Tuesday, 22 April 2025
โดนัลด์_ทรัมป์

'ทรัมป์' ปั้น 'Truth Social'​ โซเชียลมีเดียของตัวเอง หลังโดนปิดกั้นหนัก เอาใจเหล่าสาวกเดนตาย

หลังจากที่อดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ต้องเสียบัญชีทวิตเตอร์ส่วนตัว ที่มียอดผู้ติดตามสูงถึง 88.7 ล้านคน และยังถูกปิดกั้นการเข้าถึงช่องทางโซเชียลมีเดียอื่นๆ ทั้ง Facebook รวมถึง YouTube ที่เคยใช้ ซึ่งล้วนมียอดผู้ติดตามมหาศาล อันเนื่องมาจากเหตุการณ์ การบุกรุกอาคาร 'เดอะ แคปปิตอล'​ ของกลุ่มผู้สนับสนุน ที่ต้องการขัดขวางกระบวนการรับรองคะแนนเลือกตั้งเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2021 ที่เชื่อว่าเกิดจากข้อความปลุกระดมในโซเชียลมีเดียของทรัมป์

ทั้งนี้​ การปิดกั้นช่องทางสื่อสารทางโซเชียล มีผลกับอดีตประธานาธิบดี ที่ได้ชื่อว่าเป็นนักสร้างกระแสคนดังที่สุดแห่งยุคอย่างมาก เพราะทรัมป์ชื่นชอบ การสื่อสารผ่านทางทวิตเตอร์มาก ที่มักจะโพสต์ข้อความถึงกลุ่มฐานเสียงทุกวันอย่างสม่ำเสมอ 

อย่างไรก็ตาม​ เมื่อปิดกั้นกันนัก ท่านเสี่ยทรัมป์ก็เลยควักกระเป๋า เปิดช่องโซเชียลมีเดียเป็นของตัวเองซะเลย โดยใช้ชื่อว่า Truth Social ที่เตรียมจะเปิดตัวในขั้นทดสอบและรับสมาชิกในเดือนพฤศจิกายนปีนี้

'ทรัมป์' เตือน!! อาวุธที่สหรัฐฯ มอบให้ยูเครน อาจบานปลายสู่ 'สงครามโลกครั้งที่ 3'

ความช่วยเหลือด้านการทหารอันมากมายเกินขอบเขตที่ทางสหรัฐฯ มอบแก่เคียฟ อาจก่อผลลัพธ์ลากความขัดแย้งในยูเครนลุกลามบานปลายกลายเป็นสงครามโลกครั้งที่ 3 จากคำเตือนของ โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีอเมริกา

"เรามีสงครามในยูเครน และบางทีมันอาจกำลังมุ่งหน้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 3 สืบเนื่องจากแนวทางที่เรากำลังบริหารจัดการมัน" ทรัมป์พูดเตือนระหว่างกล่าวปราศรัยกับที่ประชุมหนึ่งในเมืองแนชวิลล์ รัฐเทนเนสซี เมื่อวันศุกร์ (17 มิ.ย.)

"เราเพิ่งมอบเงิน 40,000 ล้านดอลลาร์ เพิ่มเติมจาก 16,000 ล้านดอลลาร์ ดังนั้นเราทุ่มเงินไปทั้งหมด 56,000 ล้านดอลลาร์" ทรัมป์กล่าวพาดพิงถึงแพกเกจช่วยเหลือของรัฐบาลไบเดน ที่อนุมัติมอบแก่ยูเครน ท่ามกลางความขัดแย้งกับรัสเซีย

"แต่หากคุณมองไปที่ยุโรป เยอรมนี ฝรั่งเศสและประเทศอื่นๆ เหล่านั้นทั้งหมด พวกเขามอบเงินแค่เศษเล็กๆ เล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับสิ่งที่เรากำลังมอบให้ เรากำลังมอบความช่วยเหลือ 56,000 ล้านดอลลาร์ พวกเขาให้เงินช่วยเหลือแค่ไม่กี่พันล้านดอลลาร์ และพวกเขาก็เป็นหนึ่งที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักเช่นกัน"

6 มกราคม พ.ศ. 2567 ครบรอบ 3 ปีที่ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ใช้เวลา 187 นาที นั่งดูผู้ชุมนุม ‘ก่อจลาจล-โจมตี’ รัฐสภาสหรัฐฯ

