Monday, 21 April 2025
โรงพยาบาล

‘ฮูพ BNK48’ โดนจวกแรง เต้นในรพ. แฟนคลับงง ผิดตรงไหน เพราะเต้นในห้องพิเศษ

(9 มี.ค.67) ปาฏลี ประเสริฐธีระชัย หรือ ‘ฮูพ สมาชิกรุ่นที่ 3 ของ BNK48’ กลายเป็นดราม่า หลังเจ้าตัวโพสต์คลิปวิดีโอเต้นเพลงใหม่ของหนุ่มธามไทขณะรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง

คลิปวิดีโอของ ฮูพ กลายเป็นไวรัล มียอดเข้าชมนับล้านครั้ง เพราะความมีเสน่ห์เฉพาะตัวและความสวยเป๊ะแม้จะอยู่โรงพยาบาล

แต่ไม่วายกลับมีดราม่าจนได้ เมื่อชาวเน็ตส่วนหนึ่งมองว่า พฤติกรรมนี้อาจเป็นอันตรายเพราะ ฮูพ เต้นขณะที่ยังคงใส่สายน้ำเกลือ จะทำให้เลือดย้อนขึ้นรึเปล่า บางคนก็ตั้งคำถามว่าไม่รบกวนคนไข้คนอื่นเหรอ หรือ ทำไมเด็กรุ่นใหม่ต้องทำคอนเทนต์ตลอดเวลา

เป็นการจุดชนวนให้คนอีกกลุ่มหนึ่งที่มองว่าก็ไม่เห็นเป็นปัญหาอะไรออกมาตอบโต้ บอกว่า ไม่รบกวนใครหรอก จากคลิปวิดีโอก็เห็นว่าอยู่ห้องพิเศษ ส่วนเรื่องอันตรายก็ไม่ต้องห่วงเพราะเขาใส่เครื่อง Infusion pump เรียบร้อย ที่เขาออกมาเต้นอาจจะเพราะว่าใกล้หายดีแล้วก็ได้

อย่างไรก็ตาม หากอยู่ในการดูแลของแพทย์ แล้วไม่รบกวนคนอื่น การเต้นในห้องพักก็อาจจะไม่ใช่เรื่องร้ายแรงขนาดที่จะต้องดราม่ากันใหญ่โต

เปิดผลการจัดอันดับ ’20 โรงพยาบาล‘ ที่ดีที่สุดในไทย!! ปี 2024 ✨👏🏻

ทั้งนี้ ‘บำรุงราษฎร์’ ครองอันดับ 1 ของไทย อีกทั้งยังเป็นโรงพยาบาลไทยเพียงแห่งเดียวที่ติด 130 อันดับแรก โรงพยาบาลที่ดีที่สุดในโลก อย่างต่อเนื่อง 4 ปีซ้อน โดยนิตยสาร Newsweek ร่วมกับ Statista

สำหรับการให้คะแนนโรงพยาบาลแต่ละแห่งนั้น พิจารณาจาก 4 แหล่ง ได้แก่ 1.การสำรวจออนไลน์จากแพทย์ ผู้บริหารโรงพยาบาล บุคลากรทางการแพทย์มากกว่า 85,000 ราย 2.ข้อมูลจากการสำรวจความพึงพอใจโดยทั่วไปของผู้ป่วยหลังเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล 3.ดัชนีตัวชี้วัดคุณภาพของโรงพยาบาล เช่น มาตรการด้านสุขอนามัย ความปลอดภัยของผู้ป่วย และอัตราส่วนผู้ป่วย/แพทย์ หรือพยาบาลต่อผู้ป่วย และ 4.การสำรวจของ Statista ที่ใช้แบบประเมินผลลัพธ์ด้านการรักษาพยาบาลของผู้ป่วย คือ Patient Reported Outcome Measures (PROMs) โดยมีการสำรวจข้อมูลระหว่างวันที่ 1 มกราคม - 31 ธันวาคม 2566

‘ยายขาหัก’ อุ้ม ‘หลาน’ เดินส่งถึงมือหมอ ก่อนล้มพับหน้าห้องฉุกเฉิน พลเมืองดีเร่งช่วย ก่อนทราบบาดเจ็บหนัก เพราะมี ‘รถย้อนศร’ มาชนแล้วหนี

