Tuesday, 21 May 2024
Easthern

ประจวบคีรีขันธ์ - ครบรอบ 135 ปี วันสถาปนา กรมทหารราบที่ 13 มอบโล่ประกาศเกียรติคุณผู้ที่ให้การสนับสนุน

พ.อ.จักรพงษ์ โพธิ์นาแค ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 13 พร้อมด้วยข้าราชการ และพนักงาน ร่วมกันจัดงานเนื่องในวันสถาปนา กรมทหารราบที่ 13 ครบรอบ 135 ปี โดยมี พล.ต.ณรงค์ สวนแก้ว ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 3 เป็นประธานในพิธีฯ ซึ่งในการจัดงานพิธีเนื่องในวันสถาปนา กรมทหารราบที่ 13 ในครั้งนี้ ได้มีการบวงสรวงถวายสักการะบูรพกษัตรย์, การประกอบพิธีทางศาสนาเพื่อทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับกำลังพลที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน , การมอบโล่ประกาศเกียรติคุณ/หน่วยงานที่ให้การสนับสนุนภารกิจของ กรมทหารราบที่ 13 มาอย่างต่อเนื่อง

โดยมีแขกผู้มีเกียรติ มาร่วมงานเป็นจำนวนมาก ทั้งอดีต ผู้บังคับบัญชาของหน่วย , อดีตข้าราชการของหน่วย, นักธุรกิจจังหวัดอุดรธานี และส่วนราชการต่าง ๆ มาร่วมงานจำนวนมาก ทั้งนี้หน่วยได้ดำเนินการจัดพิธีฯ ตามมาตรการในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 อย่างเคร่งครัด 

พล.ต.ณรงค์ สวนแก้ว ผบ.พล.ร.3 ได้พบปะพูดคุยสอบถามชีวิตความเป็นอยู่ของอดีตข้าราชการของหน่วย เพื่อพัฒนาสัมพันธ์และแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ตลอดจนหาแนวทางให้การช่วยเหลือ เมื่อได้รับความเดือดร้อนในโอกาสต่อไป

“กรมทหารราบที่ 13” มีประวัติความเป็นมาดังนี้ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โดยมีเจ้าพระยามหาอำมาตย์ (ชื่น กัลยานมิต) เป็นแม่ทัพ จนเหตุการณ์สงบ เมื่อปี พ.ศ.2418 ต่อมาในปี พ.ศ. 2426 พวกฮ่อรุกรานเมืองหลวงพระบางอีก จึงโปรดให้พระยาพิชัย (มิ่ง) พระยาสุโขทัย (ครุธ) ยกกำลังไปปราบ แล้วให้พระยาราชวรานุกูล (เอก บุญยรัตนพันธุ์) เป็นแม่ทัพ จนถึงปี พ.ศ. 2428 แต่ไม่สำเร็จ จึงได้ถอนกำลังจากทุ่งเชียงคำกลับมายังเมืองหนองคาย เนื่องจากขาดเสบียงอาหารและแม่ทัพ คือ พระยาราชวรานุกูล ถูกฮ่อยิงบาดเจ็บ ดังนั้นในปี พ.ศ. 2428 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 จึงโปรดเกล้าฯ ให้กรมทหารที่ได้รับการฝึกหัดตามแบบยุโรปขึ้นไปปราบฮ่อ

โดยจัดเป็นสองกองทัพคือกองทัพฝ่ายเหนือ มีนายพันเอก เจ้าหมื่นไวยวรนาถ (เจิม แสงชูโต)  เป็นแม่ทัพยกไปปราบฮ่อ ในแคว้นหัวพันห้าทั้งหกและแคว้นสิบสองจุไท กองทัพฝ่ายใต้  มีนายพันเอกพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม เป็นแม่ทัพ ยกไปปราบฮ่อในแคว้นเมืองพวน และได้ตั้งกองบัญชาการกองทัพอยู่ที่เมืองหนองคาย แล้วให้ พระอมรวิไสยสรเดช (โต บุนนาค) เป็นทัพหน้าเข้าตีค่ายฮ่อที่ทุ่งเชียงคำ จนกระทั่ง พ.ศ. 2429  สามารถปราบฮ่อได้ราบคาบ จึงยกกำลังส่วนหนึ่งกลับถึงกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2540 และคงกำลังส่วนหนึ่งไว้ในบังคับบัญชาของ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม

