Wednesday, 21 May 2025
โตเกียว

เกิดเหตุระเบิดที่บาร์กลางกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น คาดมีแก๊สรั่วภายในอาคาร เบื้องต้นบาดเจ็บ 4 ราย

เมื่อวันที่ 3 ก.ค. 66 เกิดเหตุระเบิด และเพลิงไหม้อาคารหลังหนึ่งในย่านชิมบาชิ ใจกลางกรุงโตเกียว เมืองหลวงของญี่ปุ่น เมื่อเวลาราว 14.40 น. ตามเวลาท้องถิ่น หรือราว 12.40 น. เวลาประเทศไทย โดยเหตุระเบิดทำให้เศษกระจก และเศษคอนกรีตปลิวกระจายในพื้นที่

เจ้าหน้าที่เปิดเผยว่า สามารถควบคุมเพลิงเอาไว้ได้ในเวลาต่อมา โดยมีประชาชนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย 4 คน โดยระบุว่า พวกเขาเห็นเปลวเพลิงออกมาจากหน้าต่างหลายบานบนชั้นสอง และได้กลิ่นแก๊ส

ตำรวจเปิดเผยว่า จากการสอบสวนเบื้องต้นพบว่า เหตุระเบิดเกิดขึ้นที่บาร์แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่บนชั้น 2 ของอาคาร ซึ่งผู้จัดการบาร์ดังกล่าว ระบุว่า เขาพยายามจะจุดบุหรี่ในจุดที่ให้สูบบุหรี่ในอาคาร ซึ่งทำให้เกิดระเบิดตามมา โดยคาดว่าน่าจะมีแก๊สอยู่เป็นปริมาณมากในอาคาร ซึ่งเจ้าหน้าที่กำลังรวบรวมหลักฐานเพื่อยืนยันรายละเอียดอีกครั้ง

สำหรับอาคารที่เกิดระเบิดนี้ มีความสูง 8 ชั้น ตั้งอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟ JR ชิมบาชิ  ที่เต็มไปด้วยบาร์ ร้านอาหารชื่อดัง และบริษัทต่าง ๆ ด้วย

‘ญี่ปุ่น’ พบปัญหา นทท.ล้นโตเกียว ทำค่าที่พักพุ่ง เหตุขาดแคลนแรงงาน เตรียมหามาตรการกระจายตัวไปยังเมืองอืน เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจในท้องถิ่น

(2 ต.ค.66) ญี่ปุ่นได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวจำนวนมหาศาลที่หลั่งไหลเข้าไปอย่างรวดเร็วทันทีที่เปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเมื่อปลายเดือนเมษายน 2023 โดยใน 8 เดือนแรกของปีนี้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าญี่ปุ่นแล้วราว 15 ล้านคน แต่ปัญหาที่ญี่ปุ่นเจอ คือ นักท่องเที่ยวไม่ไปเมืองอื่น นอกจากเมืองหลวง โตเกียว  

สำนักข่าวนิกเคอิ เอเชีย (Nikkei Asia) รายงานเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2023 อ้างอิงข้อมูลจาก องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น (Japan National Tourism Organization: JNTO) ว่า มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าญี่ปุ่น 2.16 ล้านคนในเดือนสิงหาคมเพียงเดือนเดียว คิดเป็นประมาณ 86% ของปี 2019 หรือระดับก่อนเกิดโรคระบาดโควิด-19 

อย่างไรก็ตาม นักท่องเที่ยวต่างชาติยังกระจุกตัวเที่ยวในกรุงโตเกียว โดยยอดเข้าพักในโตเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เพิ่มขึ้น 56.2% จากเดือนเดียวของปี 2019 

โนริโกะ ยากาซากิ (Noriko Yagasaki) ศาสตราจารย์ด้านนโยบายการท่องเที่ยวที่ โตเกียว วูแมน คริสเตียน ยูนิเวอร์ซิตี้ (Tokyo Woman’s Christian University) บอกว่า ผู้คนจำนวนมากที่ไปเที่ยวญี่ปุ่นในปีนี้เป็นคนที่เที่ยวญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นธรรมดาที่การเที่ยวครั้งแรกจะเที่ยวในเมืองหลวงก่อน

“ผู้ที่เลื่อนการมาเยือนเนื่องจากโรคระบาดกำลังแห่กันมาที่ญี่ปุ่น และส่วนใหญ่ก็มาที่โตเกียวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้” 

อาจารย์ยากาซากิบอกอีกว่า อีกเหตุผลหนึ่งที่นักท่องเที่ยวเน้นเดินทางเที่ยวโตเกียว คือ เที่ยวบินตรงระหว่างประเทศไปยังจุดหมายปลายทางอื่นๆ ในภูมิภาคต่างๆ ยังไม่ฟื้นกลับมาเท่าไรนัก 

“แม้ว่าดีมานด์ขาเข้าจะสูง แต่ดีมานด์ขาออกจากสนามบินในภูมิภาคยังคงต่ำ เนื่องจากคนญี่ปุ่นยังไม่กล้าเดินทางไปต่างประเทศ หากดีมานด์ไม่เท่าเทียมกันทั้งสองด้าน การกลับมาเปิดเส้นทางบินเหล่านั้นก็จะถูกจัดอยู่ในลำดับความสำคัญท้ายๆ ของสายการบินต่างประเทศ”  

ขณะที่ความนิยมเที่ยวโตเกียวช่วยให้ผู้ประกอบการธุรกิจเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในโตเกียวได้เงินมากขึ้น แต่ในอีกทางหนึ่งมันก็เป็นข้อเสียสำหรับนักท่องเที่ยว เพราะค่าที่พักเพิ่มขึ้นมาก โดยข้อมูลจาก โคสตาร์ (CoStar) บริษัทในสหรัฐที่ให้บริการข้อมูลและการวิเคราะห์ด้านอสังหาริมทรัพย์ระบุว่า ค่าโรงแรมในโตเกียวเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 23,077 เยน (ประมาณ 5,688 บาท) เพิ่มขึ้น 28% จากเดือนเดียวกันในปี 2019

“ค่าโรงแรมในโตเกียวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญมากกว่าในเมืองอื่นๆ การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของนักท่องเที่ยวท่ามกลางปัจจัยต่างๆ มากมายทำให้ราคาขึ้น” ตัวแทนของสมาคมโรงแรมออลนิปปอน (All Nippon Hotel Association) กล่าว และบอกอีกว่า “การขาดแคลนแรงงานในธุรกิจโรงแรมไม่มีทีท่าว่าจะลดลงเลย” ซึ่งนั่นเป็นหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ค่าที่พักเพิ่มสูงขึ้น 

