Monday, 19 May 2025
NewsFeed

ครม.เคาะงบ 2,936 ล้าน ดันประกันภัยข้าวนาปี

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมครม. เห็นชอบโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 64 พื้นที่ประกันภัย รวม 46 ล้านไร่ ภายใต้วงเงิน 2,936 ล้านบาท โดยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ทดลองจ่ายเงินอุดหนุนค่าเบี้ยประกันแทนรัฐบาลและเบิกเงินชดเชยตามจำนวนที่จ่ายจริง ซึ่งการดำเนินงานส่วนใหญ่มีลักษณะเดียวกันกับปี 63 โดยปรับอัตราเบี้ยประกันภัยสำหรับลูกค้าสินเชื่อ ธ.ก.ส. ลดลง 1 บาท จาก 97 บาท/ไร่ เหลือ 96 บาท/ไร่ และปรับอัตราเบี้ยประกันภัยสำหรับลูกค้า ธ.ก.ส.ที่ซื้อประกันภัยเพิ่มและอยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่ำ ลดลง 3 บาท จาก 58 บาท/ไร่ เหลือ 55 บาท/ไร่ มีพื้นที่เป้าหมายประกันภัย รวม 46 ล้านไร่

สำหรับอัตราค่าเบี้ยประกันภัย กำหนดให้ กรณีค่าเบี้ยประกันภัยพื้นฐานกลุ่มแรก กำหนดตามความเสี่ยงจริงของเกษตรกร รวม 45 ล้านไร่ แบ่งเป็น ลูกค้า ธ.ก.ส. ทุกราย ค่าเบี้ยประกันภัย 96 บาทต่อไร่ รวม 28 ล้านไร่ โดยรัฐบาลเป็นผู้อุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยให้ 58 บาทต่อไร่ และ ธกส. อุดหนนุนให้ 38 บาทต่อไร่ เกษตรกรทั่วไป และลูกค้าสินเชื่อ ธ.ก.ส. ที่ซื้อเพิ่ม ค่าเบี้ยประกันภัยในพื้นที่เสี่ยงต่ำ 55 บาทต่อไร่ พื้นที่เสี่ยงปานกลาง 210 บาทต่อไร่ และพื้นที่เสี่ยงสูง 230 บาทต่อไร่ รวม 17 ล้านไร่ รัฐบาลเป็นผู้อุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยให้ 55 บาทต่อไร่ โดยคุ้มครองความเสี่ยงจาก 7 ภัยธรรมชาติ ไร่ละ 1,260 บาท คือ น้ำท่วมหรือ ฝนตกหนัก ภัยแล้ง ฝนแล้งหรือฝนทิ้งช่วง ลมพายุหรือพายุไต้ฝุ่น ภัยอากาศหนาว หรือน้ำค้างแข็งลูกเห็บ ไฟไหม้ ช้างป่า และภัยศัตรูพืชหรือโรคระบาดไร่ละ 630 บาท

ส่วนค่าเบี้ยประกันภัยแบบสมัครใจกลุ่ม 2 กำหนดตามความเสี่ยงจริงของเกษตรกร จำนวน 1 ล้านไร่ ซึ่งเกษตรกรจะต้องเป็นผู้ชำระเอง แบ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงต่ำ 24 บาทต่อไร่ พื้นที่เสี่ยงปานกลาง 48 บาทต่อไร่ และพื้นที่เสี่ยงสูง 101 บาทต่อไร่ โดยคุ้มครองความเสี่ยงจาก 7 ภัยธรรมชาติ ไร่ละ 240 บาท และภัยศัตรูพืชหรือโรคระบาดไร่ละ 120 บาท

ออมสิน ภาค 11 ผุดตลาดอาหารปลอดภัย “ตลาดนัดชุมชนวิถีคนอีสาน” ให้คนขอนแก่นอยู่ดีกินดี ลดความเหลื่อมล้ำทางรายได้ ส่งเสริมตลาดออฟไลน์สู่การเป็นตลาดออนไลน์

