Monday, 12 May 2025
Econbiz

‘EA’ ส่งมอบชุดแบตเตอรีลิเทียมไอออน ‘อมิตา เทคโนโลยี’ ให้ กทม. หนุนพัฒนารถสันดาปสู่รถไฟฟ้าดัดแปลง หวังแก้ปัญหาฝุ่น-มลภาวะ

บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) ผู้นำนวัตกรรมพลังงานสะอาด เดินหน้าส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า นายอมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ ได้ส่งมอบชุดแบตเตอรีลิเทียมไอออน ใช้สำหรับดัดแปลงรถสันดาปเป็นรถไฟฟ้า (EV Conversion) จากนวัตกรรมระบบกักเก็บพลังงานแบบครบวงจร ‘อมิตา เทคโนโลยี (ประเทศไทย)’ โดยมี นางสาวอำภา นรนาถตระกูล ผู้อำนวยการสำนักการคลัง เป็นผู้แทนผู้บริหารกรุงเทพมหานครรับมอบ ณ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร

สำหรับโครงการรถยนต์ไฟฟ้าดัดแปลงต้นแบบ เป็นความร่วมมือระหว่าง ‘กรุงเทพมหานคร’ กับ ‘สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ’ (สสส.) มูลนิธิส่งเสริมการออกแบบอนาคตประเทศไทย ตามโครงการสานพลังขับเคลื่อนเคานต์ดาวน์ PM2.5 เพิ่มสุขภาวะผู้คนในพื้นที่ กทม. ซึ่งมุ่งแก้ปัญหามลพิษทางอากาศ

โดยหนึ่งในแผนงาน คือ การนำรถยนต์สันดาป มาทำการดัดแปลงเป็นรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าที่ไม่มีการปล่อยมลพิษและฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) เพื่อทำการศึกษาประโยชน์จากการใช้รถยนต์ไฟฟ้า ต้นทุนการดำเนินการ ความคุ้มค่า ความปลอดภัยในการใช้งาน และความเหมาะสมในการปรับเปลี่ยนรถยนต์ราชการของกรุงเทพมหานครเป็นรถยนต์ไฟฟ้า ในการนี้ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) ได้ให้การสนับสนุนแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนขนาด 30 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ซึ่งเป็นอุปกรณ์หลักในการจัดทำรถยนต์ไฟฟ้าดัดแปลงที่มีมูลค่าสูง

โดยการดัดแปลงนั้น กทม. ร่วมกับศูนย์วิจัย Mobility & Vehicle Technology Research Center (MOVE) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ในการดำเนินการดัดแปลงรถยนต์ไฟฟ้าต้นแบบ

คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2566 จากนั้นจะมีการจัดทำชุดความรู้เกี่ยวกับการดัดแปลง

การใช้งาน และการบำรุงรักษารถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงจัดทำหลักสูตรการดัดแปลงรถยนต์ไฟฟ้าเพื่ออบรมให้ความรู้แก่ผู้สนใจทั่วไปผ่านโรงเรียนฝึกอาชีพกรุงเทพมหานครต่อไป

'การบินไทย' จัดงาน Thai Networking 'The Rising of Northern' ส่งเสริมการขายตัวแทนจำหน่ายบัตรจาก 'ประเทศญี่ปุ่น-เกาหลีใต้'

(6 ต.ค.66) นายกรกฏ ชาตะสิงห์ ประธานเจ้าหน้าที่สายการพาณิชย์ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เป็นประธานเปิดกิจกรรม 'THAI Networking' 'The Rising of Northern' เพื่อกระชับความสัมพันธ์อันดีระหว่างบริษัทฯ กับตัวแทนจำหน่ายบัตรโดยสารชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ณ โรงแรม สลิล ริเวอร์ไซด์

โดยกิจกรรมครั้งนี้ บริษัท การบินไทยฯ ได้สื่อสารทิศทางการดำเนินงานของบริษัทฯ ต่อตัวแทนจำหน่ายจากประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ รวมทั้ง ชี้แจงความคืบหน้าการปรับโครงสร้างธุรกิจ และเส้นทางบินของสายการบินไทยสมายล์ และแนะนำเส้นทางบินใหม่สู่อิสตันบูล ประเทศตุรกี ที่จะเปิดให้บริการในวันที่ 1 ธันวาคม 2566 นี้

อีกทั้ง นำเสนอผลิตภัณฑ์และการให้บริการบนเครื่องบินรูปแบบใหม่ อาทิ Amenity Kits จาก Jim Thompson ช็อกโกแลตจากกานเวลา และกาดโกโก้ บริการสื่อสาระบันเทิงบนเครื่องบิน และเมนูอาหารไทยแบบ All day dine สำหรับให้บริการผู้โดยสารในชั้นหนึ่งและชั้นธุรกิจ ที่รังสรรค์โดยเชฟโบ ดวงพร ทรงวิศวะ เจ้าของรางวัลเชฟหญิงที่ดีที่สุดของเอเชีย ปี 2013 (Asia’s 50 Best Restaurants 2013) จากการจัดอันดับของนิตยสาร Restaurant 