ย้อนกลับไปเมื่อ 6 มกราคม พ.ศ. 2564 หรือ ค.ศ. 2021 ประชาชนนับพันผู้สนับสนุนอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งเป็นผู้ชิงตำแหน่งสมัยที่ 2 ได้บุกเข้าไปยังอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ ขัดขวางการนับคะแนนเพื่อยืนยันชัยชนะอย่างเป็นทางการของ ‘โจ ไบเดน’ ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต

เหตุการณ์ในครั้งนั้นนับเป็นเหตุจู่โจมสภาคองเกรสที่ร้ายแรงที่สุดนับตั้งแต่สงครามในปี ค.ศ. 1812 และถูกโหมโดย ‘ทรัมป์’ ซึ่งกล่าวอ้างอย่างผิด ๆ ว่า ความพ่ายแพ้ของเขาในเดือนพฤศจิกายนปี ค.ศ. 2020 นั้นเกิดจาก ‘การโกง’

เหตุการณ์จลาจลดังกล่าวส่งผลให้เจ้าหน้าที่ตำรวจหนึ่งนายเสียชีวิตหลังจากปะทะกับผู้ประท้วง ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้เกี่ยวข้อง 4 นาย เสียชีวิตในเวลาต่อมาจากการฆ่าตัวตาย อีก 140 นายได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ ฝั่งผู้ประท้วงเสียชีวิต 4 ศพ ประชาชนมากกว่า 700 คน ถูกจับกุมด้วยข้อหามีส่วนร่วมในเหตุการณ์ครั้งนี้

ทรัมป์ได้โพสต์วิดีโอเมื่อ 6 มกราคม ค.ศ. 2021 โดยเขาใช้เวลา 40 วินาทีให้ความเห็นอกเห็นใจผู้ประท้วง “ผมรับรู้ถึงความเจ็บปวด ผมรู้ว่าพวกคุณเจ็บปวด แต่ตอนนี้ผมอยากให้พวกคุณกลับบ้าน เราต้องมีสันติ เราต้องรักษากฎหมายและความสงบเรียบร้อย เราต้องเคารพกฎหมายและความสงบเรียบร้อยของประชาชน”

นอกจากนี้ยังโพสต์ข้อความเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับม็อบ ระบุว่า…“นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อชัยชนะของการเลือกตั้งอย่างถล่มทลายอันศักดิ์สิทธิ์ถูกพรากไปจากผู้รักชาติที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมและไม่ยุติธรรมมาเป็นเวลานาน” 

เขาโพสต์ต่อว่า “กลับบ้านด้วยความรักและความสงบสุข จดจำวันนี้ไว้ตลอดไป!”

ความรุนแรงที่เกิดขึ้นทำให้ทรัมป์ถูกเสนอชื่อเข้าสู่กระบวนการถอดถอนจากตำแหน่งเป็นครั้งที่สอง และเข้ารับการสอบสวน โดยคณะกรรมการสภาสอบสวนเหตุการณ์ 6 มกราคม (Select Committee to Investigate the January 6th Attack on the United States Capitol) ที่จัดตั้งขึ้น เมื่อ 30 มิถุนายน ค.ศ. 2021

โดยเบนนี ธอมป์สัน (Bennie Thompson) ประธานคณะกรรมการ และผู้แทนจากมิสซิสซิปปี กล่าวว่าคณะกรรมการทั้ง 9 คน ต้องการทราบว่าทรัมป์ทำอะไรบ้างระหว่าง ‘187 นาที ของการไม่ทำอะไรเลย’ ขณะที่เขานั่งดูผู้ประท้วงในโทรทัศน์จากห้องรับประทานอาหารในทำเนียบขาว

ทางด้านลิซ เชนีย์ รองประธานคณะกรรมการ และผู้แทนจากไวโอมิง หนึ่งในผู้วิพากษ์ทรัมป์ ให้สัมภาษณ์รายการ ‘This Week’ ทางสถานี ABC ว่า “ทรัมป์ควรบอก (ผู้ประท้วง) ให้หยุดได้แล้ว แต่เขากลับไม่ได้ทำ”

'ทรัมป์' ลั่น!! แบน TikTok ไม่ง่ายและมีแต่จะช่วยให้ Facebook ได้อำนาจมากขึ้น เพราะเดิม Meta ก็มีปัญหาด้าน 'ความเป็นส่วนตัว-ความปลอดภัย' ไม่ต่างกัน

