Saturday, 7 June 2025
GULF

GULF ปลื้ม!! หุ้นกู้ 2.5 หมื่นล้าน ยอดจองเพียบ สะท้อนความเชื่อมั่นในบริษัทฯ จากของนักลงทุน

เมื่อวานนี้ (26 ก.ย. 67) บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ได้ออกหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิและไม่มีประกัน มูลค่ารวมทั้งสิ้น 25,000 ล้านบาท โดยเสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนสถาบัน (Institutional Investors) และ/หรือผู้ลงทุนรายใหญ่ (High Net Worth) หุ้นกู้ดังกล่าวได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่เป็นจำนวนมาก โดยแสดงความจำนงในการจองหุ้นกู้ของบริษัทฯ มากถึง 1.96 เท่าของจำนวนที่ประสงค์จะเสนอขาย (Oversubscription) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนในศักยภาพและความแข็งแกร่งของบริษัทฯ

สำหรับหุ้นกู้ที่บริษัทฯ เสนอขายในครั้งนี้ แบ่งออกเป็น 5 ชุด ได้แก่ 

1) หุ้นกู้อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 2.89% ต่อปี มูลค่า 2,500 ล้านบาท 
2) หุ้นกู้อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.15% ต่อปี มูลค่า 2,687 ล้านบาท 
3) หุ้นกู้อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.28% ต่อปี มูลค่า 10,013 ล้านบาท 
4) หุ้นกู้อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.53% ต่อปี มูลค่า 4,800 ล้านบาท 
5) หุ้นกู้อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.76% ต่อปี มูลค่า 5,000 ล้านบาท 

โดยเฉลี่ยอัตราดอกเบี้ยคงที่เท่ากับ 3.37% และอายุเฉลี่ยหุ้นกู้เท่ากับ 6.08 ปี 

ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ในระดับ ‘A+’ แนวโน้ม ‘คงที่’ และหุ้นกู้ได้รับการจัดอันดับในระดับ ‘A’ แนวโน้ม ‘คงที่’ จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด โดยบริษัทฯ ได้แต่งตั้งให้ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ในครั้งนี้ ซึ่งได้เปิดจองซื้อหุ้นกู้ระหว่างวันที่ 23-25 กันยายน 2567 และได้ออกหุ้นกู้ในวันที่ 26 กันยายน 2567

นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก แม้ว่าสถานการณ์ตลาดหุ้นกู้จะยังคงมีความผันผวน ท่ามกลางความกังวลและความระมัดระวังในการลงทุนในหุ้นกู้ของนักลงทุน แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงได้รับการตอบรับที่ดีเกินคาดจากนักลงทุน โดยยอดจองซื้อเกินกว่าจำนวนที่เสนอขายเกือบ 2 เท่า ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นในประสิทธิภาพการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ และการเติบโตอย่างต่อเนื่องของธุรกิจของบริษัทฯ โดยการระดมทุนดังกล่าว ส่วนหนึ่งจะนำไปคืนหุ้นกู้ที่ครบกำหนดในเดือนกันยายน อีกส่วนหนึ่งนำไปคืนหนี้สินระยะสั้นของบริษัทฯ และส่วนที่เหลือเพื่อรองรับการขยายการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนของบริษัทฯ ต่อไป  บริษัทฯ ขอขอบคุณนักลงทุนทุกท่านที่ให้ความไว้วางใจในหุ้นกู้ของบริษัทฯ และขอขอบคุณผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ร่วมทั้ง 7 สถาบันที่มีบทบาทสำคัญในการจัดจำหน่ายหุ้นกู้จนประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยมในครั้งนี้"

กัลฟ์ (Gulf ) จับมือ สมาคมนักหนังสือพิมพ์ภูมิภาคแห่งประเทศไทย (สนพท) นำยุทธศาสตร์ “ เมืองจุลินทรีย์ “ เปลี่ยนขยะเป็นประโยชน์ ลดภาวะโลกเดือด เสริมเศรษฐกิจชุมชน

