Sunday, 18 May 2025
NewsFeed

ยังไม่ทราบชะตากรรม 3 นักปีนเขา ที่ขาดการติดต่อกว่า 50 ชั่วโมง หลังพยายามพิชิตยอดเขา เคทู (K2) เทือกเขาที่สูงที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก

จากกรณีที่นักปีนเขา 3 ราย ขาดการติดต่อกว่า 50 ชั่วโมง บริเวณเทือกเขา K-2 ล่าสุด Supinda Bunkoed ได้โพสต์เฟซบุ๊กอัพเดทปฏิบัติการค้นหา โดยระบุว่า

ข่าวร้ายมาหลายวัน ขอภาวนาให้ทุกท่านปลอดภัย

เฮลิคอปเตอร์สองลำของกองทัพปากีสถาน ได้เริ่มภารกิจค้นหาและกู้ภัย เพื่อค้นหานักปีนเขาสามคนที่หายไป ซึ่งประกอบด้วย Ali Sadpara, John Snorri และ Juan Pablo ที่ K-2 (จอนห์นี่ สนอรี่ เป็นเพื่อนของคุณทันเวียร์ นักปีนเขาชาวไอซ์แลนด์ด้วย)(ส่วนคุณอาลี ซัปพารา คนนี้ปลารู้จักเคยเจอกันระหว่างทางตอนออกทริป เป็นนักปีนเขาอันดับ 1 ของปากีสถาน)

นักปีนเขาทั้งสาม ขาดการติดต่อเป็นเวลากว่า 50 ชั่วโมง ในความพยายามครั้งสุดท้ายในการปีนยอด K-2 เทือกเขาที่สูงที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ของโลก

เฮลิคอปเตอร์ทำงานหนักมาก แต่ยังไม่พบนะคะ

อากาศช่วงนี้ ปลาบอกเลยว่าลมแรงและมีเมฆหนามาก

ขอเป็นกำลังใจให้หน่วยงานทหารปากีสถานหานักปีนเขาที่หายไปให้เจอ


ที่มา : FB : Supinda Bunkoed

ธอส. เพิ่มโอกาสคนมีรายได้น้อยอยากมีบ้าน เตรียมวงเงิน 70,000 ล้านบาท ปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำผ่าน 3 โครงการ ผ่อนชำระได้นานสูงสุดถึง 40 ปี

นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ธอส.ได้เตรียมกรอบวงเงิน 70,000 ล้านบาท จัดทำ 3 ผลิตภัณฑ์สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำในกลุ่มผู้มีรายได้น้อย (Social Solution) ซึ่งครอบคลุมทุกวัตถุประสงค์การกู้หลัก อาทิ เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ต่อเติม ซ่อมแซม และไถ่ถอนจำนองจากสถาบันการเงินอื่น ผ่อนชำระได้นานสูงสุดถึง 40 ปี โดยมีรายละเอียดดังนี้

1. โครงการสินเชื่อที่อยู่ที่อาศัยเพื่อบุคลากรภาครัฐ” กรอบวงเงิน 30,000 ล้านบาท สำหรับข้าราชการ พนักงานราชการ พนักงานมหาวิทยาลัย พนักงานรัฐวิสาหกิจ พนักงาน/เจ้าหน้าที่ของรัฐที่ชื่อเรียกอย่างอื่น และลูกจ้างประจำที่เป็นผู้มีสิทธิกู้เงินตามข้อตกลงโครงการสวัสดิการเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัยประเภทไม่มีเงินฝากที่หน่วยงานต้นสังกัดได้ลงนามร่วมกับ ธอส. สามารถกู้ไม่จำกัดวงเงินกู้สูงสุด อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1 เท่ากับ 2.65% ปีที่ 2 เท่ากับ 3% ปีที่ 3 เท่ากับ MRR-2.65% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก เท่ากับ 3.05% และปีที่ 4-5 เท่ากับ MRR-2.00% หรือเท่ากับ 4.15% และปีที่ 6 จนถึงครบอายุสัญญา คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-1.00% ต่อปี กู้ 1 ล้านบาท ผ่อนชำระเริ่มต้นเพียง 3,400 บาท ต่อเดือน พิเศษค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ และค่าจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมให้กู้ เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ต่อเติม ซ่อมแซม ไถ่ถอนจำนองที่ดินจากสถาบันการเงินอื่น ชำระหนี้เกี่ยวกับที่อยู่อาศัย และซื้ออุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่องกับที่อยู่อาศัย ยื่นคำขอกู้และทำนิติกรรมภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2564