(12 มี.ค.67) CNBC รายงาน โดนัลด์ ทรัมป์ แคนดิเดตของพรรครีพลับลิกัน กล่าวว่า เขามีความกังวลว่าการแบนแอปฯ จากจีนอย่าง TikTok จะทำให้แอปฯ อย่าง Facebook ของ Meta ซึ่งเปรียบเสมือนศัตรูของประชาชนได้ผลประโยชน์ไป และมีอำนาจมากขึ้นเป็นสองเท่า

ทรัมป์ กล่าวว่า การแบน TikTok มีผลที่ดี แต่ก็มีผลเสียออกมาเช่นกัน ทรัมป์บอกว่า มีผู้คนมากมายโดยเฉพาะเด็กวัยรุ่นอเมริกันที่ชอบ TikTok มาก และคงจะเป็นจะตายหากไม่มีมัน พร้อมทั้งกล่าวโจมตีว่ามีแต่ Meta ที่ได้ผลประโยชน์นี้ และ Meta ก็มีปัญหาด้านความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยเหมือนกัน 

ปัจจุบัน แอปพลิเคชันวิดีโอสั้นจากจีนโดยบริษัท ByteDance ได้รับความนิยมในสหรัฐฯ อย่างมาก แต่กระนั้น ทางการสหรัฐฯ ก็มีความกังวลว่าจะเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ เนื่องจากกังวลว่าแอปได้ส่งข้อมูลกลับไปที่จีนและอาจแบ่งข้อมูลให้ทางการของจีน จึงมีการลงความเห็นจะแบบ TikTok ในไม่กี่เดือนหากบริษัทจีนไม่ถอนทุนออกไป ซึ่งทางประธานาธิบดีอย่าง โจ ไบเดนก็มีความเห็นที่จะลงดาบแอปฯ นี้เช่นกัน

‘ทรัมป์’ ขู่!! ‘อิหร่าน’ หากมีแผนลอบสังหารตนเองจริง ‘สหรัฐฯ’ ควรจะ 'ทำลาย-กำจัด' ให้หายไปจากแผนที่โลก

(26 ก.ค. 67) อดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้โพสต์ข้อความบน Truth Social ของเขาว่า การลอบสังหารตนด้วยฝีมือของอิหร่านยังมีโอกาสขึ้นได้เสมอ ซึ่งหากเรื่องนี้เกิดขึ้นจริง สหรัฐฯ ควรจะทำลายและกำจัดอิหร่านออกไปจากแผนที่โลก

โพสต์ของทรัมป์ยังได้แสดงคลิปวิดีโอของนายกรัฐมนตรี เบนจามิน เนทันยาฮู ผู้นำอิสราเอล ระหว่างการกล่าวปราศรัยต่อสมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 24 ก.ค.2567 ซึ่งนายกรัฐมนตรีเนทันยาฮูอ้างว่าอิหร่านมีแผนปองร้ายทรัมป์

ขณะที่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สำนักข่าว CNN รายงานว่า ก่อนเกิดเหตุลอบยิงทรัมป์ระหว่างการปราศรัยหาเสียงที่รัฐเพนซิลเวเนีย ทางการสหรัฐฯ ได้รับข้อมูลข่าวกรองว่า อิหร่านมีแผนสังหารทรัมป์ ทำให้ทีมอารักขาต้องเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัย แต่เจ้าหน้าที่ไม่พบความเชื่อมโยงระหว่าง โทมัส แมททิว ครูกส์ คนร้ายผู้ก่อเหตุลอบยิงกับรัฐบาลอิหร่านแต่อย่างใด

ด้านกระทรวงการต่างประเทศอิหร่านปฏิเสธรายงานข่าวดังกล่าว โดยตอบโต้ว่าเป็นเรี่องการเมือง แม้หลายฝ่ายเชื่อว่าอิหร่านยังคงต้องการล้างแค้นให้กับการเสียชีวิตของ นายพล กาเซม โซเลมานี ผู้บัญชากองกำลังคุดส์ ของกองทัพพิทักษ์ปฏิวัติอิสลาม ที่ถูกลอบสังหารด้วยโดรนสหรัฐฯ ในอิรักในเดือน ม.ค. ปี 2020