(12 พ.ค.67) ผู้ใช้ติ๊กต็อก ที่ชื่อว่า ‘fffdduxxxtg’ ได้โพสต์คลิปเรื่องราวของยายหลานที่ถูกชนแล้วหนี ระบุว่า “ดีใจที่ได้ช่วยเหลือเด็กน้อยคนแก่ ชนแล้วหนี” โดยเรื่องราวนี้ถือว่าเป็นนาทีบีบหัวใจ เพราะเด็กไม่ได้สติแล้ว และคุณยายก็ร้องไห้จนสุดเสียง พร้อมทั้งอุ้มหลานไว้กับอก พอส่งถึงหน้าห้องฉุกเฉินคุณยายก็ล้มพับไป เพราะด้วยความรักที่มีต่อหลาน เลยไม่รู้ตัวว่าตัวเองขาหัก

ต่อมา คุณกุลธนันท์ หงษ์ทอง เจ้าของคลิปซึ่งเป็นพลเมืองดี พายายหลานส่งโรงพยาบาล ได้เปิดเผยว่า วันนั้นตนออกไปทานข้าวกับลูกสาว กำลังขับรถกลับบ้าน ระหว่างทางเห็นคนมุงอยู่เยอะมากที่ บริเวณถนนหน้าวัดขมงหัก ต.เทพนคร อ.เมือง จ.กำแพงเพชร 

ตนก็มองดูว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนจะเห็นเป็นอุบัติเหตุ จึงได้ถอยรถกลับมา แล้วถามว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งพลเมืองดีตรงนั้น บอกว่ามีรถชนแล้วหนี ผู้บาดเจ็บคือยายหลาน ในตอนนั้นเห็นว่าคุณยายร้องไห้หนักมาก เหมือนจะไม่ไหวแล้ว และเด็กก็คือตัวอ่อนไม่ลืมตาแล้ว ตนกลัวว่าเขาจะเป็นอะไร ก็เลยพาขึ้นรถก่อน เกิดอะไรขึ้นเดี๋ยวค่อยมาคุยกัน

หลังจากนั้นจึงได้ให้คนที่อยู่ตรงนั้นช่วยพยุงยาย และเด็กขึ้นรถ แล้วรีบพาไปส่งที่โรงพยาบาล พอไปถึงโรงพยาบาล น้องยังไม่ได้สติ และคุณยายก็เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองขาหัก เพราะความรักที่มีต่อหลาน จึงพยายามอุ้มน้องไปให้ถึงหมอก่อน ส่วนตัวเองนั้นไม่รู้เลยว่าขาหัก

พอส่งน้องให้คุณหมอแล้ว เมื่อคุณยายรู้ว่าตัวเองขาหัก ก็ล้มพับไปเลย เหมือนช่วยหลานให้ถึงที่สุดโดยไม่สนใจตัวเอง ซึ่งตอนแรกตนเองเห็นคุณยายก็นึกว่ามีแผลถลอกเล็กน้อยแค่นั้น พอไปเห็นอาการคุณยายที่โรงพยาบาล คือขาคุณยาย ‘ขยับไม่ได้แล้ว’

จากนั้นตนก็อยู่โรงพยาบาลช่วยประสานงาน ตามหาญาติของคุณยาย และตนก็ขับรถไปตามหาญาติให้มาที่โรงพยาบาล เพราะต้องเซ็นเอกสารอะไรหลายอย่าง และได้โพสต์ในเฟซบุ๊กให้คนกำแพงเพชรช่วยแชร์ตามหาญาติอีกทางหนึ่ง

คุณกุลธนันท์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ส่วนเรื่องเหตุการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้น ตนไม่ทราบเลยเพราะตนไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่จากการพูดคุย ทราบแค่ว่า มีรถย้อนศรมาชนคุณยายกับน้องแล้วหนีไป แต่ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรตนก็ไม่ทราบแน่ชัด

ล่าสุดทางคุณแม่ของน้อง ได้โทรมาขอบคุณ จึงได้สอบถามอาการน้องไป ตอนนี้น้องก็ได้รับความกระทบกระเทือนที่หัวกะโหลกร้าว และคุณยายก็รักษาอาการขาหัก ทราบข่าวแค่นี้ก็ดีใจแล้วที่ทุกคนปลอดภัย ส่วนคู่กรณีตอนนี้ก็ยังเงียบอยู่ ยังหาตัวไม่เจอ