ออมสินภาค 11 จับมือสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดขอนแก่นและบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) ผุดโครงการร่วมใจสร้างตลาดอาหารปลอดภัยให้คนขอนแก่นอยู่ดีกินดี “ตลาดนัดชุมชนวิถีคนอีสาน” ลดความเหลื่อมล้ำทางรายได้ ส่งเสริมตลาดออฟไลน์สู่การเป็นตลาดออนไลน์ สร้างการพัฒนาคุณภาพสินค้าของชุมชนหรือผู้ประกอบการรายย่อย และเพิ่มสภาพคล่องทางเศรษฐกิจในระดับจังหวัด

นายวรทัศน์ ธุลีจันทร์ รอง ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น เป็นประธานในพิธีลงนามข้อตกลงโครงการร่วมใจสร้างตลาดอาหารปลอดภัยให้คนขอนแก่นอยู่ดีกินดี “ตลาดนัดชุมชนวิถีคนอีสาน” ระหว่างหน่วยงานรัฐ 3 หน่วยงานได้แก่ สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดขอนแก่น บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) และธนาคารออมสิน

เนื่องด้วยในปัจจุบัน พฤติกรรมการซื้อสินค้าและบริการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปเป็นความปกติใหม่ (New normal) ซึ่งในปัจจุบันเทคโนโลยี และอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง มีบทบาทสำคัญต่อสังคมโลกโดยเฉพาะ พฤติกรรมการซื้อสินค้าและบริการของผู้บริโภค จากการซื้อสินค้าที่ต้องเดินทางไปหน้าร้านค้าหรือโทรศัพท์สั่งสินค้า (Offline Marketing) เปลี่ยนเป็นการซื้อสินค้าบนอินเตอร์เน็ตผ่านร้านค้าออนไลน์ (Online Marketing) ที่นับวันยิ่งได้รับความนิยมจากผู้บริโภคมากขึ้น เพราะสะดวกสบาย มีโปรโมชั่นและบริการหลังการขายที่ไม่แตกต่างจากการเดินไปซื้อที่ร้านค้า ทำให้เกิดส่วนแบ่งทางการตลาดที่มากขึ้น ส่งผลกระทบต่อรายได้ที่ลดลงของผู้ประกอบการที่มีการขายสินค้าและบริการผ่านหน้าร้านค้าเพียงช่องทางเดียว

ประกอบกับในช่วงระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา เกิดสถานการณ์โรคระบาดจากเชื่อไวรัส COVID19 ขึ้นทั่วโลก รัฐบาลของประเทศต่างๆ ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย จำเป็นต้องออกมาตรการรองรับการควบคุมโรคระบาด การออกจากที่พักอาศัยไปซื้อสินค้าและบริการถูกจำกัดจากมาตรการทางสังคม ทำให้เกิดพฤติกรรมการบริโภครูปแบบใหม่ขึ้น กล่าวคือ เมื่อผู้บริโภคไม่สามารถเดินทางไปซื้อสินค้าและบริการที่หน้าร้านค้าได้สะดวกเช่นเดิม (Offline Marketing) การซื้อผ่านร้านค้าออนไลน์จึงเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยม และเมื่อใช้ช่องทางออนไลน์จนเกิดความเคยชิน เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคไปในวิถีใหม่หรือความปกติใหม่ (New Normal)

จึงเป็นที่มาของโครงการความร่วมมือในครั้งนี้ เพื่อสร้างโอกาสในการสร้างรายได้ในทั้งการขายสินค้าและบริการที่หน้าร้าน และการขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ เพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางรายได้ผ่านการให้ความรู้ทางการเงินและเพิ่มทักษะทางการตลาดออฟไลน์และออนไลน์ สร้างรายได้และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้ประกอบการรายย่อยที่เข้าร่วมโครงการ

