Saturday, 21 June 2025
BRN

'ไทย-มาเลย์' หารือ 'แผนปฏิบัติการร่วมเพื่อสร้างสันติสุขฯ' หวังลดความขัดแย้ง-เพิ่มความสงบสุข ในพื้นที่ชายแดนใต้

(22 ก.พ. 66) คณะพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ นำโดย พล.อ.วัลลภ รักเสนาะ กับคณะผู้แทน BRN นำโดย อุซตาส อานัส อับดุลเราะห์มาน ได้พบหารือและพูดคุยแบบเต็มคณะ ครั้งที่ 6 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย โดยมี พล.อ.ตันศรี ดาโตะซรี ซุลกีฟลี ไซนัล อะบิดิน เป็นผู้อำนวยความสะดวก และมีผู้เชี่ยวชาญร่วมสังเกตการณ์ด้วย

ซึ่งผลการพูดคุยฯ มีความคืบหน้าที่สำคัญในการกำหนดแนวทางการปฏิบัติร่วมกัน และกรอบเวลาที่ชัดเจนในการแก้ไข ความขัดแย้งและนำสันติสุขสู่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกอบด้วย

1.) คณะพูดคุยเพื่อสันติสุขฯ และคณะผู้แทน BRN เห็นพ้องที่จะร่วมกันจัดทำ 'แผนปฏิบัติการร่วมเพื่อสร้างสันติสุขแบบองค์รวม' หรือ Joint Comprehensive Plan towards Peace (JCPP) เพื่อเป็นแนวทางขับเคลื่อนการพูดคุย ให้คืบหน้าในรูปแบบที่ครอบคลุมและเป็นองค์รวม อีกทั้ง มีกรอบเวลาที่ชัดเจน ในการปฏิบัติตามเจตนารมณ์ของหลักการทั่วไป ของกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ (General Principles of the Peace Dialogue Process) โดย JCPP จะมีเนื้อหาสำคัญ 2 ส่วน คือ การลดความรุนแรงในพื้นที่ และการจัดการปรึกษาหารือกับประชาชน เพื่อนำไปสู่การแสวงหาทางออกทางการเมือง

‘รัฐบาลมาเลเซีย’ ไม่เคยเห็นด้วยกับ ‘BRN’ ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน คำนึงถึง!! พี่น้องมุสลิมเป็นหลัก แม้คอมมิวนิสต์ จะขยายตัว

(4 พ.ค. 68) บางช่วงประวัติศาสตร์ ในห้วงที่ มาลายูมาเลยเซีย รบ กับ มาลายูอินโดนีเซีย ช่วงอิทธิพลของคอมมิวนิสต์กำลังขยายตัว

ระหว่างที่มาเลเซียกับอินโดนีเซียทำสงครามแย่งผนวกดินแดนกันอยู่ พรรคพาสซึ่งเป็นฝ่ายค้านในขณะนั้นได้ปภิปรายในสภาของมาเลย์ ว่า 
สี่จังหวัดภาคใต้ของไทยซึ่งเป็นมุสลิมเหมือนกัน มีความคล้ายคลึงกับคนมลายูมากกว่าคนไทยพุทธ 
ทำไมรัฐบาลจึงไม่คิดจะรวมเข้ามาเสียด้วย

อีกทั้งยังโจมตี ว่า ท่านตนกูมี แม่เป็นคนไทย ต้องเป็นมุสลิมเทียมแน่ๆ ช่วงนั้นกลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่พรรคให้การสนับสนุนไว้ในปัตตานีได้ก่อหวอดเรื่องเดียวกันขึ้น 

พรรคพาสก็ได้มีการยื่นกระทู้เข้าสู่สภาในเดือนสิงหาคม ๒๕๐๔ เรียกร้องให้รัฐบาลมาเลเซียผนวกรัฐปาตานี ซึ่งครอบคลุมสี่จังหวัดชายแดนของไทย ไปรวมกับกับดินแดนของคนมลายูเสียเลย 