และนี่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของหน่วยทหารของ กรมทหารราบที่ 13 โดยมี พันเอกพระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม เป็นผู้บังคับหน่วยคนแรก และต่อมา ในปี พ.ศ.2434 ได้จัดตั้งเป็นมณฑลลาวพวน โดยกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ดำรงตำแหน่งเป็นข้าหลวงต่างพระองค์สำเร็จราชการมณฑลลาวพวน มีกองบัญชาการมณฑลที่เมืองหนองคาย ภายหลังการปราบปรามฮ่อสงบแล้ว ไทยมีกรณีพิพาทกับฝรั่งเศสเรียกว่า “กรณีพิพาท ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436)” ด้วยพระปรีชาญาณของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ที่ทรงยอมเสียสละส่วนน้อย เพื่อรักษาประเทศไว้  จึงทรงสละดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ให้แก่ฝรั่งเศส และปฏิบัติตามสนธิสัญญาที่ทำขึ้นระหว่าง 2 ประเทศ โดยห้ามประเทศสยามตั้งกองทหาร และป้อมปราการอยู่ในรัศมี 25 กิโลเมตรของฝั่งแม่น้ำโขง

ดังนั้นเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2436 จึงได้เคลื่อนย้าย มณฑลลาวพวน ลงมาทางใต้เข้าที่ตั้งบริเวณบ้านหมากแข้งริมหนองนาเกลือ (หนองประจักษ์) กระทั่งเมื่อปี พ.ศ.2443 ได้เปลี่ยนนามหน่วยจากมณฑลลาวพวน เป็น มณฑลอุดร ต่อมาในปี พ.ศ. 2450 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้มีกระแสพระบรมราชโองการให้จัดตั้งเมืองอุดรธานีอยู่ในเขตการปกครองของ มณฑลอุดร ขึ้นที่บ้านหมากแข้งโดยให้ย้ายกำลังทหารจากหนองนาเกลือ มาตั้งอยู่ที่ ริมหนองขอนกว้าง ซึ่งเป็นที่ตั้งของค่ายประจักษ์ศิลปาคมในปัจจุบัน กำลังทหารในขณะนั้นมี 2 หน่วยคือ กรมทหารปืนใหญ่ที่ 5 และกรมทหารราบที่ 7 

ปี พ.ศ.2451 กรมทหารปืนใหญ่ที่ 5 ได้เปลี่ยนชื่อหน่วยใหม่เป็น กองทหารปืนใหญ่ที่ 10  และเปลี่ยนชื่อ กรมทหารราบที่ 7 เป็น กรมทหารราบที่ 20 ทั้ง 2 หน่วยขึ้นการบังคับบัญชากับ กองพลที่ 10 ปี พ.ศ.2454 กองทหารปืนใหญ่ที่ 10  ย้ายไปตั้งที่จังหวัดอุบลราชธานี ส่วนกรมทหารราบที่ 20  ย้ายไปตั้งที่จังหวัดร้อยเอ็ด  โดยต่อมาในปี พ.ศ. 2456 จึงได้จัดตั้งกรมทหารม้าขึ้นที่จังหวัดอุดรธานี เรียกชื่อว่า กรมทหารม้าที่ 10 ซึ่งต่อมาในปี พ.ศ.2459 ยุบเลิก และเปลี่ยนเป็น กรมทหารราบในกองพลทหารบกที่ 10

ปี พ.ศ.2460 กรมทหารราบในกองพลทหารบกที่ 10 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น กรมทหารพรานในกองพลทหารบกที่ 9 ครั้นถึงปี พ.ศ.2462  กรมทหารพรานในกองพลทหารบกที่ 9 ก็เปลี่ยนชื่อเป็น  กรมทหารพรานในกองพลทหารบกที่ 10 ต่อมากรมนี้ได้ถูกยุบเมื่อปี พ.ศ.2470  เนื่องจากกองทัพบกได้ปรับปรุงกองทัพใหม่ แล้วตั้งเป็น กองพันที่ 2 กรมทหารราบที่ 15