โครงการร่วมใจสร้างตลาดอาหารปลอดภัยให้คนขอนแก่นอยู่ดีกินดี “ตลาดนัดชุมชนวิถีคนอีสาน” จะช่วยยกระดับคุณภาพสินค้าให้ผู้บริโภคมีความปลอดภัย ผ่านระบบตลาดที่ได้มาตรฐาน เพื่อส่งเสริมและเพิ่มช่องทางการตลาดให้แก่สินค้าอุปโภคบริโภคของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน และสินค้าพื้นถิ่นที่อยู่ในกรอบความร่วมมือนี้

พร้อมทั้งส่งเสริมความรู้แก่ผู้ประกอบการชุมชนในด้านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีด้าน ICT มาต่อยอดการผลิตและการตลาดในรูปแบบต่างๆ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการลงทุนของวิสาหกิจชุมชนทั้งขนาดเล็กและขนาดย่อย ให้สามารถมีช่องทางดำเนินการได้สะดวกและมีช่องทางดำเนินการมากขึ้น


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ร่วมกับ มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ (มฉก.) ลงนามบันทึกความร่วมมือทางวิชาการ พัฒนาหลักสูตรเกี่ยวกับธุรกิจจีน เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ และนักศึกษา นำไปประยุกต์ใช้ได้จริงในการค้าการลงทุนกับจีน

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า สถาบันความร่วมมืออุตสาหกรรมไทย-จีน ภายใต้สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ เห็นถึงความสำคัญและมุ่งมั่นในการพัฒนาโอกาสและช่องทางการตลาดกับประเทศจีน จึงได้ร่วมมือกันพัฒนาหลักสูตรของสถาบันฯ เพื่อส่งเสริมและพัฒนาความรู้ความสามารถให้กับสมาชิก ผู้ประกอบการ อาจารย์และนักศึกษา ในด้านการขายและกระจายสินค้าในตลาดจีน สภาพแวดล้อม วัฒนธรรม ช่องทางการตลาด กฎหมาย การแบ่งปันความรู้จากผู้มีประสบการณ์จริง รวมถึงความรู้ด้านภาษาจีน

รองศาสตราจารย์ ดร.อุไรพรรณ เจนวาณิชยานนท์ อธิการบดี มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ กล่าวว่า ความร่วมมือที่เกิดขึ้นจะส่งเสริมความเข้มแข็งในเชิงวิชาการซึ่งเป็นทฤษฎี และความลงตัวในเชิงปฏิบัติที่ต้องอาศัยผู้ประกอบการจริง จะทำให้ผลสัมฤทธิ์เกิดแก่เศรษฐกิจของประเทศไทย ทั้งในมิติของการเพิ่มขีดความสามารถและการสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการ การลงนามในวันนี้ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญที่จะทำให้เกิดสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมไทย ซึ่งจะเชื่อมโยงไปสู่ประเทศจีนต่อไปในอนาคต

นายวีรชัย มั่นสินธร ประธานสถาบันความร่วมมืออุตสาหกรรมไทย-จีน ส.อ.ท. กล่าวเสริมว่า สถาบันความร่วมมืออุตสาหกรรมไทย-จีน ส.อ.ท. และ มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ จะร่วมกันพัฒนาหลักสูตรออนไลน์ Cross Border E-commerce China: CONNECT และเป็นที่ปรึกษาในส่วนการเปิดหลักสูตรภาษาจีนธุรกิจที่เกี่ยวกับ E-commerce และหลักสูตรอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

เพื่อช่วยเหลือสมาชิกผู้ประกอบการในการเปิดตลาดในประเทศจีนให้มีความรู้ทางด้านวิชาการและสามารถนำความรู้ไปปฏิบัติใช้ได้จริง หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับสมาชิก ผู้ประกอบการ บุคลากร อาจารย์ นักศึกษา เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในการค้าการลงทุนกับประเทศจีนต่อไป

รมว.ยุติ ยืนยัน กำชับจนท. ดูแลนักโทษอย่างใกล้ชิด ปัดตอบ ‘เต้น’ ลุยการเมือง หลังถอนกำไลอีเอ็ม

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้สัมภาษณ์กรณี ร.ต.ธนกฤติ จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ประสานมารดานายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน แกนนำกลุ่มราษฎร ให้เลิกอดอาหารเพราะเป็นห่วงสุขภาพว่า…

