Tuesday, 13 May 2025
Lite

31 สิงหาคม พ.ศ. 2540 ‘เจ้าหญิงไดอานา’ ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ สิ้นพระชนม์ ในวัย 36 ปี สร้างความเศร้าโศกแก่ประชาชนชาวอังกฤษ และชาวโลกต่อเหตุการณ์นี้

‘เจ้าหญิงไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์’ มีพระนามเดิมว่า ‘ไดอานา ฟรานเซส’ สกุลเดิม ‘สเปนเซอร์’ เป็นพระชายาองค์แรกของสมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร เมื่อครั้นดำรงพระราชอิสริยยศเป็น เจ้าชายชาลส์ เจ้าชายแห่งเวลส์

โดย ไดอานา ถือกำเนิดในตระกูลขุนนางที่สืบทอดเชื้อสายจากราชวงศ์อังกฤษในสมัยกลางและทรงเป็นญาติห่าง ๆ กับ แอนน์ บุลิน เป็นบุตรีคนที่ 3 ของพระชนกจอห์น สเปนเซอร์ ไวเคานต์อัลธอร์พ และพระชนนีฟรานเซส โรช ในวัยเด็กไดอานาพักอาศัยที่คฤหาสน์พาร์กเฮาส์ ซึ่งตั้งอยู่ในเขตพระราชฐาน ตำหนักซานดริงแฮม ไดอานาเข้าศึกษาขั้นพื้นฐานในโรงเรียนที่ประเทศอังกฤษ และต่อมาได้เข้าศึกษาต่อช่วงเวลาสั้น ๆ ที่โรงเรียนการเรือน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ขณะอายุได้ 14 ปี ไดอานาได้รับบรรดาศักดิ์ ‘เลดี’ เมื่อบิดาสืบทอดฐานันดรศักดิ์ เอิร์ลแห่งสเปนเซอร์ เธอเริ่มเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกเมื่อเป็นเข้าพิธีหมั้นหมายกับเจ้าชายชาลส์ เจ้าชายแห่งเวลส์ใน พ.ศ. 2524

พระราชพิธีอภิเษกสมรสระหว่างไดอานา สเปนเซอร์ และเจ้าชายแห่งเวลส์ จัดขึ้น ณ อาสนวิหารนักบุญเปาโล เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2524 โดยมีการถ่ายทอดสดพระราชพิธีและมีผู้รับชมทางโทรทัศน์มากกว่า 750 ล้านคนทั่วโลก ไดอานาได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ดัชเชสแห่งคอร์นวอล ดัชเชสแห่งรอธเซย์ และเคาน์เตสแห่งเชสเตอร์ หลังจากพระราชพิธีอภิเษกสมรสได้ไม่นานก็มีพระประสูติการเจ้าชายวิลเลียม พระโอรสพระองค์แรก และเจ้าชายแฮร์รี พระโอรสพระองค์ที่สองในอีก 2 ปีถัดมา ทั้งสองพระองค์อยู่ในตำแหน่งรัชทายาทลำดับที่สองและสามแห่งราชบัลลังก์อังกฤษ ในระหว่างที่ทรงดำรงพระอิสริยศเจ้าหญิงแห่งเวลส์ พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินออกปฏิบัติพระกรณียกิจมากมายแทนสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 รวมทั้งเสด็จเยือนต่างประเทศอยู่สม่ำเสมอ พระกรณียกิจที่สำคัญในบั้นปลายพระชนม์ชีพ คือ การรณรงค์ต่อต้านการใช้ทุ่นระเบิด นอกจากนี้ พระองค์ทรงดำรงตำแหน่งประธานโรงพยาบาลเด็กเกรทออร์มันด์สตรีท และทรงเป็นองค์อุปถัมภ์โครงการและมูลนิธิอื่น ๆ มากกว่าหลายร้อยแห่งจนถึง พ.ศ. 2539 

ตลอดพระชนม์ชีพของไดอานา ทั้งก่อนอภิเษกสมรสและภายหลังหย่าร้าง สื่อมวลชนทั่วโลกต่างเกาะติดชีวิตของไดอานาและนำเสนอข่าวคราวความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับพระองค์อยู่ตลอดเวลา และพระองค์ทรงหย่าขาดจากพระสวามีในวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2539 

