ลอกเลนส์ นักเศรษฐศาสตร์โลก จากเวที World Economic Forum คาด ศก.6-12 เดือนข้างหน้าสุดท้าทาย แต่ไม่ใช่ให้แตกตื่น
ไม่นานมานี้ นายสันติธาร เสถียรไทย Group Chief Economist และกรรมการผู้จัดการใหญ่ของบริษัท Sea Group โพสต์ข้อคิดเกี่ยวกับทิศทางอนาคตเศรษฐกิจโลกลงในเฟซบุ๊กส่วนตัวไว้อย่างน่าสนใจ ระบุว่า...
รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เป็นตัวแทนกลุ่มนักเศรษฐศาสตร์จากทั่วโลกของ World Economic Forum (WEF) ไปเสวนารอบพิเศษเรื่องทิศทางอนาคตเศรษฐกิจโลก (Special Agenda Dialogue on the Future of the Global Economy)
เลยเอาข้อคิดที่สำคัญมาฝากครับ (ยาวนิดนะครับ)
ควรเตรียมรับมือเศรษฐกิจโลกถดถอย แต่จีนอาจเป็นม้ามืด
ไม่ว่าจะถึงขั้น Recession ไหมหรือจะนิยามเศรษฐกิจถดถอยว่ายังไง สิ่งที่จะเกิดขึ้นแน่ๆ ในช่วง 6-12 เดือนข้างหน้า คือเศรษฐกิจโลกอาการไม่เบาแน่
รายงานสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ 22 คนทั่วโลกพบว่า ส่วนใหญ่ต่างเห็นตรงกันว่าทั้งธุรกิจและคนวางนโยบายควรต้องเตรียมรับมือ Global Recession ในปี 2566 (2023) จากการที่ธนาคารกลางในเศรษฐกิจขนาดใหญ่หลายแห่งขึ้นดอกเบี้ยพร้อมๆ กันเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อที่อาจจะยังดื้อดึงไม่ลงง่ายๆ
โดย 90% ของนักเศรษฐศาสตร์ในแบบสำรวจมองว่ายุโรปอาการหนักแน่ๆ ตั้งแต่ปลายปีนี้จากวิกฤติพลังงานที่ทำให้เศรษฐกิจซบเซาพร้อมเงินเฟ้อสูง (Stagflation)
นอกจากนั้น หลายคนมองเศรษฐกิจอเมริกาจะแย่ลงอย่างชัดเจนในปีหน้าเมื่อฤทธิ์ยาขมจากดอกเบี้ยสูงออกผลเต็มที่ (ดอกเบี้ยเป็นเหมือนยาแรงที่ใช้เวลากว่าจะออกฤทธิ์)
แต่อย่างไรก็ตาม มีบางคนเหมือนกันที่มองว่าจีนอาจเป็นม้ามืด เพราะต่อไปอาจผ่อนคลายนโยบายซีโร่โควิดเปิดให้มีการเดินทางรวมถึงต่างประเทศได้มากขึ้น และอาจปล่อยยาแรงมากระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้นผ่านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในต้นปีหน้า
แต่ทั้งนี้อย่างเก่งก็แค่ช่วยบรรเทาอาการทรุดของเศรษฐกิจโลกไม่พอที่จะพยุงเศรษฐกิจโลกคนเดียวในเวลาที่อเมริกาและยุโรปต่างชะลอตัว
จากท่องเที่ยวไปส่งออก แล้วกลับไปท่องเที่ยวใหม่
แต่ไม่ใช่ทุกอย่างจะแย่ไปหมด
ก่อนโควิด ภาคบริการโดยเฉพาะการท่องเที่ยว เป็นหัวหอกของการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะสำหรับประเทศไทย
แต่พอโควิดมาท่องเที่ยวแห้งเหือดกลายเป็นการส่งออกสินค้ากลับมาเป็นตัวละครหลักผลักดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจต่างๆ รวมทั้งประเทศไทยในปีที่ผ่านมา
ตั้งแต่นี้ไปเราอาจกลับไปหนังม้วนเก่าคือท่องเที่ยวที่กำลังฟื้นตัวต่อเนื่องเป็นพระเอกอีกครั้ง
สถานการณ์ด้านพลังงานในยุโรป เป็นหนึ่งในโอกาสสำคัญที่อาจทำให้การเดินทางมาพักผ่อนหรือทำงานในประเทศไทย มีความน่าสนใจเพิ่มขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งจะเป็นแรงสนับสนุนที่สำคัญของเศรษฐกิจไทยในปีหน้า อันเป็นช่วงที่ภาคการส่งออกอ่อนแอลงจากกำลังซื้อที่ลดลงของเศรษฐกิจใหญ่ๆ
ประเทศที่พึ่งพาทั้งส่งออกและท่องเที่ยวอย่างไทยจะได้อย่างเสียอย่าง ส่งออกจะกลายเป็นตัวฉุดและเราก็ต้องกลับไปพึ่งการท่องเที่ยวเป็นพระเอกเช่นเคย
การดูแลให้ท่องเที่ยวฟื้นตัวได้ต่อเนื่องจึงจะยิ่งสำคัญในปีหน้า
กำลังซื้อลดลง คนจนเพิ่มขึ้น นโยบายต้องช่วยคนตัวเล็ก
ปัญหาค่าครองชีพดูแค่ตัวเลขเงินเฟ้อไม่ได้
เงินเฟ้อเป็นเสมือนภาษีของคนรายได้น้อย
นักเศรษฐศาสตร์กว่า 80% ในแบบสำรวจมองว่ากำลังซื้อคนจะลดลงเพราะรายได้และค่าแรงจะไม่สามารถปรับตามเงินเฟ้อได้ทำให้เงินในกระเป๋าลดลง
และ 90% ของนักวิเคราะห์กลุ่มนี้มองว่าคนจนจะเพิ่มขึ้นหลังจากนี้เพราะเงินเฟ้อที่มาจากราคาพลังงานและอาหารกระทบคนรายได้น้อยมากกว่าคนรายได้สูง
แม้ตัวเลขเงินเฟ้อน่าจะปรับตัวลงในปีหน้าแต่ปัญหาค่าครองชีพยังอาจจะไม่ได้หายไปเพราะรายได้คนไม่ได้ปรับขึ้นตามและราคาสินค้าจำนวนมากอาจไม่ได้ปรับลงเมื่อราคาพลังงานลดลง
มาตราการช่วยกลุ่มคนตัวเล็กของรัฐจึงจะมีบทบาทสำคัญมาก รัฐบาลต่างๆ ในวันนี้อาจไม่ได้มีเงินในกระเป๋าตังค์มากพอที่จะใช้กระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่อีกรอบ จึงต้องใช้นโยบายการคลังที่ยิงแม่นตรงจุดมากขึ้นช่วยคนที่ไม่สามารถช่วยตนเองได้จริงๆ
ประเทศต่างๆ ควรฉวยโอกาสที่คนใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมากขึ้นในยุคหลังโควิด เอาเทคโนโลยีมาปรับช่วยคนเล็ก เช่น ส่งเสริมอีคอมเมิร์ซให้ช่วย SME ขยายตลาดใหม่ กระจายความเสี่ยง ใช้ฟินเทคช่วยให้คนเข้าถึงบริการการเงิน เช่น สินเชื่อ ประกัน ได้ดีขึ้น ไม่ต้องหันไปพึ่งเงินนอกระบบ เป็นต้น
โลกแตกแยกขึ้น ธุรกิจเร่งรีบปรับตัวต่อโลกใหม่มากขึ้น
