Saturday, 7 June 2025
แอลกอฮอล์

สำนักงานตำรวจแห่งชาติประชาสัมพันธ์งดจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในวันออกพรรษา ประจำปี 2567

(17 ต.ค.67) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ตามที่มีประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดวันห้ามขายเครื่องแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2558 ห้ามมิให้ผู้ใดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอาสาฬบูชา วันเข้าพรรษา และวันออกพรรษา ยกเว้นการขายเฉพาะร้านค้าปลอดอากรภายในอาคารท่าอากาศยานนานาชาติ โดยในปีนี้วันออกพรรษา ตรงกับวันนี้ พฤหัสบดีที่ 17 ตุลาคม 67 ทั้งนี้ เพื่อให้บังคับใช้กฎหมายในวันสำคัญทางศาสนาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดผลเป็นรูปธรรมอย่างจริงจัง สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงขอประชาสัมพันธ์ไปยังผู้ประกอบการร้านค้า และประชาชน ให้งดจำหน่ายและดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด 

ทั้งชนิดขายส่งและขายปลีกทั่วราชอาณาจักร ตลอด 24 ชั่วโมง ตั้งแต่เวลาหลังเที่ยงคืนที่ผ่านมา จนถึงเวลา 24.00 น. ของคืนนี้ (ยกเว้นเฉพาะร้านค้าปลอดอากรภายในอาคารท่าอากาศยานนานาชาติ) หากผู้ใดฝ่าฝืน มีความผิดตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 มาตรา 39 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

สำหรับในส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้กำชับการปฏิบัติไปยังทุกหน่วยปฏิบัติในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการบูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วน ในการกวดขัน จับกุม ผู้กระทำความผิดที่ฝ่าฝืนกฎหมายและประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีอย่างเด็ดขาด โดยจัดสายตรวจออกตรวจสอบตามสถานที่สุ่มเสี่ยงต่างๆ เช่น ร้านข้าวต้มโต้รุ่ง, ร้านอาหารตามสั่งริมทาง, สถานีขนส่งโดยสารสาธารณะ และสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง เป็นต้น หากตรวจพบผู้ที่ฝ่าฝืนให้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งให้กวดขันจับกุมหากปรากฏการกระทำผิดซัดเจน โดยให้ผู้บังคับบัญชาทุกระดับควบคุม กำกับดูแลการปฏิบัติให้เรียบร้อย และขอความร่วมมือไปยังพี่น้องประชาชนช่วยกันสอดส่องดูแล 

ทั้งนี้ หากพบเห็นการกระทำความผิด สามารถแจ้งเบาะแสและข้อมูลข่าวสารได้ที่สายด่วน 191 และ 1599 ตลอด 24 ชั่วโมง

เวทีถก‘ร่างกม.คุมแอลกอฮอล์’ชี้มีข้อดีเพิ่มแต่ห่วงปมเปิดช่องกลุ่มทุนร่วม ‘คกก.ควบคุมฯ’ หวั่นเจือสมผลประโยชน์ ‘ตีเช็คล่วงหน้า’เรียกร้องธุรกิจร่วมรับผิดชอบ

                   

(30 ม.ค.68) วงประชุมชำแหละ 'ร่างแก้ไข พ.ร.บ.ควบคุมแอลกอฮอล์' ระบุ! แม้คลายการควบคุม แต่ได้เพิ่มโทษปรับ 5 เท่ากับคนขายเหล้าให้เด็กและคนเมา หวังแก้ปัญหาผู้ได้รับผลกระทบ รวมถึงเพิ่มบทบาทเยาวชนในคณะกรรมการจังหวัด ด้านนักวิชาการห่วงปมคลายข้อห้ามโฆษณา อาจเปิดช่อง AI และการสื่อสารถึงบุคคลรุกเปลี่ยนพฤติกรรมเด็กและเยาวชน ทุกฝ่ายห่วงสุด เปิดช่องตัวแทนกลุ่มทุนร่วมเป็นบอร์ดควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อาจเป็นการ 'เขียนเช็คล่วงหน้า' ชี้ธุรกิจต้องร่วมรับผิดชอบผลกระทบด้วย เสนอเพิ่มห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แก่สตรีมีครรภ์ ส่วน “บอร์ด สสส.” ย้ำ! กฎหมายต้องสร้างสมดุลระหว่างเศรษฐกิจกับผลกระทบทางสังคมด้วย            

