Friday, 17 May 2024
โบว์ณัฏฐา

‘โบว์ ณัฏฐา’ แจงเหตุผล 'ก้าวไกล' ชนะที่ 1 แต่ไม่ได้เป็น ‘นายกฯ’ ทันที ชี้!! เพราะต้องเลือกผ่านสภาฯ แม้ไร้ ส.ว. ก็ต้องรวมเสียงให้เกินครึ่ง

(9 ก.ค. 66)  ‘โบว์’ ณัฏฐา มหัทธนา นักกิจกรรม นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ทวีตข้อความบนทวิตเตอร์ส่วนตัว ‘@NuttaaBow’ โดยระบุว่า…

คำอธิบายว่าทำไมได้ที่หนึ่งแล้วไม่ได้เป็นนายกฯ โดยอัตโนมัติ มีคนบ่นมากว่า 1.ถ้าพรรคที่ชนะ ที่ 1 ไม่ได้เป็นนายกจะเลือกตั้งไปทำไม 2.ทำไมเลือกตั้งเสร็จแล้วไม่ได้นายกเลย ทำไมยังไม่จบง่าย

ตอบดังนี้ 1.พูดให้ง่ายเข้า ประเทศประชาธิปไตย บนโลกนี้ มีวิธีเลือก ผู้นำ สองแบบ คือ 1.1 ประชาชนเลือกผู้นำโดยตรง เช่น อเมริกา (ความจริงมีตัวแทนเลือกอีกที เรียกว่า electoral college แต่ช่างมันข้ามก่อน) และ 1.2 ผู้นำที่ถูกเลือกจากสภา (ที่ประชาชนเลือกมาอีกที) เช่น อังกฤษ เป็นต้น ไทย (ถ้าไม่มี สว.) เป็นแบบหลัง ดังนั้น มันจึงไม่ได้จบหลังเลือกตั้ง ชนะที่ 1 จึงไม่ได้เป็นนายกออโตเมติก ไม่เหมือนระบบแรก ที่ชนะเท่าไหร่ ชนะน้อยชนะมาก ก็เป็น ประธานาธิบดีเลย

เอ๊า แล้วทำไมหลายประเทศ เขาถึงเลือกแบบที่สองกัน อันนี้เป็นเรื่องปรัชญาและการออกแบบรัฐธรรมนูญแล้ว ซึ่งเรื่องมันยาว แต่ขอย่อสั้นๆ ดังนี้

A : เหตุผลด้านความชอบธรรมของเสียงส่วนใหญ่ ถ้าเลือกตรง คะแนนออกมาสี่คนที่ลงแข่ง 30%, 20%, 20%, 20% รวมกัน 100% จะเห็นว่า ที่ 1 ชนะเลย ทั้งที่เสียงไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ ดังนั้นพูดในแง่นี้ ระบบเลือกผู้นำในสภา (ให้ได้เสียงเกินครึ่ง) จึงตอบโจทย์เสียงส่วนใหญ่กว่า ในระบบเลือกผู้นำตรง จะมีข้อเสียดังว่า เขาจึงพยายามออกแบบถ่วงดุล อำนาจ ปธน. กับ สภา ด้วยวิธีอื่น เช่น ตอนผ่านงบประมาณประจำ จะมีขั้นตอนที่ทั้งสองฝ่ายต้องดุลอำนาจกันเป็นต้น หรือในหลายประเทศใช้วิธีเลือก ปธน. หลายขั้นตอน เพื่อให้ได้เสียงเกินครึ่งจริงๆ

B : ในระบบที่ใช้สภาเลือกผู้นำ หากเกิดวิกฤตที่ทำให้ไปไม่รอด สภาเปลี่ยนผู้นำได้ โดยไม่ต้องกลับไปสู่การเลือกตั้งทุกครั้ง เช่น เมืองอังกฤษ สภาชุดนี้ก็เปลี่ยนนายกมาสามคนแล้วมั้ง ด้วยวิกฤตต่างๆ นายกคนที่แล้วท่านพลาดเรื่องแนวเศรษฐกิจมาก จนมีอายุอยู่ได้ เดือนกว่าๆ นึกภาพ ว่าต้องเลือกตั้งทุกครั้งที่นายกสิ้นสภาพ มันจะเป็นอย่างไร พูดง่ายๆว่า การเลือกผ่านสภา มันก็มีข้อดีในทางปฏิบัติด้วยและยึดโยงกับประชาชนอยู่

ถามว่ามีไหม ที่พรรคที่ 2 ได้เป็นนายก ในระบบ ปชต.