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการส่งเสริมการขายและการตลาดที่รองรับการขยายเครือข่ายจุดบิน รวมทั้ง วางแผนการขายรองรับเที่ยวบินในตารางบินฤดูหนาว ปี 2566 และเตรียมความพร้อมสำหรับช่วง Low Season ปี 2024

WARRIX ปลื้มโต 30% เล็ง 4 ปีทะลุ 2,700 ล้าน ปูธุรกิจเสริม ‘คลินิกกายภาพ’ ช่วยเสริมแกร่งถึงเป้า

จากรายการ THE TOMORROW ออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES เมื่อวันที่ 7 ต.ค.66 ได้พูดคุยกับ นายวิศัลย์ วนะศักดิ์ศรีสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วอริกซ์ สปอร์ต จำกัด (มหาชน) หรือ WARRIX ผู้จำหน่ายเสื้อผ้าและอุปกรณ์กีฬาชั้นนำของประเทศไทย ได้เปิดเผยถึงทิศทางภาพรวมชุดกีฬาในประเทศไทย พร้อมแนวทางการเติบโตของ วอริกซ์ ไว้ว่า…

จากการประมาณมูลค่าตลาดชุดกีฬาในปัจจุบัน มีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 20,000 -30,000 ล้านบาท (รวมทั้งแบรนด์ไทยและต่างชาติ) โดยวอริกซ์ มีส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 10% ในกลุ่มเสื้อผ้ากีฬา ไม่รวมรองเท้ากีฬา ซึ่งปัจจุบันมีแข่งขันกันสูงมากในทุกมิติ แต่สินค้าของวอริกซ์ เติบโตอย่างต่อเนื่อง เมื่อปี 2565 ที่ผ่านมา มียอดขายประมาณ 1,070 ล้านบาท เติบโต 20-30%  

นายวิศัลย์ กล่าวด้วยว่า ในปีนี้มีกลยุทธ์ในการขยายทุกมิติทั้งเสื้อกีฬาผู้หญิง เสื้อไลฟ์สไตล์ โดยมีการขยายสาขาไปเปิดร้านที่สยามสแควร์เพื่อเจาะกลุ่มวัยรุ่น โดยภายใน 4 ปี ทางบริษัทฯ มีเป้าหมายเติบโต 2,700 ล้านบาท 

นอกจากนี้ ในปัจจุบันทางวอริกซ์ ได้เปิดให้บริการคลินิกกายภาพ ในรูปแบบสหคลินิก โดยมีการนำวิทยาศาสตร์การกีฬาเข้ามาใช้ โดยมองกลุ่มลูกค้า ได้แก่ นักกีฬามืออาชีพ ผู้สูงอายุ พนักงานบริษัททั่วไปที่มีปัญหาออฟฟิศซินโดรม มีอาการนอนไม่หลับ ฯลฯ โดยตัวคลินิกจะเน้นให้ความรู้ด้านกายภาพ ออกกำลังกาย และมีทั้งด้านโภชนาการ วิตามิน อาหารเสริม รวมถึงมีเสื้อนอนเพื่อสุขภาพ ซึ่งถือเป็นการขยายจากธุรกิจสปอร์ตแวร์ ต่อยอดไปเป็น ‘เฮลท์ แอคทีฟ ไลฟ์สไตล์’ ได้อย่างน่าจับตา

สำหรับผู้ที่สนใจมาใช้บริการคลินิกกายภาพดังกล่าว สามารถดูรายละเอียดได้ทางเฟซบุ๊ก warrixhealth

‘BDMS’ ทุ่ม 300 ล้าน สร้าง ‘ศูนย์มะเร็งภูเก็ต’ ให้บริการรังสีรักษาแห่งแรกในภูเก็ต-อันดามัน

(6 ต.ค. 66) นายแพทย์นรินทร์ บุญจงเจริญ ประธานคณะผู้บริหารกลุ่ม 6 บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย ศ.พิเศษ นพ.ธีรวุฒิ คูหะเปรมะ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพวัฒโนสถ ร่วมงานแถลงข่าวเปิดตัวโครงการ ‘ศูนย์มะเร็งภูเก็ต’ (Phuket Cancer Center) ศูนย์รังสีรักษาแห่งแรกในจังหวัดภูเก็ตและพื้นที่อันดามัน โดยมี สื่อมวลชนและแขกผู้มีเกียรติเข้าร่วม เมื่อวันที่ 5 ต.ค.ที่ผ่านมา ณ โรงพยาบาลกรุงเทพสิริโรจน์ จ.ภูเก็ต

นายแพทย์นรินทร์ บุญจงเจริญ ประธานคณะผู้บริหารกลุ่ม 6 บริษัทกรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงจุดเริ่มต้นและที่มาของศูนย์มะเร็งภูเก็ต (Phuket Cancer Center) ว่า ปัจจุบันแม้ว่าเทคโนโลยีทางการแพทย์มีการพัฒนาขึ้นเป็นอย่างมาก ประชาชนมีอายุที่ยืนยาวมากขึ้น แต่ข้อมูลจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (NESDB) ปี 2564 พบว่า โรคมะเร็งและเนื้องอก คือ สาเหตุการเสียชีวิตของคนไทยอันดับสูงสุดตลอด 23 ปีที่ผ่านมา