ในขณะที่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติยังคงกระจุกตัวอยู่ในโตเกียว รัฐบาลและหน่วยงานภาครัฐของญี่ปุ่นมีเป้าหมายที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวไปยังพื้นที่ส่วนอื่นๆ ของประเทศเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจในท้องถิ่น โดยแผนการพื้นฐานที่รัฐบาลจัดทำขึ้นในเดือนมีนาคมที่ผ่านมาตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มจำนวนวันเฉลี่ยที่นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าพักในพื้นที่ชนบทให้เพิ่มจาก 1.4 คืนในปี 2019 เป็น 2 คืนในปี 2025 

Japan Tourism Agency (JTA) หน่วยงานภาครัฐที่ดูแลเรื่องการท่องเที่ยวญี่ปุ่นได้เลือกสถานที่ต้นแบบ 11 แห่งทั่วประเทศญี่ปุ่น เพื่อรับการสนับสนุนอย่างเข้มข้น รวมถึงการให้เงินทุนเพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวในท้องถิ่นที่เพื่อที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมากขึ้น 

JTB บริษัทเอเจนซี่ท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นกำลังส่งเสริมเส้นทางการเดินทางใหม่จากโตเกียวผ่านภูมิภาคโฮคุริคุ ที่อยู่ตอนกลางฝั่งตะวันตกของเกาะฮอนชู (เกาะใหญ่สุดของญี่ปุ่น) ไปยังเมืองโอซาก้า นอกจานั้น ในปีนี้บริษัทได้เริ่มนำเสนอแพ็กเกจทัวร์บนเกาะคิวชูและชิโกกุเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติอีกด้วย 

“การกระจายตัวของนักท่องเที่ยวไปยังพื้นที่ต่างๆ จะช่วยแก้ปัญหา ‘การท่องเที่ยวล้นเกิน’ ความแออัด และปัญหาอื่นๆ จากนักท่องเที่ยวที่มากเกินไป” ชิน ฟูจิโมโตะ (Shin Fujimoto) หัวหน้าฝ่ายธุรกิจท่องเที่ยวขาเข้าของ JTB กล่าว

นอกจากนั้น เขากล่าวว่า การกระจุกตัวของนักท่องเที่ยวในโตเกียวมีแนวโน้มที่จะดำเนินต่อไปตลอดทั้งปีนี้ แต่จะเริ่มมีนักท่องเที่ยวไปเยือนจุดหมายปลายทางอื่นๆ ในภูมิภาคมากขึ้นในปีหน้าหรือราวๆ นั้น เมื่อจำนวนนักท่องเที่ยวที่กลับไปเที่ยวซ้ำเพิ่มขึ้น 

‘ญี่ปุ่น’ เตือน!! นทท.ในโตเกียว ระวัง ‘แท็กซี่ไร้ใบอนุญาต’ เหตุเสี่ยงไม่ปลอดภัย หลังความต้องการใช้บริการขนส่งสูงขึ้น

รัฐบาลญี่ปุ่นออกโรงเตือนนักท่องเที่ยวให้ระมัดระวังการใช้บริการรถแท็กซี่ที่ไม่มีใบอนุญาต หลังความต้องการใช้บริการขนส่งเพิ่มสูงขึ้นในกรุงโตเกียว เนื่องจากยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติพุ่งทะยานขึ้น

(20 พ.ย. 66) หนังสือพิมพ์ไมนิจิ ชิมบุนรายงานในวันเสาร์ที่ 18 พ.ย. ว่า เจ้าหน้าที่จากกระทรวงคมนาคมของญี่ปุ่นได้เผยแพร่ใบปลิวคำเตือนเรื่องการใช้บริการรถแท็กซี่ที่ไม่มีใบอนุญาตเป็นภาษาอังกฤษและจีนที่สนามบินนาริตะในกรุงโตเกียวเมืองหลวงของประเทศญี่ปุ่น ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนพ.ย.

ใบปลิวดังกล่าวระบุว่า รถแท็กซี่ที่ไม่มีใบอนุญาตนั้นทั้งผิดกฎหมายและไม่ปลอดภัย พร้อมกล่าวเสริมว่า ผู้โดยสารที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุขณะโดยสารรถแท็กซี่เหล่านี้อาจไม่ได้รับการคุ้มครองจากบริษัทประกันภัย

ขณะเดียวกัน ใบปลิวดังกล่าวได้ระบุถึงความแตกต่างระหว่างรถแท็กซี่ที่มีใบอนุญาตและไม่มีใบอนุญาต โดยแท็กซี่ที่มีใบอนุญาตจะมีป้ายทะเบียนสีเขียว ส่วนแท็กซี่ที่ไม่มีใบอนุญาตจะมีป้ายทะเบียนสีขาว

นายมิตสึเตรุ ยานาเสะ หัวหน้าสำนักงานของกระทรวงคมนาคมญี่ปุ่นประจำจังหวัดชิบะระบุว่า “เพื่อเป็นการรับประกันความปลอดภัยด้านการเดินทาง เราจึงต้องการให้นักเดินทางใช้รถแท็กซี่ที่มีใบอนุญาตและยานพาหนะที่ได้รับการจัดการมาเป็นอย่างดี”

แม้บริษัทให้บริการเรียกรถรับส่งผ่านทางแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือ เช่น อูเบอร์และแกร็บ ได้รับความนิยมอย่างสูงในหลายประเทศ แต่ญี่ปุ่นยังคงไม่อนุญาตให้รถที่ไม่มีใบอนุญาตรับส่งผู้โดยสาร โดยปัจจุบันอูเบอร์เปิดให้บริการในญี่ปุ่น แต่ใช้ในการเรียกรถแท็กซี่ที่มีใบอนุญาตเท่านั้น

เปิดประวัติ ‘โรตารี่’ อายุยาวนานกว่า 100 ปี ความภาคภูมิใจของมาสด้า โดดเด่นด้วยเอกลักษณ์เฉพาะ ‘เครื่องยนต์ลูกสูบสามเหลี่ยม’ แรงไม่ซ้ำใคร

(9 มี.ค.67) วันเสาร์สุดสัปดาห์แบบนี้ THE STATES TIMES จะขอพาทุกท่าน ย้อนเวลา ไปหาเครื่องยนต์ที่ถือได้ว่า เป็นตำนานที่สร้างชื่อเสียงให้กับ ‘มาสด้า’ นั่นก็คือ ‘เครื่องโรตารี่’