ปี พ.ศ.2471 กรมทหารราบที่ 15   ได้เปลี่ยนชื่อเป็น  กรมทหารราบที่ 6 โดยกองพันที่ 2 กรมทหารราบที่ 15  เดิมได้เปลี่ยนชื่อเป็น กองพันที่ 2 กรมทหารราบที่ 6  ส่วนจังหวัดทหารบกอุดร มีฐานะเป็นจังหวัดทหารบกชั้น  3  มีผู้บังคับกองพันที่ 2 กรมทหารราบที่ 6  เป็นผู้บังคับบัญชา เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานในด้านกิจการต่างๆ ของสายงานจังหวัดทหารบกอุดร คงใช้เจ้าหน้าที่ของหน่วยกำลังรบเป็นส่วนใหญ่ ปี พ.ศ.2475 เปลี่ยนชื่อ กองพันที่ 2 เป็น กองพันทหารราบที่ 18 ปี พ.ศ.2477 กองพันทหารราบที่ 18 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น กองพันทหารราบที่ 22 ปี พ.ศ.2486 กองพันทหารราบที่ 22 ได้แบ่งแยกกำลังส่วนหนึ่งจัดตั้งเป็น กรมทหารราบที่ 13 โดย กรมทหารราบที่ 13  มี พันโท มล.เอก อิศรางกูล เป็น ผู้บังคับการกรม และกองพันทหารราบที่ 22 มี พันโท รัตน์ นพตระกูล เป็นผู้บังคับกองพัน

ปี พ.ศ.2489 กองพันทหารราบที่ 22 เปลี่ยนชื่อเป็น  กองพันที่ 1 และกำหนดให้เป็นหน่วยขึ้นตรงของ กรมทหารราบที่ 13 โดยทั้ง กรมทหารราบที่ 13 และ กองพันที่ 1 กรมทหารราบที่ 13 มีที่ตั้งอยู่ในพื้นที่บริเวณเดียวกันตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา  และในปีเดียวกัน ร.พัน.21 ได้ย้ายที่ตั้งจากจังหวัดเพชรบูรณ์ มาตั้งที่หนองสำโรง โดยเปลี่ยนนามหน่วยเป็น กองพันที่ 2 เป็นหน่วยขึ้นตรงของกรมทหารราบที่ 13

เมื่อปี พ.ศ.2494 ได้รับพระราชทานนามค่ายว่า “ค่ายประจักษ์ศิลปาคม” เพื่อเป็นอนุสรณ์ และถวายพระเกียรติแก่ พลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ในปี พ.ศ.2497 กองทัพบก ได้มีคำสั่ง ทบ. ที่ 28/4221 ลง 1 มีนาคม 2497  จัดตั้ง กองพันที่ 3 ให้เป็นหน่วยขึ้นตรงของ กรมทหารราบที่ 13 โดยมีที่ตั้งบริเวณฝั่งด้านทิศใต้ของหนองสำโรง ตำบลหมูม่น อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี  ร่วมกับกองพันที่ 2 ซึ่งเป็นที่ตั้งของหน่วยจนถึงปัจจุบัน และต่อมาในปี พ.ศ.2498 กรมทหารราบที่ 13 แปรสภาพเป็น กรมผสมที่ 13 จนถึงปี พ.ศ.2510 โดยผู้บังคับการจังหวัดทหารบกอุดร และผู้บังคับการกรมผสมที่ 13 ซึ่งเดิมเป็นคนเดียวกัน ได้แยกกันอย่างเด็ดขาด และมีบทบาทหน้าที่โดยเฉพาะตามตำแหน่งที่ปฏิบัติงาน

 

ชลบุรี - เมืองพัทยาพร้อมรับ! นทท. หลังเปิดลงทะเบียนเข้าไทยแบบ Test&Go และ Sandbox จะทำให้ยอดท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น!!

จากที่ ศบค. มีมติขยาย Sandbox ในพื้นที่จังหวัดชลบุรี อ.บางละมุง เมืองพัทยา อ.ศรีราชา อ.เกาะสีชัง อ.สัตหีบ เฉพาะ ต.นาจอมเทียน ต.บางเสร่ และเกาะช้าง จังหวัดตราด และเห็นชอบให้เปิดลงทะเบียนเข้าไทยแบบ Test&Go โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.65 นี้เป็นต้นไป

นายสนธยา คุณปลื้ม นายกเมืองพัทยา กล่าวว่า หลังจากที่ ศบค. มีมติให้ขยาย Sandbox ในพื้นที่ อ.บางละมุง เมืองพัทยา อ.ศรีราชา อ.เกาะสีชัง อ.สัตหีบ เฉพาะ ต.นาจอมเทียน ต.บางเสร่ จะส่งผลให้พื้นที่ธุรกิจการท่องเที่ยวเปิดกว้างมากยิ่งขึ้น โดยเราสามารถกำหนดพื้นที่ที่เป็น Sandbox และมีมาตรการที่ได้เสนอต่อ ศบค. ไปแล้วนั้น ทั้งในเรื่องการติดตามนักท่องเที่ยวเข้ามาเพื่อที่จะทำให้การดำเนินการตามโครงการ Sandbox  เป็นไปตามเป้าหมาย ซึ่งจะทำให้พื้นที่จังหวัดชลบุรี เป็นพื้นที่ธุรกิจท่องเที่ยว รวมไปถึงเศรษฐกิจของประเทศได้กระเตื้องขึ้น ทำให้เศรษฐกิจท่องเที่ยวฟื้นตัว โดยใช้  Sandbox เข้ามา หลังจากที่มีการเปิดลงทะเบียนเข้าไทยแบบ Test&Go และโครงการอื่นไว้แล้ว ซึ่งเป็นโอกาสที่ดี ในพื้นที่จังหวัดชลบุรี

