Monday, 21 April 2025
โตโต้

'โตโต้' โวย!! กลไกแฝงใน 'รธน.60' ทำ 'ช่อ' หมดอนาคตการเมือง ลั่น!! รธน.ฉบับนี้ มีไว้ 'ปราบ-กลั่นแกล้ง' นักการเมืองที่ไม่ยอมจำนน

(21 ก.ย.66) ที่รัฐสภา นายปิยรัฐ จงเทพ สส.กทม.พรรคก้าวไกล แถลงกรณีศาลฎีกาพิพากษา น.ส.พรรณิการ์ วานิช ถอนสิทธิ์รับสมัครเลือกตั้งตลอดไป และไม่มีสิทธิ์ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตลอดชีวิต ว่า ในฐานะที่ตนอภิปรายแนวนโยบายของรัฐบาล หลักนิติธรรม โครงสร้างปัญหาของประเทศ และการใช้นิติสงคราม กับนักการเมือง เป็นการปราบโกงหรือปราบใคร เนื่องจากเนื้อแท้ของเรื่องนั้นแฝงอยู่ในรัฐธรรมนูญปี 2560 เพื่อให้อำนาจองค์กรอิสระพิจารณาออกจริยธรรมขององค์กรขึ้นมา โดย สส. - สว.และคณะรัฐมนตรี ต้องอยู่ภายใต้จริยธรรมดังกล่าวด้วยจึงเกิดปัญหาตามมา เช่น กรณีเกิดข้อพิพาทเกี่ยวกับจริยธรรมจะไม่สิ้นสุดที่องค์กรอิสระแต่จะไปสิ้นสุดที่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเอาผิดต่อได้ ถือเป็นการลงโทษซ้ำซ้อน

นายปิยรัฐ กล่าวต่อว่า ปัญหาคือการใช้มาตรฐานจริยธรรมขององค์กรอิสระมาใช้กับนักการเมือง จึงต้องถามกับองค์กรอิสระว่าในอดีตเคยทำผิดจริยธรรมหรือไม่ก่อนมาดำรงตำแหน่ง ความผิดของนางสาวพรรณิการ์ เป็นความผิดที่เกิดขึ้นก่อนมาดำรงตำแหน่งทางการเมือง จึงเชื่อว่านี่ไม่ใช่รัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง แต่เป็นการเปิดโอกาสให้รัฐธรรมนูญกลั่นแกล้งนักการเมือง ปราบนักการเมืองที่ไม่ยอมจำนน และนักการเมืองที่ไม่ยอมอยู่เป็น ด้วยกฎหมายนี

ด้าน นายอนุสรณ์ แก้ววิเชียร สส.นนทบุรี พรรคก้าวไกล กล่าวว่า น.ส.พรรณิการณ์ เป็นเพื่อนร่วมอุดมการณ์ตั้งแต่ตั้งพรรคอนาคตใหม่ ตนขอตั้งคำถามว่ามาตรฐานจริยธรรมของ สส.ต้องย้อนกลับไปก่อนที่จะมาเป็น สส.หรือไม่ พฤติกรรมในอดีตสามารถนำมาใช้ในขณะเป็น สส.หรือไม่ รวมถึงการกระทำที่เกิดไปแล้ว ความผิดเหล่านั้นยังคงติดตัวหรือไม่ ขอฝากไปถึงองค์กรอิสระว่าสิ่งที่วางบรรทัดฐานไว้ถูกต้องหรือไม่ นอกจากนี้คนที่เคลื่อนไหวทางการเมืองที่มีโทษในมาตรา 112 หากถูกตรวจสอบจริยธรรมจะซ้อนทับกับกฎหมายอาญาหรือไม่ และยุติธรรมหรือไม่ หากในอนาคตกฎหมายนี้ย้อนกลับมาที่ตัวท่านเอง