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนก็ตกใจมาก และลูกสาวที่ไปด้วยก็ตกใจ แต่รู้อย่างเดียวว่าต้องช่วยก่อน ไม่ว่าจะเป็นจะตายก็ต้องช่วยก่อน ตนยอมถอยรถกลับมา แล้วรีบให้ขึ้นรถเพื่อไปโรงพยาบาลทันที ยังไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร เหตุการณ์เป็นอย่างไร แต่ต้องช่วยเขาให้ถึงที่สุด ให้เขาปลอดภัยก่อน

และสุดท้ายนี้ ตนก็อยากฝากให้ทุกคนขับรถด้วยการระมัดระวัง อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอ วันนั้นตนไปกับลูกสาว ก็คุยกับลูกสาวว่าถ้าเกิดเจอเหตุการณ์แบบนี้ ก็ต้องรีบช่วย ต้องสงสารเขา เพราะว่าถ้าเกิดวันนึงเราประสบอุบัติเหตุ หรือมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น คนอื่นก็จะได้ช่วยเราเหมือนกัน คุณกุลธนันท์ พลเมืองดีกล่าวปิดท้าย

‘SIR’ เผย ผลจัดอันดับสถาบันที่มีผลงานวิจัย ในระดับนานาชาติ ชี้!! ‘วิศวกรรมโยธา พระจอมเกล้าฯ ลาดกระบัง’ ครองอันดับ 1

(25 พ.ค. 67) ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ พระจอมเกล้าฯลาดกระบัง เผยผลจากจัดอันดับมหาวิทยาลัยไทยที่เปิดสอนด้านวิศวกรรมโยธาและโครงสร้าง จาก SCImago Institutions Rankings (SIR) อยู่ในอันดับ 1 ในปี 2567 ซึ่งโดดเด่นด้านวิศวกรรมโยธาและโครงสร้าง ที่เด็กอยากเข้าเรียนมากที่สุด

รองศาสตราจารย์ ดร.คมสัน มาลีสี อธิการบดี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) กล่าวว่า ปัจจุบันเนื่องจากสถานการณ์ที่ประเทศประสบปัญหาทางด้านการก่อสร้างที่เปลี่ยนไป ทางภาควิชาวิศวกรรมโยธาจึงได้ปรับเปลี่ยนเนื้อหาหลักสูตรจากหลักสูตรวิศวกรรมการก่อสร้างเป็นหลักสูตรวิศวกรรมโยธา และได้เปลี่ยนชื่อเป็น ‘ภาควิชาวิศวกรรมโยธา’

จนถึงปัจจุบัน ซึ่งเนื้อหาหลักจะเป็นการคำนวณ การวิเคราะห์ การออกแบบ และด้านการบริหารการก่อสร้าง รวมทั้ง มีการพัฒนาหลักสูตรอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรม ทั้งในด้านอุปกรณ์การเรียน การสอน การวิจัย ทําให้บัณฑิตที่จบการศึกษา เป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับจากภาครัฐและเอกชนเป็นอย่างดี

รศ.ดร.ชลิดา อู่ตะเภา หัวหน้าภาควิชาคณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) กล่าวว่า ภาควิชาได้ดําเนินการจัดการเรียนการสอน และการวิจัยในด้านวิศวกรรมโยธาให้มีประสิทธิภาพ เพื่อสามารถผลิตวิศวกรโยธาที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการก่อสร้าง การบริหาร สิ่งแวดล้อม การวิเคราะห์และออกแบบคํานวณ การพัฒนาด้านวัสดุ เทคโนโลยีการก่อสร้างที่ทันสมัย โดยมีแขนงวิชาในหลักสูตร ประกอบด้วย วิศวกรรมชลศาสตร์, การสํารวจ, การบริหารงานก่อสร้าง, วิศวกรรมการขนส่งและจราจร, วิศวกรรมแหล่งนํ้า, วิศวกรรมโครงสร้าง, คอนกรีตเสริมเหล็ก, ไม้และเหล็ก นอกจากนี้ยังได้รับการยอมรับจากหน่วยงานภายนอก ภาคอุตสาหกรรม โดยเราสอนทั้งภาคทฤษฎี และภาคปฏิบัติอย่างเข้มข้นดังนั้นบัณฑิตที่จบไปจึงสามารถทำงานได้ทันที