ระยอง - เผย!ใช้สารเคมี Dispersant 80,000 ลิตร ในการสลายคราบน้ำมันดิบรั่วไหลกลางทะเล เร่งฟื้นฟู! ‘ชายหาดแม่รำพึง’ สร้างความเชื่อมั่นแก่นักท่องเที่ยวเล่นน้ำทะเล และความปลอดภัยอาหารทะเล

กองอำนวยการปฏิบัติการกู้คราบน้ำมันรั่วไหล จังหวัดระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอนันต์ นาคนิยม รองผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง พล.ร.ต.อภิชาต วรภมร รองโฆษกกองทัพเรือ และนายธวัช เจนการ หน.อุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า-หมู่เกาะเสม็ด ร่วมแถลงข่าวความคืบหน้าการปฏิบัติการกู้คราบน้ำมันของ บ.SPRC รั่วไหลกลางทะเล จังหวัดระยอง

พล.ร.ต.อภิชาต วรภมร รองโฆษกกองทัพเรือ ได้ยืนยันว่าตั้งแต่ปฏิบัติภารกิจมาวันเกิดเหตุวันที่ 25 ม.ค.ไม่เหลือคราบน้ำมันหลงเหลือในพื้นที่ผิวชายหาด แต่ในทะเลที่สลายในทะเลอาจจะหลงเหลืออยู่บ้าง อาจจับตัวแป็นก้อนเล็กๆ ขึ้นฝั่ง แต่ก็มีเจ้าหน้าที่ชุดเฝ้าระวังตามหาดต่างๆ ตลอด 24 ชม.เข้าไปเก็บกู้ให้กระทบชายหาดน้อยที่สุด ส่วนการปฏิบัติการกู้คราบน้ำมันครั้งนี้ มีการขออนุญาตใช้สารเคมี Dispersant สลายคราบน้ำมันในทะเล ประมาณ 80,000 ลิตรเศษ ซึ่งจาก 2 วันที่ผ่านมา ไม่ได้มีการใช้สารเคมีสลายคราบน้ำมันเลย ส่วนคราบน้ำมันที่เก็บกู้ขึ้นมาจะมีการนำไปกำจัดอย่างถูกวิธีต่อไป

ด้านนายอนันต์ นาคนิยม รอง ผวจ.ยอมรับว่ากังวลกับการแก้ไขเหตุการณ์และความปลอดภัยของประชาชนที่มาเล่นน้ำ ได้มีการประชาสัมพันธ์งดเล่นน้ำหาดแม่รำพึงไปก่อน ส่วนหาดอื่น และเกาะเสม็ดก็สามารถมาเที่ยวได้ไม่ได้รับผลกระทบ ซึ่งบรรยากาศท่องเที่ยวจังหวัดจะได้โฟกัสหาดแม่รำพึง พยายามให้สภาพความสวยงามกลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุด และจะสร้างความเชื่อมั่นแก่นักท่องเที่ยวในการเล่นน้ำทะเลและความปลอดภัยอาหารทะเลด้วย

ระยอง - ‘นายกช้าง’ ประกาศพร้อม!เป็นตัวกลางเจรจา ‘เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบน้ำมันรั่ว’ หากไม่ได้รับความเป็นธรรม!!