จนกระทั่งวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2540 ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ สิ้นพระชนม์ภายหลังประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ภายในอุโมงค์ทางลอดสะพานปองต์เดอลัลมา กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส โดดี ฟาเยด เพื่อนชายคนสนิท และอ็องรี ปอล คนขับรถ เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ มีผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวคือ เทรเวอร์ รีส์-โจนส์ ผู้ทำหน้าที่องครักษ์ 

ขบวนช่างภาพปาปารัสซีที่ติดตามไดอานาตกเป็นจำเลยสังคมทันที เนื่องจากมีการนำเสนอข่าวว่าช่างภาพปาปารัสซีเป็นสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุ แต่การสืบสวนของหน่วยงานยุติธรรมของฝรั่งเศสซึ่งใช้เวลานานกว่า 18 เดือน สรุปผลว่า นายอ็องรี ปอล อยู่ในอาการมึนเมาขณะขับรถยนต์และไม่สามารถควบคุมรถซึ่งขับมาด้วยความเร็วสูงได้ จึงทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นในคืนนั้น อ็องรี ปอล นั้นเป็นรองหัวหน้าแผนกรักษาความปลอดภัยโรงแรมริตซ์ และก่อนเกิดอุบัติเหตุเขาได้ท้าทายกลุ่มช่างภาพปาปารัสซีที่คอยอยู่หน้าโรงแรม เจ้าหน้าที่นิติเวชยังตรวจพบยาต้านอาการทางจิต และยาต้านโรคซึมเศร้าในตัวอย่างเลือดของอ็องรี ปอล และอีกหนึ่งข้อสรุปก็คือ กลุ่มช่างภาพปาปารัสซีไม่ได้อยู่ใกล้รถเบนซ์ในช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุ

เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2541 โมฮัมเหม็ด ฟาเยด บิดาของโดดี และเจ้าของโรงแรมริทซ์ กล่าวอ้างว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในคืนนั้นเป็นแผนลอบสังหาร ซึ่งปฏิบัติการโดยหน่วยสืบราชการลับ MI6 ตามคำพระบัญชาของพระราชวงศ์ แต่คำกล่าวอ้างของโมฮัมเหม็ดขัดแย้งกับผลการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ฝรั่งเศส และปฏิบัติการแพเจต ของตำรวจนครบาลอังกฤษ พ.ศ. 2549

2 ตุลาคม พ.ศ. 2550 มีการเบิกความคดีการสิ้นพระชนม์อีกครั้งหนึ่งโดยผู้พิพากษา สกอต เบเกอร์ ณ ศาลอุทธรณ์ กรุงลอนดอน ซึ่งเป็นการพิจารณาคดีต่อเนื่องมาจากครั้งแรกใน พ.ศ. 2547

7 เมษายน พ.ศ. 2551 คณะลูกขุนแถลงคำตัดสินปิดคดีว่า การสิ้นพระชนม์ของไดอานาและการเสียชีวิตของโดดีเกิดจากอุบัติเหตุ ซึ่งเป็นผลจากความประมาทอย่างร้ายแรงของอ็องรี ปอล และความประมาทอย่างร้ายแรงกลุ่มช่างภาพปาปารัสซีที่ไล่ติดตาม นอกจากนี้คณะลูกขุนยังระบุถึงปัจจัยอื่นเพิ่มเติมที่มีส่วนให้เกิดอุบัติเหตุ ได้แก่ 1) คนขับรถบกพร่องในการตัดสินใจเนื่องจากตกอยู่ภายใต้ฤทธิ์แอลกอฮอล์ 2) ข้อเท็จจริงที่ผู้โดยสารไม่คาดเข็มขัดนิรภัยอาจเป็นเหตุหรือมีส่วนทำให้ถึงแก่ความตาย 3) ข้อเท็จจริงที่รถเบนซ์พุ่งชนตอม่อภายในถนนลอดอุโมงค์สะพานปองต์เดอลัลมา และไม่ได้พุ่งชนวัตถุหรือสิ่งอื่นใด

1 กันยายน ของทุกปี รำลึกถึง ‘สืบ นาคะเสถียร’ อดีตหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ผู้เสียสละเพื่อกระตุ้นจิตสำนึกต่อปัญหาการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ

หากกล่าวถึงเรื่องการอนุรักษ์ผืนป่า สัตว์ป่า และสิ่งแวดล้อม หนึ่งในบุคคลที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้อุทิศตนด้วยชีวิตและจิตวิญญาณ นั่นคือ ‘สืบ นาคะเสถียร’ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ที่ได้ตัดสินใจกระทำอัตวินิบาตกรรม เพื่อเรียกร้องให้สังคมและราชการหันมาสนใจปัญหาการทำลายทรัพยากรธรรมชาติอย่างจริงจังในวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2533 โดยเขาได้เขียนข้อความในจดหมายไว้ว่า ‘ผมมีเจตนาที่จะฆ่าตัวเอง โดยไม่มีผู้ใดเกี่ยวข้องในกรณีนี้ทั้งสิ้น’

หลังจากนั้นวันที่ 1 กันยายนของทุกปี ถูกกำหนดให้เป็นวันสืบ นาคะเสถียร เพื่อระลึกถึงความเสียสละ และที่สำคัญเพื่อให้ทุกคนหวงแหนธรรมชาติ และสานต่อเจตนารมณ์สืบต่อมาอย่างยาวนานจวบจนปัจจุบันครบรอบ 34 ปี ที่ ‘สืบ นาคะเสถียร’ ได้จากโลกนี้ไป

สำหรับประวัติของ สืบ นาคะเสถียร มีชื่อเดิมว่า ‘สืบยศ’ เกิดเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2492 ที่จังหวัดปราจีนบุรี เป็นบุตรของนายสลับ อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี และนางบุญเยี่ยม โดยสืบ นาคะเสถียร มีพี่น้องทั้งหมด 3 คน ซึ่งสืบเป็นบุตรชายคนโต สำหรับชีวิตส่วนตัว สืบได้สมรสกับนางนิสา นาคะเสถียร มีทายาท 1 คน คือ น.ส.ชินรัตน์ นาคะเสถียร

ด้านการศึกษาเมื่อเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 สืบได้ไปเรียนต่อที่โรงเรียนเซนต์หลุยส์ จังหวัดฉะเชิงเทรา จนกระทั่งเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จึงเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรีคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ก่อนจะเข้าศึกษาในระดับปริญญาโท สาขาวิชาวนวัฒนวิทยา ที่คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จนสำเร็จการศึกษาในปี พ.ศ. 2518

เมื่อเรียนจบสืบสามารถสอบเข้าทำงานที่กรมป่าไม้ได้ แต่เขาเลือกทำงานที่กองอนุรักษ์สัตว์ป่าโดยไปประจำการที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เขาเขียว-เขาชมภู่ จังหวัดชลบุรี

ต่อมาในปีพ.ศ. 2522 สืบได้รับทุนการศึกษาระดับปริญญาโทอีกครั้ง ในสาขาอนุรักษวิทยา ที่มหาวิทยาลัยลอนดอน ประเทศอังกฤษ จาก British Council โดยสืบสำเร็จการศึกษาในปีพ.ศ.  2524

3 กันยายน ของทุกปี ถือเป็น ‘วันตึกระฟ้า’ รำลึกถึง ‘หลุยส์ ซัลลิแวน’ บิดาแห่งตึกระฟ้า สถาปนิกชาวอเมริกันผู้วางรากฐานสถาปัตยกรรมสมัยใหม่

วันที่ 3 กันยายนของทุกปี ถือเป็น ‘วันตึกสูงระฟ้า’ หรือ Skyscraper Day เพื่อเป็นการระลึกถึง ‘หลุยส์ ซัลลิแวน’ ซึ่งเกิดเมื่อวันที่ 3 ก.ย. 1856 โดยหลุยส์ ซัลลิแวน เป็นนักทฤษฎี นักคิด และเป็นสถาปนิกที่มีชื่อเสียงของสัญชาติอเมริกัน

ทั้งนี้ หลุยส์ ซัลลิแวน เป็นหุ้นส่วนกับ ดังก์มาร์ แอดเลอร์ (Dankmar Adler) วิศวกรชื่อดังแห่งยุค คริสต์ศตวรรษที่ 19 ถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 โดย หลุยส์ ซัลลิแวน เป็นคนวางรากฐานของสิ่งที่เรียกว่าสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ในปัจจุบัน จนทำให้ หลุยส์ ซัลลิแวน ได้รับการขนานนามว่าเป็น บิดาแห่งตึกระฟ้า หรือ บิดาแห่งสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ (โมเดอร์นิสม์)