นายกรัฐมนตรี ตนกู อับดุล เราะห์มานนั้นท่านลุกขึ้นยืนแถลงตอบฝ่ายค้านในสภาว่า 
"ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสตูล เป็นดินแดนส่วนหนึ่งของไทย คนไทยย่อมจะไม่ยอมให้ดินแดนของตนตกไปเป็นของชาติอื่น ถ้าหากปฏิบัติไปตามคำเรียกร้องเช่นนั้นแล้ว ก็เป็นที่น่าวิตกว่าจะต้องเกิดสงครามระหว่างไทยกับมาเลเซียขึ้นอย่างแน่นอน และถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว ประชาชนทั้งสองชาติจะต้องกลายเป็นศัตรูกันต่อไปชั่วกาลนาน "

แล้วอะไรจะเกิดขึ้นนอกจากชัยชนะของพวกคอมมิวนิสต์

คำตอบคำยืนยันของ นายกรัฐมนตรีมาเลเซียในขณะนั้น ซึ่งท่านเป็นมุสลิมมลายู 100% และเป็นมุสลิมสายกลาง ก็ตอบชัดเจนและยืนยันชัดเจนว่า 3 จังหวัดชายแดนใต้นั้นเป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทยมาเลเซียไม่ควรเข้ามาก้าวก่าย

ส่วนศึกภายในของมาเลเซียระหว่างพรรคการเมืองนั้นผมเองมองว่า พรคบาส ก็ไม่ได้จริงใจอะไรต่อพี่น้องมุสลิม 3 จังหวัดหรอก แต่เป็นเกมการเมืองที่ต้องการดิสเครดิตรัฐบาลโดยเอาความเป็นมุสลิมมลายูมาดราม่าเท่านั้น

เพราะไม่เช่นนั้นช่วงที่ชาวโรฮิงญาอพยพลี้ภัยไปพึ่งมาเลเซีย มาเลเซียถ้าคำนึงถึงความเป็นพี่น้องมุสลิมจริง

ก็คงต้อนรับและดูแลชาวโรฮิงญาไปแล้วแต่อันนี้เห็นหลักฐานกับตามาเลเซีย กลับไม่ให้เรือของโรฮิงญาเข้าฝั่งลอยเคว้งคว้างอยู่กลางทะเลแล้วก็เสียชีวิตไปจำนวนมากเช่นกัน

อันนี้ไม่ได้จะตำหนิประเทศมาเลเซียหรืออะไรทั้งสิ้นเพียงแค่ให้เห็นว่าอย่าดึงประเทศมาเลเซียมาเกี่ยวข้องส่วนการเมืองภายในของเขาก็เป็นเรื่องปกติในการดิสเครดิตรัฐบาลในแต่ละช่วงโดยการอ้างเรื่องความจังหวัดมาเกี่ยวข้องบ้าง

แต่ปัจจุบันคนที่เป็นเเบ็กค? ให้กับขบวนการโจรใต้นั้นเป็นฝั่งยุโรปที่พึ่งมาตาสว่างว่าในพื้นที่ 3 จังหวัดนั้นมีแร่ธรรมชาติจำนวนมากเช่นกันซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการของพวกมหาอำนาจ 
และเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ในโซนเอเชียในการ คานอำนาจกับประเทศจีน 

BRN ใช้!! ‘ความเงียบ’ เป็นข้ออ้างในการเดินหน้าก่อการร้าย ซุ่มยิง ลอบสังหาร ฆ่าเด็ก ผู้หญิง คนพิการ อย่างโหดเหี้ยม

(5 พ.ค. 68) ขณะที่ประเทศไทยกำลังสลดกับเหตุการณ์สะเทือนขวัญ — เด็กหญิงวัย 9 ขวบถูกยิงเสียชีวิต ผู้หญิงตาบอดถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม — กลับมีบางเสียงในสังคมผลักดันให้รัฐไทย "เจรจา" กับกลุ่มผู้ก่อเหตุภายใต้หน้ากากคำว่า "สันติภาพ" และ "หยุดยิงชั่วคราว" 15 วัน จากกลุ่ม BRN