ขณะที่ น.ส.ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สส.กทม.พรรคก้าวไกล กล่าวว่า ในแง่ของกฎหมาย ไม่ควรมีกฎหมายลงโทษย้อนหลัง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นการตัดสิทธิ์ทางการเมือง หากเทียบทางอาญาถือเป็นโทษประหารชีวิต ถือเป็นโทษสูงหากเทียบพฤติการณ์

เมื่อถามว่า นายปิยบุตร แสงกนกกุล แกนนำคณะก้าวหน้า ออกมาแสดงความเห็นว่าพรรคก้าวไกลแสดงท่าทีล่าช้า และแล้งน้ำใจ นายปิยรัฐ กล่าวว่า ความเห็นดังกล่าวถือเป็นคุณูปการกับพรรค ในนามพรรคก้าวไกลได้มีการแถลงข่าวผ่านทางเพจเฟซบุ๊กไปแล้ว แต่ในการแถลงข่าววันนี้ไม่ได้แถลงในนามพรรค ไม่ได้ต้องการให้มองว่าเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล พรรคก้าวไกลก็หารือภายใน ไม่สามารถแอ็กชันได้ทันท่วงที เนื่องจากเมื่อวานนี้ (20 ก.ย.) มีการประชุมสภาด้วย

เมื่อถามต่อว่า ได้มีการคุยกับ น.ส.พรรณิการ์ หรือไม่ นายปิยรัฐ กล่าวว่า ส่วนตัวไม่ได้คุยกับ น.ส.พรรณิการ์ แต่คิดว่าทางพรรคน่าจะพูดคุยกันตามปกติ

เมื่อถามถึงแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หากไม่อยากให้ศาลพิจารณาเรื่องจริยธรรม นายปิยรัฐ กล่าวว่า ตามที่ นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกลได้นำเสนอการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการต่อยอด เป็นหนึ่งในปัจจัยที่เราเสนอให้เกิดรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง และไม่เกิดเครื่องมือทางการเมือง

เมื่อถามว่า เป็นการเขียนเสือให้วัวกลัวหรือไม่ นายปิยรัฐ กล่าวว่า ไม่ใช่การเขียนเสือให้วัวกลัว เพราะไม่ได้พุ่งเป้ามาที่พรรคก้าวไกล หรือคดีมาตรา 112 เท่านั้น แต่คำถามสำคัญก็คือ กรณีทั่วไปที่ศาลเคยตัดสินโทษไปแล้ว ศาลฎีกาจะกลับมาเอาโทษนักการเมืองคนนั้นในภายหลังได้อีกหรือไม่

"ผมว่าไม่ใช่การเขียนเสือให้วัวกลัว เพราะไม่ได้พุ่งเป้ามาที่พรรคก้าวไกลเท่านั้น แต่นักการเมืองทุกคน ต้องสำนึกว่ากฎหมายอยู่ในมือใคร และจะใช้กฎหมายกับใคร" นายปิยรัฐ กล่าว

‘โตโต้’ ไล่บี้ถาม ‘กทม.’ ละเว้นปฏิบัติหน้าที่หรือไม่? หลังปล่อยตลาดนัดเถื่อน ‘ซุกพนัน-ไร้ใบอนุญาต’