นอกจากนี้ หลุยส์ ซัลลิแวน ยังเป็นศาสตราจารย์ผู้มีอิทธิพล และเขายังสอน แฟรงค์ ลอยด์ ไรท์ (Frank Lloyd Wright) ปรมาจารย์สถาปนิก ที่มีชื่อเสียงมาก ๆ ของสหรัฐอเมริกาอีกด้วย

ปัจจุบันแม้ หลุยส์ ซัลลิแวน จะจากโลกนี้ไปตั้งแต่ปี 1924 แต่เวลาในช่วงเกือบ 100 ปีที่ผ่านมา จนถึงปี 2021 นวัตกรรมต่าง ๆ ก็เจริญรุดหน้าไปมาก ความสร้างสรรค์ความครีเอตของสถาปนิกก้าวไปไกลมาก จนกระทั่งวันนี้โลกเรามีตึกที่สูงจากพื้นดินเกิน 800 เมตรไปแล้ว

2 กันยายน พ.ศ. 2385 'พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว' เสด็จวางศิลาฤกษ์ ก่อสร้าง ‘พระปรางค์วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร’

‘พระปรางค์วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร’ หรือเรียกสั้น ๆ ว่า ‘พระปรางค์วัดอรุณฯ’ เป็นพระปรางค์สถาปัตยกรรมไทยขนาดใหญ่ ประกอบด้วยปรางค์ประธานและปรางค์รองอีก 4 ปรางค์ ตัวพระปรางค์ปัจจุบันนี้มิใช่พระปรางค์เดิม ที่สร้างขึ้นราวสมัยกรุงศรีอยุธยา ที่มีความสูงเพียง 16 เมตร โดยปรางค์ปัจจุบันนี้ถูกสร้างขึ้นแทน ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ในปี พ.ศ. 2363 แต่ก็ได้แค่รื้อพระปรางค์องค์เดิม และขุดดินวางราก ก็เสด็จสวรรคตเสียก่อน ต่อมาพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ได้ทรงมีพระราชดำริให้ดำเนินการสร้างต่อ โดยพระองค์เสด็จมาวางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2385 จนแล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2394 ใช้เวลารวมกว่า 9 ปี 

พระปรางค์วัดอรุณฯ ได้รับการบูรณะเสมอมา จนกระทั่งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทำการบูรณะพระปรางค์ครั้งใหญ่ องค์พระปรางก่ออิฐถือปูน ประดับด้วยชิ้นเปลือกหอย กระเบื้องเคลือบ จานชามเบญจรงค์สีต่าง ๆ เป็นลายดอกไม้ ใบไม้ และลายอื่น ๆ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากประเทศจีนเป็นจำนวนมหาศาล นอกจากนี้ ยังมีการประดับตกแต่งด้วย กินนร กินรี ยักษ์ เทวดา และพญาครุฑ ส่วนยอดบนสุดของพระปรางค์ติดตั้งยอดนภศูล พระปรางค์วัดอรุณฯ มีความสูงจากฐานถึงยอด 81.85 เมตร ทำให้กลายเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในกรุงเทพฯ มาอย่างช้านาน รวมถึงเป็นพระปรางค์ที่สูงที่สุดในประเทศไทยและของโลกอีกด้วย 

นอกจากนี้ พระปรางค์วัดอรุณยังเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์การท่องเที่ยวของประเทศไทย ทั้งการเป็นภาพตราสัญลักษณ์การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในสิบสถานที่ทางพุทธศาสนาที่มีชื่อเสียงที่สุด ที่ตั้ง วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 08.00-18.00 น. ค่าเข้าชม คนไทยไม่เสียค่าเข้าชม ชาวต่างชาติ 100 บาท

4 กันยายน พ.ศ. 2351 วันพระราชสมภพ ‘พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว’ พระมหากษัตริย์แห่งสยาม ผู้มีพระอัจฉริยภาพรอบด้าน

วันนี้เมื่อ 216 ปีก่อน เป็นวันพระราชสมภพของ ‘สมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว’ พระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 2 ในรัชกาลที่ 4