(20 ต.ค. 67) สมาคมนักหนังสือพิมพ์ภูมิภาคแห่งประเทศไทย (สนพท) มีกิจกรรมจัดประชุมคณะกรรมการสมาคมฯ ณ โรงแรม Cruises The Pool Access อ.แกลง จ.ระยอง นำโดย นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล นายกสมาคมฯ สนพท. และ นายนพดล แสงวิไล กรรมการ สนพท. จ.ระยอง และ มีการจับมือ ประกาศเจตนารมย์ MOU  ร่วมกับ กลุ่มบริษัทกัลฟ์ (Gulf ) และ บริษัทกัลฟ์ เอ็มทีพี แอลเอ็นจี เทอร์มินอล จำกัด (Gulf MTP ) โครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3  นำโดย ดร.กฤษณ์ พงษ์เทพิน ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายชุมชนสัมพันธ์ Gulf พร้อมด้วย คณะกรรมสมาคมฯ สนพท. จังหวัดต่างๆ พร้อมร่วมขับเคลื่อนและสนับสนุน การสื่อสารเพื่อสร้างสังคมการเรียนรู้ ตามแนวทาง ยุทธศาสตร์ “ เมืองจุลินทรีย์ “ (Biobased ) เปลี่ยนขยะเป็นประโยชน์ ลดภาวะโลกเดือด รักษาฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศน์ ชุมชน โดยฐานความรู้ด้าน “ฐานชีวภาพ” และนวัตกรรมจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพ สู่การพัฒนาชุมชน ท้องถิ่น และสร้างกลไกการมีส่วนร่วมของภาคคีความร่วมมือภาคส่วนในสังคม แก้ปัญหาขยะเศษอาหารจากต้นทาง และเปลี่ยนขยะเป็นประโยชน์แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ชุมชน สร้างมูลค่า คุณค่า เสริมอาชีพ รายได้ เศรษฐกิจชุมชน พร้อมกับ การแก้ปัญหาขยะล้นเมือง  ฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม ดิน น้ำ ป่า ระบบนิเวศ ฯลฯ และขับเคลื่อนร่วมกับภาครัฐ และ ประชาสังคม สื่อมวลชน  ฯลฯ ลดภาวะโลกร้อน ภาวะโลกเดือด ซึ่งเป็นปัญหาระดับนานาชาติ รวมทั้งประเทศไทยของเรา โดยกิจกรรมกัน ของ Gulf และ สนพท. คือ ในเดือนถัดไป คือ  ในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2567 จะขับเคลื่อนกิจกรรม จัดตั้งศูนย์เรียนรู้และธนาคารจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพ ร่วมกับ กำนัน และคณะกรรมการชุมชน ต.ป่าป้อง อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ ตามแนวยุทธศาสตร์เมืองจุลินทรีย์ ฯ เพื่อฟื้นฟู “ป่าต้นน้ำและหุบเขาจุลินทรีย์” ฟื้นระบบนิเวศป่าไม้ ป้องกันไฟป่า ลดคาร์บอน และ เป็นการเสริมสร้างอาชีพ ผลิตภัณฑ์ชุมชน สู่การพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน และ ลดต้นทุนทางการเกษตร ฯลฯ