โดยในแต่ละปีอัตราดังกล่าวยังเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในฐานะที่ BDMS Phuket ซึ่งประกอบด้วย โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต โรงพยาบาลกรุงเทพสิริโรจน์ และโรงพยาบาลดีบุก เป็นเครือข่ายสถานพยาบาลที่ดูแลสุขภาพชาวภูเก็ตและจังหวัดใกล้เคียงมาอย่างยาวนาน จึงได้มีการติดตามตัวเลขสถิติผู้ป่วยมะเร็งอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด พบว่า สถิติผู้ป่วยมะเร็งภาคใต้ ที่มีภูมิลำเนาในเขตสุขภาพ 11 ประกอบด้วย จังหวัดชุมพร นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี กระบี่ พังงา ระนอง และภูเก็ต ในเพศชายจะเป็น (Top 3) เพศหญิง (Top 3) ซึ่งโรคมะเร็งดังกล่าวจำเป็นต้องใช้การรักษาด้วยการฉายรังสีร่วมด้วยทั้งสิ้น แต่เนื่องจากศูนย์ให้บริการรังสีรักษาตั้งอยู่ในพื้นที่ภาคใต้ฝั่งตะวันออกเป็นหลัก จึงทำให้คณะผู้บริหารระดับสูงของบริษัทกรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) ตัดสินใจดำเนินโครงการ ‘ศูนย์มะเร็งภูเก็ต’ (Phuket Cancer Center) ขึ้น เพื่อให้คนภูเก็ตและในพื้นที่อันดามันได้เข้าถึงการรักษาได้อย่างรวดเร็ว และมีผลลัพธ์การรักษาที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งยังช่วยสนับสนุนยุทธศาสตร์ Medical and Wellness Destination ของจังหวัดภูเก็ตในฐานะที่เป็นจุดหมายการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพได้อีกด้วย”

ศูนย์มะเร็งภูเก็ต (Phuket Cancer Center) จะเริ่มดำเนินการก่อสร้างขึ้นในเดือนกรกฎาคม 2566 ณ โรงพยาบาลกรุงเทพสิริโรจน์ ภายใต้งบลงทุนกว่า 300 ล้านบาท ในพื้นที่ 1,030 ตารางเมตร ออกแบบภายใต้แนวคิดสิ่งแวดล้อมเพื่อการเยียวยา (Healing Environment) เพื่อให้ผู้รับบริการรู้สึกผ่อนคลาย ประกอบด้วยห้องให้คำปรึกษา โดยแพทย์รังสีรักษาเฉพาะทางใช้เทคโนโลยีการวางแผนการรักษาด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (Computed Tomography Simulator) และให้บริการรังสีรักษาด้วยเครื่องฉายรังสีด้วยการเร่งอานุภาพ (LINAC Accelerator) เครื่องให้รังสีระยะสั้น (High Dose Rate Brachytherapy) และห้องประชุมออนไลน์ ผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (Teleconference) สำหรับวางแผนการรักษาร่วมกับโรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพ วัฒโนสถ โดยจะก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการในไตรมาสที่ 3 ปี 2567

"โรคมะเร็งเป็นภาวะเจ็บป่วยที่ต้องได้รับการรักษาโดยเร็ว เพื่อควบคุมระยะและการแพร่กระจายของโรค แต่ด้วยขั้นตอนการส่งตัวตามระบบเครือข่าย และความหนาแน่นของปริมาณผู้ป่วยที่แตกต่างกันในแต่ละโรงพยาบาลทำให้เป็นอุปสรรคในการเข้าถึงการรักษาได้โดยเร็ว ซึ่งศูนย์มะเร็งภูเก็ต มีนโยบายดูแลผู้ป่วยทุกสิทธิการรักษา ประกอบด้วย ผู้ใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) สิทธิข้าราชการ และสิทธิประกันสังคม ตลอดจนจะเข้าร่วมโครงการ Cancer Anywhere ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อช่วยดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งทั่วประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่อันดามัน ให้สามารถเข้ารับการรักษาตัว ณ ศูนย์มะเร็งภูเก็ต ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปรักษาไกลบ้านอีกต่อไป สำหรับประชาชนคนไทยที่ไม่ถูกคุ้มครองภายใต้สิทธิการรักษาข้างต้น สามารถอุ่นใจได้ เนื่องจากค่าบริการของศูนย์มะเร็งภูเก็ต (Phuket Cancer Center) จะอยู่ในอัตราเทียบเท่าหรือใกล้เคียงโรงพยาบาลภาครัฐ" นายแพทย์นรินทร์ บุญจงเจริญ ประธานคณะผู้บริหารกลุ่ม 6 บริษัทกรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) กล่าวทิ้งท้าย