(18 ต.ค.66) ที่รัฐสภา นายปิยรัฐ จงเทพ สส.กรุงเทพฯ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) แถลงถึงความคืบหน้าการเปิดตลาดนัดสัญจรที่มีการพนันอยู่เบื้องหลังในพื้นที่เขตบางนา ว่า เรื่องนี้เป็นมากกว่าการพนัน แต่เป็นขบวนการต้มตุ๋นประชาชนที่อาศัยพื้นที่ในตลาดดังกล่าว เพื่อหลอกลวงทรัพย์สินจากประชาชนเป็นจำนวนมากต่อเนื่องหลายเดือนติดต่อกัน ซึ่งประชาชนในพื้นที่ทราบดีว่าทุกๆ เดือน บ่อนเหล่านี้จะมาตลาดเดือนละ 10 วัน และเวียนไปเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่เขตบางนา เชื่อว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในเขตอื่นๆ อีก รวมถึงปริมณฑลด้วย ดังนั้นปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยในเขตบางนาเท่านั้น และจะต้องมีผู้มีอิทธิพลหรือผู้มีสีอยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน เนื่องจากเราได้ติดตามและร้องเรียนกับทุกหน่วยงานของรัฐ เริ่มจากสำนักงานเขตบางนา โดยตนทำหนังสือร้องเรียนไปเมื่อวันที่ 18 ก.ค. ซึ่งทางสำนักงานเขตฯ ตอบกลับมาว่า ตลาดกำลังขออนุญาตแต่ยังไม่ได้รับอนุญาต ตนจึงขอตั้งคำถามว่า 1. ตลาดเปิดได้อย่างไร 2. สำนักงานเขตฯ ชี้แจงว่า ได้มีการเปรียบเทียบปรับไปแล้ว แต่เมื่อตนดูในเอกสารเป็นเอกสารที่ปรับแค่เรื่องการสร้างความเดือดร้อนรำคาญ ไม่ได้ปรับตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สาธารณะว่าด้วยเรื่องตลาด และข้อบัญญัติของกรุงเทพฯ ว่าด้วยเรื่องการอนุญาตตั้งตลาด

นายปิยรัฐ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 7 ส.ค. ตนได้ทำหนังสือสอบถามไปยังกรมการปกครอง จนขณะนี้ก็ยังไม่ได้รับการติดต่อกลับมา และยังไม่ได้รับคำรับรองว่าจะดำเนินการอย่างไรจากกระทรวงมหาดไทย ตนจึงไปตั้งคำถามในสภาฯ เมื่อวันที่ 27 ก.ย.ที่ผ่านมา คิดว่าเรื่องที่จะได้รับการแก้ไขแต่ปรากฏว่า ได้มีการตั้งตลาดอีกครั้งในวันที่ 13 ต.ค. ต่อเนื่องจนถึงวันที่ 23 ต.ค. โดยประชาชนได้มีการร้องเรียนมายังตน ประชาชนรายที่เสียหายหนักที่สุดเป็นเงินมากถึง 3 แสนกว่าบาท ตนก็ถูกตราหน้าว่าส.ส. มีส่วนรู้เห็นหรือไม่ เพราะร้องเรียนไปหลายครั้งแล้วก็ไม่ได้รับการแก้ไข จึงเป็นปรากฏการณ์ที่ตนต้องไปยืนเตือนประชาชนที่จะเข้าไปใช้พื้นที่ตลาด จึงเป็นประเด็นที่ต้องมาถกเถียงกันในวันนี้

นายปิยรัฐ กล่าวต่อว่า ดังนั้นตนขอชี้แจงเพิ่มเติม 2 ประเด็น ประเด็นแรกตลาดไม่ได้มีการจัดในรูปแบบทั่วไป เนื่องจากมีกฎหมายระบุว่า ตามพ.ร.บ.สาธารณสุข ซึ่งการตั้งตลาดนัดจะต้องมีการอนุญาตจากท้องถิ่น ถึงจะสามารถจัดตั้งได้ ดังนั้นเมื่อทางกทม. ไม่ได้อนุญาต แล้วมีการจัดตั้งตลาดได้อย่างไร ล่าสุดทางกทม. ได้ออกมาแถลงว่า ไม่ได้มีการปรับในรอบล่าสุดเพราะตลาดขออนุญาตอย่างถูกต้องในปี 2564 ตนจึงตั้งคำถามว่า ใครเป็นคนขออนุญาต และขอตั้งแต่เมื่อไหร่ รูปแบบผังเป็นอย่างไร เรื่องนี้เป็นข้อผิดพลาดของกทม. หรือไม่ เป็นการละเว้นปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ ประเด็นที่สอง ตลาดลักษณะนี้ไม่ได้เป็นไปตามผังตลาดอย่างแน่นอน เนื่องจากการทำตลาดนัดต้องมีผังชัดเจน ไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อมและประชาชนที่อาศัยข้างเคียง ซึ่งตลาดดังกล่าวกระทบแน่นอน ทั้งเสียง การจราจร นี่คือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ตนยืนยันว่าตลาดล่าสุดที่เกิดขึ้นซึ่งใช้พื้นที่เอกชน ไม่ได้ขออนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย สำนักงานเขตฯ ต้องชี้แจงเรื่องนี้ หลังออกมาแถลงว่าไม่มีการปรับรอบนี้ ตนถือว่ารอบนี้มีปัญหา