นอกจากนี้ในปี 2019 ทรัมป์ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในขณะนั้นขู่จะทำลายอิหร่าน หากโจมตีเป้าหมาอเมริกันใด ๆ ก็ตามซึ่งตลอดระยะเวลาที่อยู่ในอำนาจ ทรัมป์ได้ใช้นโยบายแข็งกร้าวกับอิหร่านมาโดยตลอด ทั้งการใช้มาตรการลงโทษและการถอนตัวจากข้อตกลงที่ชาติมหาอำนาจสัญญาว่าจะลดการคว่ำบาตรต่ออิหร่านเพื่อแลกกับการจำกัดโครงการพัฒนาด้านนิวเคลียร์

ส่วนความเคลื่อนไหวของรองประธานาธิบดี กมลา แฮร์ริส ว่าที่แคนดิแดตพรรคเดโมแครตได้เปิดตัวคลิปโฆษณาหาเสียงออนไลน์เป็นครั้งแรก ซึ่งมาพร้อมกับเพลง ‘ฟรีดอม’ (Freedom) ที่แปลว่าเสรีภาพ ขับร้องโดย ‘บียองเซ’

โดยเนื้อหาในคลิปหาเสียงนี้ แฮรร์ริสได้ย้ำจุดยืนในเรื่องการแก้ไขความรุนแรงจากอาวุธปืน  เสรีภาพในการตัดสินใจเกี่ยวกับร่างกายของตัวเอง ประกันสุขภาพที่ทุกคนเข้าถึง และ การที่ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย

ตามเชียร์รอบหน้า 'จันทร์แจ่ม สุวรรณเพ็ง' เจอนักชกโครโมโซม XY ฟาก 'ทรัมป์' ร่วมวงขัดขวางผู้ชายเข้าแข่งกีฬาประเภทหญิง

(4 ส.ค. 67) เอ็นบีซี/ฟ็อกซ์นิวส์ เผย เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ได้โพสต์ข้อความบนบัญชีทรัสต์ โซเชียลของตนเอง บอกว่าเขาจะสู้เพื่อขัดขวางผู้ชายจากการเข้าแข่งขันกีฬาประเภทหญิง ท่ามกลางประเด็นเกี่ยวกับนักมวยสมัครเล่นหญิงชาวแอลจีเรีย ในศึกโอลิมปิกเกมส์ แผ่ลามเรื่องถกเถียงนี้เข้าสู่แวดวงทางการเมือง

ทรัมป์ แชร์วิดีโอหนึ่งเป็นภาพการแข่งขันมวยสากลสมัครเล่นหญิงในโอลิมปิกเกมส์ 2024 ระหว่าง 'อังเจลา คารินี' จากอิตาลี กับ 'อิมาน เคลิฟ' จากแอลจีเรีย 

ทั้งนี้ เคลิฟ ผ่านคุณสมบัติเข้าแข่งขันปารีสเกมส์ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยถูกสหพันธ์มวยสากลนานาชาติ (IBA) ตัดสิทธิจากการเข้าแข่งขันชิงแชมป์โลก 2023 เนื่องจากไม่เป็นไปตามข้อกำหนดด้านคุณสมบัติขององค์กร

ด้าน อูมาร์ เครมเลฟ ประธาน IBA ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวแห่งหนึ่งของรัสเซีย ณ ขณะนั้นว่า เคลิฟ มีโครโมโซม XY ของชายแท้

ประเด็นถกเถียงโหมกระพือขึ้น หลังจาก เคลิฟ ใช้เวลาเพียง 46 วินาที เอาชนะ คารินี ที่ขอยอมแพ้ จากนั้น คารินี ให้สัมภาษณ์ทั้งน้ำตาว่าเธอถอนตัวเพราะไม่สามารถสู้ต่อไปได้

ขณะเดียวกัน ใเวลานี้ เคลิฟ ได้ผ่านเข้าสู่รองชนะเลิศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ท่ามกลางประเด็นถกเถียงที่หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ และคู่ต่อสู้ด่านต่อไปของเธอก็คือ จันทร์แจ่ม สุวรรณเพ็ง นักชกสาวจากประเทศไทย ที่จะชกกันวันที่ 6 ส.ค.นี้ เวลา 18.34 น. ตามเวลาประเทศไทย

"ผมจะกีดกันผู้ชายออกจากกีฬาของผู้หญิง" ทรัมป์เขียน พร้อมกับแชร์คลิปแมตช์การแข่งขันดังกล่าว