เจ้าฟ้าจุฑามณี พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และเป็นพระอนุชาร่วมอุทรกับ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 เมื่อรัชกาลที่ 4 เสด็จขึ้นครองราชย์ ได้ทรงสถาปนาเจ้าฟ้าจุฑามณีขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ทรงพระนามว่า สมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 2 ในรัชกาลที่ 4 พระองค์ทรงมีความรู้ในด้านภาษาอังกฤษเป็นอย่างดี ทรงโปรดวิทยากรสมัยใหม่แบบตะวันตกหลายด้าน ทรงพระปรีชาหลายด้าน ทรงสร้างปืนใหญ่ไว้เป็นจำนวนมากเพื่อใช้ป้องกันบ้านเมือง ทรงสร้างเรือกลไฟเป็นลำแรก เป็นผู้บังคับบัญชากรมทหารปืนใหญ่ และผู้บังคับบัญชาทหารเรือไทยเป็นพระองค์แรก

พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี และเป็นพระอนุชาร่วมพระชนกชนนีกับพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระนามเดิมว่า 'เจ้าฟ้าจุฑามณี' หรือ 'เจ้าฟ้าน้อย' เสด็จพระราชสมภพ ณ พระราชวังเดิม เมื่อวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2351 หลังจากที่สมเด็จพระราชบิดาได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเจ้าฟ้าน้อย จึงได้ตามเสด็จพระบรมชนกนาถและพระราชชนนี มาประทับในพระบรมมหาราชวัง และได้รับการเฉลิมพระนามเป็น 'สมเด็จ พระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าจุฑามณี' หรือ 'เจ้าฟ้าอสุนีบาต'

เมื่อเจ้าฟ้าน้อย ซึ่งในขณะนั้นดำรงพระอิสริยยศ เป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ เจริญพระชนมายุได้ 16 พรรษา ซึ่งตรงกับปี พ.ศ. 2367 ได้เสด็จมาประทับ ณ พระราชวังเดิม และประทับที่นี่จนถึงปี พ.ศ. 2394

พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระอัจฉริยภาพในด้านต่าง ๆ อาทิ การทหาร การช่าง วิทยาศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม การกีฬา การละคร การดนตรี และด้านวรรณกรรมอีกทั้งทรงรอบรู้ทางด้านการต่างประเทศอีกด้วย ทรงศึกษาภาษาอังกฤษจากมิชชันนารีอเมริกันจนแตกฉาน และทรงมีพระสหาย เป็นชาวต่างประเทศเป็นจำนวนมากด้วยเหตุนี้พระองค์จึงทรงสามารถช่วยราชการด้านการต่างประเทศได้เป็นอย่างดีโดยทรงเป็นที่ปรึกษาในการทำสนธิสัญญาต่าง ๆ

หลังจากที่ได้รับพระราชทานบวรราชาภิเษกเป็น 'พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว' เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2394 ทรงมีศักดิ์สูงเสมอพระมหากษัตริย์เป็น 'พระเจ้าประเทศสยามองค์ที่ 2' ได้ทรงย้ายมาประทับ ณ พระบวรราชวัง (ปัจจุบันคือบริเวณพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ) จนสิ้นพระชนม์ลงในวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2408 ขณะที่ทรงมีพระชนมายุได้ 58 พรรษา

‘เบลล่า’ โพสต์ข่าวดี ได้รับพระราชทาน ‘เครื่องราชอิสริยาภรณ์’ เผย!! ถือเป็นเกียรติสูงสุดของชีวิต และวงศ์ตระกูล

(25 ส.ค. 67) เพราะเป็นผู้ให้เสมอมา สำหรับนางเอกชื่อดัง ‘เบลล่า ราณี แคมเปน’ ล่าสุดเจ้าตัวได้โพสต์ข่าวดี ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ซึ่งถือเป็นเกียรติสูงสุดอีกครั้งของชีวิตและวงศ์ตระกูล

นับเป็นเกียรติอันสูงสุดอีกครั้งของชีวิต ที่ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ ชั้นที่ 4 จตุตถดิเรกคุณาภรณ์ ขอขอบพระคุณมูลนิธิรามาธิบดีในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สำหรับโอกาสในครั้งนี้นะคะ 