ขณะที่ศาสตราจารย์พิเศษ นพ.ธีรวุฒิ คูหะเปรมะ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพ วัฒโนสถ กล่าวเพิ่มเติมถึงความร่วมมือระหว่างโรงพยาบาลในการจัดตั้งศูนย์มะเร็งภูเก็ต (Phuket Cancer Center) ว่า ด้วยประสบการณ์การเป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางด้านมะเร็งของโรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพ วัฒโนสถ มีแผนในการขยายการบริการของศูนย์มะเร็งไปจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ ซึ่งศูนย์มะเร็งภูเก็ตเป็นหนึ่งในโครงการดังกล่าว โดยโรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพ วัฒโนสถ ได้ให้การสนับสนุน ตั้งแต่การฝึกประสบการณ์ด้านการรักษาให้แก่ทีมแพทย์รังสีรักษา พยาบาลรังสีรักษา นักฟิสิกส์ และนักรังสีเทคนิค ไปจนถึงการร่วมออกแบบตัวอาคาร กระบวนการบริการที่คำนึงถึงประสบการณ์ที่ดีของผู้รับบริการ การเลือกเครื่องมือและเทคโนโลยีที่มีความปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพ วัฒโนสถ มีความมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า ศูนย์มะเร็งภูเก็ต จะเป็นศูนย์รังสีรักษาที่ทำให้คนภูเก็ต และพื้นที่ใกล้เคียงสามารถเข้ารับบริการได้อย่างทันท่วงที อันจะช่วยส่งผลให้การรักษามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

‘ปตท.’ คว้ารางวัล ‘ประชาบดี’ ประจำปี 2566 เชิดชูเกียรติช่วยเหลือสังคมด้วยใจอาสา

เมื่อไม่นานมานี้ นายนิสิต พงษ์วุฒิประพันธ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่เลขานุการบริษัทและองค์กรสัมพันธ์ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) เป็นผู้แทน นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท. เข้ารับโล่และเข็มรางวัลประชาบดี ประเภทบุคคลผู้ทำคุณประโยชน์ ประจำปี 2566 จากนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ประธานในพิธีมอบรางวัล ‘ประชาบดี’ ประจำปี 2565 และประจำปี 2566 ซึ่งจัดขึ้นโดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ เพื่อเชิดชูเกียรติแก่ผู้ทำประโยชน์ดีเด่นที่มุ่งมั่นช่วยเหลือผู้ที่อยู่ในสภาวะยากลำบากและทำงานด้านสังคมด้วยใจจิตอาสา ณ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

‘อ.พงษ์ภาณุ’ ห่วง!! ธนาคารกลางกับวัฏจักรธุรกิจการเมือง ความขัดแย้งกระทบนโยบายการคลังรัฐ สะเทือนเศรษฐกิจ

จากรายการ Easy Econ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ในหัวข้อ ธนาคารกลางกับวัฏจักรธุรกิจการเมือง (Political Business Cycle) เมื่อวันที่ 8 ต.ค.66 โดย อ.พงษ์ภาณุ กล่าวว่า...
ธนาคารกลางกับวัฏจักรธุรกิจการเมือง (Political Business Cycle)

วัฏจักรธุรกิจเกิดขึ้นเป็นปกติในทุกประเทศ กล่าวคือเศรษฐกิจมีขาขึ้นและขาลง (Boom and Bust) ช่วงขาขึ้นเศรษฐกิจขยายตัวสูงและเงินเฟ้อก็สูงด้วย แต่ช่วงขาลงเศรษฐกิจตกต่ำและเงินเฟ้อก็ต่ำหรือบางทีก็เกิดเงินฝืด 

วัฏจักรธุรกิจสัมพันธ์กับนโยบายการเงินและดอกเบี้ยอย่างใกล้ชิด ธนาคารกลางมีหน้าที่รักษาเสถียรภาพทางการเงินและมีกรอบอัตราเงินเฟ้อเป็นเป้าหมายของการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นและลง (Inflation Targeting) แต่วัฏจักรธุรกิจการเมืองอาจไม่เป็นที่รู้จักกันมากนัก แต่ก็เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย 

เมื่อรัฐบาลใกล้ครบวาระและจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไป มักจะขอหรือสั่งการธนาคารกลางให้ลดหรือไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ย ทั้ง ๆ ที่มีความจำเป็นต้องสกัดภาวะเงินเฟ้อที่จะเกิดขึ้นจากการกระทำดังกล่าว แต่ก็จำเป็นต้องทำเพื่อความอยู่รอดของตนเองและเพื่อให้รัฐบาลที่กำลังจะครบวาระชนะการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้น เมื่อการเลือกตั้งเสร็จสิ้นและจัดตั้งรัฐบาลแล้ว ค่อยกลับมาขึ้นดอกเบี้ยในภายหลัง แม้ว่าจะสายเกินไปและอาจทำให้ตลาดเงินตลาดทุนเกิดความผันผวนอย่างยิ่งจนสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจในวงกว้างก็ตาม