มีสิท่านๆ ลองไปเสิร์ชดู กระผมจะไปทำงานต่อไม่ว่างเสิร์ชให้แล้ว ดังนั้น ท่านต้องวางมายด์เซต ให้ถูกต้องก่อนเด้อขรั่บ ความวุ่นวายในการจับขั้ว หลังเลือกตั้งมันเป็นเรื่องปกติถูกแล้ว ที่ไม่ปกติ ก็เพราะมี สว. ที่ลากตั้งมายุ่งนี่เอง

แต่ แต่ แต่ สมมติว่าไม่มี สว. (สมมติเราเปลี่ยนผ่านไปสู่ปชตแล้ว แก้ รธน แล้ว) ก็ใช่ว่าท่านพิธา จะแบเบอร์ ท่านต้องรวมเสียงให้ได้เกินครึ่ง ครับ ถ้าไม่ได้ก็อด ก็เท่านั้นแหละครับ

ไม่อีกทีท่าน ท่านก็แก้ รธน เปลี่ยนไปสู่การเลือกนายกโดยตรง นับคะแนนดิบ แล้วเอาเลย ซึ่งในทางเทคนิคเพื่อให้สอดคล้อง ก็ต้องแก้หลายอย่างเพื่อดุลอำนาจใหม่ ระหว่าง สภา กับ นายกที่มาจากการเลือกตั้งตรง

หวังว่า ข้อมูลที่พี่เขียวนำเรียน จะคลายความหงุดหงิดของหลายท่านได้บ้าง ว่าทำไมนะ ท่านพิธาจึงไม่ได้เป็นนายกฉลุยๆ แบบนี้สักที เรื่องก็เป็นดังที่นำเรียนนี่เอง” จากมิตรสหายท่านหนึ่ง

‘โบว์ ณัฏฐา’ กระเทาะมุมการเมือง ‘พอล ภัทรพล’ ชี้!! กดดัน 188 ส.ส.โหวตพิธา “มันไปกันใหญ่แล้ว”

(11 ก.ค. 66) จากประเด็นที่ ‘พอล ภัทรพล’ อดีตพิธีกรและนักแสดงชื่อดัง ได้ออกแสดงความเห็นทางการเมือง โดยการกดดัน ส.ส. 188 เสียง ให้มาโหวต ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ เป็นนายกฯ เนื่องจากบริบททางการเมืองที่ไม่ปกติ รวมถึงยังมีเสียงแตกของ ส.ว. เป็นการสื่อให้เห็นถึงการการเรียกร้องเพื่อที่จะทำให้เสียงข้างมากได้ทำงานนั้น ทาง ‘คุณโบว์ ณัฏฐา มหัทธนา’ ผู้ดำเนินรายการ Ringside การเมือง ได้กล่าวประเด็นดังกล่าว โดยมองว่ายังไม่ถูกต้อง

ขณะที่ด้านพิธีกรร่วมอย่าง คุณตรีณปางศ์ มณีชาตรี ก็ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า “เรามองเห็นว่า ‘คุณพอล’ เป็นบุคคลที่มีศักยภาพที่จะให้ความเห็นในเรื่องของการลงทุน หรือการเทรดเงินต่าง ๆ ซึ่งอันนี้ก็ต้องยอมรับว่าเขามีความรู้ในเรื่องนี้จริง แต่พอมาให้ความเห็นในเรื่องทางการเมือง เขายังไม่รู้จริงในหลาย ๆ เรื่อง ซึ่งมันก็สะท้อนให้เห็นได้ง่าย ๆ ผ่านข้อความที่เหมือนกับถูกสคริปต์มา จากข้อมูลที่ไปได้มาอีกด้านหนึ่ง ซึ่งเจ้าตัวไม่ได้มองเห็นบริบททางการเมืองทั้งระบบ เพราะฉะนั้นเราเองก็รู้สึกว่าแค่พอฟังได้”

ด้าน ‘โบว์ ณัฏฐา’ เสริมต่อว่า “รับฟังได้ แต่รู้สึกว่ามันฟังไม่ขึ้น เพราะล่าสุดที่ได้ฟังมารู้สึกเลยว่า ในเชิงหลักการมันผิด อย่าง ส.ส. แต่ละคนจากพรรคการเมืองที่อยู่ในด้าน 188 เสียง ตอนเขาไปหาเสียง เขาพูดอะไร? นี่คือคุณรวมพวกแบบรวมไทยสร้างชาติด้วยนะ อย่างรวมไทยสร้างชาติตอนไปหาเสียงมันก็ตรงกันข้ามกับก้าวไกลและคุณพิธา คือไม่เอาแนวทางนำพาบ้านเมืองแบบนี้ และประชาชนก็ได้เลือกเขามา และคนเหล่านั้นเป็นประชาชนเช่นกัน เมื่อถึงเวลาคุณจะมาบอกให้เขาเอาเสียงที่ได้รับมาจากประชาชน เพื่อไปโหวตให้กับสิ่งที่ตรงกันข้ามกับเจตนารมณ์ของโหวตเตอร์เขาเหรอ? มันไปกันใหญ่แล้ว”

'โบว์ ณัฏฐา' ตั้งคำถามถึง 'พิธา' หากยืนยันความจงรักภักดีขนาดนั้น เหตุใดจึงเลือกคนที่โด่งดังจากการด่าเจ้ามาเป็น ส.ส.ของพรรค

(12 ก.ค. 66) คุณโบว์ ณัฏฐา มหัทธนา ผู้ดำเนินรายการ Ringside การเมือง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