“ส่วนสน.และตำรวจจะอ้างว่าไม่พบการพนันที่เกิดขึ้นหลังตรวจสอบแล้ว ตนมองว่าเป็นเรื่องปกติ ตำรวจมักจะไม่เจออะไรในสิ่งที่ตำรวจไม่อยากเจอ นี่คือข้อเท็จจริง เมื่อตำรวจไม่อยากเจอ เขาก็สามารถบันดาลว่าไม่เจอได้ ขอความเห็นใจจากประชาชนเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ และฝากว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นในพื้นที่ของท่านหลายพื้นที่ อยู่ที่ว่าเจ้าหน้าที่รัฐจะเห็นความสำคัญในเรื่องนี้หรือไม่“นายปิยรัฐ กล่าว

เมื่อถามว่า มูลค่าความเสียหายที่รวบรวมได้ขนาดนี้มีมูลค่าเท่าไหร่ นายปิยรัฐกล่าวว่า ที่มีการร้องเรียนมาถึงตนเองรวมๆ ก็เกือบล้าน รายเดียวก็ 3 แสนกว่า และรายอื่นๆ คนละ 2-5 หมื่นบาท ทั้งนี้จะเป็นคดีความหรือไม่ต้องแล้วแต่ความสะดวกผู้ร้องทุกข์ เนื่องจากรู้ว่านี่คือกลุ่มผู้มีอิทธิพล

“ผมคงไม่สามารถไประบุชัดเจนว่าเป็นบุคคลใดหรือสีไหน เพียงแต่ว่าหน่วยงานรัฐทุกหน่วยงานที่ผมไปร้องเรียน และดำเนินการไม่ว่าจะเป็นกระทรวงมหาดไทย สำนักงานเขต สถานีตำรวจ ก็ไม่ได้ดำเนินการอย่างจริงจัง แม้เราจะมีความพยายามแล้ว โดยเฉพาะตนได้มีการตั้งคำถามหารือผ่านประธานสภาไปตั้งแต่วันที่ 27 ก.ย. ยังปล่อยให้มีลักษณะนี้อีก ผมก็ไม่รู้ว่าผู้ยิ่งใหญ่จะเป็นใคร และจะยิ่งใหญ่ขนาดไหน” นายปิยรัฐ กล่าว

เมื่อถามว่า จะมีการไปร้องเรียนกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติหรือไม่ นายปิยรัฐ กล่าวว่า ในวันพรุ่งนี้ (19 ต.ค.) ตนวางแผน และปรึกษาหารือกับพรรคว่าจะตั้งกระทู้ถามสดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หวังว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจะเข้ามาตอบกระทู้ถามสดนี้ของตนเกี่ยวกับประเด็นนี้

เมื่อถามถึงกรณีที่นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ระบุว่า ถ้ามีเบาะแสหรือหลักฐาน ก็ยินดีที่จะรับเรื่องไว้ จะมีการไปพูดคุยกับนายชาดาหรือไม่ นายปิยรัฐ กล่าวว่า ตนได้ส่งเรื่องไปที่กระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่วันที่เข้ารับตำแหน่งก็ยังไม่มีความคืบหน้าอะไร ถ้านายชาดาต้องการเพิ่มเติม ตนก็พร้อมให้ความร่วมมือ เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่มีที่เขตบางนาเท่านั้น ดังนั้นในฐานะตนที่เป็นโฆษกและกรรมาธิการความมั่นคงฯ เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับความมั่นคงซึ่งจะนำเข้าหารือในที่ประชุมกมธ.ในวันพรุ่งนี้ด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top