วิศวกรรมโยธา เป็นงานที่เกี่ยวเนื่องกับสิ่งรอบตัว ทั้งการก่อสร้างถนน สะพาน อุโมงค์ ซึ่งทักษะสำคัญเบื้องต้น ผู้เรียนต้องคำนวณได้ระดับหนึ่ง รู้เรื่องกฎหมาย หรือพ.ร.บ.เกี่ยวกับการก่อสร้าง การทำงานอยู่ในกรอบและกฎระเบียบ มีจรรยาบรรณในวิชาชีพ คำนึงถึงความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญ เพราะผู้คนที่เกี่ยวข้องล้วนให้ความไว้วางใจให้ดูแลความปลอดภัย การทำงานจึงต้องอดทนได้ทุกสภาพแวดล้อม ทั้งอากาศและฝนตก และอาจจะมีความเสี่ยงระหว่างการทำงาน

โดย SCImago Institutions Rankings (SIR) เป็นหน่วยงานการจัดอันดับสถาบันที่มีผลงานวิจัยในระดับนานาชาติ ซึ่งดำเนินการจัดอันดับองค์กรที่มีผลงานวิจัยทั่วโลก 7,533 แห่งทั่วโลก ซึ่งจะไม่ได้นับเฉพาะมหาวิทยาลัย แต่จะนับรวมสถาบันเฉพาะทางด้วย เช่น สถาบันเทคโนโลยี วิทยาลัย โรงพยาบาล สถาบันวิจัย เป็นต้น ซึ่งเป็นการจัดอันดับมหาวิทยาลัยรวมทั้งสถาบันวิจัยในแง่ของความสามารถในการเผยแพร่ผลงานวิชาการทุกประเภทของสถาบัน หรือมหาวิทยาลัยบนฐานข้อมูล

ว่าที่บัณฑิตสาว ร่ำไห้พาพ่อป่วยไป รพ.รัฐ แต่ถูกไล่กลับบ้าน สุดท้าย!! พ่อเสียชีวิต ร้องสาธารณสุขจังหวัดแล้ว แต่เรื่องไม่คืบ

(28 ก.ค. 67) ที่ วัดสระเพลง ต.สูงเนิน อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา มีการประกอบพิธีฌาปนกิจศพ นายสมพร รัศมี อายุ 50 ปี ชาว สปป.ลาว บรรยากาศเต็มไปด้วยความเศร้าโศกเสียใจของชาวบ้านที่มาร่วมงาน

โดยเฉพาะทางภรรยา และลูกสาว ของนายสมพร ที่สวมชุดครุย คณะวิยาการจัดการ เอกคอมพิวเตอร์ธุรกิจ มาร่วมพิธีฌาปนกิจผู้เป็นพ่อ ยืนกอดรูปร้องไห้เสียใจเป็นอย่างมาก เนื่องจาก นางสาว วรรณภรณ์  สีสม อายุ 25 ปี เพิ่งเรียนจบและเตรียมเข้ารับใบปริญญาบัตรในวันที่ 21 สิงหาคม นี้

นอกจากนี้ทางนางสาววรรณภรณ์ เตรียมตัวเป็น ว่าที่เจ้าสาว เนื่องจากกำลังจะเข้าพิธีแต่งงานในช่วงปลายปีนี้อีกด้วย แต่ทางนายสมพร ผู้เป็นพ่อนั้นมาเสียชีวิตอย่างกระทันหันไปเสียก่อน ยังไม่ทันเห็นลูกสาวได้ใส่ชุดครุย ทางนางสา ววรรณภรณ์ จึงสวมชุดครุยมาร่วมพิธีในครั้ง เพื่อให้พ่อใด้เห็นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะทำพิธีฌาปนกิจ

โดยเหตุการณ์ในครั้งนี้สืบเนื่องจากทาง นายอธิบดี ภัทรกวิน อายุ 30 ปี ลูกเขยของนายสมพร ได้ร้องเรียนมายังสื่อมวลชน หลังจากนายสมพร นั้นมีอาการป่วยและไปเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ในอำเภอสูงเนิน ทางโรงพยาบาล จะปฏิเสธการรักษา ก่อนกลับมาที่บ้านอีกครั้ง แต่เนื่องจากอาการไม่ดีขึ้น จึงได้ไปหาหมออีกครั้ง จนอาการทรุดลงทางโรงพยาบาลดังกล่าว จึงส่งไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลมหาราชฯ แต่กว่าจะไปถึงอาการ นายสมพร ทรุดหนักขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดเสียชีวิตในเวลาต่อมา

นายอธิบดี เล่าให้ฟังว่า นายสมพร ได้ไปเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล เมื่อเวลาประมาณ 03.00 น. ของคืนวันที่ 21 ก.ค. ด้วยอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก โดยไปยังห้องฉุกเฉิน ซึ่งมีเจ้าหน้าที่อยู่ประมาณ 3-4 คน โดยในเบื้องต้นทางโรงพยาบาลไม่เชื่อว่า ทางนายสมพรนั้นมีอาการวิกฤตจริง

ทางเจ้าหน้าที่เลยแจ้งว่า รพ. ช่วงเวลานี้รับเฉพาะกรณีที่ผู้ป่วยวิกฤตจริงเท่านั้น ตอนนี้มาทำไมทำอะไรไม่ได้ พร้อมกับให้กลับบ้านและปฏิเสธการรักษาท่าเดียว

ซึ่งเวลานั้นทางครอบครัวได้ขอร้องให้ทางโรงพยาบาลรับนายสมพรเอาไว้ เพื่อนอนรอดูสังเกตุอาการแต่ทางโรงพยาบาลได้ทำการปฏิเสธ และไล่นายสมพร ลงจากเปลผู้ป่วยให้มานอนตรงที่นั่งพักรอคิว ในขณะนั้นทางนายสมพรนั้นอาการเริ่มทรุดหนักสังเกตจากสีหน้าเพราะไม่สามารถนั่งได้แล้ว

นอกจากนี้ทางโรงพยบาลได้มีการตำหนินายสมพร ว่า ทำไมถึงไม่ใส่หน้ากากอนามัยมา จึงให้แม่ยายของตนนั้น วิ่งออกไปซื้อหน้ากากอนามัยหน้าโรงพยาบาล เพื่อมาใส่ให้กับนายสมพร ก่อนที่จะให้กลับบ้านพร้อมจ่ายยาที่ดูแล้วไม่น่าจะเกี่ยวกับอาการป่วยของนายสมพร ซึ่งยาที่ให้มานั้น มียาบรรเทาอาการโรคภูมิแพ้ ยาลดอาการคลื่นไส้ อาเจียน และเกลือแร่ ซึ่งจากรับยาทางโรงพยาบาลก็ให้กลับไปบ้าน และบอกว่าให้มาใหม่ในช่วงเช้าวันที่ 22 ก.ค.

แต่หลังจากกลับไปบ้านแล้ว นายสมพรอาการไม่ดีขึ้น พร้อมกับทรุดหนักลงกว่าเดิม โดยอาเจียนเป็นเลือด ซึ่งทางญาติจึงได้นำตัวนายสมพรไปยังโรงพยาบาลอีกครั้งตอนเวลา 06.00 น. กว่าจะได้รักษาก็เวลา 08.00 น. ซึ่งหลังจากไปรอบที่ 2 ทางหมอและพยาบาลก็ได้ตรวจร่างกายและอีกหลายอย่างก่อนที่จะเห็นว่า อาการไม่ดีขึ้น เกินความสามารถในการรักษาของโรงพยาบาล จึงได้มีการส่งตัวไปรักษาต่อยังโรงพยาบาลมหาราชฯ ซึ่งกว่าจะมาถึงและเข้ารับการรักษาก็เป็นเวลา 11.00 น. แล้ว

ซึ่งขณะกำลังรักษาอยู่ที่ รพ.มหาราชฯ นั้น ทางแพทย์และพยาบาลก็ให้การรักษาอย่างเต็มที่ แต่สุดท้ายนายสมพร ได้เสียชีวิตในช่วงบ่ายของวันที่ 22 ก.ค.