2. โครงการสินเชื่อบ้านคนละหลัง กรอบวงเงิน 10,000 ล้านบาท สำหรับผู้ที่มีรายได้ไม่เกิน 25,000 บาทต่อเดือน วงเงินให้กู้รายละไม่เกิน 2 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1-2 เท่ากับ 2.75% ต่อปีปีที่ 3 เท่ากับ MRR-3.40% (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MRR อยู่ที่ 6.150%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก เท่ากับ 2.75% ต่อปีเท่านั้น ปีที่ 4-5 เท่ากับ MRR-2% และปีที่ 6 จนถึงครบอายุสัญญา กรณีลูกค้ารายย่อยทั่วไป อัตราดอกเบี้ย MRR-0.75% ต่อปี และกรณีลูกค้าสวัสดิการ อัตราดอกเบี้ย MRR-1% ต่อปี กู้ 1 ล้านบาท ผ่อนชำระเริ่มต้นเพียง 3,500 บาท ต่อเดือน พิเศษฟรี ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ ค่าประเมินราคาหลักประกัน และค่าจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ให้กู้เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ต่อเติม ซ่อมแซม และไถ่ถอนจำนองจากสถาบันการเงินอื่น ยื่นคำขอกู้และทำนิติกรรมภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2564

3. โครงการบ้าน ธอส. เพื่อสานรัก กรอบวงเงิน 30,000 ล้านบาท สำหรับผู้ที่มีรายได้ไม่เกิน 35,000 บาท ต่อเดือน วงเงินให้กู้รายละไม่เกิน 3 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1 เท่ากับ 3% ปีที่ 2 เท่ากับ 4% ปีที่ 3 เท่ากับ MRR-1.15% และปีที่ 4 จนถึงครบอายุสัญญา กรณีลูกค้ารายย่อยทั่วไป คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.75% ต่อปี และกรณีลูกค้าสวัสดิการ คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-1% ต่อปี กู้ 1 ล้านบาท ผ่อนชำระเริ่มต้นเพียง 3,800 บาท ต่อเดือน ฟรี ค่าธรรมเนียม การยื่นกู้ เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ต่อเติม ซ่อมแซม และซื้ออุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่องกับที่อยู่อาศัยพร้อมกับการกู้ตามวัตถุประสงค์หลัก ยื่นคำขอกู้และทำนิติกรรมภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2564

ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์สินเชื่อทั้ง 3 โครงการ มีส่วนสนับสนุนการปล่อยสินเชื่อกลุ่มผู้มีรายได้น้อย (Social Solution) ให้เป็นไปตามเป้าหมายในปี 2564 จำนวน 140,167 ล้านบาท จากเป้าหมายสินเชื่อปล่อยใหม่รวม 215,641 ล้านบาท

กระบี่-ปลุกพนักงานโรงแรมดัง สู้ ไวรัสโควิด - 19 นำเมนูอาหารก้นครัว เปิดตลาดนัดขายในราคาต้นทุน สร้างรายได้ช่วงนักท่องเที่ยวหดหาย

พนักงาน รร.โซฟิเทล กระบี่ โภคีธรา กอล์ฟ แอนด์ สปา รีสอร์ท จ.กระบี่ ได้ร่วมกับชาวบ้านในพื้นที่ รวมตัวกันนำสินค้าชนิดต่าง ๆ ทั้งอาหาร คาวหวาน เปิดตลาดนัด ริมชายหาดเกาะกวาง ม.3 ต.หนองทะเล อ.เมือง จำหน่ายให้แก่นักท่องเที่ยว และประชาชน ที่ผ่านไปมา โดยอาหารที่ได้รับความสนใจ จากนักท่องเที่ยว เป็นร้านจำหน่ายอาหาร ของโรงแรมโซฟิเทล ที่ได้นำขนม ซึ่งเป็นเมนูเด็ดของโรงแรม มาจำหน่ายราคาต้นทุน โดยมีนายอนุวรรตน์ โหมดพริ้ง รองผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ นายชัยวุฒิ บัวทอง นายอำเภอเมืองกระบี่ ได้เดินทางมาเยี่ยมชมตลาดนัดและให้กำลังใจ