ต้นกำเนิดของเครื่องยนต์โรตารี่ เริ่มต้นมาตั้งแต่เมื่อปี 1919 เมื่อ มร. เฟลิกซ์ แวนเคิ้ล (Mr. Felix Wankel) มีความคิดริเริ่มที่จะสร้างเครื่องยนต์สันดาปภายในแบบใหม่ที่ไม่ซ้ำแบบเครื่องยนต์ลูกสูบทั่วๆไป โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจาก 'เครื่องจักรเทอร์ไบน์' จนกระทั่งออกมาเป็นรูปร่างคล้ายเครื่องยนต์ 4 จังหวะ จุดระเบิดด้วยการหมุนรอบตัวเอง และได้ทำการทดลองมาอย่างต่อเนื่องจนสามารถออกแบบเป็น 'ลูกสูบสามเหลี่ยม' ขึ้นมา และเมื่อ มร. เฟลิกซ์ แวนเคิ้ล ได้เข้าทำงานในสถาบัน TES (Technical Institute of Engineering Study) จึงได้พัฒนาจนเสร็จสมบูรณ์พร้อมใช้งานในรถเพื่อการพาณิชย์ โดยนำโปรเจกต์นี้ไปเสนอต่อบริษัท NSU Motorenwerke AG ซึ่งเป็นบริษัทผลิตมอเตอร์ไซค์ และได้พัฒนาเครื่องยนต์โรตารี่ควบคู่กันไป ทำให้ 'เครื่องยนต์โรตารี่' เครื่องแรกถือกำเนิดขึ้นในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 1957 โดยใช้ชื่อว่า DKM 54 ในรถมอเตอร์ไซค์ รุ่น 50 ซี.ซี. สามารถทำความเร็วได้ถึง 192.5 กม./ชม. ที่สำคัญสามารถคว้าชัยชนะในรายการ 'World Grand Prix Championship' ซึ่งเรียกเสียงฮือฮาให้กับผู้คนทั่วโลกเป็นอย่างมาก

ในปี 1961 Mr.Tsuneji Matsuda ประธาน บริษัท Toyo Kogyu (โตโย โคเกียว) ผู้ผลิตรถยนต์จากแดนอาทิตย์อุทัยภายใต้ชื่อ 'มาสด้า' ได้ทำการซื้อลิขสิทธิ์มาพัฒนาใหม่ จนกระทั่งในเดือนเมษายน ปี 1963 Mr. Keichi Yamamoto ก็ได้ทำการพัฒนาขึ้นมาสำเร็จ แต่ยังพบข้อบกพร่องบางอย่างเกี่ยวกับ Apex Seal และ Oil Seal ซึ่งเสียหายง่าย จึงได้ร่วมมือกับ บริษัท Nippon Piston Ring & Oil Seal Co. เข้ามาช่วยแก้ปัญหาในส่วนนี้ได้สำเร็จ

ต่อมาในปี 1967 #มาสด้าก็ได้สร้างความฮือฮาขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยการเปิดตัวรถคันแรก ที่ใช้ #เครื่องยนต์โรตารี่ ด้วย 'รุ่น Cosmo Sport 110S' ซึ่งเป็นรถยนต์มาสด้ารุ่นแรก ที่ใช้เครื่องยนต์โรตารี่หลังจากนั้นจึงได้เริ่มผลิตและจำหน่ายรถยนต์เครื่องยนต์โรตารี่ ตามออกมาอีกหลายรุ่น อาทิ แฟมิเลีย โรตารี่คูเป้ (R100 ในต่างประเทศ) ซาวันน่า(RX-3) #RX-7 และรุ่นยูโนส คอสโมมาสด้าถือเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายแรกและรายเดียว ที่ประสบความสำเร็จในการใช้เครื่องยนต์โรตารี่ ในเชิงพาณิชย์จนถึงปัจจุบันโดยเริ่มมาจากการใช้เครื่องยนต์โรตารี่ในรถยนต์รุ่น Cosmo Sport 110S และทำให้ต่อมารถยนต์มาสด้าหลายรุ่น ก็ได้นำเอาเครื่องยนต์โรตารี่มาใช้

นับจากรถยนต์มาสด้า ที่ใช้เครื่อง โรตารี่ ปรากฏโฉมออกสู่สาธารณชนเป็นครั้งแรกจนถึงปัจจุบัน เป็นเวลาร่วม 50 ปี ของเครื่องยนต์นี้ที่ถูกผลิตและจำหน่ายไปทั่วโลกมากกว่า 2 ล้านคัน ซึ่งในระหว่างนั้นทาง มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่นมีโอกาสผลิตรุ่นพิเศษ เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 40 ปี จึงได้เปิดตัวมาสด้า #RX-8รุ่นพิเศษ ในตลาดญี่ปุ่น โดยรุ่นพิเศษนี้ได้รับการพัฒนามาจากรุ่น RX-8 Type S(เกียร์ธรรมดา 6 สปีด) และ Type E(เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด) ถึงแม้ว่าเครื่องยนต์โรตารี่ จะได้หยุดการผลิตไปในบางช่วงเวลาเนื่องจากความเข้มงวดในบางตลาด แต่มาสด้าก็ไม่เคยที่จะหยุดพัฒนาและวิจัย

จนกระทั่งวันนี้ตำนานที่ถูกเล่าขานมาอย่างยาวนาน ได้ถือกำเนิดขึ้นมาอีกครั้ง นั่นคือ เครื่องยนต์โรตารี่ เจเนอเรชั่นใหม่ ที่มีชื่อเรียกว่า SKYACTIV-R หรือ เครื่องยนต์โรตารี่ที่แสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์ของมาสด้า ในการกล้าที่จะก้าวสู่ความท้าทายใหม่ๆ และกล้าที่จะต่างด้วยการใช้เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด โดยได้พัฒนาขึ้นเป็นรถสปอร์ตต้นแบบ มาสด้าRX-Vision ที่ใช้เครื่องยนต์โรตารี่ เจเนอเรชั่นใหม่ สกายแอคทีฟ-อาร์ เป็นขุมพลังในการขับเคลื่อน ซึ่ง มาสด้า มอเตอร์คอร์ปอเรชั่น ได้เผยโฉมเป็นครั้งแรกในงาน โตเกียว มอเตอร์ โชว์ เพื่อสะท้อนถึงวิสัยทัศน์แห่งอนาคต ด้วยการเป็นรถสปอร์ตวางหน้า และขับเคลื่อนล้อหลังที่มาพร้อมรูปลักษณ์หรูหรางดงามตามแบบฉบับ โคโดะ ดีไซน์ อันเลื่องชื่อของมาสด้า