ซึ่งหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนตั้งคำถามถึงการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลแห่งแรก เนื่องจากตนรู้สึกว่า การดูแลรักษาคนไข้นั้นไม่เต็มที่ และมารยาทก็ไม่ดี ทั้งเรื่องการให้นายสมพร พ่อตาของตน ลงจากเปลไปนอนอยู่ที่นั่งรอคิว รวมไปถึงการตำหนิเรื่องการใส่หน้ากากอนามัย ทำไมถึงต้องให้ทางแม่ยายของตนนั้นวิ่งออกไปหาซื้อหน้ากากอนามัย ทั้งที่ทางโรงพยาบาลน่าจะมีแค่ 1 ชิ้น ก็ให้ไม่ได้เลยเหรอ

นายอธิบดี เล่าต่อว่า ซึ่งหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ทางตนและครอบครัวของแฟนได้มีการเข้ายื่นหนังสือร้องเรียนไปยังสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา เพื่อให้เข้าตรวจสอบเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งหลังจากร้องเรียนไปไม่นานทาง ผอ.โรงพยาบาลได้ติดต่อเข้ามาพูดคุย เพื่อหาทางเยียวยาต่างๆ แต่พฤติกรรมของทางโรงพยาบาลนั้นไม่ใช่ เนื่องจากในวันเผา 28 ก.ค. ทางโรงพยาบาลนั้นก็ไม่ได้ส่งตัวแทนมารวมไปถึงพวงหรีด เพื่อแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งทำให้ตนรู้สึกรับไม่ได้กับเรื่องนี้ และเตรียมที่จะดำเนินการให้ถึงที่สุด และไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้กับใครอีก

ด้านนางสาววรรณภรณ์ ลูกสาวของนายสมพร เล่าให้ฟังว่า ที่ตนใส่ชุดครุยมาในวันนี้ก็เพื่อต้องการให้พ่อเห็น เพราะพ่อนั้นยังไม่เคยเห็นตนใส่ชุดครุยสักครั้ง ซึ่งตนจะเข้ารับปริญญาในวันที่ 21 ส.ค. นี้ และจะเข้าพิธีแต่งงานในช่วงปลายปีนี้ แต่ทางพ่อนั้นไม่มีโอกาสได้เห็น แต่ต้องมาเสียชีวิตไปเสียก่อน

ซึ่งตนก็สงสัยในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ รพ.ดังกล่าว เพราะพ่อของตนไปรับการรักษาตอนตี 3 ทางเจ้าหน้าที่กลับปฏิเสธการรักษาพร้อมไล่กลับบ้าน ซึ่งถ้าหากในวันนั้นเจ้าหน้าที่รับพ่อของตนไว้รักษา อาจทำให้มีโอกาสรอดชีวิต ถึงแม้จะอยู่ในสภาพไหนก็ตาม

ซึ่งจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตนอยากให้ทางรพ. ออกมาชี้แจงรายละเอียดว่า เกิดอะไรขึ้นทำไมถึงไม่รับพ่อของตนไว้รักษาตั้งแต่แรก ซึ่งทางแม่ของตนและพี่ชายก็พยายามบอกให้ทางโรงพยาบาลรับตัวพ่อเอาไว้ เพื่อดูอาการ เพราะอาการพ่อของตนนั้นไม่ดี แต่ทางโรงพยาบาลกลับปฏิเสธพร้อมกลับให้ไปรักษาตัวที่บ้าน จนกระทั่งอาการพ่อของตนนั้นทรุดหนัก ส่งไปรักษาตัวที่ รพ.มหาราช ก็สายเกินไปจนพ่อของตนนั้นเสียชีวิตในที่สุด

BDMS ขยายความร่วมมือกลุ่มเฮลท์แคร์ยักษ์ใหญ่จากรัสเซีย เพิ่มการเข้าถึงการแพทย์คุณภาพสูงระหว่างสองประเทศ