ที่ห้องประชุมชั้น 3 อบจ.ระยอง ต.เนินพระ อ.เมือง จ.ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายปิยะ ปิตุเตชะ นายก อบจ.ระยอง ร่วมแถลงข่าวกับ สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว หอการค้าจังหวัดระยอง ประมงพื้นบ้านเรือเล็ก และกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในจังหวัดระยอง ทั้งนี้เพื่อหาข้อสรุปในการเจรจากับบริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด(มหาชน) เพื่อเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากคราบน้ำมันรั่วไหล

นายปิยะ ปิตุเตชะ นายก อบจ.ระยอง กล่าวว่า วันนี้เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ได้รับผลกระทบจากคราบน้ำมันทุกกลุ่มมาพูดคุยกัน ทบทวนมาตรการในการเยียวยาให้เป็นที่พอใจทั้งกลุ่มผู้ประกอบการท่องเที่ยว กลุ่มชาวประมง กลุ่มร้านอาหารทะเล ฯลฯ ซึ่งจะต้องได้รับการเยียวยาโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้หากไปยื่นเรื่องศูนย์ดำรงธรรมที่ตั้งขึ้นมาแล้ว ไม่พอใจ ทาง อบจ.ก็พร้อมที่จะเป็นตัวกลางในการเจรจากับทางบริษัทฯเรียกร้องค่าเยียวยาให้ เพื่อให้ได้รับความเป็นธรรมที่สุด ส่วนการกระตุ้นภาคท่องเที่ยว อบจ.ระยอง มีแผนเตรียมจัดงานอีเวนต์เร็ว ๆ นี้ เพื่อดึงนักท่องเที่ยวเข้ามาในพื้นที่ โดยชายหาดพื้นที่อื่น ๆ ของจังหวัดไม่ได้รับผลกระทบ จึงอยากเชิญชวนให้มาเที่ยวกัน

สุวรรณา โดตี้ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวระยอง กล่าวว่า เหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลที่เกิดขึ้น เป็นการรับเคราะห์ซ้ำของชาวระยอง ภาคท่องเที่ยวได้รับผลกระทบ ปัจจุบันที่เห็นชัดคือนักท่องเที่ยวหายไป เนื่องจากไม่มั่นใจพบยอดจองห้องลดลง อยากให้มีการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบโดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะพื้นที่ที่ได้รับกระทบโดยตรง และพื้นที่อื่นก็ได้นับว่าได้ผลกระทบเช่นกัน และที่สำคัญต้องการให้มีมาตรการป้องกันแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่มีมาตรฐาน และมีแผนกระตุ้นท่องเที่ยวที่เป็นรูปธรรม เพื่อดึงนักท่องเที่ยวให้กลับมาโดยเร็ว ในส่วนการตรวจสอบนั้น อยากให้ภาคเอกชน เข้าไปมีส่วนร่วมในการตรวจสอบวัสดุอุปกรณ์ของบริษัทฯ ด้วย ไม่อยากให้เกิดขึ้นอีก

นายธนู ทิพย์มณี รองประธานกลุ่มประมงพื้นบ้านเรือเล็กแหลมเทียน กล่าวว่า ชาวประมงหากินลำบากอยู่แล้ว ต้องมาได้รับผลกระทบคราบน้ำมันรั่วไหลซ้ำเติมอีก ต้องสูญเสียรายได้นับหมื่นบาทต่อเดือน ทางกลุ่มได้มีการปรึกษากลุ่มประมงมีอยู่ประมาณ 40 กลุ่ม อยากให้บริษัทฯ เยียวยาเบื้องต้นใช้เกณฑ์การเยียวยาปี 56 คือ วันละ 3,000 บาท ทั้งนี้บริษัทฯ ต้องเข้ามาคุยกับกลุ่มประมงโดยตรง เพื่อจะได้พูดคุยการเยียวยาจะฟื้นฟูทะเลอย่างไรด้วย เพื่อให้สัตว์น้ำกลับมาอุดมสมบูรณ์  ซึ่งทะเลระยองเป็นของทุกคน ขอเรียกร้องให้มาช่วยกันปกป้องทะเลระยอง เพื่อลูกหลานจะได้มีอาชีพ และมีสัตว์น้ำไว้กินตลอดไป ส่วนการทำประมงขณะนี้ได้ขอให้งดวางอวนจับสัตว์น้ำในช่วงนี้ ให้การกู้คราบน้ำมันเสร็จสิ้นเสียก่อน

 

ชลบุรี - สส.พัทยา ปิ้งไอเดียเดือนแห่งความรัก!! ‘แจกหมวกนิรภัย’ ให้ชาวบ้านแทนความห่วงใย

สส.กวินนาถ ตาคีย์ สส.จังหวัดชลบุรี พร้อมทีมงาน ร่วมกับ สภ.หนองปรือ โดย พ.ต.ท.เอกณัฎฐ์ สกุลผุยมูล สวป.สภ.หนองปรือ พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร สภ.หนองปรือ ลงพื้นที่บริเวณหน้าตลาดรัตนากรไร่วนาสินธุ์ ตั้งอยู่ภายในซอยพรประภานิมิตร (ซอยสนามกอล์ฟ) ต.หนองปรือ  อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เพื่อแจกหมวกนิรภัยให้กับประชาชนทั่วไปจำนวน 200 ใบ