สำหรับกิจกรรมในพื้นที่ จ.ระยอง   ดร.กฤษณ์ พงษ์เทพิน  กล่าวว่า  กลุ่มบริษัทกัลฟ์ มีนโยบายชัดเจนด้านการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม และร่วมพัฒนาฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน  กรณีตัวอย่างเช่น  ในช่วง 3 ปี (ปี 2565-2567 ) ที่ผ่านมา ได้ส่งเสริมจัดตั้งศูนย์เรียนรู้และธนาคารจุลินทรีย์  กลุ่มวิสาหกิจชุมชนกลุ่มประมงเรือเล็กหาดสุชาดา ต.เนินพระ อ.เมือง จ.ระยอง โดยมีการอบรมความรู้และแปรรูปผลิตภัณฑ์ จากเศษอาหาร เศษปลา ก้างปลา (ปลาเห็ดโคลน) ที่ชาวบ้านแล่เนื้อขายจะมีเศษปลา ซึ่งเดิมทิ้งเป็นขยะซึ่งจะก่อเกิดมลภาวะชุมชน ได้นำความรู้สู่ชุมชน “เปลี่ยนขยะเป็นประโยชน์” ด้วยกระบวนการหมักแบบชีวภาพ ผลิตเป็น ฮอล์โมนปลาหมัก  ปุ๋ยหมักแบบอินทรีย์  การผลิตจุลินทรีย์ก้อน (EM ball)  ปุ๋ยน้ำจากปลาทะเล  (ซึ่งราคาขายในท้องตลาดลิตรละ 120-150 บาท  ) แปรูปเป็นน้ำยาล้างจาน ล้างรถ ล้างห้องน้ำ น้ำยาเอนกประสงค์ จุลินทรีย์ ฯลฯ สามารถนำไปใช้ในการเกษตรพืชชนิดต่างๆ ปศุสัตว์ การบำบัดน้ำเสียในครัวเรือน แม่น้ำลำคลอง ป่าไม้ ป่าชายเลน ฯลฯ สามารถ การใช้ดูแลสิ่งแวดล้อมในครัวเรือนและจำหน่ายสร้างอาชีพ เพิ่มรายได้แก่ชุมชนได้จริง   เป็นต้น ปี 2565 บริษัทกัลฟ์ ร่วมกับ วิสาหกิจกลุ่มประมงเรือเล็กหาดสุชาดา ฯ เทศบาลตำบลเนินพระ อ.เมือง จ.ระยอง จัดโครงการฟื้นฟูป่าชายเลนที่เสื่อมโทรม โดยนำความรู้เกี่ยวกับนวัตกรรมจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพ ฯ ที่ได้จากการผลิตของวิสาหกิจชุมชนฯที่อบรมไว้ โดยใช้ปุ๋ยน้ำชีวภาพจากจุลินทรีย์ และ จุลินทรีย์บอล นำไปใช้ปรับสภาพดิน น้ำ และใช้เป็นปุ๋ยหรือธาตุอาหาร พร้อมกับฟื้นฟูจุลินทรีย์ในสภาพแวดล้อมดินน้ำป่าของป่าชายเลนฯ ช่วยย่อยเศษใบไม้ อินทรีย์วัตถุในป่าชายเลน ฯลฯ ตั้งแต่ปี 2565 ถึงปัจจุบัน มีสภาพที่ดีขึ้นพร้อมทั้งร่วมกับชุมชนและชาวประมง ปลูกป่าชายเลนเพิ่มเติม กว่า 5,000 ต้น ประสบผลสำเร็จอย่างดีมี อัตราการรอดกว่า 80 % และเจริญเติบโตมาก จากที่เริ่มปลูกกล้าใหม่มีความสูงประมาณ 30 เซนติเมตร ผ่านไป 2 ปี เศษ เติบโตดีมาก สูงกว่า 1.50 – 2.50 เมตร ใบเขียว แผ่กิ่งก้านรากแข็งแรงและปัจจุบันยังร่วมกับชุมชนฟื้นฟูอย่างต่อเนื่อง อีกโครงการหนึ่ง Gulf ร่วมนำยุทธศาสตร์เมืองจุลินทรีย์ ร่วมกับสื่อมวลชนและภาคประชาสังคม จ.