นี่คือเรื่องราวความเป็นมาบางส่วนเกี่ยวกับเครื่องยนต์โรตารี่ อันเป็นต้นกำเนิดของรถสปอร์ตมาสด้าหลากหลายรุ่น และส่งผ่านมาจนถึงปัจจุบัน

'ดร.เอ้' โพสต์ภาพทางเท้าแถวชินจุกุ เรียบสนิท ไม่มีหลุม ไม่มีทรุด เชื่อ!! กทม.ก็ทำได้ หากทำงานด้วย 'มาตรฐาน-ตั้งใจจริง'

(14 มี.ค.67) ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ 'ดร.เอ้' รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กทม. ได้โพสต์ข้อความพร้อมภาพผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว 'เอ้ สุชัชวีร์' ขณะที่ไปญี่ปุ่น ระบุว่า...

ทำไมมันเรียบอย่างนี้! ฟุตพาทแถวชินจุกุ โตเกียว เรียบสนิท ไม่มีหลุม ไม่มีทรุด กรอบต้นไม้ก็ทำดีมาก ฝั่งซ้ายที่เอกชน เชื่อมกับฝั่งขวาที่สาธารณะ เนียนกริบ เหมือนไร้รอยต่อ ฝาท่อไม่มีโป่ง ไม่เผยอ เดินสบาย

ในความเป็นจริง กทม. #เราทำได้ เช่นกัน อยู่ที่มาตรฐานการทำงาน และความตั้งใจจริง

พบลายมือปริศนา ที่ ‘สะพานนากาเมกุโระ’ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ดราม่ากันสนั่น ชาวเน็ตสวมวิญญาณโคนัน สันนิษฐาน อาจเป็นคนไทย 

(8 เม.ย.67) เป็นดราม่าที่กำลังมาแรง เมื่อมีคนไทยไปเที่ยวที่สะพานนากาเมกุโระ สถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิตของโตเกียว ซึ่งช่วงซากุระบาน จะมีนักท่องเที่ยวไปถ่ายรูปจำนวนมาก

โดยดราม่าที่ว่านี้ เริ่มจากนักท่องเที่ยวไทยรายหนึ่ง ถ่ายภาพราวสะพานจุดชมวิวซากุระสุดลูกหูลูกตา แต่กลับพบว่า ที่ราวสะพานมีร่องรอยการเขียน ว่า “Beer   Mayvy 2024” ผู้โพสต์ได้ระบุว่า “ วันนี้ผมไปถ่ายรูปที่ Nakameguro แล้วเจอกับสิ่งนี้ครับ อยากรู้เหมือนกันว่าชาติไหน?”

คอมเมนต์ที่เข้ามาต่างวิพากษ์วิจารณ์และสันนิษฐานว่า ชื่อ เบียร์ นั้น อาจจะเป็นคนไทยหรือไม่ เพราะถือเป็นการตั้งชื่อเล่นที่ค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์ของคนไทยพอสมควร รวมถึงแสดงความไม่พอใจ ว่า การกระทำแบบนี้เป็นการทำลายสถานที่ท่องเที่ยวไม่ว่าที่ไหนก็ไม่ควรทำ

ดูเหมือนว่า ข้อสันนิษฐานของชาวเน็ตนั้นค่อนข้างจะถูกต้องว่า ผู้เขียนดูเหมือนว่าจะเป็นคนไทยจริงๆ เนื่องจาก มีคนไปค้นหาและพบว่า เจ้าของลายมือนี้ เคยไปเขียนที่สะพานนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อปี 2022 และโพสต์ภาพดังกล่าวลงในโซเชียลด้วย

โดยโพสต์เจ้าของลายชื่อ เบียร์รักเมวี่ ได้โพสต์ภาพราวสะพาน พร้อมเขียนข้อความว่า “แล้วเราก็กลับมาที่สะพานนี้อีกครั้ง แต่ชื่อที่เขียนไว้มันหายไปแล้ว 2024 เราก็เขียนใหม่ เดี๋ยวปี 2025 เราจะกลับมาดูใหม่ #ความทรงจำ2022”

หลังจากมีคนขุดโพสต์นี้ขึ้นมาก็เรียกว่าทัวร์ลงอย่างหนักและงงว่าทำไมจึงเขียนลงไปแบบนั้นซึ่งมีชาวเน็ตให้เบาะแสอีกว่าปัจจุบันเจ้าของลายมือเบียร์รักเมวี่ได้ปิดเฟซบุ๊กไปแล้ว

‘เศรษฐา’ ถึงโตเกียว เดินเที่ยวย่าน ‘กินซ่า’ ใส่เสื้อ ‘ผ้าขาวม้า’ สีสันสดใส อวดให้ชาวญี่ปุ่นเห็น

(22 พ.ค.67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เดินทางถึงกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เพื่อเตรียมเข้าร่วมการประชุมในช่วงเย็นวันนี้ (22 พ.ค.) ตามเวลาท้องถิ่นซึ่งเร็วกว่าประเทศไทย 2 ชั่วโมง

นายเศรษฐาได้ใช้เวลาว่างออกมาเดินบริเวณหน้าโรงแรมที่พัก The Peninsula Tokyo ใกล้ย่านกินซ่า ก่อนปฏิบัติภารกิจการเข้าร่วมการประชุม Nikkei Forum Future of Asia ครั้งที่ 29

โดยนายเศรษฐา สวมใส่เสื้อเชิ้ตที่ตัดจากผ้าขาวม้าสีสันสดใส จากมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ มาอวดชาวญี่ปุ่น ก่อนโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า …

“ถึงโตเกียวแล้วครับ หลังเตรียมงานวันพรุ่งนี้ที่จะพบภาคเอกชนหลายรายทั้ง Mitsui & Co, Ajinomoto, Nidec Corporation, Sony และ MUFG & SoftBank เรียบร้อยแล้ว เลยเดินออกกำลังกายรอบโรงแรมที่พัก และไม่ลืมใส่เสื้อเชิ้ตผ้าขาวม้าสีสันสดใส จากมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ มาอวดชาวญี่ปุ่นด้วยครับ”

ญี่ปุ่นในมุมสีเทา!! โตเกียว...ศูนย์กลางแห่งใหม่ธุรกิจบริการทางเพศในเอเชีย ‘ความฟุ้งเฟ้อ – ยากจน’ ผลักดันเด็กสาวเข้าสู่วังวนค้ากาม