การลงพื้นที่แจกหมวกนิรภัยในครั้งนี้ เนื่องจากเดือนนี้เป็นเดือนแห่งความรัก ซึ่งทาง สส. และทีมงานมีความรักและห่วงใยประชาชนในพื้นที่ จึงร่วมกับ สภ.หนองปรือลงพื้นที่ แจกหมวกนิรภัยให้กับประชาชนที่ใช้รถจักรยานยนต์เพื่อแทนความรักและความห่วงใย 

 

จันทบุรี - คณะกรรมการพิจารณาโครงการก่อสร้างสิ่งล่วงลำน้ำจังหวัดจันทบุรี ลงพื้นที่ตรวจสอบการขออนุญาตก่อสร้างสิ่งล่วงล้ำลำน้ำ ก่อนพิจารณาแก้ไขปรับปรุงและอนุญาตการก่อสร้าง

วันนี้ (9 ก.พ.65) ที่ พื้นที่การขออนุญาตก่อสร้างสิ่งล่วงลำน้ำ นายอลงกรณ์ แอคะรัจน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี นำคณะกรรมการพิจารณาการก่อสร้างสิ่งล่วงล้ำลำน้ำ ลงพื้นที่ติดตามตรวจสอบการขออนุญาตก่อสร้างสิ่งล่วงล้ำลำน้ำจำนวน 4 แห่ง ก่อนสรุปเสนอแนะแก้ไขปรับปรุงและอนุญาตปลูกสร้างสิ่งล่วงล้ำลำน้ำต่อไป ซึ่งการขออนุญาตก่อสร้างสิ่งล่วงล้ำลำน้ำต้องไม่เป็นปัญหาและอุปสรรคต่อแผนพัฒนาจังหวัด ผังเมือง แลการรักษาสภาพแวดล้อมของจังหวัดรวมทั้งกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

โดยครั้งนี้ คณะได้ลงพื้นที่การขออนุญาตปลูกสร้างสิ่งล่วงล้ำลำน้ำ 4 แห่ง ประกอบด้วย ท่าเทียบเรือขนาดไม่เกิน 20 ตันกรอส อ.ขลุงและท่าเทียบเรือแม่น้ำจันทบุรีบริเวณสะพานเกาะลอย ต.ตลาด อ.เมือง

การขออนุญาตปลูกสร้างสิ่งล่วงล้ำลำน้ำประเภทสะพานข้ามคลองเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนผู้ใช้ทางตามโครงการก่อสร้างโครงข่ายทางหลวงแผ่นดิน กิจกรรมก่อสร้างทางหลวงพัฒนาพื้นที่ระดับภาค เขตรอยต่อ ต.ท่าช้าง อ.เมืองและต.พลอยแหวน อ.ท่าใหม่

ระยอง - พบน้ำมันรั่วไหลกลางทะเล ซ้ำอีกที่จุดเดิม 5,000 ลิตร สาเหตุเกิดจาก เจ้าหน้าที่ยกท่ออ่อนจุดที่รั่วเดิมขึ้นมาตรวจสอบ แต่มีน้ำมันค้างท่อ

เมื่อเวลา 16.00 น. ของวันที่ 10 ก.พ.2565 ที่ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์จังหวัดระยอง กรณีน้ำมันดิบรั่วกลางทะเล หมู่บ้านสบาย สบาย หาดแม่รำพึง อ.เมือง จ.ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ว่าที่ ร.ต.พิรุณ เหมะรักษ์ รอง ผวจ.ระยอง ในฐานะคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงปริมาณการรั่วไหลของน้ำมัน บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด(มหาชน)หรือ SPRC และ นายพุทธิกรณ์ วิชัยดิษฐ อุตสาหกรรมจังหวัดระยอง เปิดแถลงข่าวด่วนหลังมีรายงานว่า มีน้ำมันดิบรั่วไหลกลางทะเลซ้ำจุดเดิมอีก สาเหตุเกิดจากทางบริษัท SPRC ได้มีการยกท่ออ่อนขนถ่ายน้ำมันบริเวณทุ่นขนถ่ายน้ำมันกลางทะเลจุดที่พบการรั่วไหลครั้งที่ผ่านมา ขึ้นมาตรวจสอบแต่พบว่ามีน้ำมันค้างท่ออยู่ จึงเกิดการรั่วไหลลงทะเลซ้ำอีก