นายสมศักดิ์ เตบบุตร ผู้ใหญ่บ้าน ม.3 ต.หนองทะเล กล่าวว่า ในช่วงการระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ กระทบกับการท่องเที่ยวอย่างหนัก ทำให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวกระบี่ มีจำนวนน้อยมาก ส่งผลให้โรงแรมที่พักหลายแห่งในจังหวัดกระบี่และในพื้นที่ชายหาดเกาะกวาง ต้องปิดกิจการ หรือต้องเลิกจ้างพนักงาน และบางแห่งก็มีการลดเงินเดือนพนักงานเพื่อความอยู่รอดของสถานประกอบการ จึงทำให้พนักงานหลายคนต้องประสบกับความเดือดร้อนเงินเดือนไม่พอกับค่าครองชีพในแต่ละเดือน จึงได้มีการพูดคุยกับผู้บริหารโรงแรมโซฟิเทลฯ เพื่อเปิดพื้นที่ให้พนักงานโรงแรมและชาวบ้าน ได้มีรายได้เพิ่ม จึงได้ขออนุญาต จากทางหลวงชนบท ใช้ฟุตบาทถนนริมชายหาด เปิดเป็นตลาดนัด ทุกวันเสาร์ เวลา 16.00 น. เปิดมาได้ 2 ครั้ง ได้รับความสนใจจากพนักงานโรงแรมและชาวบ้าน นำสินค้ามาจำหน่ายกันอย่างคึกคัก

นายจักรภัทร พิมลเกตุ ผู้จัดการฝ่ายบุคคล รร.โซฟิเทลฯ กล่าวว่า ตอนแรกตั้งใจจะให้พนักงานเปิดตลาดนัดภายในโรงแรม โดยนำเมนูอาหารของโรงแรมมาจำหน่ายซึ่งรายได้ก็จะแบ่งกับให้พนักงานแต่หลังจากที่มีการพูดคุยกับผู้นำในพื้นที่ก็ได้ข้อตกลงกันว่าเปิดในพื้นที่สาธารณะดีกว่าเพื่อให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวสามารถเข้ามาจับจ่ายสินค้าได้อย่างสะดวก จึงได้ทำการขออนุญาตเปิดริมฟุตบาตของชายหาดที่อยู่หน้าโรงแรม แจ้งเบื้องต้นก็ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวและประชาชนที่ผ่านไปมาเลือกซื้ออาหารและสินค้าที่จำหน่ายกันอย่างคึกคัก

สำหรับเมนูอาหารที่ทางพนักงานของโรงแรมนำมาจำหน่าย จะเป็นเมนูที่ขึ้นชื่อของโรงแรมโดยจำหน่ายในราคาต้นทุน เพื่อให้ทุกคนสามารถจับต้องได้บาท ซึ่งเงินที่ได้ทางโรงแรมก็จะจัดสรรปันส่วนแบ่งให้กับพนักงานเพื่อเป็นรายได้ต่อไป


กระบี่ /// ณัฏฐพงษ์ ศรีปล้อง รายงาน

‘อลงกรณ์’ ชี้เลือกตั้งซ่อมนครศรีธรรมราช เขต 3 พิสูจน์ 3 ศรัทธา ย้ำประชาธิปัตย์ ยึดกติกาประชาธิปไตยสุจริต ชูผลงานยุคทำได้ไวทำได้จริง มั่นใจรัฐบาลรักษาเสียงส.ส. ได้

นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พรรค กล่าวว่า เลือกตั้งซ่อมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนครศรีธรรมราช เขต 3 จะเป็นการพิสูจน์ 3 ศรัทธาของประชาชน คือ ศรัทธาต่อรัฐบาล ศรัทธาต่อพรรค และศรัทธาต่อผู้สมัคร ซึ่งเชื่อว่ารัฐบาลจะยังสามารถรักษาเสียงส.ส.ได้เช่นเดิม เมื่อพิจารณาจากผลงานของรัฐบาลในช่วงวิกฤตการณ์โควิด19 และวิเคราะห์จากผลการเลือกตั้งส.ส.ของนครศรีธรรมราช เขต 3 ผู้สมัครในสังกัดรัฐบาลมีคะแนนอยู่ในอันดับที่ 1 ถึง 3 โดยพรรคประชาธิปัตย์ได้รับเลือกตั้งเป็นส.ส.คือนายเทพไท เสนพงศ์

สำหรับยุทธศาสตร์การเลือกตั้งของพรรคประชาธิปัตย์ จะยึดกติกาการเลือกตั้งบนแนวทางสุจริตยุติธรรม มุ่งนำเสนอวิสัยทัศน์นโยบายและผลงานทั้งระดับชาติและจังหวัด ในยุคทำได้ไวทำได้จริง ภายใต้การนำของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฐ์ หัวหน้าพรรคและนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรค

ทั้งนี้ ตนได้นัดประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พรรคในวันพฤหัสบดีที่ 11 ก.พ.นี้เวลา 14.00 น. ที่สำนักงานใหญ่พรรคประชาธิปัตย์ เพื่อกำหนดแนวทางการทำงานสนับสนุนการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งซ่อมส.ส.ครั้งนี้ โดยเน้นการเข้าถึงประชาชนทั้งแบบออฟไลน์และออนไลน์ นำเสนอวิสัยทัศน์ใหม่ ๆ และผลงานพรรคจากอดีต ปัจจุบันและอนาคต เช่น

1. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและกระจายความเจริญสู่ภูมิภาคเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเช่นโครงข่ายถนนสี่เลน, รถไฟ 4 รางทางคู่ทั่วประเทศ การส่งเสริมการลงทุนในภูมิภาค การพัฒนาสนามบินและท่าเรือในภูมิภาค การขยายโครงข่ายไอซีที โครงการพัฒนาเซาเทิร์นซีบอร์ดสู่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้(Southern Economic Corridor)และระเบียงเศรษฐกิจฮาลาล

2. การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ยกระดับคุณภาพชีวิตและกระจายโอกาส ลดเหลื่อมล้ำ เช่น โครงการมหาวิทยาลัยในภูมิภาคโครงการนมโรงเรียน, โครงการอาหารกลางวันนักเรียน, กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) การเรียนฟรีอย่างมีคุณภาพ, โครงการเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ,เริ่มต้นค่าตอบแทน อสม.เดือนละ 600 บาท, ยกฐานะโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล (รพ.สต.) การพัฒนาฝีมือแรงงานและคุณวุฒิวิชาชีพ การส่งเสริมการออม การส่งเสริมความเท่าเทียมกันทางเพศ (LGBT)

3. การพัฒนาทัองถิ่นชนบทและพัฒนาประชาธิปไตยฐานรากโดยนโยบายกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นยกฐานะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจากสภาตำบลเป็นองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) จากสุขาภิบาลเป็นเทศบาลและเลือกตั้งนายกอบจ.และสมาขิกสภาโดยตรงจากประชาชน

4. การพัฒนาเศรษฐกิจใหม่ (New Economy) เช่น เศรษฐกิจดิจิทัล เศรษฐกิจสร้างสรรค์ เศรษฐกิจ BCG เศรษฐกิจบนฐานพลังงานหมุนเวียน เช่น โครงการเอทานอล

5. การลดความเหลื่อมล้ำโดยกระจายการถือครองที่ดินให้เกษตรกรและชุมชนโดยมาตรการโฉนดชุมชน ธนาคารที่ดิน และการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกร

6. การปฏิรูปภาคเกษตรด้วยโครงการประกันรายได้เกษตรกร การจัดตั้งและขับเคลื่อนศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม 77 จังหวัด เพื่ออัพเกรดภาคเกษตรด้วยวิทยาการและเทคโนโลยี โครงการประมงชุมชนและชลประทานชุมชนและการฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรรายย่อยโดยกลไกกองทุนกฟก.

“สำหรับวิสัยทัศน์ จังหวัดนครศรีธรรมราช คือนครแห่งอารยธรรม น่าอยู่ น่าเที่ยว การเกษตรและอุตสาหกรรมยั่งยืน ซึ่งได้พัฒนาต่อเนื่องมีศักยภาพพร้อมทุกด้านที่จะต่อยอดให้เป็นศูนย์กลางการพัฒนาของภาคใต้ตอนกลางทั้งด้านการศึกษาการค้าการท่องเที่ยวโลจิสติกส์และเกษตรอุตสาหกรรม(Agroindustry) เช่น โครงการนิคมอุตสาหกรรมยาง(Rubber Valley) โครงการศูนย์แห่งความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีเกษตรอาหารและผลไม้โดยมีมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์เป็นศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรมที่ทีบทบาทสำคัญยิ่ง อนาคตของนครศรีธรรมราชเป็นหนึ่งเดียวกับอนาคตของพรรคประชาธิปัตย์มาโดยตลอดและเป็นอีกครั้งที่พรรคประชาธิปัตย์จะขอโอกาสในการทำงาน เพื่อสร้างอนาคตร่วมกันกับพี่น้องชาวนครศรีธรรมราชด้วยวิสัยทัศน์และการทำงานแนวใหม่โดยคนรุ่นใหม่คือนายพงศ์สินธุ์ เสนพงศ์เป็นตัวแทนพรรคลงสมัครรับเลือกตั้งในครั้งนี้” นายอลงกรณ์กล่าวในที่สุด