โตเกียว...ศูนย์กลางแห่งใหม่ของธุรกิจบริการทางเพศในทวีปเอเชีย

ธุรกิจบริการทางเพศเป็นหนึ่งในธุรกิจการค้าที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ตามบันทึกของชาวสุเมเรียนที่ย้อนกลับไปถึงประมาณ 2,400 ปีก่อนคริสต์ศักราช ได้กล่าวถึงการค้าประเวณีว่าเป็นอาชีพที่เก่าแก่ที่สุด ซึ่งบรรยายถึงซ่องโสเภณีภายในวิหารแห่งเทพีอิชทาร์ที่ดำเนินการโดยนักบวชชาวสุเมเรียนในเมืองอูรุกของดินแดนสุเมเรียน (ปัจจุบันคือภูมิภาคตะวันออกกลาง) สำหรับญี่ปุ่นแล้ว ตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 นักเดินทางชาวจีน เกาหลี และชาวตะวันออกไกลอื่น ๆ ได้เริ่มแวะเวียนไปยังซ่องโสเภณีในญี่ปุ่น วิถีปฏิบัตินี้ยังคงดำเนินต่อไปในหมู่นักเดินทางจากภูมิภาคตะวันตกซึ่งส่วนใหญ่เป็นพ่อค้าชาวยุโรป โดยเริ่มจากชาวโปรตุเกสในศตวรรษที่ 16 ซึ่งมักมาพร้อมกับลูกเรือจากเอเชียใต้และลูกเรือชาวแอฟริกันมักจะค้าทาสกามจากญี่ปุ่น โดยพวกเขาจะจับเอาหญิงสาวชาวญี่ปุ่นซึ่งแรกเริ่มถูกใช้เป็นทาสทางเพศบนเรือ หรือพาไปที่มาเก๊าและอาณานิคมโปรตุเกสอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทวีปอเมริกา และอินเดีย อย่างเช่น เมืองกัว อาณานิคมของโปรตุเกสในอินเดีย ซึ่งมีชุมชนทาสและพ่อค้าชาวญี่ปุ่นในช่วงปลายศตวรรษที่ 16 และ 17 ต่อมาบริษัทอินเดียตะวันออกของ ยุโรป รวมถึงบริษัทของชาวดัตช์และอังกฤษก็เริ่มนำเอาหญิงสาวชาวญี่ปุ่นมาค้าประเวณีเช่นกัน

ภาพของ ‘โออิรัน’ กำลังเตรียมตัวรับลูกค้า

ในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 มีการค้าประเวณีชายและหญิงอย่างแพร่หลายในเมืองเกียวโต เอโดะ(ปัจจุบันคือกรุงโตเกียว) และโอซากะ ในญี่ปุ่น ‘โออิรัน’ เป็นโสเภณีในญี่ปุ่นในช่วงยุคเอโดะ โออิรันถือเป็นประเภทหนึ่งของยูโจ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘ผู้หญิงแห่งความสุข’ หรือ ‘โสเภณี’ ในบรรดาโออิรันแล้ว ‘ทายู’ ถือเป็นโสเภณีที่มีชั้นสูงสุดที่บริการได้เฉพาะชายที่มีฐานะร่ำรวยที่สุดเท่านั้น โออิรันจะถูกฝึกฝนในด้านศิลปะการร่ายรำ ดนตรี บทกวี และการเขียนอักษรวิจิตร รวมถึงบริการทางเพศเพื่อให้ความบันเทิงแก่ลูกค้า และการศึกษาถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการสนทนาที่ซับซ้อน นอกเหนือจากการให้ความสุขแล้ว ศิลปะและแฟชั่นของพวกเธอมักจะกลายเป็นกระแสในหมู่หญิงญี่ปุ่นที่มีฐานะร่ำรวย ในปี ค.ศ. 1761 ‘โออิรัน’ คนสุดท้ายที่ถูกบันทึกในประวัติศาสตร์ ‘คารายูกิซัง’ แปลว่า ‘หญิงสาวที่ไปทำงานต่างประเทศ’ เป็นหญิงญี่ปุ่นที่เดินทางหรือถูกนำไปค้ามนุษย์ในเอเชียตะวันออก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แมนจูเรีย ไซบีเรีย และบางครั้งไปไกลถึงซานฟรานซิสโก (ในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 และครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20) เพื่อทำงานเป็นโสเภณี หญิงบริการ และเกอิชา ในศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 มีเครือข่ายโสเภณีญี่ปุ่นที่ถูกนำมาค้ามนุษย์อยู่ทั่วภูมิภาคเอเชียในประเทศต่าง ๆ เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลี สิงคโปร์ และอินเดีย ในยุคที่อังกฤษปกครองซึ่งในขณะนั้นรู้จักกันในชื่อ ‘การค้าทาสผิวเหลือง’

หญิงขายบริการในสวนสาธารณะโอคุโบะ

ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงครามและถูกยึดครองโดยกองกำลังสัมพันธมิตร อาชีพการให้บริการทางเพศกลับมาเฟื่องฟูจนกระทั่งทศตวรรษ 1970 เมื่อเศรษฐกิจของญี่ปุ่นกลับมารุ่งเรือง อาชีพการให้บริการทางเพศในญี่ปุ่นจึงค่อย ๆ ลดลง ในช่วงยุคปีทองของเศรษฐกิจญี่ปุ่นนั้นชายชาวญี่ปุ่นมักจะออกเดินทางไปยังต่างประเทศเพื่อแสวงหาบริการทางเพศกับหญิงสาวในประเทศยากจน แต่ในปัจจุบัน สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว เมื่อผู้ชายต่างชาติแห่กันมาที่กรุงโตเกียวเพื่อแสวงหา  “บริการทางเพศ” ในญี่ปุ่นแทน ทั้งนี้การที่อาชีพการให้บริการทางเพศกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้งหนึ่งสืบเนื่องมาจากค่าเงินเยนที่อ่อนค่าลงและความยากจนในหมู่ชาวญี่ปุ่นที่เพิ่มขึ้น