ทุกคนให้ความเป็นห่วง นายพริษฐ์ เพราะถ้าเกิดเจ็บป่วยขึ้นมาจะเกิดปัญหา ตนกำชับไปแล้วต้องไม่มีเหตุอะไรร้ายแรงเกิดขึ้น โดยสัปดาห์นี้จะวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ให้ผอ.เรือนจำทั้งหมดรับทราบนโยบายและเรียนรู้สิ่งที่เกิดขึ้นให้ทันต่อเหตุการณ์ ไม่ใช่ว่าช้า ถามข้อมูลอะไรก็ไม่ทันการ มันจะเกิดความเสียหาย และต้องปฏิบัติตามระเบียบเป็นไปตามสิทธิมนุษยชน ซึ่งต้องมีความละเอียดไม่ให้มีเรื่องของความไม่เข้าใจเกิดขึ้นและต่อความยาวสาวความยืดกัน

เมื่อถามว่าหากนายพริษฐ์ เจ็บป่วยขึ้นมาโรงพยาบาลของกรมราชทัณฑ์จะมีมาตรฐานเพียงพอหรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า เรื่องมาตรฐานของโรงพยาบาลดีเหมือนกันหมด ไม่มีปัญหา เพียงแต่เจ้าหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์มีจำกัดเพียง 1 คน ต่อนักโทษ 33 คนซึ่งตนจะกำชับให้ดูแลละเอียดขึ้น

เมื่อถามว่าจะป้องกันอย่างไรไม่ให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบ เพราะล่าสุดน.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง แกนนำกลุ่มราษฎร ประกาศจะอดอาหารบ้าง นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ป้องกันอะไรไม่ได้ แต่เราระมัดระวังอย่าให้เขาเป็นอันตรายก็ทำให้ดีที่สุดและไม่ปล่อยปะละเลย โดยเฉพาะข้อมูลต้องประสานกันให้รวดเร็วเพื่อป้องกันความไม่เข้าใจเพราะบางครั้งก็เป็นข่าวไปหลายวันสร้างความสับสนทั้งที่ข้อเท็จจริงไม่มีอะไรรุนแรง

เมื่อถามว่าลำบากใจหรือไม่ที่นักโทษในเรือนจำอดอาหารซึ่งไม่เคยเกิดเหตุการเช่นนี้มาก่อน นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ผู้คุมก็ต้องดูเพราะเป็นความารับผิดชอบ

เมื่อถามถึงกรณี นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ถอดกำไลอีเอ็ม นายสมศักดิ์ กล่าวว่า มีอีเอ็มมันก็เป็นเครื่องเตือนใจ ถอดแล้วก็แสดงว่าหมดเวลาของพันธนาการแล้วเข้าสู่โหมดการใช้ชีวิตไปไหนมาไหนได้ปกติ ส่วนจะไปทำกิจกรรมทางการเมืองได้หรือไม่นั้น ตนไม่ทราบ ต้องไปดูคำสั่งศาล

อย่างไรก็ตามขณะนี้ตนมีแนวคิดเรื่องการปล่อยนักโทษร้ายแรงก่อนเวลาแล้วใช้ระบบใส่กำไลข้อเท้าติดตามตัว ซึ่งได้แลกเปลี่ยนประชาชนไป 3 ครั้งแล้วเป็นบวกและตรงกันที่กระทรวงอยากดำเนินการ แต่ก็ต้องฟังเสียงประชาชนอีกสักระยะ เพราะถ้าเราปล่อยปะละเลยเหมือนในอดีตก็จะเกิดการกระทำผิดซ้ำ


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

กองบังคับการปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) เตือน!! April Fool's Day ซึ่งตรงกับวันที่ 1 เมษายนของทุกปี โพสต์ข่าวปลอม แชร์ข่าวปลอม มีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์

ในวันที่ 1 เมษายน ของทุกปี ในหลายประเทศทั่วโลก ถือเป็นวันโกหก (April Fool's Day) โดยผู้คนจะเล่นมุกตลกและเรื่องหลอกลวงต่อกัน แต่สำหรับในประเทศไทยนั้น การโพสต์ข้อความหลอกลวงหรือแชร์ข่าวปลอม ที่อาจทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจผิดได้ มีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์

ปอท. จึงฝากเตือนประชาชน ให้ระมัดระวังในการโพสต์หรือแชร์ข่าวต่าง ๆ ในโซเชียลมีเดียว่ามีโทษจำคุกและเสียค่าปรับ

พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560...