ประเทศไทยในช่วง 1 ปีกว่าที่ผ่านมามีลักษณะเหมือนวัฏจักรธุรกิจการเมืองดังกล่าว ปี 2565 เกิดภาวะเงินเฟ้อทั่วโลก จนธนาคารกลางเกือบทุกประเทศ นำโดย Federal Reserve ของสหรัฐอเมริกา (ธนาคารกลางสหรัฐฯ) ต้องขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอย่างแรงและเร็วอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน อัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ ขึ้นจาก 0 มาเป็น 5% ในช่วงปลายปี แต่ธนาคารแห่งประเทศไทยกลับรักษาดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่เพียง 1% จนทำให้ไทยมีอัตราเงินเฟ้อสูงที่สุดประเทศหนึ่งในโลก ที่อัตรา 6.1% ซึ่งสูงกว่ากรอบอัตราเงินเฟ้อที่รัฐบาลเห็นชอบกว่า 2 เท่าตัว 

ต่อเมื่อการเลือกตั้งเสร็จสิ้นและมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะลดลงมาเหลือเพียง 0.3% และประเทศอื่นเริ่มชะลอการขึ้นดอกเบี้ย แต่ ธปท. กลับมาเร่งขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย จนก่อให้เกิดความสับสนและขัดแย้งกับนโยบายการคลังของรัฐบาล และเกิดความผันผวนในตลาดเงินตลาดทุนอย่างรุนแรงในขณะนี้ สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก

วัฏจักรธุรกิจการเมืองนี้ ถือเป็นวงจรอุบาทว์ และจำเป็นต้องขจัดให้หมดสิ้นเพื่อให้นโยบายการเงินเป็นอิสระจากการเมืองอย่างแท้จริง

‘ห้างสรรพสินค้า’ เตรียมสินค้าที่จำเป็นให้เพียงพอ รับมือฝนตก-น้ำท่วม พร้อมป้องกันการกักตุน-ขึ้นราคาสินค้า ขานรับนโยบาย ‘กระทรวงพาณิชย์’

(6 ต.ค. 66) ร้อยตรีจักรา ยอดมณี รองอธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้สั่งการให้กรมการค้าภายในดูแลประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วมและฝนตกหนักในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคกลางตอนบน ให้มีสินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็นอย่างเพียงพอ และไม่มีการฉวยโอกาสจำหน่ายสินค้าแพงเกินสมควร หรือกักตุนสินค้า ซึ่งกรมฯ ได้มีการประชุมติดตามสถานการณ์ และซักซ้อมแนวทางเตรียมความพร้อมกับห้างค้าส่งค้าปลีก ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคแล้ว

โดยเมื่อวันที่ 5 ต.ค. 66 รองอธิบดีกรมการค้าภายใน ได้ลงพื้นที่สำรวจสถานการณ์ ณ ห้างดูโฮม สาขารังสิต จ.ปทุมธานี พบว่าห้างฯ ได้จัดเตรียมสต็อกสินค้าจำเป็นไว้อย่างเพียงพอ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ซักล้างทำความสะอาด เครื่องสูบน้ำ สายยาง กระสอบทราย หรืออุปกรณ์ซ่อมแซมบ้าน เช่น แผ่นกระเบื้อง สีทาภายใน ปูนซีเมนต์ และยาแนวกันซึม เป็นต้น เมื่อประชาชนมาซื้อสินค้าหน้าร้าน สั่งออนไลน์ หรือสั่งทางโทรศัพท์ ก็จะสามารถรับสินค้าตามที่ต้องการได้โดยทันที ไม่มีปัญหาในการกระจายสินค้า รวมทั้งมีบริการช่างสำรวจหน้างานและซ่อมแซมด้วย

นอกจากนี้ ห้างดูโฮมเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่ได้ประกาศร่วมกับกระทรวงพาณิชย์เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ว่าจะลดราคาสินค้าจนถึงปลายปี อาทิ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง เช่น กระเบื้องปูพื้นและปูผนัง สุขภัณฑ์ ประตู หน้าต่าง เครื่องปั๊มน้ำ ลดสูงสุด 35% กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น โทรทัศน์ เครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้า ตู้เย็น และเตาไฟฟ้า ลดสูงสุด 55% กลุ่มของตกแต่งบ้านและอุปกรณ์ช่าง เช่น โคมไฟ สายไฟ แผงโซลาร์เซลล์ ลดสูงสุด 80% ทั้งนี้ จากการสอบถามผู้บริหารห้างฯ คาดว่าประชาชนจะออกมาจับจ่ายใช้สอยกันมากขึ้นในช่วงปลายปี เนื่องจากผู้รับเหมาก่อสร้างจะกลับมาดำเนินการกันมากขึ้นหลังสิ้นสุดฤดูฝน และคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามามากขึ้นด้วย