ลูกค้ากำลังพูดคุยกับหญิงขายบริการในย่านคาบูกิโจ

โยชิฮิเดะ ทานากะ เลขาธิการสภาประสานงานปกป้องเยาวชน (Seiboren) ได้เล่าบริบทในปัจจุบันที่เป็นอยู่อันน่าหดหู่ใจในรายการ This Week in Asia ว่า “ญี่ปุ่นกลายเป็นประเทศยากจน” ใกล้ ๆ กันนั้น ในสวนสาธารณะที่กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของการค้าประเวณีในเมือง มีหญิงสาวมารอรับลูกค้าก่อนที่ดวงอาทิตย์จะลับขอบฟ้าเสียด้วยซ้ำ องค์กรของทานากะสังเกตเห็นว่ามีชาวต่างชาติจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ มาที่สวนสาธารณะในทันทีที่ข้อจำกัดการเดินทางในยุคการระบาดถูกยกเลิก “ตอนนี้เราเห็นชายชาวต่างชาติมากขึ้น” เขากล่าว “พวกเขามาจากหลายประเทศ มีทั้ง ผิวขาว เอเชีย ผิวดำ แต่ส่วนใหญ่แล้วเป็นคนจีน” ทานากะกล่าวว่า การหลั่งไหลดังกล่าวเกิดขึ้นพร้อมกับการที่วัยรุ่นและผู้หญิงวัยยี่สิบต้น ๆ หันไปค้าบริการทางเพศเพื่อความอยู่รอด ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างน่าเป็นห่วง นอกจากนี้ ความรุนแรงยังเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจอีกด้วย “สถานการณ์แย่ลงเรื่อย ๆ แย่ลงมาก” เขากล่าวพร้อมส่ายหัว “ที่นี่...มีเด็ก ๆ มากขึ้น และความรุนแรงก็มากขึ้นด้วย แต่หน่วยงานของเราทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าที่เราได้ทำอยู่แล้ว” ความหงุดหงิดของทานากะนั้นสามารถสัมผัสได้ ในขณะที่เขานึกถึงการต่อสู้ดิ้นรนยาวนานกว่าทศวรรษของเขาเพื่อช่วยเหลือหญิงสาวชาวญี่ปุ่นที่อพยพมาอยู่ในย่านคาบูกิโจอันเลื่องชื่อของเมืองโตเกียว ซึ่งเป็นย่านที่เต็มไปด้วย บาร์ โรงแรมสำหรับคู่รัก และคลับโฮสต์ซึ่งผู้ที่เปราะบางมักตกเป็นเหยื่อ

แฟชั่นแนว โกธิคโลลิต้า (Gothic Lolita หรือ Goth Loli) *ภาพไม่เกี่ยวกับเนื้อหาในบทความ

หนึ่งในนั้นก็คือ Rao (ชื่อสมมติ) เด็กสาวญี่ปุ่นวัย 19 ปีที่รู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถปรับตัวเข้ากับโรงเรียนมัธยมที่จังหวัดคานากาวะได้ จึงตัดสินใจมาย่านคาบูกิโจ ซึ่งเธอหวังว่าจะได้งานในร้านกาแฟ แต่กลับพบว่าค่าใช้จ่ายมากมายจนเกินกำลัง “ฉันเป็นหนี้เจ้าของบ้านเป็นจำนวนมาก ดังนั้นตั้งแต่เดือนเมษายน ฉันจึงไปที่สวนสาธารณะ” เธอกล่าวโดยใช้สำนวนอุปมาสำหรับการยืนอยู่บนถนนแคบ ๆ รอบ ๆ สวนสาธารณะโอคุโบะ เพื่อรอให้ชายที่ที่เป็นลูกค้าเข้ามาหา “ฉันต้องการเงินไปใช้หนี้ และอยากซื้อของดี ๆ เช่นเสื้อผ้า” Rao กล่าวด้วยใบหน้าที่ดูอ่อนเยาว์ของเธอ และไว้ทรงผมบ็อบเก๋ไก๋และมีสไตล์สำหรับแฟชั่นแนว โกธิคโลลิต้า (Gothic Lolita หรือ Goth Loli) หรือเรียกในภาษาญี่ปุ่นว่า ‘Gosurori’ 

ภาพจากภาพยนตร์เรื่อง Papa katsu ซึ่งหมายถึงชายสูงอายุที่เลี้ยงดูเด็กสาว

นอกจากนั้นแล้วเธอยังใช้เงินเพื่อไปเที่ยวโฮสต์ที่เธอชื่นชอบที่คลับในท้องถิ่นทุก ๆ สองสามวัน เธอยังลองทำสิ่งที่เรียกว่า Papa katsu ซึ่งเป็นการหา Sugar daddy เพื่อช่วยแบ่งเบาค่าใช้จ่ายของเธอ เธอเล่าถึงงานของเธออย่างไม่ใส่ใจ โดยบอกราคาค่าห้องในโรงแรมแบบชั่วโมงละ 15,000 เยนถึง 30,000 เยน (100-200 ดอลลาร์สหรัฐ) เหมือนกับรายการอาหาร ในวันธรรมดาเธอจะได้ลูกค้าประมาณ 5 คน ส่วนในวันหยุดสุดสัปดาห์จำนวนลูกค้าอาจเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า Rao เพิ่งทำแท้งเป็นครั้งที่สอง ซึ่งเป็นความจริงอันเลวร้ายของวิถีชีวิตของเธอ เธอเล่าว่า “มีผู้ชายหลายประเภทที่มาที่สวนสาธารณะโอคุโบะ แต่ฉันคิดว่าประมาณครึ่งหนึ่งเป็นชาวต่างชาติ” เธอกล่าวเสริมว่า “ฉันเคยคุยกับผู้หญิงที่อยู่ที่นี่มานานกว่า และพวกเธอก็บอกว่ามันแตกต่างออกไป เดิมทีที่นี่มีแต่ผู้ชายญี่ปุ่น แต่ตอนนี้ที่นี่กลายเป็นสถานที่เที่ยวที่มีชื่อเสียงไปแล้ว” Rao เล่าถึง “ชายชาวอังกฤษคนหนึ่ง” ที่เป็นลูกค้าประจำ รวมถึงลูกค้าจาก ไต้หวัน จีนแผ่นดินใหญ่ และฮ่องกง “ฉันเป็นที่นิยมเพราะรูปลักษณ์ภายนอก ดังนั้นฉันจึงยุ่งอยู่เสมอ” เธอบอก 