ข้อเสนอของ BRN ดังกล่าวถูกส่งมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2568 โดยอ้างว่าเพื่อสร้าง “ความไว้เนื้อเชื่อใจ” และ “บรรยากาศสันติภาพ” แต่ตลอดช่วงเวลากว่าสามเดือนหลังจากนั้น — แทนที่เราจะได้เห็นท่าทีสงบ — กลับเต็มไปด้วยข่าวการซุ่มยิง การลอบสังหาร และที่รุนแรงที่สุดคือการฆ่าเด็ก ผู้หญิง และผู้พิการ

นั่นคือหลักฐานชัดเจนว่า BRN ไม่ได้รอการตอบรับ — แต่ใช้ “ความเงียบ” เป็นข้ออ้างในการเดินหน้าก่อการร้ายต่อ

1. ข้อเสนอที่ขาดความจริงใจ ไม่ใช่หนทางของประเทศไทย
“สันติภาพ” ที่ปราศจากจริยธรรม ไม่ใช่สันติภาพที่ประเทศไทยควรยอมรับ ข้อเสนอของ BRN ฟังดูหรูหราทางเทคนิค แต่ในทางคุณธรรม มันคือการขอคืนภาพลักษณ์จากสังคมโลก โดยไม่ต้องไถ่โทษให้เหยื่อแม้แต่รายเดียว ประเทศไทยจะให้รางวัลกับความรุนแรงหรือ??

2. หยุดยิง 15 วัน หรือหยุดเพื่อตั้งลำยิงใหม่?
ข้อเสนอ “หยุดยิงสองฝ่าย” โดยตั้งทีมติดตามจาก CSO และ NGO ที่ไร้ความชัดเจนในจุดยืน อาจเป็นเพียงกลไกให้ BRN ซุ่มสะสมกำลังใหม่ พื้นที่หยุดยิงคือพื้นที่ปลอดภัยสำหรับผู้ก่อการร้าย ไม่ใช่สำหรับประชาชน

3. ความเงียบของทางการไทย คือหลักประกันว่าประเทศนี้ไม่อ่อนข้อให้ความตาย
การที่ไทยยังไม่ตอบรับตลอด 3 เดือน ไม่ได้แปลว่าไม่ใส่ใจ แต่เป็นการแสดงจุดยืนอย่างมีหลักการ เพราะความเงียบไม่ควรถูกตอบแทนด้วยกระสุนที่ยิงใส่เด็กวัย 9 ขวบ หรือคนชราที่ไร้อาวุธ

4. หาก BRN จริงใจ – หยุดยิงโดยไม่ต้องต่อรอง
ประเทศไทยไม่ใช่ผู้เริ่มความรุนแรง และไม่จำเป็นต้องเป็นฝ่ายยื่นมือก่อน หาก BRN ต้องการเจรจาจริง — ขอให้ปลดอาวุธ หยุดทุกการกระทำอันเป็นภัยต่อประชาชน และแสดงความเสียใจกับเหยื่อ เสียก่อน

5. ยื่นข้อเสนอแล้วฆ่าเด็ก = เจตนาไม่บริสุทธิ์
การที่ BRN ยื่นข้อเสนอหยุดยิง แต่กลับดำเนินความรุนแรงต่อเนื่อง โดยเฉพาะต่อเป้าหมายที่อ่อนแอที่สุดของสังคม คือ การกระทำที่เป็นปฏิปักษ์โดยตรงต่อแนวคิด “สันติภาพ”

หากยังมีใครพยายามผลักให้ประเทศไทยยอมอ่อนข้อในสถานการณ์เช่นนี้ — จงอย่าหลอกตัวเองว่านั่นคือสันติภาพ แต่คือการเปิดประตูให้กับการทำร้ายซ้ำอีกครั้ง

BRN แถลงเสียใจต่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ปาตานี ยืนยันไม่มุ่งโจมตีพลเรือน เรียกร้องทุกฝ่ายร่วมกันหาทางออกอย่างสันติ ยึดหลักสิทธิมนุษยชน