มาตรา 14 (1) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน

มาตรา 14 (2) ผู้ใดนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะของประเทศ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน

และ มาตรา 14 (5) ผู้ใดเผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ดังกล่าวข้างต้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ที่มา: https://www.nationtv.tv/main/content/378819727?utm_source=category&utm_medium=internal_referral&utm_campaign=social


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

สิทธิ ‘คนละครึ่ง’ ใครยังเหลือ รีบใช้ผ่านแอป ‘เป๋าตัง’ ด่วน ก่อนหมดระยะเวลา ภายในวันนี้ 31 มีนาคม 2564 รอลุ้นเฟส 3 หลังสิ้นสุดมาตรการรัฐเดือน พ.ค.64

จากที่รัฐบาลได้ดำเนินโครงการ ‘คนละครึ่ง’ มีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจระดับฐานราก โดยภาครัฐจะร่วมจ่ายค่าอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าทั่วไป ร้อยละ 50 แต่ไม่เกิน 150 บาทต่อคนต่อวัน หรือไม่เกิน 3,500 บาทต่อคน ตลอดระยะเวลาโครงการ ซึ่งดำเนินโครงการมาแล้ว 2 เฟส

ทั้งนี้ ผู้ได้รับสิทธิ์โครงการคนละครึ่งจะสามารถใช้จ่ายได้จนถึงวันนี้ (31 มีนาคม 2564) เวลา 06.00 - 23.00 น. ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดโครงการ จึงขอเชิญชวนให้ประชาชนที่ยังมีวงเงินเหลือรักษาสิทธิ์ของท่านโดยการเร่งใช้จ่ายให้ครบ 3,500 บาท ภายในกำหนด 

อย่างไรก็ตาม ทางรัฐบาล มีแผนที่จะสานต่อโครงการคนละครึ่งเฟส 3 เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ และแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชนต่อไป คาดว่าโครงการดังกล่าวจะออกได้หลังจากโครงการเราชนะ และโครงการ ม.33 เรารักกัน สิ้นสุดช่วงเดือนพฤษภาคมนี้


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

“บิ๊กป้อม” ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ดับไฟป่าสะเมิง สั่งเข้มเฝ้าระวังและบังคับใช้กฎหมายพวกเผาป่า

เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2564 ที่กระทรวงกลาโหม พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษก ประจำ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รับทราบและแสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์ไฟป่าในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ พร้อมกับชื่นชมและให้กำลังใจการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้และอุทยาน ฝ่ายปกครองและทหาร รวมทั้งส่วนราชการและอาสาสมัครในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ที่ร่วมกันควบคุมสถานการณ์ไฟป่าที่ลุกลามขยายเป็นวงกว้างในพื้นที่ อ.สะเมิงใต้ ต่อเนื่องที่ผ่านมา 

ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ได้กำชับ ขอให้ยังคงเข้มเฝ้าระวังพื้นที่ไฟไหม้ป่า ที่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้วอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการลุกลามจากพื้นที่ที่ยังระอุใต้ดินและซากตอไม้ที่ยังไม่ดับ สำหรับพื้นที่ทางเหนือ ขึ้นไป 2 ไมล์ ซึ่งเป็นภูเขาสูงชันและกำลังเกิดไฟลุกไหม้ป่าขยายเป็นวงกว้าง  ขอให้ กองบัญชาการควบคุมสถานการณ์ไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละออง กองทัพภาคที่ 3 ส่วนหน้า โดยการนำของ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ได้บูรณาการกำลังภาคพื้นและอากาศยานของกองทัพอากาศ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รวมทั้งกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ปฏิบัติงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด โดยให้ระมัดระวังอุบัติเหตุ หรือการบาดเจ็บและสูญเสียของเจ้าหน้าที่อาสาสมัคร ที่อาจเกิดขึ้นจากความอ่อนล้าในการปฏิบัติงานในพื้นที่เป็นระยะเวลานาน โดยเฉพาะเวลากลางคืน

