฐ์ อัคคะเดชอนันต์ ประธานกรรมการบริหารหลักสูตรพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต (หลักสูตรนานาชาติ) 

รางวัลการค้นคว้าอิสระดีมาก ประจำปีการศึกษา 2566 ได้แก่ นางศุภรดา ประเสริฐกุล หลักสูตรพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารทางการพยาบาล เรื่อง "การพัฒนาคุณภาพการวางแผนจำหน่ายสำหรับผู้ป่วยโรคไตวายระยะสุดท้ายที่ได้รับการล้างไตทางช่องท้องอย่างต่อเนื่อง โรงพยาบาลนครพิงค์" โดยมี รศ.ดร.สมใจ ศิระกมล และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.บุญพิชชา จิตต์ภักดี เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา  นางสาวรวินันท์ ใจเงิน หลักสูตรพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการพยาบาลจิตเวชและสุขภาพจิต เรื่อง "ประสิทธิผลของการใช้แนวปฏิบัติทางคลินิกสำหรับการพยาบาลผู้ป่วยจิตเภทที่มีอาการหูแว่ว แผนกผู้ป่วยใน โรงพยาบาลสวนปรุง จังหวัดเชียงใหม่" โดยมี ศ.ดร.ภัทราภรณ์ ภทรสกุล และ อ.ดร.หรรษา เศรษฐบุปผา เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา
พัฒนชัย/เชียงใหม่


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top