ว่าที่ ร.ต.พิรุณ กล่าวว่า เมื่อช่วงเช้าวันนี้ เวลาประมาณ 09.00 น.ได้รับแจ้งจาก บ. SPRC ว่าได้เกิดเหตุน้ำมันรั่วไหลซ้ำอีกจุดเดิมที่มีการรั่วไหลกลางทะเลเมื่อวันที่ 25 ม.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งสาเหตุเกิดจากเจ้าหน้าที่ของ บ.SPRC ได้มีการยกท่ออ่อนจุดที่รั่วไหลขึ้นมาตรวจสอบ แต่พบว่ามีน้ำมันดิบค้างท่ออยู่ จำนวน 5,000 ลิตร เกิดรั่วไหลลงทะเล แต่เป็นน้ำมันที่ไม่หนาแน่นเหมือนครั้งที่ผ่านมา โดยจุดที่พบคราบน้ำมันอยู่ห่างทุ่นขนถ่ายน้ำมันประมาณ 3 ไมล์ทะเล และอยู่ห่างจากฝั่งประมาณ 20 กม. เบื้องต้นทางบริษัทฯ ได้ระดมเรือ จำนวน 9 ลำ และเฮลิคอปเตอร์ 1 ลำ เข้าควบคุมสถานการณ์ โปรยสารเคมีสลายคราบน้ำมันดังกล่าวอย่างเร่งด่วนแล้ว อย่างไรก็ตามมั่นใจว่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ และเอาอยู่ไม่พัดเข้าฝั่งแน่นอน

ระยอง - โฆษกกองทัพเรือแจง ทรภ. 1 ส่งอากาศยาน ขึ้นสำรวจน้ำมันรั่วรอบ 2 ที่ระยอง พบไม่รุนแรง!!

พลเรือโท ปกครอง  มนธาตุผลิน โฆษกกองทัพเรือ ชี้แจงข่าวกรณีเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2565 บริษัทสตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด(มหาชน) หรือ SPRCได้ประกาศภาวะฉุกเฉินน้ำมันรั่วไหล Tier 1  (ภาวะน้ำมันรั่วไหลขนาดเล็ก ไม่เกิน 20 ตัน)  เนื่องจากพบฟิล์มน้ำมันดิบ (สีเงิน) บริเวณทิศเหนือ ห่างจากทุ่นผูกเรือน้ำลึกแบบทุ่นเดี่ยวกลางทะเลประมาณ 3 ไมล์ เนื่องจากมีการเข้าไปเก็บหลักฐานเพื่อประกอบทางคดี และมีการสอบสวนถึงน้ำมันในท่อและระบบซึ่งขณะทำการตรวจสอบ ได้เกิดการรั่วไหลของน้ำมันค้างท่อจำนวนประมาณ 5,000 ลิตร และ บริษัทฯ ได้ขอกำลังทางเรือและอากาศยานจากทัพเรือภาค 1 ขึ้นบินลาดตระเวนตรวจคราบน้ำมันและวางแผนการใช้สารขจัดคราบน้ำมันเพื่อระงับเหตุ ให้เป็นไปอย่างรวดเร็ว และอยู่ในวงจำกัด

ระยอง - ผวจ.ระยอง เผยคราบน้ำมันจ่อประชิดฝั่งห่าง 5 กม. ยัน!เสียใจหลังน้ำมันรั่วรอบ 2 พร้อมตำหนิบริษัทต้นตอ ขาดความระมัดระวัง!! กรมเจ้าท่าแจ้งความดำเนินคดี 4 ข้อหา

เมื่อวันที่ 11 ก.พ.65 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายชาญนะ เอี่ยมแสง ผวจ.ระยอง ได้เดินทางมาตรวจและติดตาม การรับเรื่องราวร้องทุกข์ กรณีคราบน้ำมันดิบรั่วไหล บ.สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จก. หรือ SPRC ที่หมู่บ้านสบาย สบาย รีสอร์ท หาดแม่รำพึง อ.เมือง จ.ระยอง