พล.อ.ประวิตร ยังได้ย้ำ ขอให้เร่งสอบสวนสาเหตุการเกิดไฟไหม้ป่าที่เกิดขึ้น โดยขอให้ทำความเข้าใจและสร้างความร่วมมือกับประชาชนในพื้นที่โดยเน้นมาตรการป้องกัน  ทั้งนี้ต้องเข้มบังคับใช้กฎหมายกับกลุ่มบุคคลและนายทุนที่อยู่เบื้องหลังการบุกรุกแผ้วถางและเผาป่า เพื่อครอบครองพื้นที่ทำการเกษตรอย่างต่อเนื่องและจริงจัง  โดยถือเป็นความเห็นแก่ได้ ที่นำมาซึ่งความเสียหายแก่ทรัพยากรธรรมชาติและป่าไม้ รวมทั้งสร้างปัญหามลภาวะหมอกควัน PM 2.5 กระทบต่อประชาชนส่วนใหญ่ในภาพรวม

ดร.พิมพ์รพี แนะ มท. ทบทวนคำสั่งห้ามองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดหาวัคซีนเอง หวังเพิ่มทางเลือกปชช. - ลดภาระรัฐฯ ชี้! เอกชนพร้อมจ่าย เพิ่มภูมิคุ้มกันให้ ปชช. ดึงดูดนักท่องเที่ยว เปิดประเทศอย่างเป็นระบบ จี้ รัฐเร่งวางแผนร่วมเอกชน หวั่นยิ่งช้า ยิ่งเสียโอกาส

ดร.พิมพ์รพี พันธุ์วิชาติกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลเริ่มผ่อนคลายเงื่อนไขการเปิดประเทศ นำร่องที่ภูเก็ต เริ่มวันที่ 1 เมษายนนี้ ว่า ถือว่ารัฐบาลเริ่มเดินมาถูกทางแล้ว ที่เริ่มมีการเปิดประเทศอย่างเป็นระบบ แต่ที่อยากให้เร่งรัดดำเนินการให้เร็วคือ แผนการฉีดวัคซีนโควิด-19 ซึ่งควรเร่งนำเข้ามากระจายให้เอกชน ที่พร้อมจะแบ่งเบาภาระด้านงบประมาณให้กับรัฐบาล พร้อมควักเงินตัวเองร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ฉีดวัคซีนให้กับประชาชน

โดยเฉพาะในจังหวัดท่องเที่ยว แต่ตอนนี้ไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะกระทรวงมหาดไทยมีหนังสือห้ามองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดซื้อวัคซีน ให้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลเท่านั้น เป็นการสูญเสียโอกาสที่ประชาชนจะได้ฉีดวัคซีนเร็วขึ้น และยังตัดทางเลือกวัคซีนของประชาชนด้วย  ซึ่งจะช่วยลดภาระรัฐบาลกลางได้ด้วย จึงอยากให้มีการทบทวนหนังสือฉบับดังกล่าว เปิดทางให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดซื้อวัคซีนมาบริหารจัดการภายในจังหวัดตัวเองได้ 