ระยอง จัดทำโครงการ “ระยองไม่เทรวม” โครงการแยกขยะเพื่อสิ่งแวดล้อม ลดขยะเศษอาหารของเมือง โดยนำองค์ความรู้ด้านจุลินทรีย์ ฯ (ฐานชีวภาพ) มาใช้รณรงค์การแยกขยะร่วมกับชุมชน และสนับสนุนจัดตั้งศูนย์เรียนรู้และธนาคารจุลินทรีย์ ฯชุมชนเป็นต้นแบบ นำขยะเศษอาหารจากครัวเรือน และ ห้างสรรพสินค้า ร้านค้า โรงแรมฯ มาผ่านกระบวนการหมักแบบชีวภาพ แปรรูปเป็นปุ๋ยหมักคุณภาพสูง ปุ๋ยน้ำชีวภาพ และการทำจุลินทรีย์ก้อน (Em ball ) ภาคชุมชนและประชาสังคม อยู่ระหว่างพัฒนาโครงการฯร่วมกับทางจังหวัดและอบจ. เพื่อรณรงค์การแยกขยะและลดขยะแปรรูปเปลี่ยนเป็นประโยชน์ในการรักษาสิ่งแวดล้อมและแก้ปัญหาขยะเศษอาหารล้นเมือง ระยอง
นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล  นายกสมาคม ฯ สนพท. กล่าวว่า รู้สึกยินดีที่ได้ร่วมมือกับกลุ่มบริษัทกัลฟ์ (Gulf) เป็นแนวคิดยุทธศาสตร์ที่ดีมากสอดคล้องกับปัญหาสังคมในปัจจุบัน โดยเฉพาะปัญหาขยะ และภาวะโลกร้อน .. ถึงเวลาทีถึงเวลาที่เราทุกคน ต้องตระหนักและต้องช่วยกันคนละไม้คนละมือ เพื่อฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม คุณภาพชีวิตของเราทุกคน แนวคิด “ ยุทธศาสตร์ เมืองจุลินทรีย์ “ คือการใช้กลไกธรรมชาติชีวภาพในการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมให้เกิดความสมบูรณ์สมดุลสู่ความยั่งยืน “ แนวทางฟื้นฟูเสมือนการย้อนกลับไปสร้างโลกใหม่เพื่อแก้ปัญหาและสร้าง นิเวศสิ่งแวดล้อม ยั่งยืน สนพท. จะร่วมสื่อสารสร้างสังคมการเรียนรู้ร่วมกับกัลฟ์ “ โดยการสร้างองค์ความรู้แก่ชุมชน สังคม เพื่อณรงค์ให้ประชาชนตระหนักต่อปัญหาสิ่งแวดล้อม และมีความรู้ มีแนวทางปฏิบัติในตนเองและครัวเรือนได้ และจะขับเคลื่อนกลไกทางสังคมร่วมกับทุกภาคส่วน เป็นองค์กรสื่อสารเพื่อสิ่งแวดล้อมเพื่อสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตที่ดี ของประเทศไทยของเราทุกคน