ลูกค้าสูงวัยกำลังพูดคุยกับหญิงขายบริการในย่านคาบูกิโจ

แต่ความเสี่ยงนั้นมีอยู่ตลอดเวลา “เพื่อนของฉันคนหนึ่งถูกชายชาวจีนทำร้ายบนถนนเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน” Rao กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นที่แฝงไปด้วยความกลัว “พวกเขากำลังคุยกันเรื่องราคา แล้วจู่ ๆ เขาก็โกรธและเตะเธอ หัวของเธอไปกระแทกกับอะไรบางอย่างและได้รับบาดเจ็บสาหัส เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นบ่อยมาก แต่จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังโชคดี” ทานากะยืนยันประสบการณ์ของ Rao เมื่อเธอโทรหาเขาหลังจากเพื่อนของเธอถูกทำร้าย เขาก็รีบไปช่วยและพาหญิงรายนั้นที่ได้รับบาดเจ็บไปโรงพยาบาล เขาบอกว่า เธอโกรธและต้องการแจ้งความกับตำรวจอย่างเป็นทางการ แต่เมื่อถึงเวลาต้องเผชิญหน้ากับผู้ที่ทำร้าย ตำรวจกลับสนใจที่จะตั้งข้อหาว่า เธอเป็นโสเภณีมากกว่าที่จะแสวงหาความยุติธรรมให้กับการบาดเจ็บของเธอ เมื่อเผชิญกับความจริงที่ว่าการแจ้งความอาจนำไปสู่การจับกุมเธอเอง เธอจึงถอนคำร้องทุกข์

หญิงขายบริการในสวนสาธารณะโอคุโบะ

“เป็นแบบนั้นเสมอ” ทานากะกล่าวด้วยความหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด “สาว ๆ ถูกทำร้ายเพราะลูกค้ารู้ว่าพวกเธอจะไม่ไปแจ้งตำรวจ … ผู้ชายรู้เรื่องนี้ พวกเขาจึงคิดว่า ตัวเองทำอะไรก็ได้” ทานากะยังคงมองโลกในแง่ดีอย่างระมัดระวังเกี่ยวกับอนาคตของ Rao แม้ว่าเขาจะตระหนักดีว่า งานของเธอจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตและร่างกายของเธอ ซึ่งเขาเคยเห็นมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน หญิงสาวที่ไปหาลูกค้าสวนสาธารณะโอคุโบะเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ผ่านประสบการณ์นี้มาได้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บ ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจและรัฐบาลต่างพากันเพิกเฉย ทานากะเกรงว่า ชีวิตเยาวชนที่ติดอยู่ในวังวนแห่งความสิ้นหวังและการถูกเอารัดเอาเปรียบจะเลวร้ายลงไปอีก ในขณะที่ทั้งโลกต่างคอยเฝ้าดูอย่างเงียบ ๆ “ผมคิดว่า ในไม่ช้าจะมีใครซักคนถูกฆ่าตาย” เขากล่าว “มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตอนนี้ไม่มีใครสนใจหญิงพวกนี้เลย การที่ใครสักคนถูกลูกค้าฆ่าตายอาจทำให้พวกเขาสนใจได้ครู่ใหญ่ แต่ผมคาดว่า หลังจากไม่นานพวกเขาก็จะลืมเรื่องนี้ได้อีกครั้ง”

ลูกค้าสูงวัยกำลังพูดคุยกับหญิงขายบริการในย่านคาบูกิโจ

คาซูโนริ ยามาโนอิ สมาชิกรัฐสภาจากพรรคประชาธิปไตยแห่งญี่ปุ่น ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านหลักของประเทศได้เรียกร้องให้มีการควบคุมการค้าบริการทางเพศ โดยเขากล่าวว่า “ความจริงก็คือ ญี่ปุ่นได้กลายเป็นประเทศที่ผู้ชายต่างชาติสามารถหาหญิงสาวและซื้อบริการทางเพศได้” ยามาโนอิกล่าวว่า นี่ไม่ใช่เพียงปัญหาภายในประเทศเท่านั้น แต่ยังสร้างความเสียหายต่อการรับรู้ที่มีต่อสตรีญี่ปุ่นในชุมชนระหว่างประเทศอีกด้วย ตามรายงานของกรมตำรวจนครบาล (MPD) ระบุว่า หญิงที่ถูกจับกุมขณะทำงานบนท้องถนนในปี 2023 ประมาณ 43% กล่าวว่าพวกเธอเริ่มขายบริการเพื่อจ่ายเงินให้กับคลับโฮสต์และศิลปินชายใต้ดิน โดยประมาณ 80% ของผู้ถูกจับกุมอยู่ในวัย 20 ปี ในขณะที่ 3 คนมีอายุ 19 ปีหรือน้อยกว่า จากข้อมูลของยูอิจิ โฮโจ ตัวแทนของสมาคมโฮสต์คลับแห่งประเทศญี่ปุ่น ระบุว่ามีโฮสต์คลับประมาณ 240 ถึง 260 แห่งในพื้นที่คาบูกิโจ ราคาเฉลี่ยต่อครั้งอยู่ที่ประมาณ 20,000 เยน โดยพนักงานบางคนมีโควตาที่ต้องจ่ายเป็นรายวันเพื่อจ่ายคืนให้กับโฮสต์คลับ

หญิงขายบริการในสวนสาธารณะโอคุโบะ

ผู้ให้บริการทางเพศมีความเสี่ยงไม่เพียงแต่ต่อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เท่านั้น แต่ยังเสี่ยงต่อการถูกทำร้ายร่างกายและถูกกรรโชกทรัพย์อีกด้วย ในญี่ปุ่น การซื้อและขายบริการทางเพศเพื่อเงินถือเป็นสิ่งผิดกฎหมาย แต่การห้ามจำกัดเฉพาะการสอดใส่เท่านั้น กฎหมายต่อต้านการค้าประเวณีกำหนดโทษทางอาญาคือจำคุกไม่เกิน 6 เดือน และปรับไม่เกิน 10,000 เยน แต่สำหรับผู้ขายบริการเท่านั้น (ฝ่ายหญิง) ไม่ใช่ผู้ซื้อบริการ (ฝ่ายชาย) แม้ว่าตำรวจนครบาลแห่งกรุงโตเกียวจะให้คำมั่นว่า จะดำเนินคดีสำหรับการกระทำรุนแรง แต่ผู้คนจำนวนมากต่างรู้สึกว่า ตำรวจให้ความสำคัญกับการปราบปรามการค้าประเวณีบนท้องถนน มากกว่าความรุนแรงต่อหญิงสาวเหล่านั้น

ดุสิตธานี เกียวโต คว้า 4 ดาว Forbes Travel Guide ตอกย้ำความหรูหราในปีแรกหลังเปิดให้บริการ