“ดิฉันคิดว่ารัฐต้องหยุดผูกขาดวัคซีนโควิด-19 แต่ควรหารือร่วมกับภาคเอกชน กำหนดแผนกระจายวัคซีนในส่วนของภาคเอกชนให้ชัดเจน คู่ขนานไปกับแผนเดิมของรัฐบาลที่จะฉีดวัคซีนฟรีให้กับประชาชนวางบทบาทเป็นผู้เจรจาแทนภาคเอกชน เพราะวัคซีนหลายยี่ห้อจะเจรจากับรัฐบาลเท่านั้น บางประเทศถึงขั้นใช้การฉีดวัคซีนเป็นจุดขายดึงดูดนักท่องเที่ยวแล้ว ยิ่งช้าเท่าไหร่ เศรษฐกิจไทยก็ยิ่งเสียโอกาสเท่านั้น อย่าลืมว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในเส้นเลือดสำคัญที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจไทยคิดเป็นร้อยละ 16-17 ต่อจีดีพี ถ้าวัคซีนยังล่าช้า การฟื้นเศรษฐกิจก็เป็นไปได้ยาก” ดร.พิมพ์รพี กล่าว

ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวด้วยว่า สิ่งที่น่ากังวลคือภาครัฐยังมีการประมาณการสถานการณ์อุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ดีเกินความจริง ไม่เว้นแม้กระทั่งธนาคารแห่งประเทศไทยที่ระบุตัวเลขนักท่องเที่ยวในปีนี้ว่าจะมีมากถึง 3 ล้านคน ซึ่งตนคิดว่าไม่ใช่เรื่องง่าย ตราบใดที่การเปิดประเทศยังล่าช้า การฉีดวัคซีนยังไม่ได้ตามเป้าหมาย  ล่าสุดมีการทำโกดังหนี้ช่วยเหลือธุรกิจเอสเอ็มอี เป็นเรื่องดี แต่ปัญหาคือถ้าไม่รีบสร้างรายได้ให้เร็วที่สุด แม้มีโกดังเก็บหนี้แต่ผู้ประกอบการก็ไม่มีกำลังจ่ายหนี้อยู่ดี สุดท้ายก็ไปต่อไม่ได้อยู่ดี คนที่รอดทุกสถานการณ์กลายเป็นสถาบันการเงิน

“ธนกร” เชื่อ ศาลปกครอง ให้ความเป็นธรรม ปม “ยิ่งลักษณ์” ฟ้อง “บิ๊กตู่” พร้อมขอให้เพิกถอนคำสั่งชดใช้ 3.5 หมื่นล้านบาท

เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2564 นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวกรณีที่ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กับพวก ยื่นฟ้องนายกรัฐมนตรีกับพวกรวม 9 คน และขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ให้ นางสาวยิ่งลักษณ์  ในฐานะประธานกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ในขณะนั้น ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวน 35,000 ล้านบาท ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ปล่อยให้มีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว และเพิกเฉยไม่ระงับยับยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ราชการตามอำนาจหน้าที่ เป็นเหตุให้กระทรวงการคลัง ได้รับความเสียหาย 

ซึ่ง ศาลปกครองกลาง ได้นัดอ่านคำพิพากษาวันที่ 2 เมษายน 2564 เวลา 9.00 น.นี้ จึงขอให้เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม อย่าไปก้าวล่วง และระวังอย่าไปละเมิดอำนาจศาลที่ให้ความเป็นธรรมกับทุกคนเสมอ หากมีความพยายามที่จะแทรกแซงก็จะเป็นเหมือนกรณีคดีในอดีต ที่ทนายความบางคนซึ่งพยายามแทรกแซงถูกตัดสินให้จำคุก 6 เดือนโดยไม่รอลงอาญา ในคดีถุงขนม 2 ล้านบาท ที่เป็นตัวอย่างของการละเมิดศาล ซึ่งเอาไว้เตือนใจให้กับคนที่คิดจะทำไม่ดีได้เป็นอย่างดี

นายธนกร กล่าวว่า ส่วนที่นายมนัส สร้อยพลอย นายอัฐฐิติพงศ์ หรืออัครพงศ์ ทีปวัชระ หรือช่วยเกลี้ยง นายทิฆัมพร นาทวรทัต นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ และ นายภูมิ สาระผล ยื่นฟ้องนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการคลัง ต่อศาลปกครองกลาง ที่ให้ทั้ง 5 คน ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน กรณีกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ กรณีทุจริตโครงการรับจำนำข้าวและการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ 