‘GULF’ จ่อให้บริการ!! ‘ดาต้าเซ็นเตอร์’ ‘สยาม เอไอ’ ประเดิมรายแรก ครึ่งหลังปี 68

(14 ธ.ค. 67) นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยว่า หลังจากเมื่อวันที่ 4 ธ.ค. 2567 บริษัท จีเอสเอ ดาต้า เซนเตอร์ จำกัด (GSA DC) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนที่บริษัทถือหุ้นทางอ้อมในสัดส่วน 40% ผ่านบริษัท กัลฟ์ เอดจ์ จำกัด (Gulf Edge) ได้ลงนามในสัญญาการให้บริการศูนย์ข้อมูล (Data Center) กับบริษัท สยาม เอไอ คอร์เปอเรชั่น จำกัด (Siam AI) ซึ่งเป็นบริษัทไทยรายแรกที่เป็นพันธมิตรกับ NVIDIA Corporation หวังหนุนขับเคลื่อน AI Cloud Solutions ในเมืองไทย

สำหรับ การให้บริการศูนย์ข้อมูลกับ Siam AI มีขนาดค่อนข้างใหญ่ และคาดว่าจะเริ่มให้บริการดังกล่าวได้ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 ภายหลังจาก ‘ธุรกิจศูนย์ข้อมูล GSA DC’ (Data Center) ของกลุ่มบริษัทปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้างและมีแผนจะเปิดให้บริการได้ในช่วงเดือนเม.ย. 2568 ซึ่งศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ของบริษัทมีขนาด 50 เมกะวัตต์ โดยการลงทุนแบ่งเป็น 2 เฟส โดยเฟสหนึ่ง มีขนาด 25 เมกะวัตต์ และทยอยเปิดให้บริการเฟส 2 ต่อไป 

ขณะเดียวกัน ระหว่างนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับลูกค้าอีกหลายราย ที่จะให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์โดยมีลูกค้าหลัก ๆ จะเป็นหน่วยงานของภาครัฐและกลุ่ม Hyperscalers Enterprise เช่น สถาบันการเงินและอีคอมเมิร์ซ เป็นต้น

ขณะที่ ภาคองค์กรธุรกิจที่กำลังขับเคลื่อนเข้าสู่ดิจิทัลทรานฟอร์เมชันโดยการประมวลผลและจัดเก็บข้อมูลบนระบบคลาวด์ และการใช้งานด้าน Artificial Intelligence (AI) เป็นปัจจัยสนับสนุนให้องค์กรในประเทศ และไฮเปอร์สเกลเลอร์ (Hyperscalers) ที่เข้ามาสู่ตลาดในประเทศไทย มีความต้องการจัดเก็บและจัดการข้อมูลมากขึ้น

ทางด้าน ‘ธุรกิจคลาวด์’ (Cloud) ที่บริษัท ได้ร่วมมือกับ Google เพื่อให้บริการ Google Distributed Cloud air-gapped มีแผนที่จะเปิดให้บริการในช่วงไตรมาส 2 ปี 2568 โดยมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายทั้งหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชนในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น ธุรกิจ health care ธุรกิจพลังงาน และสาธารณูปโภค รวมถึงสถาบันทางการเงิน

นอกจากนี้ บริษัทยังมองการต่อยอดความร่วมมือทางธุรกิจไปสู่บริการอื่น ๆ ในอนาคต ซึ่งได้แก่ AI และ cybersecurity อีกด้วย โดยผู้ใช้งาน Google Cloud สามารถเลือกที่จะจัดเก็บข้อมูลที่ศูนย์ข้อมูล GSA DC ของบริษัทได้

นางสาวยุพาพิน กล่าวต่อว่า การเปิดบริการศูนย์ข้อมูล DSA DC (data Center) เป็นหนึ่งในแผนงานที่ช่วยหนุนผลประกอบการของบริษัทในปี 2568 คาดว่าจะเติบโตอย่าง 'ก้าวกระโดด' หลังจากการควบรวมระหว่าง GULF และ บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH เสร็จสิ้น โดยตามไทม์ไลน์การควบรวบบริษัทระหว่าง GULF และ INTUCH จะสามารถจัดตั้งบริษัทใหม่ (NewCo) คาดแล้วเสร็จในไตรมาส 2 ปี 2568 

ขณะที่ คาดว่าในไตรมาส 4 ปี 2567 รายได้รวมยังโตต่อเนื่อง จากโครงการต่าง ๆ ที่เปิดตามแผนโดยโครงการโรงไฟฟ้า GPD หน่วยที่ 4 (662.5 เมกะวัตต์) เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วเมื่อ 1 ต.ค. ที่ผ่านมา จะเริ่มรับรู้ผลการดำเนินงานเต็มไตรมาสของหน่วยผลิตนี้ในไตรมาส 4 นี้

นอกจากนี้ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน มีแผนเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ 5 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้งรวม 532 เมกะวัตต์ ในเดือนธ.ค.นี้

ประกอบกับในไตรมาส 4 เป็นช่วงไฮซีซัน (High season) ของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมและโรงไฟฟ้าพลังงานลมภายใต้กลุ่ม Gulf Gunkul Corporation ในไทยและโครงการ BKR2 ในเยอรมนี คาดมีผลประกอบการดีขึ้นอีกทั้ง ผลการดำเนินงานของ

บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC คาดเติบโตขึ้นต่อเนื่อง จากจำนวนผู้ใช้งานและ ARPU ที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ปี 2567 ยังคงคาดการณ์การเติบโตของรายได้รวมไว้ที่ 25-30% โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากธุรกิจโรงไฟฟ้าที่จะทยอยเปิด COD ในปีนี้ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนจำนวนเมกะวัตต์ให้เติบโตอีก 2,700 เมกะวัตต์ ส่งผลให้ทั้งกำลังผลิตรวมเติบโตเป็น 15,000 เมกะวัตต์

GULF โกยกำไรปี 67 กว่า 1.81 หมื่นล้าน พุ่ง 22% หลังรับส่วนแบ่งจากธุรกิจโรงไฟฟ้า - INTOUCH

GULF โชว์กำไรสุทธิ ปี67 ที่ 18,170 ล้านบาท พุ่ง 22% จากธุรกิจพลังงานและส่วนแบ่งกำไรจาก INTUCH หนุน EBITDA เพิ่ม 13% ที่ 39,934 ล้านบาท

(11 ก.พ.68) นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงินบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (GULF หรือบริษัท) เปิดเผยว่า GULF รายงานผลการดำเนินงานปี 2567 ที่แข็งแกร่ง

โดยมีรายได้รวม (Total Revenue) เท่ากับ 124,585 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จาก 116,951 ล้านบาท ในปี 2566 และมีกำไรจากการดำเนินงาน (Core Orofit) เท่ากับ 18,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% จาก 15,644 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมา

ผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของกลุ่มบริษัท มีสาเหตุหลักมาจากการเติบโตของธุรกิจโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ จากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการโรงไฟฟ้ากัลฟ์ ปลวกแดง (GPD) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า IPP ภายใต้กลุ่ม IPD ที่มีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 2,650 เมกะวัตต์ ซึ่งหน่วยผลิตที่ 3 และ 4 (รวม 1,325 เมกะวัตต์) ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือนมีนาคม และตุลาคม 2567 ตามลำดับ

ส่งผลให้โรงไฟฟ้า GPD ทั้ง 4 หน่วยเปิดดำเนินการครบตามกำหนดเป็นที่เรียบร้อย นอกจากนี้ โครงการโรงไฟฟ้าหินกอง (HKP) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า IPP กำลังการผลิตติดตั้งรวม 1,540 เมกะวัตต์ ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์หน่วยผลิตที่ 1 (770 เมกะวัตต์) ในเดือนมีนาคม 2567

ในขณะเดียวกัน GULF ยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไร Core Profit จากกลุ่ม GJP จำนวน 1,940 ล้านบาท ในปี 2567 เพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับปีก่อน จากปริมาณการขายไฟฟ้าให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP จำนวน 7 โครงการ โดยมี Load Factor เฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 72% ในปี 2566 เป็น 79% ในปีนี้ เนื่องจากในระหว่างปี 2566 กลุ่มโรงไฟฟ้าดังกล่าวได้มีการทยอยหยุดซ่อมบำรุง (B-inspection) ตามแผนงาน

อย่างไรก็ตาม ในปี 2567 โครงการโรงไฟฟ้ากัลฟ์ ศรีราชา (GSRC) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า IPP ภายใต้กลุ่ม IPD มีกำไรที่ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน จากการรับรู้ค่าใช้จ่ายบำรุงรักษา (Maintenance Expense) ของทั้ง 4 หน่วย ที่เริ่มทยอยซ่อมบำรุงระหว่างไตรมาส 3/2566-ไตรมาส 3/2567 แม้ว่าจะมีปริมาณการขายไฟฟ้าให้ กฟผ. ที่เพิ่มขึ้น โดยมี Load Factor เฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 73% ในปี 2566 เป็น 75% ในปี 2567 นอกจากนี้ กลุ่มโรงไฟฟ้า SPP จำนวน 12 โครงการภายใต้กลุ่ม GMP มีกำไรที่ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีก่อน