(18 ก.พ. 68) โรงแรมดุสิตธานี เกียวโต หนึ่งในไอคอนแห่งการพักผ่อนระดับหรูในเมืองเกียวโต ภายใต้การบริหารของกลุ่มดุสิตธานี ผู้นำด้านธุรกิจโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ของไทย ประกาศความสำเร็จอีกขั้นด้วยการคว้ารางวัล Four-Star Award จาก Forbes Travel Guide ประจำปี 2568 เพียงหนึ่งปีหลังเปิดให้บริการ

ความสำเร็จครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากโรงแรมเพิ่งได้รับรางวัล "One Michelin Key" จาก Michelin Guide 2024 ยกระดับสถานะเป็นโรงแรมระดับพรีเมียมที่โดดเด่นที่สุดแห่งหนึ่งในเกียวโต การคว้ารางวัลจากทั้งสองสถาบันระดับโลกสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการมอบประสบการณ์การพักผ่อนที่เหนือระดับ ผสมผสานการบริการที่อบอุ่นแบบไทยเข้ากับเสน่ห์ของวัฒนธรรมญี่ปุ่น

มร. มาโกโตะ ยามาชิตะ ผู้จัดการทั่วไปของโรงแรมดุสิตธานี เกียวโต กล่าวว่า “การได้รับรางวัล Four-Star Award จาก Forbes Travel Guide ในเวลาอันสั้น เป็นข้อพิสูจน์ถึงความทุ่มเทของทีมงานที่มุ่งมั่นสร้างสรรค์บริการที่น่าประทับใจ เราจะเดินหน้าต่อยอดความสำเร็จเพื่อยกระดับมาตรฐานสู่ความเป็นเลิศอย่างต่อเนื่อง”

Forbes Travel Guide ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2501 และเป็นมาตรฐานการประเมินโรงแรมระดับโลกที่ได้รับความเชื่อถือ โดยใช้เกณฑ์การประเมินกว่า 900 ข้อในการตรวจสอบโรงแรมอย่างเข้มงวดผ่านผู้ตรวจสอบที่ไม่เปิดเผยตัวตน โรงแรมดุสิตธานี เกียวโต ผ่านเกณฑ์การประเมินในระดับสูง ด้วยบริการที่พิถีพิถันและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวระดับไฮเอนด์

โรงแรมดุสิตธานี เกียวโต เปิดให้บริการเมื่อเดือนกันยายน 2566 ตั้งอยู่ในย่านฮันกันจิ มอนเซนมาจิ ห่างจากสถานีรถไฟเกียวโตเพียง 900 เมตร โรงแรมออกแบบให้สะท้อนถึงความงดงามของสองวัฒนธรรมผ่านห้องพัก 147 ห้อง พร้อมประสบการณ์การรับประทานอาหารสุดพิเศษ เช่น ห้องอาหารโคโย (Kōyō) ที่นำเสนอเมนูโอมากาเสะตามฤดูกาล และห้องอาหารอายตนะ (Ayatana) ที่นำเสนออาหารไทยไฟน์ไดนิ่ง ด้วยวัตถุดิบสดใหม่จาก Dusit Farm และไร่ชาออร์แกนิกในเกียวโต

นอกจากนี้ โรงแรมยังมีพื้นที่จัดงานหรูหรารองรับแขกได้ถึง 240 คน และศูนย์เวลเนส “เทวารัณย์” ที่ผสมผสานศาสตร์การนวดไทยโบราณกับพิธีกรรมญี่ปุ่น เพื่อมอบประสบการณ์ผ่อนคลายที่ไม่เหมือนใคร

การคว้ารางวัล Four-Star Award จาก Forbes Travel Guide ในปีนี้ ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของโรงแรมดุสิตธานี เกียวโต ในการสร้างชื่อเสียงให้กับโรงแรมไทยบนเวทีโลก พร้อมทั้งเสริมสร้างความเชื่อมั่นต่อนักท่องเที่ยวที่แสวงหาประสบการณ์การพักผ่อนที่สมบูรณ์แบบในหัวใจเมืองประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น

ด้วยความมุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศและการใส่ใจในรายละเอียด โรงแรมดุสิตธานี เกียวโต ยังคงยกระดับมาตรฐานการให้บริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สมกับการเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่หรูหราและน่าจดจำที่สุดในภูมิภาคเอเชีย

ญี่ปุ่นเผชิญหิมะตกหนักผิดฤดูในโตเกียว อุตุฯ ชี้สภาพอากาศแปรปรวนมาจากหย่อมความกดอากาศต่ำ

(19 มี.ค. 68) สำนักข่าวคิโยโด นิวส์ รายงานว่า เกิดสภาพอากาศที่ผิดปกติในวันนี้ เมื่อหิมะตกลงมาในช่วงที่ไม่ใช่ฤดูหนาวของกรุงโตเกียว โดยปรากฏการณ์นี้เป็นผลจากหย่อมความกดอากาศต่ำที่กำลังก่อตัวขึ้นในพื้นที่ทางตะวันออกของญี่ปุ่น ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิและสภาพอากาศที่ผิดปกติ

กรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นได้ประกาศเตือนสภาพอากาศแปรปรวนรุนแรงในวงกว้าง ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของหมู่เกาะญี่ปุ่น โดยเฉพาะในพื้นที่ตอนกลางและตะวันออกของญี่ปุ่นที่ได้รับผลกระทบจากพายุหิมะและฝนตกหนัก

การตกของหิมะในช่วงกลางเดือนมีนาคมนี้ถือเป็นเหตุการณ์ที่หาได้ยากในญี่ปุ่น ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในช่วงฤดูหนาวเท่านั้น แต่ในวันนี้ พายุที่เกิดขึ้นจากหย่อมความกดอากาศต่ำได้ทำให้กรุงโตเกียวและพื้นที่ใกล้เคียงประสบกับการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่ผิดปกติ

ทางกรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นได้แจ้งเตือนให้ประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบระมัดระวังอันตรายจากการเกิดหิมะตกหนัก การจราจรติดขัด และสภาพถนนที่ลื่นไถล รวมถึงเตือนให้เตรียมพร้อมสำหรับสภาพอากาศที่แปรปรวนในช่วง 24 ชั่วโมงข้างหน้า

ทั้งนี้ โดยปกติแล้วเดือนมีนาคมในญี่ปุ่นถือเป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ โดยจะเริ่มตั้งแต่ประมาณกลางเดือนมีนาคมไปจนถึงเดือนพฤษภาคม ซึ่งในช่วงนี้อุณหภูมิจะเริ่มอุ่นขึ้น และมีการบานของดอกซากุระ รวมถึงเป็นช่วงที่ได้รับความนิยมอย่างมากจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top