สมาชิกรีพับลิกันคนอื่นๆ ก็แสดงความขุ่นเคืองต่อกรณีนี้อย่างรวดเร็ว โดยใช้แพลตฟอร์มเอ็กซ์ประณามการเข้าร่วมของเคลิฟ ในนั้นรวมถึงวุฒิสมาชิกเทด ครูซ จากเทกซัส และ ส.ส.มาร์จอรี เทย์เลอร์ กรีน จากจอร์เจีย ซึ่งประณาม คาลิฟ ว่า "โกง นักต้มตุ๋นและคนโกหก"

"มันน่าละอายกับใครก็ตามที่ปล่อยให้ผู้ชายลงแข่งกับผู้หญิง" เทย์เลอร์ กรีน ระบุ "พวกเดโมแครตสนับสนุนเรื่องนี้ เคยมีคำสอนว่าผู้ชายอย่าได้ทำร้ายผู้หญิง แต่ตอนนี้มันมีคำถามในด้านคุณธรรม"

สหพันธ์มวยสากลนานาชาติ (ไอบา) ถูกคณะกรรมการโอลิมปิกสากลตัดสิทธิจากการเป็นผู้จัดการแข่งขันกีฬามวยสากลสมัครเล่นในโอลิมปิกเกมส์เมื่อปีที่แล้ว ท่ามกลางเสียงร้องเรียนจากนานาชาติเกี่ยวกับคำตัดสิน ซึ่งมันโหมกระพือความบาดหมางระหว่าง 2 ฝ่ายมานับแต่นั้น

ในวันศุกร์ (2 ส.ค. 67) ไอบา เปิดเผยว่าพวกเขาจะมอบเงินรางวัลแก่ คารินี จำนวน 50,000 ดอลลาร์ ปลอบใจที่พ่ายแพ้แก่ เคลิฟ ในรอบ 16 คนสุดท้าย นอกจากนี้ โค้ชของเธอก็จะได้รับเงินอีก 25,000 ดอลลาร์เช่นกัน

"ผมไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงอยากฆ่าการแข่งขันการชกมวยของผู้หญิง" อูมาร์ เครมเลฟ ประธานไอบา ระบุ "มีเพียงนักกีฬาที่มีสิทธิเท่านั้นที่ควรได้รับอนุญาตให้ขึ้นชกบนสังเวียน เพื่อเห็นแก่ความปลอดภัยของนักกีฬา ผมไม่กล้าจะมองเธอตอนที่เธอร้องไห้เลยด้วยซ้ำ"

‘ทรัมป์’ กล่าวหา ‘แฮร์ริส’ ใช้ AI ตกแต่งภาพ สร้างฝูงชน รอรับที่สนามบินมิชิแกน ทีมงานรองประธานาธิบดี ตอบโต้ทันที ชี้!! เป็นภาพจริง มีผู้คนมารอต้อนรับนับหมื่น

(12 ส.ค. 67) นายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผู้สมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2024 แห่งพรรครีพับลิกัน กล่าวหานางกมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ และเป็นผู้สมัครฯ จากพรรคเดโมแครตว่า ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือเอไอ ตกแต่งภาพผู้คนเป็นจำนวนมากมารอต้อนรับเธอที่ท่าอากาศยานดีทรอยต์เมโทรโพลิแทน ในเมืองโรมิวลุส รัฐมิชิแกน เมื่อช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา

โดยอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ กล่าวว่า นางแฮร์ริสโกงภาพที่ปรากฏ เพราะไม่มีใครอยู่ ซึ่งเธอใช้เอไอทำภาพดังกล่าวขึ้นมา

อย่างไรก็ตาม ทางทีมงานของรองประธานาธิบดีแฮร์ริส ออกมาตอบโต้ พร้อมทั้งยืนยันว่า ภาพที่ผู้คนเป็นจำนวนมากมารอต้อนรับรองประธานาธิบดีแฮร์ริสที่ท่าอากาศยานดังกล่าวนั้น เป็นภาพจริง ซึ่งในขณะนั้นมีผู้คนจำนวนราว 15,000 คนมารอต้อนรับ รองประธานาธิบดีแฮร์ริส และว่าในการปราศรัยหาเสียงในแต่ละที่ ก็มีผู้คนมาฟังปราศรัยนับหมื่นคนเป็นประจำเช่นกัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top