แท็กซี่จอดต่อแถวเรียงราย บริเวณถนนตัดใหม่ พรานนก-พุทธมณฑลสาย 4 ขาเข้า รอรับของจากผู้ใจบุญ มาแจกให้คนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19

เพจ “FM91 Trafficpro” เผยภาพแท็กซี่จำนวนมากจอดต่อแถวเรียงราย บริเวณถนนตัดใหม่ พรานนก-พุทธมณฑลสาย 4 ขาเข้า ก่อนถึงแยกไฟฉาย หลังมีผู้นำของมาแจกให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19

ขณะของใกล้จะหมดแล้ว พร้อมระบุข้อความว่า “ถนนตัดใหม่ พรานนก-พุทธมณฑลสาย 4 ขาเข้า ก่อนถึงแยกไฟฉาย มีผู้ขับขี่แท็กซี่ต่อแถวรอรับของช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ที่มีผู้นำมาช่วยเหลือจำนวนมาก ทำให้รถชะลอตัว มีจราจร สน.บางขุนนนท์ คอยอำนวยการจราจร”


ที่มา : https://mgronline.com/onlinesection/detail/9640000012209

https://www.facebook.com/172059279471277/posts/4210454625631702/v

'นักรบชุดขาวชาวเชียงใหม่' ออกเดินทางสนับสนุน สับเปลี่ยนกับบุคลากรทางการแพทย์ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ ต่อสู้โควิด -19 จ.สมุทรสาคร ญาติพี่น้องร่วมส่ง พร้อมให้กำลังใจคับคั่ง

ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ นายแพทย์จตุชัย มณีรัตน์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานในการส่งทีมบุคลากรสาธารณสุขอาสาสมัครเดินทางไปช่วยปฏิบัติงานในสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งทีมที่เดินทางในวันนี้เป็นทีมแรกจากทั้งหมด 4 ทีม โดยทีมนี้ประกอบด้วย พยาบาล, นักวิชาการสาธารณสุข และพนักงานขับรถ จากโรงพยาบาลสันป่าตอง, โรงพยาบาลอมก๋อย, โรงพยาบาลไชยปราการ, โรงพยาบาลวัดจันทร์, โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านปางเฟือง อำเภอเชียงดาว และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลแม่นะ อำเภอเชียงดาว

ทั้งนี้ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ได้นำกราบไหว้พระพุทธรูปประจำสำนักงานสาธารณสุข เพื่อความเป็นสิริมงคล พร้อมทั้งกล่าวให้โอวาทและกำลังใจ ตลอดจนเน้นย้ำเรื่องการปฏิบัติงานด้วยว่านอกจากมุ่งให้ความช่วยเหลือผู้อื่นแล้ว ต้องคำนึงถึงการดูแลป้องกันตัวเองด้วยเพื่อให้ยังสามารถช่วยเหลือผู้อื่นต่อไปได้ ขณะที่ครอบครัวและญาติของบุคลากรสาธารณสุขอาสาสมัคร รวมทั้งประชาชนพื้นที่อำเภออมก๋อยที่แต่งกายในชุดประจำชนเผ่าได้มาร่วมกันส่งและให้กำลังใจทีมบุคลากรสาธารณสุขอาสาสมัครด้วย โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างอบอุ่น

น.ส.มัณฑณี ราชพิบูลย์ นักวิชาการสาธารณสุขปฏิบัติการ โรงพยาบาลไชยปราการ หนึ่งในทีมบุคลากรสาธารณสุขอาสาสมัครซึ่งมีครอบครัวมาร่วมส่งด้วย เปิดเผยว่า จากการติดตามสถานการณ์โควิด-19 ของจังหวัดสมุทรสาคร รู้สึกเป็นห่วงเป็นอย่างมาก และตั้งใจอย่างยิ่งที่ต้องการจะลงพื้นที่ไปช่วยเหลือ เมื่อมีการเปิดรับอาสาสมัครจึงเข้าร่วมทันที ทั้งนี้ ครอบครัวมีความเป็นห่วงแต่เข้าใจดีและให้การสนับสนุน ขณะที่นางบุญนำ ใจดี อายุ 56 ปี แม่ของ น.ส.มัณฑณี บอกว่ารู้สึกเป็นห่วงลูกสาวที่ต้องลงพื้นที่ แต่เข้าใจดีและสนับสนุนลูกเป็นอย่างดี โดยเชื่อมั่นและภูมิใจในตัวลูกที่เสียสละในครั้งนี้