จากอัตรากำไรขั้นต้นจากการขายไฟฟ้าให้กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมที่ลดลงตามราคาค่า Ft เฉลี่ยที่ลดลงในอัตราที่มากกว่าการลดลงของราคาค่าก๊าซธรรมชาติเฉลี่ย โดยค่า Ft เฉลี่ยลดลงจาก 0.89 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง ในปี 2566 เป็น 0.40 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง ในปี 2567 ขณะที่ราคาก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยลดลงจาก 385.4 บาท/ล้านบีทียู ในปี 2566 เป็น 326.1 บาท/ล้านบีทียู ในปีนี้ ประกอบกับขายไฟฟ้าให้กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมลดลง เนื่องมาจากความต้องการที่ลดลงในกลุ่มลูกค้ายานยนต์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์

อย่างไรก็ตาม สัดส่วนของปริมาณการขายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมมีเพียง 6% ของปริมาณการขายไฟฟ้าทั้งหมด บริษัทจึงได้รับผลกระทบอย่างจำกัด

ในส่วนของธุรกิจก๊าซนั้น GULF รับรู้ส่วนแบ่งกำไร Core Profit จากโครงการ PTT NGD จำนวน 1,077 ล้านบาท ในปี 2567 เพิ่มขึ้น 172% จาก 396 ล้านบาท ในปี 2566 โดยมีสาเหตุหลักมาจากต้นทุนก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จาก 428.8 บาท/ล้านบีทียู ในปี 2566 เป็น 342.9 บาท/ล้านบีทียู ในปีนี้

ในขณะที่ราคาน้ำมันเตาสูงขึ้นจาก 73.2 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ในปี 2566 เป็น 75.7 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ในปีนี้ ซึ่งราคาขายส่วนใหญ่ของโครงการ PTT NGD จะอิงกับราคาน้ำมันเตา ในขณะที่ต้นทุนจะขึ้นอยู่กับราคาก๊าซธรรมชาติ

นอกจากนี้ ในปี 2567 GULF รับรู้ส่วนแบ่งกำไร Core Profit จากการลงทุนในบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (INTUCH) จำนวน 6,345 ล้านบาท

เพิ่มขึ้น 4% จาก 6,101 ล้านบาท ในปี 2566 โดยมีสาเหตุหลักมาจากผลประกอบการของ ADVANC ที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นผลจาก ARPU ที่เพิ่มขึ้น จากการมุ่งเน้นจำหน่ายแพ็กเกจที่มีมูลค่าสูงขึ้น ประกอบกับการขยายฐานผู้ใช้บริการและการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ GULF มีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ในปี 2567 จำนวน 39,934 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับ 35,370 ล้านบาท ในปี 2566

ในขณะที่กำไรสุทธิ (Net Profit) ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ (รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) ในปี 2567 เท่ากับ 18,170 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% จาก 14,858 ล้านบาท ในปี 2566 ซึ่งเป็นผลมาจากผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิที่ลดลง

โดยในปี 2567 บริษัทรับรู้ผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิ 176 ล้านบาท เทียบกับ 576 ล้านบาท ในปี 2566 อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนดังกล่าวเป็นเพียงการบันทึกรายการทางบัญชี และไม่มีผลกระทบต่อกระแสเงินสดและผลประกอบการของ GULF แต่อย่างใด

ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 GULF มีสินทรัพย์รวม 496,202 ล้านบาท หนี้สินรวม 342,363 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้น 153,840 ล้านบาท

โดยมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Net Interest-bearing Debt to Equity) อยู่ที่ 1.80 เท่า เพิ่มขึ้นจาก 1.69 เท่า ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 จากหนี้สินระยะยาวที่เพิ่มขึ้นจากการออกและจำหน่ายหุ้นกู้จำนวน 45,000 ล้านบาท ในปี 2567


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top