ต่อมาศาลมีคำพิพากษายกฟ้องเมื่อวันที่ 29 มีนาคม ที่ผ่านมา เพราะเห็นว่าผู้ฟ้องทั้ง 5 แบ่งหน้าที่ในลักษณะจงใจทำให้เกิดความเสียหายในโครงการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐกว่า 20,000 ล้านบาท ไม่อาจขายข้าวสอดคล้องกับการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ มีการส่งมอบหน้าคลังสินค้า ทำให้มีการนำข้าวหน้าคลังมาเวียนขายในประเทศ เกิดการแข่งขันไม่เป็นธรรม คำสั่งที่ให้ชดใช้สินไหมทดแทน 20 เปอร์เซ็นต์ของความเสียหายรวมเกือบ 15,000 ล้านบาท จึงชอบแล้ว

“เทพไท" ฟังธง 3 ทางออกของ พรบ. ประชามติ ที่รัฐบาลจำใจเลือก

นายเทพไท เสนพงศ์ อดีตส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง การเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญวันที่ 7 - 8 เมษายน เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประชามติ ที่กำลังพิจารณาค้างคาอยู่ ว่า หลังจากที่ประชุมร่วมรัฐสภา ได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติประชามติ ในมาตรา 9 และมีการลงมติแพ้โหวตให้แก่คณะกรรมาธิการวิสามัญเสียงข้างน้อย ทำให้รัฐบาลและสมาชิกวุฒิสภาเสียหน้า และไม่สามารถที่จะเอาคืนได้ แม้จะพยายามที่จะเสนอทบทวนให้ลงคะแนนใหม่ ในมาตรา 9 แล้วก็ตาม แต่ก็ไม่เป็นผล จึงจำเป็นให้การพิจารณา พรบ. ประชามติต้องนำเดินหน้าต่อไป 

สำหรับทางออก หรือจุดจบของพรบ.ประชามติฉบับนี้ น่าจะมีอยู่ 3 แนวทางคือ

1.) เมื่อพิจารณา พรบ.ประชามติ ในวาระ 2 เสร็จสิ้นแล้ว ก็จะลงมติคว่ำร่าง พรบ.ฉบับนี้ในวาระ3 ซึ่งมีความเป็นไปได้น้อยมาก เพราะ พรบ.ประชามติ เป็นกฎหมายสำคัญ ที่เสนอโดยรัฐบาล ถ้ากฎหมายฉบับนี้ถูกคว่ำไป รัฐบาลจะต้องแสดงความรับผิดชอบทางการเมือง โดยการยุบสภาหรือลาออกเท่านั้น

2.) เมื่อที่ประชุมรัฐสภาพิจารณา พรบ.ประชามติ ฉบับนี้เสร็จสิ้นแล้ว ก็จะมีการยื่นศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อตีความว่าขัดกับรัฐธรรมนูญหรือไม่  และมีความเป็นไปได้สูง ที่ศาลรัฐธรรมนูญ จะวินิจฉัยว่าขัดกับรัฐธรรมนูญ จะทำให้ พรบ.ประชามติ ตกไป จะมีผลกระทบต่อการทำประชามติการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ต้องล่าช้าออกไป

3.) มีมติผ่านวาระ3ไปก่อน เมื่อมีการประกาศใช้พรบ.ประชามติฉบับนี้แล้ว รัฐบาลก็จะรีบเสนอ พรบ.แก้ไขในทันที ซึ่งเป็นวิธีแก้ปัญหาแบบศรีธนญชัย ซึ่งจะถูกวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมอย่างกว้างขวางแน่นอน

ผมเห็นว่า ไม่ว่ารัฐบาลจะเดินหน้า พรบ.ประชามติ ในแนวทางไหนก็ตาม ความเสียหายทางการเมือง ก็จะเกิดขึ้นกับรัฐบาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  ขึ้นอยู่กับรัฐบาลจะตัดสินใจอย่างไร ที่จะสร้างความเสียหายทางการเมืองให้กับรัฐบาลน้อยที่สุด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top