จภ. ลำดับที่ 21 นางสาวราณี แคมเปน

ตามที่รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ ชั้นที่ 4 จตุตถดิเรกคุณาภรณ์ ตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา ลงวันที่ 20 พฤศจิกายน 2566 ด้วยความเสียสละของท่านในการร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ ‘การให้’ ในกิจกรรม ระดมทุนของมูลนิธิรามาธิบดีฯ ตามพันธกิจหลักเพื่อการสนับสนุนการดำเนินงานของคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดลนั้น

มูลนิธิรามาธิบดีฯ ขอแสดงความยินดี ชื่นชม และยกย่องเชิดชูเกียรติท่านในฐานะบุคคล ผู้ทำคุณประโยชน์ให้แก่สังคมและประเทศชาติในการสนับสนุนการดำเนินงานด้านการแพทย์และการสาธารณสุข อันจะนำไปสู่การมีสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืนของประชาชนทั่วทั้งประเทศ คุณงามความดีในน้ำใจ แห่ง ‘การให้’ ของท่านจะได้รับการจารึกไว้ตราบนานเท่านาน และส่งผลบุญให้ท่านและครอบครัว ประสบแต่ความสุข ความเจริญ ปราศจากสรรพโรคาพาธและอุปัทวันตรายทั้งปวง เจริญด้วยจตุรพิธพรชัย ตลอดกาลนาน

‘นาตาลี เดวิส’ เปิดใจ หลังตาม ‘สามีนักการทูต’ ไปใช้ชีวิตที่อเมริกานาน 3 ปี เผย!! ยังรักในการร้องเพลง ถ้ามีโอกาส พร้อมกลับไปจับไมค์

(25 ส.ค. 67) นาตาลี เดวิส เปิดใจครั้งแรก หลังตามสามีนักการทูตไปใช้ชีวิตที่อเมริกานาน 3 ปี ตอนนี้กลับมาเมืองไทยถาวร พร้อมควงลูก น้องเบน-น้องเนลลี่ เปิดตัวครั้งแรก ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow ช่องOne31

ใช่ค่ะ ย้ายกลับมาได้เดือนนิดๆ เหนื่อยค่ะ การเดินทางมันเหนื่อยอยู่แล้ว บินเองลำพังก็เหนื่อยแล้ว วันที่บิน มีนาตาลี สามี คุณยาย เด็กสองชีวิต แมวอีกสอง เหมือนคนบ้า โอ้โห อุปกรณ์เยอะมาก แต่ไม่งอแง อย่างเบนที่บินมาสองคนแม่ลูกเขาก็โอเคมาก บอกให้นั่งรอ เขาก็นั่งรออยู่กับที่ ไม่ได้งอแงอะไร เนลลี่ก็ไม่งอแงอะไร เลี้ยงง่ายทั้งสองคน

ย้ายมาถาวรค่ะ สามีหมดประจำการแล้ว เขาเป็นนักการทูตแล้วหมดประจำการ 3 ปี พอกลับมาก็จะมีคนอื่นจากกระทรวงไปแทน สลับๆ กันไป ตอนนี้ลังของที่บินมาพร้อมกับเรา กับที่ส่งเรือตามมาทีหลัง ก็มีแกะบ้างไม่แกะบ้าง เหนื่อย ไม่ไหว

มีอะไรต้องปรับตัวเหรอ เรื่องสภาพอากาศ อยู่ที่โน่นเย็นและแห้งกว่า วันแรกๆ ที่กลับมา เบนบอกว่าจั๊กกะแร้เหนียวหนึบไปหมด เพราะที่โน่นวิ่งยังไงก็ไม่มีเหงื่อ แต่ที่นี่มันร้อน แต่เขาก็เอ็นจอย วิ่งจนผมเปียก แก้มแดง เขาก็งงๆ เรื่องภาษา เพราะอยู่ที่โน่นเขาอยู่โรงเรียนแล้วประมาณครึ่งปี ก็เลือกใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก อยู่ที่โน่นสภาพแวดล้อมเป็นภาษาอังกฤษหมด ก็เข้าใจ ตอนเด็กๆ เราก็เป็นเหมือนกัน บางทีคนไทยมาพูดภาษาอังกฤษกับเรา เราก็ตอบเป็นภาษาไทย เพราะดูจากผมสีดำ น่าจะเป็นวิธีการคิดของเด็กว่าเขาดูจากอะไร แต่ภาษาไทยเขาฟังรู้เรื่องหมด