ด้านนางพราวเดือน เนตรวิชัย พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ โรงพยาบาลสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ หัวหน้าทีมที่ 1 เปิดเผยว่า ติดตามสถานการณ์ที่จังหวัดสมุทรสาครอยู่อย่างต่อเนื่อง และมีความเป็นห่วงเป็นใย ทั้งประชาชนและเพื่อนร่วมวิชาชีพที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่อย่างหนักในพื้นที่ ทั้งนี้ เมื่อสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่เปิดรับอาสาสมัครจึงไม่ลังเลใจที่จะเข้าร่วมทันที เพราะเดิมมีความตั้งใจอยู่ตั้งแต่แรกแล้วที่อยากจะไปช่วยแบ่งเบาภาระให้เพื่อร่วมวิชาชีพ ซึ่งได้มีการเตรียมตัวและเตรียมความพร้อมทุกอย่างไว้แล้วอย่างดี ส่วนความเป็นห่วงของครอบครัวนั้น เข้าใจดีและมีความเชื่อมั่นว่าตัวเองสามารถดูแลทำงานและดูแลตัวเองได้เป็นอย่างดีแน่นอน

สำหรับบุคลากรสาธารณสุขอาสาสมัครของจังหวัดเชียงใหม่นั้น ประกอบด้วย แพทย์ พยาบาล นักวิชาการสาธาณสุข นักจิตวิทยา และพนักงานขับรถ จำนวน 33 คน แบ่งเป็น 4 ทีม ทีมละ 8-9 คน เพื่อส่งไปช่วยสนับสนุนการปฏิบัติงานในสถานการณ์โควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร โดยทีมที่ 1 กำหนดปฏิบัติหน้าที่ระหว่าง 8-14 ก.พ. 64 ขณะที่ทีมที่ 2 กำหนดปฏิบัติหน้าที่ระหว่าง 15-21 ก.พ. 64, ทีมที่ 3 กำหนดปฏิบัติหน้าที่ระหว่าง 22-28 ก.พ. 64 และทีมที่ 4 กำหนดปฏิบัติหน้าที่ระหว่าง 1-6 มี.ค. 64


ที่มา : https://mgronline.com/local/detail/9640000012182

‘พลังประชารัฐ’ ยืนยันมติพรรคไม่ส่งตัวแทน สู้ศึกเลือกตั้งท้องถิ่นทั่วประเทศ ตามรอยมติเดิมที่เคยมีมติไม่ส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้ง อบจ. ก่อนหน้านี้

นายสัณหพจน์ สุขศรีเมือง ส.ส.เขต 2 จ.นครศรีธรรมราช ในฐานะรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยว่า จากกรณีที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จัดให้มีการเลือกตั้งสภาเทศบาล นายกเทศมนตรี ขึ้นในวันที่ 28 มีนาคม 2564 โดยกำหนดวันรับสมัครเลือกตั้งในวันที่ 8-12 กุมภาพันธ์ 2564 ที่จะถึงนี้ ทางพรรคพลังประชารัฐ ยังคงยืนยันตามมติพรรคเดิม ที่มีมติไม่ส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้งในระดับท้องถิ่น หรือสนับสนุนกลุ่มการเมือง หรือบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นตัวแทนในนามของพรรค เช่นเดียวกับที่ผ่านมาในการเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัด

“ยืนยันว่าพรรคพลังประชารัฐ ไม่ได้ให้การสนับสนุนกลุ่มการเมือง หรือบุคคลใดๆ ในการลงสมัครรับเลือกตั้งท้องถิ่น ทั้งการเลือกตั้งสภาเทศบาล หรือนายกเทศมนตรี โดยพรรคยังคงยืนยันมีตามมติเดิมที่เคยมีมติไม่ส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้ง อบจ. สำหรับผมนั้นยืนยันปฏิบัติตามมติของพรรคที่จะไม่ให้การสนับสนุน หรือช่วยเหลือบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ในการเลือกตั้งท้องถิ่นในพื้นที่จ.นครศรีธรรมราชด้วยเช่นกัน” นายสัณหพจน์ กล่าว

อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เปิดยุทธการสาวแกร่งชุดปฏิบัติการพิเศษ ‘กองร้อยน้ำหวาน’ ช่วยงานพิทักษ์ป่า

นายพิชัย วัชรวงษ์ไพบูลย์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (สบอ.3) สาขาเพชรบุรี เปิดเผยว่า ทางอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานได้จัดฝึกอบรมเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าหญิงจำนวน 30 คน เพื่อปฏิบัติงานในพื้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน หรือที่เรียกว่าชุดปฏิบัติการพิเศษ “กองร้อยน้ำหวาน” ทั้งนี้จากการปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดในพื้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เป็นงานที่ต้องใช้ความเข้มแข็งแต่ก็ต้องมีความยืดหยุ่นในตัว การใช้เจ้าหน้าที่ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่ผู้ชาย ก็อาจจะดูแข็งกร้าวเกินไป