ทั้งนี้ กรมฯ จะติดตามสถานการณ์ปริมาณและราคาสินค้าจำเป็นอย่างใกล้ชิดต่อไป และขอเน้นย้ำถึงผู้ประกอบการว่าห้ามฉวยโอกาสจำหน่ายสินค้าแพงเกินสมควร และต้องปิดป้ายแสดงราคาสินค้าให้ชัดเจน กรณีการจำหน่ายสินค้าในราคาแพงเกินสมควรหรือกักตุนสินค้า มีโทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และกรณีที่ไม่ปิดป้ายแสดงราคาจำหน่ายจะมีโทษสูงสุดปรับไม่เกิน 10,000 บาท หากประชาชนไม่ได้รับความเป็นธรรมทางการค้า สามารถร้องเรียนมาที่สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 หรือทางแอปพลิเคชันไลน์ @MR.DIT

‘ทล.’ เล็งเปิดใช้ ‘มอเตอร์เวย์บางปะอิน-โคราช’ 80 กม. ปลาย ธ.ค. คลุมไป-กลับ ตลอด 24 ชม. รองรับการเดินทางเทศกาลปีใหม่ 67

(6 ต.ค. 66) นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง (ทล.) เปิดเผยว่า กรมทางหลวง ได้กำกับ ติดตาม และลงพื้นที่ตรวจความพร้อมโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษหมายเลข 6 สายบางปะอิน - นครราชสีมา ตั้งแต่ช่วงปากช่องถึงถนนเลี่ยงเมืองนครราชสีมา (ทล.204) ประกอบด้วย โครงการฯ ตอน 34, ตอน 39, ตอน 40, ด่านเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางสีคิ้ว, ด่านเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางข้ามทะเลสอ และโครงการทางแยกต่างระดับเชื่อมทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายบางปะอิน - นครราชสีมา กับทางหลวงชนบทหมายเลข นม.1120 (ถนนสุรนารี 2) เพื่อเร่งรัดการก่อสร้างและพิจารณาความพร้อมทุกด้านในการเพิ่มระยะทางของเส้นทางอีก 16 กิโลเมตร

ที่ผ่านมากรมทางหลวงได้เปิดให้ใช้เส้นทางชั่วคราวสำหรับเทศกาลปีใหม่และเทศกาลสงกรานต์บริเวณช่วงปากช่อง - สีคิ้ว - ขามทะเลสอ ระยะทาง 64 กิโลเมตร โดยกรมทางหลวง คาดว่าจะเปิดให้บริการบางส่วนบนทางหลวงพิเศษหมายเลข 6 ช่วงปากช่อง - สีคิ้ว - ขามทะเลสอ - ถนนเลี่ยงเมืองนครราชสีมา (ทล.204) รวมระยะทาง 80 กิโลเมตร ทั้ง 2 ทิศทาง (ขาไปและขากลับ) ตลอด 24 ชั่วโมง ในปลายเดือนธันวาคม 2566 เพื่อรองรับการเดินทางช่วงเทศกาลปีใหม่ 2567 และอำนวยความสะดวกในการเดินทางสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนืออีกด้วย

สำหรับภาพรวมโครงการทางหลวงพิเศษหมายเลข 6 สายบางปะอิน - นครราชสีมา ระยะทาง 196 กิโลเมตร งานโยธาแบ่งการก่อสร้างเป็น 40 ตอน ปัจจุบันก่อสร้างแล้วเสร็จ 28 ตอน และอยู่ระหว่างการก่อสร้าง 12 ตอน โดยโครงการมีความคืบหน้า 92 % (สรุป ณ เดือนกันยายน 2566) งานโยธาจะดำเนินการแล้วเสร็จในปีนี้อีก 2 ตอน คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จตลอดสายทางในเดือนมิถุนายน 2568

อย่างไรก็ตามเมื่อโครงการแล้วเสร็จจะเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์สำคัญ ที่จะช่วยเติมเต็มโครงข่ายการคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์ เปิดประตูการค้าในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มความสะดวกสบาย รวดเร็ว และปลอดภัยในการเดินทาง พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดียิ่งขึ้น

‘อนุทิน’ เล็ง!! ‘ขยายเวลาปิดสถานบันเทิง’ หลัง ‘นายก’ สั่งการตรง หวังฟื้นฟูเศรษฐกิจ

เมื่อวานนี้ (5ต.ค.66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ให้สัมภาษณ์ถึงนโยบายขยายเวลาปิดสถานบันเทิงเพื่อรองรับการท่องเที่ยวว่าได้รับนโยบายนี้มาจากรัฐบาล ซึ่งเราก็จะพิจารณาจังหวัดท่องเที่ยวเป็นหลัก และดูโซนจังหวัดที่มีความเหมาะสมที่จะขยายเวลา รวมถึงต้องดูเรื่องความปลอดภัย หากปลอดภัยก็จะอนุญาตให้เปิดได้