นายชาญนะ เอี่ยมแสง ผวจ.ระยอง ได้เปิดเผยถึง กรณีเกิดเหตุน้ำมันรั่วไหลกลางทะเล รอบที่ 2 จำนวน 5,000 ลิตร ซึ่งเป็นจุดเดิมที่มีการรั่วไหลเมื่อครั้งที่แล้วว่า จุดที่พบคราบน้ำมันรั่วไหลอยู่ห่างจากฝั่งประมาณ 5 กม. ขณะนี้มีเจ้าหน้าที่ดำเนินการควบคุมสถานการณ์ ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำอีกครั้งนี้ ตนรู้สึกเสียใจ ซึ่งทุกฝ่ายก็ไม่อยากให้เกิดขึ้น เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ต้องมีการแจ้งความดำเนินคดีตามกฎหมายกันไป ทั้งนี้ บริษัท น่าจะทำได้ดีกว่านี้ น่าจะมีความระมัดระวังในการวางแผนเข้าดำเนินการตรวจสอบให้รอบคอบ ซึ่งการขอโทษไม่ได้ช่วยอะไร คิดว่าประชาชนคงรับไม่ได้ เบื้องต้นได้ตำหนิทาง บริษัทฯ ไปแล้ว ผลกระทบที่เกิดขึ้นมีแน่นอน โดยเฉพาะความรู้สึกของประชาชนและนักท่องเที่ยว ส่วนการปลดธงแดง และการลงเล่นน้ำทะเล ต้องขอประเมินสถานการณ์คราบน้ำมันในทะเลอีกรอบ ว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า นายภูริพัฒน์ ธีระกุลพิศุทธิ์ รองอธิบดีกรมเจ้าท่า(จท.) ได้มอบอำนาจให้เจ้าหน้าที่สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาระยอง ในฐานะผู้เสียหายเข้าแจ้งความกับ ร.ต.ท.ไม้ฟ้า ปักเขตานัง ร้อยเวร สภ.มาบตาพุด ดำเนินคดี 4 ข้อหา โดยแบ่งออกเป็น 4 ฐานความผิด คือ

1.ฐานความผิดตามมาตรา 119 ทวิแห่ง พ.ร.บ.การเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ.2456 แก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.การเดินเรือในน่านน้ำไทย(ฉบับที่ 14) พ.ศ.2535 กรณีก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมซ้ำเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งถือเป็นคดีที่ต่างกรรมต่างวาระ กับการกระทำผิด ซึ่งได้ร้องทุกข์ไปแล้ว เมื่อวันที่ 27 ม.ค.2565

ระยอง - ความคืบหน้าในการขจัดคราบ ‘น้ำมันรั่ว’! หลังจากพบมีปริมาณคราบน้ำมันรั่วไหล รอบ 2

ผู้สื่อข่าวรายงาน สถานการณ์และความคืบหน้าในการขจัดคราบน้ำมันรั่วไหล จังหวัดระยองอย่างต่อเนื่อง หลังจากพบมีปริมาณคราบน้ำมันรั่วไหล รอบ 2 เมื่อ 10 ก.พ. ซึ่งน้ำมันลอยอยู่กลางทะเลลักษณะเป็นแผ่นฟิล์มบาง เจ้าหน้าที่ได้นำ Boom ล้อมคราบน้ำมันบริเวณจุดเกิดเหตุและใช้สาร dispersant ฉีดพ่นเพื่อสลายคราบน้ำมันที่รั่วไหล ซี่งคราบน้ำมันยังคงอยู่ที่ตำแหน่งเดิมเนื่องจากไม่มีกระแสลม จุดพิกัด 12°36'36"N  101°18"23E มีระยะห่างจากชายฝั่ง 3.67 กิโลเมตร ห่างจากชายหาดแม่รำพึงประมาณ 8 กิโลเมตร และห่างจากชายฝั่งเกาะเสม็ด 15 กิโลเมตร ซึ่งมีบูมที่ทำการล้อมคราบฟิล์มน้ำมัน รวมพื้นที่ 0.36 ตารางกิโลเมตร บริเวณดังกล่าวมีเรือเฝ้าระวังประจำจุดรั่วไหล จำนวน 11 ลำ ประกอบด้วย เรือ Boom จำนวน 6 ลำ และเรือพ่นสารเคมี จำนวน 5 ลำ และมีการกั้น Boom จำนวน 3 ปาก และมีการกั้น Boom บริเวณหน้าอ่าวพร้าว เกาะเสม็ด จำนวน 2 ปาก

นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ได้ลงพื้นที่ปฏิบัติการตรวจติดตามเส้นทางการแพร่กระจายน้ำมันทางชายหาด และ คืนที่ผ่านมา กำลังพลจากหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง (สอ.รฝ.) ยังคงปฏิบัติหน้าที่ สำรวจชายหาด ทำความสะอาด เก็บขยะบริเวณโดยรอบชายหาดแม่รำพึง จ.ระยอง


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top