(4 ก.ย. 67) ณ กรุงมอสโก บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด มหาชน (BDMS) และ MEDSI Group ร่วมกันลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อขยายความร่วมมือระหว่างสองผู้ให้บริการด้านสุขภาพเอกชนรายใหญ่ที่สุดของไทยและรัสเซีย ณ MEDSI Group สำนักงานใหญ่ กรุงมอสโก โดยมี มร. เอ จี โซโคลอฟ (Mr. A.G. Sokolov) ประธาน MEDSI Group และนายบุรณัชย์ ลิมจิตติ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่อาวุโส ส่วนการตลาดต่างประเทศ โฆษณาและประชาสัมพันธ์ของ BDMS เป็นตัวแทนลงนามในข้อตกลง

MOU ฉบับนี้ ขยายขอบเขตความร่วมมือทั้งด้านทางการแพทย์ การให้บริการคำปรึกษาทางไกล การให้บริการความเห็นที่สอง การดูแลอย่างต่อเนื่อง และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มการเข้าถึงบริการทางการแพทย์คุณภาพสูงระหว่างทั้งสองประเทศ สำหรับผู้ป่วยชาวรัสเซียทั้งที่พำนักอยู่ในประเทศไทย และเมื่อกลับไปรัสเซีย

ในฐานะผู้ให้บริการด้านสุขภาพเอกชนรายใหญ่ที่สุดของไทย ด้วยจำนวนโรงพยาบาลในเครือฯ ถึง 58 แห่ง พร้อมคลินิกสุขภาพและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง BDMS มีความพร้อมในการดูแลผู้ป่วยชาวรัสเซียทั้งที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย และกลุ่มนักท่องเที่ยว ด้วยมาตรฐานของเครือข่ายที่แข็งแกร่งในจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของชาวรัสเซีย ทั้งกรุงเทพฯ, ภูเก็ต, พัทยา และเกาะสมุย

นอกจากการดูแลกลุ่มผู้ป่วยที่รอการรักษาแล้ว BDMS ยังมีเครือข่ายศูนย์ช่วยเหลือฉุกเฉินเอกชนที่ครอบคลุมทั่วประเทศ ซึ่งหมายถึงความพร้อมทั้งด้านความต้องการทางการแพทย์เร่งด่วน และกรณีฉุกเฉินที่เป็นอันตรายถึงชีวิต ผู้ป่วยจึงสามารถมั่นใจได้ว่า BDMS สามารถให้บริการได้ไม่ว่าจะอยู่ในพื้นที่ใดก็ตาม 

นอกจากนี้ BDMS ยังมีศูนย์เคลื่อนย้ายฉุกเฉิน (BDMS Medevac Center) ที่ให้บริการ 24 ชั่วโมง โดยสามารถติดต่อได้ที่หมายเลข 1724 ซึ่งไม่เพียงแต่ดูแลประสานงานเคลื่อนย้ายผู้ป่วยในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น แต่ยังสามารถดำเนินการส่งตัวผู้ป่วยกลับไปยังภูมิลำเนาได้ในกรณีที่จำเป็น

MEDSI Group เป็นเครือข่ายโรงพยาบาลและคลินิกเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศรัสเซีย โดยให้บริการทางด้านสุขภาพแบบครบวงจร ตั้งแต่การดูแลทางการแพทย์เบื้องต้น เคสฉุกเฉิน ตลอดจนการวินิจฉัยด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง การรักษาด้วยศัลยกรรมที่ซับซ้อน และการฟื้นฟูทางการแพทย์ MEDSI Group ประกอบด้วยโรงพยาบาลและคลินิกจำนวน 148 แห่งในประเทศรัสเซีย โดยตั้งอยู่ในกรุงมอสโกและพื้นที่ใกล้เคียงจำนวน 69 แห่ง ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่รับผู้ป่วยหลัก ศูนย์วินิจฉัยทางคลินิก คลินิกเด็ก โรงพยาบาลคลินิก คลินิกดิจิทัล SmartLab นอกจากนั้น อีก 79 แห่งตั้งอยู่ในภูมิภาคต่างๆ ของรัสเซีย และมีบริการให้คำปรึกษาทางไกล ปัจจุบัน MEDSI Group มีพนักงานมากกว่า 15,000 คน และมีบุคลากรทางการแพทย์กว่า 5,000 คน

‘สาธารณสุขจังหวัดตาก’ เอาจริง!! สั่งสอบข้อเท็จจริง ‘คลิปพยาบาล’ สั่ง!! ไม่ให้ดูแลผู้ป่วย หากผิดจริงเอาผิด ‘ทางกฎหมาย – ทางวินัย’