ยังไม่ได้ดูเรื่องเล่าเช้านี้ และไม่ทราบว่าคุณพิธาได้ให้สัมภาษณ์ไว้อย่างไรบ้าง แต่หากมีการยืนยันความจงรักภักดีขนาดนั้นจริง เราคิดว่าพรรคก้าวไกลต้องตอบคำถามสังคมจริง ๆ แล้วค่ะ ว่าทำไมจึงเลือกคนที่โด่งดังมาจากการแสดงความคิดเห็นสาธารณะตามที่ปรากฏในภาพนี้มาเป็น ส.ส.ของพรรคได้ จะอ้างว่าไม่รู้ไม่เห็นคงไม่ได้จริงๆ เพราะไม่ใช่เหตุการณ์เก่าๆและไม่ได้ไปแอบโพสต์ที่ไหน แต่โพสต์ในขณะที่เริ่มมีชื่อเสียงจากการ “ขับเคลื่อนสังคมด้วยการด่า” แล้ว และในพรรคก็ไม่ได้มีแบบนี้คนเดียวด้วย โดนคดีจากการแสดงออกลักษณะนี้ก็หลายคน นับเท่าที่เป็นการแสดงออกต่อสาธารณะ 

ยังไม่ต้องอภิปรายว่าคนเราต้องจงรักภักดีหรือไม่แค่ไหนอย่างไร (ส่วนตัวคิดว่าแค่ไม่ทำร้ายทำลายกันก็ยังดี) แต่ถามว่าสิ่งที่พูดกับการกระทำที่ผ่านมาหลายอย่าง มันย้อนแย้งกันมากเกินไปหรือไม่? กลุ่มเคลื่อนไหวที่มีพฤติกรรมหนักกว่านี้มาก พรรคก้าวไกลเอื้อเฟื้อเกื้อกูลกันมาขนาดไหน ทุกคนก็เห็น 

ร่างเสนอแก้ 112 ของพรรคก้าวไกล ก็มีเนื้อหาที่มีปัญหาและไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญมาตรา 6 ร่างมาแบบแทบไม่เหลือความคุ้มครอง โทษต่ำกว่าหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดาด้วยการโฆษณา มีเจตนาดึงสำนักพระราชวังมาเป็นผู้ฟ้อง ด้วยเหตุผลว่าคนที่เดือดร้อนจากการถูกหมิ่นก็ต้องฟ้องเอง เปิดช่องให้เกิดการลดทอนสถานะสถาบันหลักของชาติอย่างชัดเจน แล้วยังผลักดันการนิรโทษกรรมให้การกระทำเหล่านี้ ที่เกิดขึ้นภายใต้การรับรู้และติดตามอย่างใกล้ชิดของพรรคก้าวไกลในช่วงสามปีที่ผ่านมา 

ถ้าเป็นเช่นนั้น เราจะไว้ใจพรรคการเมืองที่ปากอย่างใจอย่างได้อย่างนั้นหรือ?

'โบว์-ณัฏฐา' ชี้!! พฤติกรรมของด้อมส้มตอนนี้ พ้องกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีตสมัย 14 ตุลาฯ

(17 ก.ค. 66) คุณโบว์ ณัฏฐา มหัทธนา ผู้ดำเนินรายการ Ringside การเมือง กล่าวถึงกรณีด้อมส้มที่ตามคุกคาม ส.ว. กับ กกต. ไว้ว่า...

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ คนเดือนตุลาคมหลายคนเขาบอกว่ามันเป็นสถานการณ์ที่พ้องกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ตอนสมัย 14 ตุลาคม ขบวนการนักศึกษากระแสสูงมาก ได้รับการสนับสนุนกับสังคมสูงมาก ๆ เสร็จแล้วเกิดอะไรขึ้น? ก็เกิดอาการกร่างหลังจากทำลายรัฐบาลเผด็จการตอนนั้นไปได้แล้ว เกิดอาการกร่าง 

แล้วกร่างยังไง? คือทุกคนต้องคิดเหมือนเขา ต้องเห็นตามเขา และต้องทำตามเขา และเขาก็เอานักศึกษาไปจัดการองค์กรต่าง ๆ จนกระทั่งมันเกิดกระแสต้าน จึงนำไปสู่เหตุการณ์ 6 ตุลาคม ในที่สุด เราจะไม่พูดว่าอะไรถูกอะไรผิด แต่นี่คือสิ่งที่คนเดือนตุลาคมหลาย ๆ คน พูดตรงกัน ว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ พฤติกรรมของด้อมส้มตอนนี้ มันคล้าย ๆ กับตอนนั้นเลยนะ คือความกร่าง และไปก้าวร้าวใส่คนอื่นเต็มไปหมด 