(6 พ.ค. 68) แนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปาตานี (BRN) ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2568 แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ปาตานีดารุสซาลามที่ทำให้มีผู้บริสุทธิ์เสียชีวิต พร้อมยืนยันว่า BRN ไม่มีนโยบายมุ่งโจมตีเป้าหมายพลเรือน และขอแสดงความเห็นใจต่อครอบครัวผู้สูญเสียทุกคน

ในแถลงการณ์ BRN ระบุว่าการเคลื่อนไหวของตนมีเป้าหมายเพื่อเสรีภาพและศักดิ์ศรีของประชาชนมลายูปาตานี โดยยึดหลักสิทธิมนุษยชนสากลและกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ยืนยันการต่อสู้จะไม่ละเมิดหลักเกณฑ์เหล่านี้

นอกจากนี้ BRN เรียกร้องให้ทุกฝ่าย รวมถึงรัฐบาลไทยและกลุ่มติดอาวุธ หลีกเลี่ยงการกระทำที่เป็นอันตรายต่อพลเรือน พร้อมเสนอให้มีการสอบสวนเหตุการณ์อย่างโปร่งใสเพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นและลดความตึงเครียดในพื้นที่

แถลงการณ์ปิดท้ายด้วยข้อความว่า “การต่อสู้ของพวกเรามีเป้าหมายเพื่อเสรีภาพและศักดิ์ศรีของประชาชนปาตานี มิใช่เพื่อสร้างความหวาดกลัว” พร้อมเชิญชวนให้ทุกฝ่ายยืนหยัดร่วมกันด้วยสันติและปัญญาเพื่อทางออกที่ยั่งยืนของปัญหาในพื้นที่ชายแดนใต้

‘IO มากันไวมาก’ ฐปณีย์คอมเมนต์แซะกลางโซเชียล หลังโพสต์เรียกร้องเจรจาชายแดนใต้เจอกระแสตีกลับ-ครอบครัวเหยื่อระเบิดสวนเจ็บ ‘คุณไม่มีวันเข้าใจ’

(6 พ.ค. 68) ‘แยม’ ฐปณีย์ เอียดศรีไชย นักข่าวชื่อดัง โพสต์แสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยสะท้อนเสียงจากทั้งพุทธและมุสลิมในพื้นที่ชายแดนใต้ว่า ต่างเรียกร้องให้หยุดความรุนแรง และเห็นว่าการเจรจาเป็นแนวทางสันติวิธีเพื่อยุติการสูญเสีย พร้อมย้ำว่า “อย่าใช้ชีวิตประชาชนเป็นตัวประกัน หยุดการใช้อาวุธ กลับสู่โต๊ะเจรจา”

โพสต์ดังกล่าวได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง โดยมีทั้งเสียงสนับสนุนและคัดค้าน จนคุณแยมต้องเข้ามาคอมเมนต์ว่า “IO มากันไวมาก” 

อย่างไรก็ตาม หนึ่งในคอมเมนต์ที่ได้รับการกดไลก์มากที่สุด มาจากภรรยาเจ้าหน้าที่ EOD ที่สูญเสียขาจากเหตุระเบิดในนราธิวาส ระบุว่า “ไม่ใช่ไอโอค่ะ...เจรจามากี่ครั้งแล้ว พอไม่พอใจก็ก่อเหตุอีก เค้าต้องการแบ่งแยก ไม่ได้ต้องการเจรจา...คุณไม่มีวันเข้าใจหรอกค่ะ” เป็นเสียงสะท้อนความเจ็บปวดจากผู้สูญเสียที่วิจารณ์กระบวนการเจรจาอย่างตรงไปตรงมา

BRN แถลงเสียใจ!! แต่ความรุนแรงยังต่อเนื่องสวนทางกับคำขอโทษ กลบไม่มิดความจริง…เมื่อคำว่า ‘ศักดิ์ศรี’ ถูกใช้เพื่อแลกกับชีวิตเด็ก พระ และครู

(6 พ.ค. 68) จากโพสต์ล่าสุดของเพจเฟซบุ๊ก ปราชญ์ สามสี ถึงเรื่อง “คำขอโทษที่ลอยอยู่เหนือซากศพ: ความจริงที่สวนทางกับคำแถลงของ BRN”