การมีชุดปฏิบัติการพิเศษ “กองร้อยน้ำหวาน” จะทำให้งานด้านเข้าพื้นที่ การประชาสัมพันธ์ เข้าไปพูดคุย ทำความเข้าใจกับชาวบ้าน จะทำได้เป็นอย่างดี สถานการณ์ที่ดูรุนแรง คับขัน สามารถคลี่คลายไปในทางที่ดี จากความอ่อนโยนของผู้พิทักษ์ป่าหญิงที่ได้รับการฝึกมาอย่างดีนั้น เมื่อได้เข้าไปพูดคุยทำความเข้าใจกับชาวบ้าน ทำให้ความรุนแรงที่มีทีท่าว่าจะบานปลายในตอนแรกก็จะสามารถผ่อนคลายลงในบางเหตุการณ์ต้องเผชิญหน้ากับชาวบ้านที่เป็นผู้หญิงและเด็ก รวมทั้งเรื่องการค้นตัวผู้ต้องหาที่เป็นผู้หญิง “กองร้อยน้ำหวาน” จะสามารถปฏิบัติการได้อย่างไม่ติดขัด จึงเป็นการสนับสนุนการทำงาน ลดความขัดแย้ง ช่วยคลี่คลายปัญหาและอุปสรรค ทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่ายขึ้นได้

“โดยได้ทำการฝึกอบรมยุทธวิธี บุคคลท่ามือเปล่า การใช้อาวุธปืน การหาข่าว การควบคุมตัวผู้ต้องหา และการบังคับใช้กฎหมาย เป็นต้น จากครูวิทยากรผู้มีความรู้ความชนาญจากส่วนยุทธการด้านป้องกันและปราบปราม กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และหน่วยเฉพาะกิจปฏิบัติการพิเศษผู้พิทักษ์อุทยานแห่งชาติและสัตว์ป่า (หน่วยฯ พญาเสือ) ในการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่กองร้อยน้ำหวาน อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ในครั้งนี้ ซึ่งในอนาคตจะนำเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าหญิงจากอุทยานแห่งชาติกุยบุรี สามร้อยยอด และอื่นๆมาร่วมทีม” นายพิชัย กล่าว


ภาพ/ข่าว นิพล ทองเก่า

“นิด้าโพล” เผยคนไทยกลัวติดโควิดเพิ่มขึ้น 63% ขณะที่ 42.13% ค่อนข้างพอใจมาตรการคุมโควิดรอบใหม่ของรัฐบาล ส่วนการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด พบส่วนใหญ่ ร้อยละ 63.12 จะรับบริการฉีดวัคซีนฟรีจากรัฐบาล แต่ยังมีอีกร้อยละ 23.57 ที่ระบุว่า จะไม่ฉีดวัคซีน

ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง “COVID-19 รอบใหม่” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 1 – 3 กุมภาพันธ์ 2564 จากประชาชนที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา และอาชีพ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,315 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 รอบใหม่ การสำรวจอาศัย การสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างด้วยวิธีแบบง่าย (Simple Random Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่นที่ร้อยละ 97.0

จากการสำรวจเมื่อถามถึงความกลัวของประชาชนว่าจะติดเชื้อไวรัส COVID-19 จากการแพร่ระบาดในขณะนี้ พบว่า ร้อยละ 25.86 ระบุว่า มีความกลัวมาก เพราะ เชื้อไวรัส COVID-19 มีการเเพร่กระจายอย่างรวดเร็วมาก ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อ ประชาชนบางกลุ่มยังละเลย ในการป้องกันตนเอง และยังไม่มีวัคซีนหรือยารักษาให้หายขาด ร้อยละ 37.79 ระบุว่า ค่อนข้างมีความกลัว เพราะ ผู้ติดเชื้อไวรัส COVID-19 มีจำนวนมากกว่ารอบที่แล้ว พบผู้ที่ติดเชื้อแบบไม่แสดงอาการมากขึ้นทำให้ติดกันง่ายกว่าเดิม จำเป็นต้องเดินทางไปทำงานและต้องเจอกับผู้คนจำนวนมาก ร้อยละ 18.86 ระบุว่า ไม่ค่อยมีความกลัว เพราะ ประชาชนส่วนใหญ่ดูแลและป้องกันตนเองดี หลีกเลี่ยงไปพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง และมั่นใจในการทำงานของบุคลากรทางการเเพทย์ในการรักษาให้หาย และร้อยละ 17.49 ระบุว่า ไม่มีความกลัวเลย เพราะ ประชาชนส่วนใหญ่มีการป้องกันตนเองอย่างดีมาก และไม่ได้อาศัยในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 และเมื่อเปรียบเทียบกับผลการสำรวจความกลัวของประชาชนว่าจะติดเชื้อไวรัส COVID-19 จากการแพร่ระบาดในขณะนี้ เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2563 พบว่า ผู้ที่ระบุว่า ไม่ค่อยมีความกลัว และไม่มีความกลัวเลย มีสัดส่วนลดลง ซึ่งในขณะที่ผู้ที่ระบุว่า มีความกลัวมาก และค่อนข้างมีความกลัว มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น