คราวนี้สิ่งที่ทำกับ ส.ว. คือผิดอยู่แล้ว มันคือการคุกคาม จะบอกว่ากติกาที่ ส.ว. มาร่วมโหวตนายกฯ โบว์เป็นคนที่ต่อต้านมาตั้งแต่ต้นจนจบเลย จนกระทั่งวาระสุดท้าย นาทีสุดท้ายที่จะเสนอแก้กฎหมายข้อนี้ได้ เราเป็นคนเสนอแก้พร้อมกับอาจารย์สมชัย ศรีสุทธิยากร แต่เมื่อเราทำไม่สำเร็จ แล้วตอนนั้นโบว์จะบอกว่าทำไมถึงทำไม่สำเร็จ เพราะว่าขบวนการเคลื่อนไหวไม่สนใจเรื่องนี้เลย ขบวนการเคลื่อนไหวไปโฟกัสกับอะไร? ไปโฟกัสกับการด่าเจ้า ไปโฟกัสกับอเจนด้าเกี่ยวกับการปฎิรูปสถาบัน แต่ด้วยท่าทีสิ่งที่ทำคือการด่าเจ้า นั่นคือสิ่งที่พวกคุณทำ พรรคก้าวไกล คณะก้าวหน้า ทำอะไรในตอนนั้น คุณเปิดแคมเปญยกเลิก 112 ซึ่งไม่ใช้แก้ไขนะ ตอนนั้นคณะก้าวหน้า เปิดแคมเปญยกเลิก 112 ออนไลน์ คุณไปโฟกัสกับสิ่งนั้นไง และไม่มาโฟกัสกับ ส.ว. ในการโหวตนายกฯ กับสิ่งที่โบว์ทำอยู่ แต่คราวนี้เมื่อมันทำและพลังของประชาชนที่มาผลักดันเรื่องนี้มันไม่ได้มากพอ มันก็ไม่ประสบความสำเร็จ มันก็แพ้เสียง ส.ว. นั่นแหละ เพราะว่าการกดดันจากข้างนอกแทบไม่มีเลย 

ดังนั้นเมื่อไม่ประสบความสำเร็จในการแก้ไขกติกาแล้ว แนวทางของโบว์นะคะ คือต้องเคารพกติกา เพราะว่าเราแก้ไม่ได้ บ้านเมืองมันต้องอยู่บนความเอาแต่ใจตนเองไม่ได้ บ้านเมืองมันตั้งอยู่ความพยายามที่จะขับเคลื่อนสิ่งดี ๆ แต่เมื่อไหร่ที่ทำไม่ได้แล้วมันมีกติกาอยู่ คนทั้งประเทศต้องเคารพกติกา ไม่อย่างงั้นคุณก็คิดดูแล้วกัน ว่าคนทั้ง 70 ล้านคน 70 ล้านความต้องการ มันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าทุกคนเอาความต้องการตัวเอง และเอาแต่ใจตัวเอง เอาตัวเองเป็นใหญ่ แล้วคุณจะคอนโทล 70 ล้านคนได้ยังไง? 

ดังนั้นเรื่องอำนาจ ส.ว. ตรงนี้มันมีอยู่ตามรัฐธรรมนูญแล้วมันแก้ไม่ได้ มันก็ต้องเคารพ เมื่อเคารพก็แปลว่าอะไร? แปลว่าต้องเคารพสิทธิ์ของ ส.ว. พวกนั้น ซึ่งเขาไม่ได้ไปเอาปืนจี้ใคร เพื่อที่จะมานั่งเป็น ส.ว. เพราะเขามาตามรัฐธรรมนูญ ใน 250 คนนั้น มีทั้งอดีตข้าราชการ อดีตนายพลอะไรต่าง ๆ หรือนายพลปัจจุบันก็มี เขามาตามรัฐธรรมนูญ 60 ที่เราไม่ประสบความสำเร็จในการสกัดมาตั้งแต่ปี 59 และเราไม่ประสบความสำเร็จในการแก้มาตรา 272 ต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้เขามาตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้นคุณหาเสียงได้ ว่า อยากให้ ส.ว. โหวตให้พิธา เพราะอะไร คุณสามารถบอกได้ แต่คุณจะไปกดดันข่มขู่ไม่ได้ เมื่อเขาใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนญของเขาโหวตแล้ว คุณจะไปกดดันข่มขู่ธุรกิจครอบครัวเขา ไปบูลลี่ลูกของเขา รวมถึงไปข่มขู่ญาติพี่น้องเขา ซึ่งมันไม่ได้ คุณกำลังทำตัวเป็นอนาธิปไตยแล้ว จะบ้าหรือเปล่า? 

มันเป็นสิ่งที่ต้องพูด แล้วมันพูดเบา ๆ ไม่ได้ มันต้องพูดแรง ๆ เพราะว่าสิ่งที่ทำมันละเมิดรุนแรง ถ้าสิ่งที่ทำไม่ใช่การละเมิดรุนแรง เราก็จะไม่พูดแรง ๆ แต่สิ่งที่ทำเป็นการละเมิดรุนแรง เป็นการตามกันไปถึงบ้านแล้วในบางจังหวัด แล้วจะบอกว่าวันนี้ ส.ว. เขาไม่อยู่เฉยแล้วนะคะ เขามีการประสานกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติเรียบร้อยแล้ว สถานีตำรวจทุกจังหวัดพร้อมดูแลบ้าน ส.ว. ทุกบ้าน ใครไปคุกคามธุรกิจเขา คุกคามลูกเมียเขา หรือแม้แต่กระทั่งคุมคามทางออนไลน์ก็ตาม เขามีการตั้งทีมทนายมาเป็นสิบแล้วนะคะ แล้วประสานองค์กรทนายความหลายองค์กรมาช่วยกันแล้วค่ะ ถามว่าแนวร่วมพรรคก้าวไกลทำให้เกิดบรรยากาศแบบนี้ในบ้านเมืองได้ยังไง? แล้วพรรคก้าวไกลคุณไม่สามารถที่จะคอนโทลแนวร่วมของคุณ แล้วมันมีแนวร่วมของพรรคการเมืองอยู่พรรคเดียวที่มีพฤติกรรมคุกคามชาวบ้านเขา ทำไมกองเชียร์พรรคเพื่อไทยเขาไม่เป็นล่ะ กองเชียร์พรรคเพื่อไทยเนี่ยประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาเขาโดนอะไรมาหนักกว่าคุณเยอะเลยนะ ทำไมเขายังมีอารยะได้ในระดับที่ฝ่ายตรงข้ามเขาก็ยอมรับว่ากองเชียร์พรรคเพื่อไทยยังคุยรู้เรื่อง แล้วทำไมกองเชียร์ก้าวไกลถึงเป็นอย่างงี้ เพราะว่าแนวทางของพรรคก้าวไกลตลอดเวลาที่ผ่านมามันไม่เป็นมิตรกับใครเลยค่ะ 