แม้ BRN หรือแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปาตานี จะออกแถลงการณ์แสดงความเสียใจต่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ปาตานีเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2568 พร้อมยืนยันว่า “ไม่มีนโยบายโจมตีพลเรือน” และอ้างว่ายึดมั่นในหลักสิทธิมนุษยชนและกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ แต่ประวัติศาสตร์ในพื้นที่ชายแดนใต้กลับตอกย้ำความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้—ว่าพลเรือนตกเป็นเหยื่ออย่างต่อเนื่องจากการกระทำที่มีลักษณะเป็นการมุ่งเป้าโดยตรงจากกลุ่มติดอาวุธที่อ้างชื่อ BRN เอง

ในเดือนเมษายน 2568 กลุ่มติดอาวุธได้ยิงถล่มรถที่พระภิกษุและสามเณรใช้บิณฑบาตในอำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา ส่งผลให้สามเณรอายุ 16 ปีเสียชีวิต และเด็กชายวัย 12 ปีได้รับบาดเจ็บ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้าการออกแถลงการณ์ และไม่ใช่เหตุการณ์แรกที่ชีวิตของเยาวชนต้องดับสูญเพียงเพราะความรุนแรงที่กลุ่มติดอาวุธอ้างว่า “ต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรี”

ย้อนไปเมื่อปี 2560 ห้างบิ๊กซีในจังหวัดปัตตานีถูกโจมตีด้วยระเบิดสองลูก ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บถึง 56 ราย รวมถึงเด็กเล็ก ขณะที่ปี 2562 จุดตรวจในจังหวัดยะลาถูกลอบโจมตีด้วยอาวุธสงคราม ส่งผลให้เจ้าหน้าที่อาสาสมัครเสียชีวิตถึง 15 ราย—ล้วนเป็นบุคคลไร้อาวุธ ผู้ทำหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยในท้องถิ่น

ยิ่งไปกว่านั้น สถิติการสังหารครูในพื้นที่ภาคใต้ระหว่างปี 2547–2556 ระบุว่าครูอย่างน้อย 157 รายถูกสังหาร ไม่ใช่เพราะมีบทบาททางทหาร แต่เพียงเพราะทำหน้าที่ให้ความรู้เด็กๆ ในพื้นที่ที่ควรเป็นพื้นที่ปลอดภัย

ที่น่าตกใจยิ่งไปกว่านั้น คือมีรายงานว่าเด็กอายุ 14 ปีขึ้นไปถูกกลุ่มติดอาวุธเกณฑ์เข้าฝึกและใช้เป็นผู้สอดแนม นั่นย่อมขัดแย้งอย่างสิ้นเชิงกับคำกล่าวอ้างเรื่อง “สิทธิมนุษยชน”

ในบริบทนี้ การที่ BRN ออกแถลงการณ์เสียใจภายหลังการสังหารเด็ก คนชรา หรือพระสงฆ์ แทนที่จะกล่าวถึงความรับผิดชอบหรือแสดงเจตจำนงที่จะยุติการใช้ความรุนแรง กลับยิ่งทำให้แถลงการณ์กลายเป็นเพียงคำพูดลอยๆ ที่ไม่สะท้อนความเปลี่ยนแปลงในเชิงพฤติกรรมแต่อย่างใด

เพราะการต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรีนั้น ต้องไม่แลกมาด้วยชีวิตของผู้บริสุทธิ์ และไม่ควรมีเด็กคนใดต้องโตมากับเสียงปืนเพื่อให้ใครบางคน “ได้สิทธิในการกำหนดอนาคตของตนเอง”

หากการต่อสู้ของ BRN ยังคงดำเนินไปด้วยแนวทางเดิม แถลงการณ์ใดๆ ที่ตามมาจะเป็นเพียงฉากหน้าของการใช้กำลังที่ไร้ความชอบธรรม และจะไม่มีวันได้รับการยอมรับจากสังคมไทยหรือประชาคมโลกได้อย่างแท้จริง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top