เมื่อถามว่าจะนำร่องขยายเวลาปิดสถานบันเทิงในพื้นที่ท่องเที่ยวก่อนใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า คงไม่ใช่นำร่อง แต่เมื่อเป็นนโยบายของนายกฯ ที่สั่งการตรงมาที่ตน เพื่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงผู้ที่ทำงานในระบบกลางคืนทั้งหมดที่เคยประสบปัญหาจากช่วงโควิด แต่ขณะนี้เราพ้นจากสถานการณ์โควิดมาแล้ว เราก็ต้องให้โอกาสพวกเขากลับมาฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจของเขาให้เร็วที่สุด

'99 นักวิชาการเศรษฐศาสตร์' นำทัพ!! ค้านแจกเงินดิจิทัล ดึงเงินเฟ้อสูง แถมเสียโอกาสลุยโครงสร้างพื้นฐาน

(6 ต.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นักวิชาการและคณาจารย์เศรษฐศาสตร์จำนวน 99 คน ได้ออกแถลงการณ์คัดค้านและเรียกร้องให้ รัฐบาลยกเลิก ‘นโยบายแจกเงิน digital 10,000 บาท’ เพราะเป็นนโยบายที่ ‘ได้ไม่คุ้มเสีย’ โดยยกเหตุผลประกอบด้วย

1.เศรษฐกิจกำลังอยู่ในภาวะฟื้นตัว โดยสำนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวประมาณ 2.8% ในปีนี้และ 3.5% ในปีหน้าจึงไม่มีความจำเป็นที่รัฐจะต้องใช้จ่ายเงินจำนวนมากเพื่อกระตุ้น การบริโภคภายในประเทศการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ผ่านมามีการบริโภคส่วนบุคคลเป็นตัวจักรสำคัญ ในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ การบริโภคขยายตัวถึง 7.8% ซึ่งสูงที่สุดใน 20ปี คิดเป็นกว่า 2 เท่าของค่าเฉลี่ย 10 ปี คาดว่าปีนี้ทั้งปีจะขยายตัว 6.1% และ 4.6% ในปีหน้า จึงไม่มีความจำเป็นที่รัฐจะกระตุ้นการบริโภคส่วนบุคคล แต่ควรเน้นการใช้จ่ายของภาครัฐในการสร้างศักยภาพในการลงทุนและการส่งออกมากกว่า

นอกจากนี้ การกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศยังอาจจะเป็นปัจจัยให้เกิดเงินเฟ้อสูงขึ้นมาอีก หลังจากที่เงินเฟ้อได้ลดลงจาก 6.1% มาอยู่ที่ ประมาณ 2.9% ในปีนี้ ท่ามกลางราคาพลังงานที่มีแนวโน้มสูงขึ้นในระยะหลัง การกระตุ้นการบริโภคในช่วงเวลานี้จะทำให้เงินเฟ้อคาดการณ์ (inflationexpectation) สูงขึ้น และอาจนำไปสู่สภาวะที่ต้องขึ้นดอกเบี้ยในที่สุด

2.เงินงบประมาณของรัฐที่มีจำกัดย่อมมีค่าเสียโอกาสเสมอ เงินจำนวนมากถึงประมาณ 560,000 ล้านบาทนี้ ทำให้รัฐเสียโอกาสที่จะลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ในการสร้าง digital infrastructure หรือในการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ เป็นต้น เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งล้วนแต่จะสร้างศักยภาพในการเจริญเติบโตในระยะยาวแทนการใช้เงินเพื่อการกระตุ้นการบริโภคระยะสั้น ๆ ซึ่งไม่สมเหตุสมผลต่อการสร้างภาระหนี้สาธารณะให้เป็นภาระแก่คนรุ่นต่อไปค่าเสียโอกาสสำคัญคือการใช้เงินสร้างงานเพื่อสร้างรายได้ให้ประชาชน

3.การกระตุ้นเศรษฐกิจให้รายได้ประชาชาติ (GDP) ขยายตัวโดยรัฐแจกเงินจำนวน 560,000 ล้านบาทเข้าไปในระบบเป็นการคาดหวังที่เกินจริงเพราะปัจจุบัน ข้อมูลเชิงประจักษ์จากงานวิจัยทำให้นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่า ตัวทวีคูณทางการคลัง (fiscal mutiplier) ที่เกิดจากการใช้จ่ายของรัฐในลักษณะเงินโอนหรือการแจกเงิน มีค่าต่ำกว่า 1 และต่ำกว่าตัวทวีคูณทางการคลังสำหรับการใช้จ่ายโดยตรงและการลงทุนของภาครัฐ การที่ผู้กำหนดนโยบายหวังว่านโยบายนี้จะกระตุ้นเศรษฐกิจจึงเป็นสิ่งที่เลื่อนลอยไม่มีใครเสกเงินได้ ไม่มีเงินที่งอกจากต้นไม้ ไม่มีเงินที่ลอยมาจากฟ้าไม่ว่าจะแอบซ่อนมาในรูปใดก็ตาม สุดท้ายแล้วประชาชนจะต้องจ่ายคืนเสมอไม่ว่าจะเป็นลักษณะจ่ายภาษีเพิ่มขึ้น และ/หรือ ราคาสินค้าแพงขึ้นเพราะเงินเฟ้ออันเนื่องจากการเพิ่มปริมาณเงิน