(29 ธ.ค. 67) นพ.พิทักษ์พงษ์ จันทร์แดง นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดตาก กล่าวถึงกรณีสื่อสังคมออนไลน์มีการโพสต์คลิปวิดีโอ ผู้สวมชุดพยาบาลดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ภายในหอผู้ป่วยของโรงพยาบาล ว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในโรงพยาบาลแม่ระมาด จังหวัดตาก ซึ่ง นพ.สุภโชค เวชภัณฑ์เภสัช รักษาการผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 2 ได้มอบหมายให้เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยด่วน เบื้องต้นได้สั่งการให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงระดับโรงพยาบาลแล้ว โดยให้เรียกผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดมาให้ข้อมูลเมื่อช่วงบ่ายวันนี้ และให้ย้ายผู้ที่ปรากฏอยู่ในคลิปทั้งหมด ไปทำหน้าที่อื่น ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้ป่วยก่อน

เมื่อได้ข้อสรุปเหตุการณ์ทั้งหมดแล้ว หากผิดจริงจะดำเนินการทางกฎหมายต่อไป โดยในส่วนของโรงพยาบาลแม่ระมาด ได้ออกประกาศชี้แจงเหตุการณ์แล้ว โดยยืนยันว่าพฤติกรรมดังกล่าวเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม และโรงพยาบาลมีนโยบายห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถานที่ราชการอยู่แล้ว รวมถึงจะเข้มงวดไม่ให้มีเหตุการณ์ที่ไม่เหมาะสมเกิดขึ้นอีก

“การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถานพยาบาล จะมีความผิดตามมาตรา 31 พ.ร.บ.เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2541 ซึ่งกำหนดเรื่องสถานที่ห้ามดื่ม เช่น วัด สถานที่ทางศาสนา สถานพยาบาล สถานที่ราชการ สถานศึกษา ปั๊มน้ำมัน สวนสาธารณะของราชการ เป็นต้น ผู้ฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือนหรือปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนจะผิดวินัยขั้นใดขอให้รอผลการพิจารณาของคณะกรรมการก่อน รวมถึงเรื่องความผิด ทางจริยธรรมและจรรยาบรรณวิชาชีพ ตรงนี้จะเป็นหน้าที่ของสภาวิชาชีพอย่างสภาการพยาบาลในการพิจารณา เพราะหนึ่งในการประพฤติตนตามจริยธรรมและจรรยาบรรณ คือ จะต้องไม่กระทำผิดต่อกฎหมาย” นพ.พิทักษ์พงษ์ กล่าวทิ้งท้าย

‘ซาบีดา’ รมช.มหาดไทย เปิดงานสัญลักษณ์เมืองเลิงนกทา จ.ยโสธร ระทึกเวทีถล่ม เจ้าตัวบาดเจ็บเล็กน้อย โชว์สปิริต!! เปิดงานต่อ ขณะ ‘สส.ยโสธร’ เจ็บหนัก

(16 ก.พ. 68) เกิดเหตุ ฉากราวเหล็กเวที งาน “สัญลักษณ์เมืองเลิงนกทา” จ.ยโสธร ถล่มลงมา ในระหว่าง น.ส.ซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รมช.มหาดไทย เปิดงาน เบื้องต้นเจ้าตัวโดนแผงเหล็กบริเวณศีรษะ บาดเจ็บเล็กน้อย สามารถเปิดงานต่อได้ และถ่ายรูปร่วมกับพี่น้องประชาชน ก่อนที่จะเดินทางไปที่โรงพยาบาล เพื่อตรวจร่างกาย ล่าสุดได้ทำ CT สแกน ผลปกติ ขณะนี้เดินทางกลับแล้ว

ขณะที่ นายธนพัฒน์ ศรีชนะ สส.ยโสธร จาก x-ray และ CT แสกน พบกระดูกสันหลัง T3 แตกจึงส่งต่อไป รพ.สรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี

ด้าน นายสุทธิชัย จรูญเนตร สส.อุบลราชธานี อาการบาดเจ็บเล็กน้อย รักษาต่อที่ รพ.เอกชน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top