ตอนนี้สามียังเป็นท่านทูตมั้ย คือทำมา 15-16 ปี ก็เพิ่งลาออกไม่ถึงเดือนค่ะ คนเราก็มีจังหวะชีวิตที่แตกต่างกัน นี่ก็อาจเป็นอีกช่วงเวลาของชีวิตเขา ที่เกิดการเปลี่ยนแปลง เดี๋ยวดูว่ายังไง แต่หน้าที่หลังบ้านเราก็คอยซัปพอร์ตเขาเต็มที่ ให้เขาหายเหนื่อย มีเด็กๆ บันเทิงทั้งวัน

นอกจากนี้เมื่อถูกถามว่ามาอยู่ไทยถาวรแล้ว อย่างนี้จะมีโอกาสกลับมาร้องเพลงไหมนั้น เจ้าตัวยอมรับว่ายังรักในการร้องเพลงอยู่เสมอมา ถ้ามีโอกาสก็อาจจะได้เห็นกัน

'พีเค' เผยจุดพีกงานพิธีกร แค่ชั่วโมงครึ่งได้ค่าตัว 1 แสนบาท พ้อ!! ไม่คิดอายุ 50 ปี ต้องมานั่งนับหนึ่งใหม่ ลั่น!! ยังชอบทำงานที่สุด

(26 ก.ย. 67) 'พีเค ปิยะวัฒน์ เข็มเพชร' ได้ออกมาเล่าถึงการทำงานพิธีกรและเผยจุดพีก ผ่าน Thairath Talk ระบุว่า...ทำงานแค่ 1 ชม.ครึ่ง ได้ค่าตัว 1 แสนบาท แต่ก่อนที่จะมีชื่อเสียงจากการเป็นดีเจ ก็เริ่มมีเงินจากงานอีเวนต์ โดยงานพิธีกรแรกคือเปิดตัวเหล้า ไม่มีค่าตัว ได้ค่าตัวเป็นเหล้า 1 ขวด มิกเซอร์ 2 ขวด

จากนั้นลูกค้าก็พูดกันปากต่อปาก จนค่าตัวเพิ่มจาก 5 พัน เป็น 1 แสนบาท โดยได้เงินเท่าไหร่ ก็เอาไปใช้จ่ายหมด ทั้งบ้าน รถ คอนโด จนถึงตอนนี้ที่ตนอายุ 50 ปี ที่ควรจะเป็นจุดสูงสุดในชีวิต กลับต้องมานั่งนับ 1 ใหม่ แต่โชคดีที่บ้าน รถ คอนโด ผ่อนหมดแล้ว และไม่ต้องห่วงเรื่องหนี้สิน เพราะหากวันนี้ไม่ทำงานก็อยู่ได้ แต่ชีวิตตนชอบทำงานที่สุด

เปิดความคิดสุดเข้มแข็งจาก 'เบสท์ คำสิงห์' สาวเก่งที่เกิดมาเพื่อเคียงข้างทุกคนในครอบครัว

(26 ส.ค. 67) เพจ ‘หนูน้อยบนยอดเขาอันหนาวเหน็บ’ ได้โพสต์คำสัมภาษณ์บางช่วงบางตอนของดาราสาวสวย ‘เบสท์ รักษ์วนีย์ คำสิงห์’ ลูกสาวของ สมรักษ์ คำสิงห์ ที่ได้เปิดใจในรายการ ‘Club Friday Show’ ว่า…

“..อยากบอกพ่อว่า ก็ใช้ชีวิตไปเลยค่ะ ให้มีความสุขในทุก ๆ วัน ไม่ต้องกลัวเลยว่าหนูจะไม่อยู่เคียงข้าง หนูจะเคียงข้างพ่ออย่างนี้แหล่ะ ไม่เป็นไร แล้วก็ไม่ต้องรู้สึกผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้น หรือรู้สึกแย่กับสิ่งที่เกิดขึ้นค่ะ โชคชะตามันกำหนดมาแล้ว เราก็ยอมรับแล้วก็สู้กับมัน…

