(11 เม.ย. 68) จีนประกาศแผนลดการนำเข้าภาพยนตร์จากสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการในวันนี้ ท่ามกลางความตึงเครียดจากข้อพิพาททางการค้าระหว่างสองประเทศ ที่ยังคงร้อนแรงและไม่มีวี่แววผ่อนคลาย
โฆษกของ China Film Administration (CFA) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ควบคุมการอนุมัติฉายภาพยนตร์ในประเทศจีน กล่าวว่า มาตรการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อ “ปรับสมดุลทางการตลาด” และ “สะท้อนความนิยมของผู้ชมชาวจีน” โดยชี้ว่าการที่สหรัฐฯ เพิ่มอัตราภาษีศุลกากรต่อสินค้านำเข้าจากจีน รวมถึงภาพยนตร์ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสนใจของผู้บริโภคในจีน
“เราจะยังคงสนับสนุนภาพยนตร์ที่มีคุณภาพจากทั่วโลก และเปิดรับเนื้อหาที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดภาพยนตร์จีน ซึ่งกำลังเติบโตและพัฒนาอย่างรวดเร็ว” โฆษก CFA กล่าว
คริส เฟนตัน ผู้เขียนหนังสือ Feeding the Dragon: Inside the Trillion Dollar Dilemma Facing Hollywood, the NBA, and American Business กล่าวว่า การลดจำนวนภาพยนตร์จากสหรัฐฯ ถือเป็น “วิธีที่โดดเด่นอย่างยิ่งในการแสดงออกถึงการตอบโต้ โดยแทบจะไม่มีผลเสียใดๆ ต่อจีนเลย”
“การลงโทษฮอลลีวูดอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้เป็นการเคลื่อนไหวเพื่อแสดงความแข็งแกร่งของปักกิ่ง ซึ่งวอชิงตันจะต้องสังเกตเห็นอย่างแน่นอน” เฟนตันกล่าว
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แทบไม่ได้ออกมาปกป้องฮอลลีวูด โดยตอบคำถามสื่อเกี่ยวกับข้อจำกัดใหม่ของจีนว่า “ผมคิดว่าผมเคยได้ยินเรื่องที่แย่กว่านี้”
แม้จะมีข้อจำกัดใหม่ แต่แหล่งข่าวในอุตสาหกรรมบันเทิงระบุว่า ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์บางเรื่องที่มีฐานแฟนคลับในจีนยังสามารถเข้าฉายได้ เช่น ภาพยนตร์เรื่อง 'Thunderbolts' ของ Marvel Studios ที่จะเข้าฉายในจีน วันที่ 30 เมษายน 2568
บริษัท IMAX ซึ่งมีธุรกิจทั้งในจีนและต่างประเทศ ระบุว่า ข้อจำกัดดังกล่าวไม่น่าจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ โดยกล่าวในแถลงการณ์ว่า “เราคาดว่าปีนี้จะเป็นปีที่แข็งแกร่งสำหรับ IMAX ในจีน โดยไตรมาสแรกของปีนี้ทำรายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์”
เซธ เชเฟอร์ นักวิเคราะห์จาก S&P Global Market Intelligence Kagan ให้ข้อมูลว่า แม้จะมีข้อจำกัด แต่ในปัจจุบัน ภาพยนตร์จากต่างประเทศที่ได้เข้าฉายในจีนมีเพียงราว 25% เท่านั้น และเปอร์เซ็นต์นี้ยังคงลดลงเรื่อยๆ อันเป็นผลมาจากการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในประเทศจีนเอง
“แม้จะได้เข้าฉายในจีน รายได้บ็อกซ์ออฟฟิศจากจีนก็มีสัดส่วนน้อยกว่า 10% ของรายได้รวมทั่วโลก” เขากล่าว พร้อมยกตัวอย่างภาพยนตร์ 'Captain America: Brave New World' ซึ่งออกฉายในเดือนกุมภาพันธ์ และทำรายได้ในจีนเพียง 14.4 ล้านดอลลาร์ จากยอดรวมทั่วโลกที่ 413 ล้านดอลลาร์
ในอดีต ภาพยนตร์อย่าง 'ไททานิค' และ 'อวตาร' ประสบความสำเร็จมหาศาลในจีน ทำให้ดาราอย่าง ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ และผู้กำกับอย่าง เจมส์ คาเมรอน เป็นที่รู้จักในหมู่แฟนภาพยนตร์จีนทุกวัย
อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ปี 2020 ภาพยนตร์ที่ผลิตโดยจีนเองสามารถครองสัดส่วนตลาดถึง 80% ของรายได้บ็อกซ์ออฟฟิศประจำปี ซึ่งเพิ่มขึ้นจากประมาณ 60% ในปีก่อนหน้า
ในรายชื่อภาพยนตร์ทำเงินสูงสุดตลอดกาลของจีน มีเพียงเรื่องเดียวจากต่างประเทศที่ติดอยู่ใน 20 อันดับแรก นั่นคือ 'Avengers: Endgame' ที่ทำรายได้กว่า 4.25 พันล้านหยวน หรือราว 579.8 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ภาพยนตร์ที่เหลือล้วนเป็นผลงานจากจีน
ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า แม้จะเป็นมาตรการเชิงสัญลักษณ์ แต่ก็สะท้อนการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในอุตสาหกรรมบันเทิงระดับโลก ที่กำลังมุ่งสู่การกระจายตัวมากขึ้น และลดการพึ่งพา 'อุตสาหกรรมภาพยนตร์สหรัฐ' ลงอย่างต่อเนื่อง