ดังนั้น ที่บอกว่า ส.ว. ไม่ยอมรับ พรรคก้าวไกลเพราะแก้มาตรา 112 หรือเปล่า? มันไม่ใช่แค่นั้นค่ะ บางคนบอกว่า การมาพูดเรื่องมาตรา 112 ในสภาฯ ตอนนี้ไม่เหมาะสม เพราะว่ามันไม่ใช่วาระการแก้กฎหมาย มันเป็นวาระการเลือกนายกฯ แต่โบว์จะบอกว่ามันเชื่อมโยงกันเป็นอย่างยิ่ง เพราะการโหวตนายกฯ มาตรา 159 ตามรัฐธรรมนูญบอกให้พิจารณาบุคคลผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้นเขาจึงต้องอภิปราย ไม่ว่าจะเป็นเรื่อยคุณสมบัติ การถือหุ้นสื่อ หรือคุณสมบัติในความมีจริยธรรมทางการเมืองที่สอดคล้องกับการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อันนี้เหตุผลของ ส.ว. นะคะ แต่โบว์จะอธิบายให้ฟังว่า เขาจึงได้เอาร่างแก้มาตรา 112 ของพรรคก้าวไกลมาชำแหละในรายละเอียด รายละเอียดที่แฟนคลับพรรคก้าวไกลไม่เคยอ่านนั่นแหละ เขามาชำแหละให้ดูว่ามันขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา 6 อย่างไร และถ้าเกิดว่าแคนดิเดตนายกฯ สังกัดพรรคการเมืองที่นำเสนอกฎหมายที่มันขัดกับรัฐธรรมนูญเนี่ย เขาก็ยอมต้องตั้งคำถามกับคุณสมบัติของแคนดิเดตคนนั้น ว่าคุณเหมาะหรือเปล่าที่จะมาเป็นนายกฯ ในการปกครองระบอบที่เรามีอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญแบบนี้ นี่คือเหตุผลของการที่ทำไมต้องใช้เวลาทั้งวันในวันนั้นอภิปรายเรื่องมาตรา 112 เป็นหลัก ไม่ใช่เป็นเพราะว่าเสนอแก้กฎหมายก็ไม่ได้เหรอ? ไม่ใช่ค่ะ เสนอแก้กฎหมายได้ค่ะ แต่ถ้าคุณเสนแก้กฎหมายที่เนื้อหาของมันขัดกับรัฐธรรมนูญ เขาจึงมีสิทธิ์ที่จะตั้งคำถามได้ว่าคุณเหมาะที่จะเป็นนายกฯ ของประเทศนี้ไหม นายกฯ ของวันนี้ นายกฯ ของยุคสมัยใหม่ ต้องไม่ใช่นายกฯ ที่สร้างแต่ความแตกแยก ต้องไม่ใช่นายกฯ ที่มาจากพรรคการเมืองที่มีแนวทางนโยบายหลาย ๆ อย่าง แนวทางการขับเคลื่อนหลาย ๆ อย่าง สร้างปัญหาขึ้นมามากมายในสังคมตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมา นั่นคือเหตุผลที่เขาอภิปรายคุณสมบัติคุณแบบนั้น เห็นด้วยไม่เห็นด้วยอีกเรื่องนึง แต่โบว์เล่าให้ฟังว่าที่มาที่ไปมันเป็นอย่างไร

'โบว์ ณัฏฐา' แนะคนไทยมองการเมืองเป็นการทำงานเพื่อชาติ ไม่ใช่มองทุกอย่างเป็นละครที่มี 'พระเอก-นางเอก- ธรรมะ-อธรรม'

(26 ก.ค. 66) คุณโบว์ ณัฏฐา มหัทธนา ผู้ดำเนินรายการ Ringside การเมือง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

คนต้องเลิกมองการเมืองเหมือนคนดูละครน้ำเน่า แล้วมองการเมืองเป็น 'การทำงาน' มีเป้าหมายของงานที่ต้องทำให้สำเร็จอยู่ตรงหน้า คนรับประโยชน์จากงานคือประเทศชาติ คือประชาชน 

จะได้เลิกประสาท มองทุกอย่างเป็นละครมีพระเอกนางเอก ฝ่ายธรรมะอธรรม ผู้ร้าย ตัวโกง พ่อมดแม่มด รักกันเลิกกัน พ่อแง่แม่งอน บ้าบ้าบอบอ แล้วนั่งโกรธเกรี้ยวกรีดร้องฟูมฟาย ตีอกชกหัวอยู่หน้าจอ

ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ แค่คนทำงาน
ทำงาน เจอปัญหา แก้ปัญหา ทำงานต่อ

‘โบว์ ณัฏฐา’ เผยความหมายสุดลึกซึ้งของข้อความบนเสื้อ ‘ท่านอ้น’

เมื่อวานนี้ 14 ส.ค. 66 โบว์ ณัฏฐา มหัทธนา นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ได้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก
‘โบว์ ณัฏฐา มหัทธนา - Nuttaa Mahattana’ พร้อมภาพของท่านอ้น วัชรเรศร วิวัชรวงศ์ ขณะเดินทางกลับสหรัฐอเมริกา โดยระบุว่า…ภาพขณะท่านอ้นเดินทางกลับสหรัฐฯ จากสนามบินสุวรรณภูมิพร้อมท่านอ่อง ข้อความบนเสื้อสีฟ้าเขียนว่า ‘Virtue & Ideals give hope’ (คุณธรรมและอุดมคติ ให้ความหวัง)

‘โบว์ ณัฏฐา’ ตั้งข้อสังเกต!! ‘รองอ๋อง’ ใช้งบรับรองแขกเลี้ยงหมูกระทะ ติง ‘ไม่เหมาะสม-ไม่สมเหตุสมผล’ ด้วยเหตุผลหลายประการ

(19 ส.ค. 66) ‘คุณโบว์ ณัฏฐา มหัทธนา’ ผู้ดำเนินรายการ Ringside การเมือง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเกี่ยวกับกรณีการใช้งบรับรองแขกของรองประธานสภาฯ ไปจัดเลี้ยงหมูกระทะแม่บ้านสภาฯ นั้น ไม่เหมาะสมและไม่สมเหตุสมผลด้วยเหตุผลหลายประการ โดยส่วนตัวมีข้อสังเกตดังนี้…

1.) วัตถุประสงค์ของงบก้อนนี้ ให้ใช้เพื่อรับรองแขกบ้านแขกเมืองเป็นหลัก ในแต่ละปีจะมีคณะบุคคลหลากหลายมาขอเข้าพบประธานและรองตลอดปี เช่น คณะผู้แทนราษฎรหรือส่วนงานนิติบัญญัติจากต่างประเทศ ทูต ผู้แทนกระทรวง หรือคณะบุคคลจากรัฐบาล และผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ ซึ่งมีวาระตามจุดประสงค์ของทั้งสองฝ่าย

งบก้อนนี้ไม่ใช่งบสวัสดิการพนักงาน มิฉะนั้น ประธานและรองก็สามารถเอางบนี้ พาพนักงานไปเที่ยวเล่นได้ทั้งปีโดยอ้างเหตุผลต่างๆ ได้

นี่คือการใช้งบผิดประเภท

2.) แม่บ้านจำนวนมากในสภาฯ นั้น มาจากบริษัท Outsource ที่ทางสภาฯ ทำการจัดจ้างมา และมีเงื่อนไขในการทำงานที่ตกลงกับบริษัทเอกชน หากพบว่ามีเงื่อนไขที่ไม่เป็นธรรม สิ่งที่สภาฯ ควรทำ คือการทบทวนสัญญากับบริษัท ให้มีความครอบคลุมถึงส่วนที่เกี่ยวกับสวัสดิการ และความเหมาะสมของเงื่อนไขในการจ้างพนักงาน (หลายคนถูกจ้างแบบรายวันต่อเนื่องเป็นปีๆ โดยไร้สวัสดิการ ซึ่งผิดกฎหมายแรงงาน หากต้องการให้รัดกุม ต้องมีการปรับรายละเอียดส่วนนี้ ให้ครอบคลุมการตรวจสอบในสัญญา ซึ่งคือสิ่งที่ทำได้เลยเพราะเป็นสัญญาระยะสั้น และรองประธานควรตรวจสอบได้เอง เพราะเป็นส่วนของการจัดซื้อจัดจ้างระหว่างภาครัฐกับเอกชน)

3.) สภาพแวดล้อมพื้นฐานในการทำงานของแม่บ้านสภาฯ ควรได้รับการปรับปรุงก่อน และเป็นสิ่งที่รองประธานย่อมมองเห็นได้เองอยู่แล้ว เพราะเป็นมาตรฐานที่ลูกจ้างทุกคนควรมี เช่นห้องพัก ที่เก็บของส่วนตัว และโซนรับประทานอาหารของพนักงาน เมื่อทำสิ่งเหล่านี้ หลังจากนั้น มีรายละเอียดเพิ่มเติมอะไร ก็ดำเนินการทบทวนรายละเอียด โดยส่วนงานที่เกี่ยวข้องไปได้ตามปกติ

เมื่อข้อเท็จจริงมีดังที่กล่าวมานี้ อีเวนต์เลี้ยงหมูกระทะที่เกิดขึ้นจึงไม่เหมาะสม ทั้งในเรื่องการใช้งบประมาณผิดประเภท การจัดเลี้ยงลูกจ้างของบริษัทเอกชนโดยไม่ติดต่อสื่อสารกับบริษัท การสร้างประเด็นข่าวจากสิ่งที่ควรเป็นงานปรับปรุงแก้ไขตามปกติในสภาฯ