ด้านความพึงพอใจของประชาชนต่อการดำเนินการของรัฐบาลตั้งแต่เดือนธันวาคม 2563 ถึง 31 มกราคม 2564 ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 รอบใหม่ พบว่า ร้อยละ 27.60 ระบุว่า พอใจมาก เพราะ มีมาตรการควบคุมป้องกันโรคได้อย่างรวดเร็ว มีการจัดแบ่งพื้นที่เสี่ยงได้ชัดเจน สามารถทำงานหรือกิจกรรมต่าง ๆ ได้ตามปกติกับพื้นที่ที่ไม่ได้คุมเข้ม ร้อยละ 42.13 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ เพราะ มีการควบคุมที่ไม่เข้มงวดมากเกินไป ทำให้ประชาชนบางส่วนไม่ค่อยได้รับผลกระทบมาก ปิดเฉพาะจังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อจำนวนมาก สามารถดำรงชีวิตตามปกติได้ ร้อยละ 20.99 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ เพราะ การคุมเข้มกับกิจกรรมบางอย่างยังไม่รัดกุม เช่น ให้มีการจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ การเดินทางข้ามจังหวัด และการเข้ามาทำงานของแรงงานต่างด้าวยังขาดการควบคุมที่รัดกุม ทำให้ยังพบผู้ติดเชื้ออยู่จำนวนมาก และร้อยละ 9.28 ระบุว่า ไม่พอใจเลย เพราะ ต้องการให้มีการควบคุมที่เข้มข้นเหมือนครั้งก่อน และต้องการให้มีการล็อคดาวน์ทั้งประเทศ

สำหรับความคิดเห็นของประชาชนต่อการผ่อนคลายมาตรการของรัฐในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 รอบใหม่ ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 พบว่า ร้อยละ 43.57 ระบุว่า เห็นด้วยมาก เพราะ ทำให้ธุรกิจดำเนินกิจกรรมได้ เศรษฐกิจสามารถขับเคลื่อนได้ดีขึ้น และสามารถกลับมาประกอบอาชีพ การเรียนการสอน หรือกิจกรรมต่าง ๆ ได้ตามปกติ ร้อยละ 34.68 ระบุว่า ค่อนข้างเห็นด้วย เพราะ ประชาชนได้ผ่อนคลายบ้าง มีการรับมือทางการแพทย์ที่ดีขึ้น ประชาชนดำรงชีวิตสะดวกมากขึ้น และประกอบอาชีพ หารายได้ได้เหมือนเดิม ร้อยละ 14.75 ระบุว่า ไม่ค่อยเห็นด้วย เพราะ สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ยังไม่ดีขึ้น ทำให้ การใช้ชีวิตแย่ลงกว่าเดิม รายได้จะหายไปมากกว่าเดิม และต้องการให้เลื่อนระยะเวลาการเปิดสถานศึกษาออกไปอีก ร้อยละ 6.39 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย เพราะ ประชาชนบางกลุ่มยังละเลยการป้องกันตนเองโดยเฉพาะเด็กนักเรียน และจำนวนของผู้ติดเชื้อไวรัส COVID-19 ยังไม่ลดลง และร้อยละ 0.61 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงการตัดสินใจของประชาชนเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัส COVID-19 พบว่า ส่วนใหญ่ ร้อยละ 63.12 ระบุว่า จะรับบริการฉีดวัคซีนฟรีจากรัฐบาล รองลงมา ร้อยละ 23.57 ระบุว่า จะไม่ฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัส COVID-19 ร้อยละ 7.98 ระบุว่า จะยอมเสียเงินเองในการฉีดวัคซีนตามโรงพยาบาลเอกชนที่ได้รับการอนุญาตจากรัฐ และร้อยละ 5.33 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top