4. เราอยู่ในวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นมาตั้งแต่ปี 2565 เพราะเงินเฟ้อสูงขึ้นมาก การก่อหนี้จำนวนมาก ไม่ว่ารัฐบาลจะออกพันธบัตรหรือกู้เงินจากรัฐวิสาหกิจหรือกู้สถาบันการเงินของภาครัฐ ก็ล้วนแต่จะทำให้รัฐบาลและคนทั้งประเทศต้องเผชิญกับอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นทั้งสิ้น หนี้สาธารณะของรัฐที่ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 10.1 ล้านล้านบาท หรือ 61.6% ของรายได้ประชาชาติ (GDP) จะต้องมีภาระที่จะต้องจ่ายดอกเบี้ยสูงขึ้นในยามที่ต้องจ่าย คืนหรือกู้ใหม่ ซึ่งจะมีผลต่อการเงินงบประมาณของรัฐในแต่ละปี นี่ยังไม่นับจำนวนเงินค่าดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นจากการแจกเงิน digital คนละ 10,000 บาทนี้ด้วย

5.ในช่วงที่โลกเผชิญกับวิกฤตโรคระบาดและภาวะเศรษฐกิจถดถอยรัฐบาลแทบทุกประเทศต่างก็จำเป็นที่จะต้องมีการขาดดุลการคลังและสร้างหนี้จำนวนมากเพื่อใช้จ่ายทางด้านสาธารณสุข กระตุ้นเศรษฐกิจ และเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ แต่หลังจากวิกฤตโรคระบาดและภาวะเศรษฐกิจถดถอยผ่านไป หลายประเทศได้แสดงเจตนารมณ์ที่ฉลาดรอบคอบโดยลดการขาดดุลภาครัฐและหนี้สาธารณะลง (fiscal consolidation) ทั้งนี้เพื่อสร้าง ‘ที่ว่างทางการคลัง’ (fiscal space) ไว้รองรับวิกฤตเศรษฐกิจในอนาคต

“นโยบายแจกเงิน digital 10,000 บาทนี้ ดูจะสวนทางกับสิ่งที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทยที่มีอัตราส่วนรายรับจากภาษี เพียง 13.7% ของรายได้ประชาชาติ (GDP) ซึ่งถือว่าต่ำกว่าประเทศอื่น ๆ มากการทำนโยบายการคลังโดยไม่รอบคอบระมัดระวัง และไม่คำนึงถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ยังจะส่งผลต่ออันดับความน่าเชื่อถือ (creditrating) ของประเทศ ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการกู้เงินของทั้งภาครัฐบาลและภาคเอกชนไทยสูงขึ้นกว่าที่ควรจะเป็นด้วย”

6.การแจกเงินคนละ 10,000 บาท ให้ทุกคนที่อายุเกิน 16 ปี เป็นนโยบายที่สร้างความไม่เป็นธรรมในสังคมอย่างยิ่ง เศรษฐีและมหาเศรษฐี ที่อายุเกิน 16 ปี ล้วนได้รับเงินช่วยเหลือ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีความจำเป็น สำหรับประเทศที่เข้าสู่สังคมสูงวัยเช่นประเทศไทย การเตรียมตัวทางด้านการคลังเป็นสิ่งจำเป็น ขณะที่จำนวนคนในวัยทำงานลดลง แต่สัดส่วนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ภาระการใช้จ่ายทางด้านสวัสดิการและ สาธารณสุขจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก ผู้บริหารประเทศที่มองการณ์ไกลจึงควรใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่าและรักษาวินัยและเสถียรภาพทางด้านการคลังอย่างเคร่งครัด

ด้วยเหตุผลต่างๆ ข้างต้น บรรดานักวิชาการและคณาจารย์เศรษฐศาสตร์ จึงเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิก 'นโยบายแจกเงิน digital 10,000บาท' แก่ผู้มีอายุ 16 ปีขึ้นไป เพราะประโยชน์ที่ประเทศจะได้นั้นน้อยกว่าต้นทุนที่เสียไปอย่างมาก นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างบรรทัดฐานให้มีการแจกเงินเพื่อกระตุ้นให้คนจับจ่ายใช้สอยในระยะสั้น ๆ โดยไม่คำนึงถึงวินัยและเสถียรภาพการคลังในระยะยาวแม้รัฐบาลทุกรัฐบาลจะต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ต้องไม่ทำลายความยั่งยืนทางการคลังในระยะยาว หากจำเป็นที่จะต้องมีมาตรการช่วยเหลือกลุ่มคนรายได้น้อย ก็ควรทำแบบเฉพาะเจาะจงแทนการเหวี่ยงแหครอบคลุมคนทุกกลุ่ม เพราะเสถียรภาพทางการคลังของไทยและความสามารถในการจัดเก็บภาษี ไม่เอื้อให้ประเทศทำเช่นนั้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top