และสุ่มเสี่ยงที่จะถูกมองว่าเป็นการ ‘หาเสียง’ ด้วยการสร้างภาพกับกลุ่มผู้ใช้แรงงาน ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มเป้าหมายของพรรคก้าวไกล โดยนำกลุ่มแม่บ้านสภาฯ ขึ้นมาเป็นตัวแทนประกอบฉาก ด้วยงบประมาณของรัฐฯ

‘โบว์ ณัฏฐา’ ชี้!! สื่อยุคใหม่ มักเสนอข่าวด้านเดียว ซ้ำ!! ปิดกั้น ‘พื้นที่ถกเถียง-รับฟังความเห็นต่าง’

เมื่อไม่นานนี้ ‘คุณโบว์ ณัฏฐา มหัทธนา’ ผู้ดำเนินรายการ Ringside การเมือง ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นผ่านไลฟ์สด ทางเฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงประเด็นการนำเสนอข่าวของสื่อหลักในปัจจุบัน โดยในช่วงหนึ่ง คุณโบว์ได้กล่าวว่า…

“สิ่งที่น่าเศร้าอย่างหนึ่งคือ เราไม่ได้มีโอกาสที่จะได้รับฟังความคิดเห็นที่หลากหลายจริงๆ ในสื่อหลัก และรู้สึกตกใจมาก ที่เมื่อเปิดไปดูรายการต่างๆ ที่พูดคุยเกี่ยวกับการเมืองตามช่องโทรทัศน์ หรือทางสื่อหลัก เขาก็เชิญคนเดิมๆ มาออกรายการซ้ำๆ กันทุกช่อง หรือแม้แต่ในช่องเดียวกัน แต่ต่างรายการ เขาก็เชิญมาออกซ้ำอีกก็มี”

คุณโบว์ ได้เล่าต่อว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งมาจากการที่สื่อมีการเลือกข้างค่อนข้างมาก และเมื่อสื่อเลือกข้างแล้ว เขาก็ย่อมอยากให้เราได้ฟังความคิดเห็นเป็นไปในทิศทางที่เขาต้องการ ตามที่เขาอยากจะชี้นำเรา เพื่อที่เขาจะได้รู้ว่า ใครแสดงความคิดเห็นไปในเชิงไหน และถ้ามันตรงกับความต้องการที่เขาจะชี้นำ เขาก็จะเชิญคนนั้นมาซ้ำๆ

“ขอยกตัวอย่างหนึ่ง จากประสบการณ์ส่วนตัว เช่น ตอนที่มีประเด็นเรื่อง รองฯ อ๋องเลี้ยงหมูกระทะแม่บ้านสภาฯ ซึ่งตรงนี้โบว์เป็นคนเปิดประเด็นในส่วนที่หลายๆ คนไม่ได้พูดถึง คือ ในส่วนของแม่บ้านสภาฯ ซึ่งเป็นแม่บ้านจากบริษัท Outsource พูดในส่วนของเรื่องสภาพแวดล้อมการของแม่บ้าน เรื่องการใช้งบผิดประเภทเพื่อการหาเสียงของพรรคก้าวไกล จนเป็นที่ถูกพูดถึงเยอะ ช่อง Thai PBS ก็ยกทีมมาขอสัมภาษณ์ที่บ้าน ซึ่งโบว์ก็ได้ให้สัมภาษณ์ไปอย่างละเอียดในเชิงหลักการทุกอย่าง ปรากฏว่าเทปนั้น ถูกงดออกอากาศ

ในช่วงเวลาเดียวกัน โบว์ก็เปิดดูรายการต่างๆ ในช่อง ที่มีการพูดถึงเรื่องนี้ ก็ทำให้เห็นว่า มีการนำเสนอที่ค่อนข้างเอียงเอนไปในอีกทิศทางหนึ่งเสียมาก และมีการให้พื้นที่กับทางรองฯ อ๋อง ในการอธิบายข้อเท็จจริงมากกว่า ในขณะที่เทปที่โบว์ให้สัมภาษณ์กลับถูกตัดทิ้ง” คุณโบว์ กล่าว

“โบว์คิดว่า ในประเด็นที่มันเป็นข้อถกเถียง และต้องถกเถียงกันด้วยข้อเท็จจริง ว่าถูกหรือผิด ทุกคนก็ต้องเลือกข้างอยู่แล้ว ดังนั้น เมื่อเราเลือกข้างแล้ว เราก็จะมีเหตุผลมาซัปพอร์ตความคิดของตัวเองอยู่แล้ว ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ควรจะเป็น เพราะสิ่งเหล่านั้นจะทำให้เกิดความงอกงามทางปัญญาในสังคม

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วเป็นปัญหา นั่นคือการไม่เป็นพื้นที่ให้กับความคิดเห็นที่หลากหลายมากพอ แต่กลับใช้วิธีเลือก และคัดกรองความคิดเห็นที่ไม่ต้องการออกไป ซึ่งโบว์คิดว่าทุกคนเห็นได้ชัดเจนในจุดนี้ และเราก็เห็นผลที่ตามว่าเป็นอย่างไร”