“สำหรับน้องชาย ก็ขอให้เป็นเด็กดีค่ะ ตั้งใจเรียนแล้วก็ไม่ต้องคิดว่าโตขึ้นมาจะต้องหาเงินให้ได้เท่าเบสท์ คนเรามันอาจจะแบบหาได้ไม่เหมือนกัน อย่าไปกดดันตัวเองค่ะ อยากให้โบ๊ทมีความสุขใช้ชีวิตวัยรุ่นไปเลย เพราะว่าพี่ไม่เคยได้ใช้ แต่โบ๊ทได้ใช้มันแล้ว ใช้มันให้ดีที่สุด ไม่ต้องกดดันว่าจะต้องทำให้ได้แบบพี่ การที่โบ๊ทเป็นโบ๊ทมันดีอยู่แล้ว ไม่ต้องเปรียบเทียบ…

“สำหรับแม่ หนูว่าที่หนูเข้มแข็งมาทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะแม่ คือถ้าเกิดว่าแม่ไม่ได้เป็นคนบอกให้ย้ายบ้านให้เก็บเงิน หนูก็คงไม่ได้ประสบความสำเร็จ ถ้าแม่ไม่ได้ช่วยวางแผนชีวิต หนูก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเราต้องใช้เงินกี่บาทในแต่ละเดือน เรื่องผู้ชายก็เหมือนกัน ทำไมหนูถึงอดทนกับความรัก เพราะว่าแม่ก็อดทนกับพ่อเหมือนกัน และหนูก็เชื่อว่า สิ่งที่หนูคิดดีทำดีมาตลอด มันจะทำให้หนูมีความสุขและประสบความสําเร็จ แล้วก็ได้เจอความรักดี ๆ เจอคนดี ๆ…”

#เป็นเด็กที่มีความคิดอะไรได้ขนาดนี้

'ชาวเน็ต' ไม่ขำ!! หลัง 'มาร์ช จุฑาวุฒิ' เตะช่อบูเก้ งานแต่งเพื่อน ทั้งที่เป็นคลิปคอนเทนต์หลังเลิกงาน และคุยกับ 'บ่าวสาว' ไว้แล้ว

(28 ส.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณี มาร์ช จุฑาวุฒิ ภัทรกำพล ที่เตะช่อดอกไม้ที่เจ้าสาวและเจ้าบ่าวโยนลงมาจากเวที เพราะตั้งใจที่จะทำคอนเทนต์สนุก ๆ นั้น งานนี้ทำเอาชาวเน็ตไม่สนุกด้วย และเข้าไปคอมเมนต์ติการกระทำของเจ้าตัวกันมากมาย

งานนี้ทำเอา หนุ่มมาร์ช ต้องเข้ามาชี้แจงและขอโทษถึงการกระทำของตนเองในไอจีว่า...

"ในคลิปเป็นช่วง after party ครับผมช่วงที่งานเลิกแล้ว ช่อจริงโยนเสร็จเรียบร้อยในงานแล้วครับ จริง ๆได้คุยกับ บ่าวสาว ตั้งแต่ก่อนวันงานแล้วครับ ว่าจะถ่ายคอนเทนต์นี้กันแบบสนุก ๆ…

"(เพราะเพื่อน ๆ ที่สนิทที่ไม่ได้เจอกันแบบครบ ๆ มากันเยอะมาก เลยอยากมีอะไรถ่ายไว้) เจ้าสาวเป็นคนเตรียมดอกไม้ช่อนี้ให้เองครับ (ไม่ใช่ช่อจริง เป็นช่อสำหรับคอนเทนต์นี้ ช่อจริงวันนั้นสวยงามมากครับ)...

"คลิปเป็นเชิงตลกครับ ไม่อยากให้ซีเรียสครับ สื่อประมาณว่า ถ้าเป็นสาว ๆ จะแย่งกัน แต่พอเป็นแก๊งผู้ชาย (ในที่นี่หมายถึงกลุ่มพวกผม) ที่สนิทกันชอบสังสรรค์กันเลยวิ่งหนีช่อดอกไม้ครับ (ในคลิปเป็นการนัดแนะกันหมดแล้วครับ) บางคนในคลิปก็แต่งงานมีครอบครัวแล้วครับ มาถ่ายกันขำ ๆ ครับ แต่ถ้าคลิปนี้ได้สร้างความไม่สบายใจให้กับใคร ผมเองต้องขอโทษไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ"


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top