“เราจะเห็นว่า คนที่มีความคิดเห็นไปในอีกทิศทางหนึ่ง เขาก็ไม่สามารถที่จะปรับ และเปลี่ยน หรือรับฟังกันได้ เพราะไม่มีความคิดเห็นที่หลากหลายมากพอให้รับฟังกัน ก็เลยต้องรับฟังความคิดเห็นอยู่เพียงด้านเดียว ใครชอบแนวไหน เขาก็จะรับฟังแต่สิ่งที่เขาชอบ ดังนั้น จึงทำให้ใครคิดอยู่อย่างไร จะคิดอยู่อย่างนั้น ใครที่ชอบใคร เขาก็จะชอบอยู่อย่างนั้น ใครเกลียดใคร เขาก็จะเกลียดอยู่แบบนั้น

แต่ที่หนักยิ่งกว่านั้น คือ ความเกลียดชังเหล่านั้น ถูกยกระดับด้วยการถูกบอกกล่าวซ้ำๆ ย้ำๆ ในประเด็นเดิม ในทิศทางเดิมๆ เมื่อมีการตอกย้ำหนักๆ เข้า ก็ทำให้ความรู้สึกยิ่งรุนแรงขึ้น และนี่คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับสังคมไทยในตอนนี้ค่ะ” คุณโบว์ กล่าวทิ้งท้าย

‘โบว์ ณัฏฐา’ วิเคราะห์ 3 ความเป็นไปได้ ‘แม่ของหยก’ แต่ไม่ว่าทางไหน ก็หนีความรับผิดชอบไม่ได้

(8 ก.ย. 66) น.ส.ณัฏฐา มหัทธนา หรือ โบว์ พิธีกรรายการวิเคราะห์ข่าว และนักกิจกรรมเพื่อสิทธิมนุษยชน โพสต์เฟซบุ๊ก Bow Nuttaa Mahattana ระบุข้อความว่า ประเด็นแม่ของหยก ประเมินได้สามทาง

1. แม่เป็นผู้ปกครองแบบอยากใช้ไม้แข็ง รอให้หยกสิ้นหนทางจนต้องกลับบ้านเอง เป็นวิธีปราบที่ใช้ได้กับเด็กบางคน แต่ไม่ได้กับเด็กทุกคน ซึ่งผู้ปกครองบางคนดันทุรังใช้วิธีแบบนี้เพราะเข้าใจว่าจะได้ผล สุดท้ายคือเสียลูก

2. แม่เป็นคนขี้ขลาดตาขาว กลัวแรงกดดันจากสังคม ไม่กล้าเผชิญหน้า ใช้วิธีหนีปัญหา

3. ความเป็นไปได้อื่น ๆ เช่น เป็นส่วนหนึ่งของขบวนการ เล่นบทหลบเพื่อให้กลุ่มและหยกสร้างประเด็นต่อไป ด้วยข้ออ้างว่าหยกไม่มีผู้ปกครองดูแล ฯลฯ

ไม่ว่าจะอย่างไร หนีความรับผิดชอบไม่ได้ค่ะ

‘โบว์ ณัฏฐา’ ถามบางพรรค “คุณกำลังสร้างสังคมแบบไหนขึ้นมา?” ในวันที่บทลงโทษกฎหมายหมิ่น แทบป้องผู้ถูกละเมิดไม่ได้เลย

(20 ก.ย. 66) น.ส.ณัฏฐา มหัทธนา หรือ ‘โบว์’ พิธีกรรายการวิเคราะห์ข่าว และนักกิจกรรมเพื่อสิทธิมนุษยชน โพสต์เฟซบุ๊ก ‘Bow Nuttaa Mahattana’ ระบุว่า…

“กฎหมายดูหมิ่น-หมิ่นประมาท สำคัญนะคะ

โทษที่กำหนดไว้ ต่ำมากแล้ว และส่วนใหญ่รอลงอาญา แทบไม่สามารถปกป้องผู้ถูกละเมิดได้เลย ใช้กฎหมายจัดการ และอย่าพยายามทำลายกฎหมาย เพื่อให้คนในสังคมไม่ต้องไปเลือกศาลเตี้ย คือหาวิธีจัดการกันเอง

ส่วนตัวยืนยันอย่างหนักแน่นมาตลอด ว่าเราต้องเห็นความสำคัญของกฎหมายที่ใช้ปกป้องผู้ถูกละเมิด และเราต้องช่วยกันสร้างวัฒนธรรม ไม่ยอมรับการละเมิด ไม่เอาคำว่า “เสรีภาพในการพูด” มาให้ท้ายการคุกคาม

การหมิ่นประมาท ฆ่าคนได้ค่ะ

สิทธิในการละเมิดผู้อื่น ไม่มี

หวังว่า พรรคการเมืองที่เคยเสนอให้นำกฎหมายหมิ่นประมาทออกจากประมวลกฎหมายอาญา ลดโทษให้เหลือแค่ปรับ น่าจะได้ทบทวนและมองเห็นอย่างชัดเจนในวันนี้… ว่าคุณกำลังสร้างสังคมแบบไหนขึ้นมา”


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top