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม 2568 ณ ห้อง Parkview ชั้น 6 โรงแรมเบสเวสเทิร์น จตุจักร กรุงเทพมหานคร, มูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ (มสส.), ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.), คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, เครือข่ายสื่อมวลชนขับเคลื่อนสุขภาวะเพื่อสังคมไทยยั่งยืน (สสสย.) โดยการสนับสนุนของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)  จัดประชุมเสวนาวิชาการ เรื่อง 'ชำแหละร่าง พ.ร.บ. ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์...สังคมไทยได้อะไร' โดยมี นายจิระ ห้องสำเริง สื่อมวลชนอาวุโส เป็นผู้ดำเนินรายการ

นายวิเชษฐ์ พิชัยรัตน์ กรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ด้านการสื่อสารมวลชน กล่าวเปิดการประชุมฯ ว่า กฎหมายเมื่อบังคับใช้มานานพอสมควรก็ต้องมีการทบทวน อย่างไรก็ตาม เวลานี้สังคมไทยควรจะสร้างสมดุลระหว่างกิจกรรมทางเศรษฐกิจกับผลกระทบทางสังคมที่เกิดขึ้น การแก้ไข พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 ที่คณะกรรมาธิการพิจารณเสร็จแล้ว และกำลังจะเสนอกลับเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร์นั้น มีเนื้อหาหลายอย่างที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่มีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย เช่น มีการพูดถึงการบำบัดรักษาผู้ได้รับผลกระทบ ซึ่งกฎหมายเดิมไม่ได้พูดถึง รวมทั้งการให้ตัวแทนเด็กและเยาวชนเป็นกรรมการควบคุมแอลกอฮอล์จังหวัดก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ก็มีข้อกังวลเรื่องการเปิดโอกาสให้มีการดื่มแอลกอฮอล์ในงานจัดเลี้ยงตามประเพณีที่สืบต่อกันมาอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งมีการดื่มแอลกอฮอล์อยู่ด้วย ว่าจะเป็นการส่งเสริมให้คนดื่มแออลกอฮอล์มากขึ้น รวมถึงการให้ตัวแทนผู้ผลิต นำเข้าหรือขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เข้ามาเป็นคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จะเป็นเรื่องการขัดกันแห่งผลประโยชน์หรือไม่ อย่างไรก็ตาม แม้ในที่สุดหากร่างกฎหมายฉบับนี้ผ่านความเห็นชอบของ 2 สภาฯแล้ว สิ่งสำคัญที่เราคาดหวังคือ การกำหนดรายละเอียดเนื้อหาในกฎหมายระดับรอง ทุกฝ่ายต้องรักษาความสมดุลเพื่ออยู่ร่วมกันให้ได้ รวมทั้งทำอย่างไรที่จะให้ผู้ที่เป็นต้นเหตุของปัญหา เข้ามาร่วมรับผิดชอบกับผลกระทบที่เกิดขึ้นตามมาด้วย  

​นายธีรภัทร์ คหะวงศ์ โฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่...) พ.ศ. กล่าวว่า หากมองในมิติการควบคุมร่างกฎหมายฉบับนี้ ได้ผ่อนคลายการควบคุมลงบางระดับ เช่น กรณีการให้ขายและดื่มในสถานที่ราชการที่มีการจัดกิจกรรมพิเศษได้เป็นครั้งคราว ให้ขายผ่านเครื่องขายอัตโนมัติที่สามารถยืนยันตัวตนและอาการมึนเมาของผู้ซื้อได้ แต่เชื่อว่าหลายเรื่องจะเป็นประโยชน์ต่อควบคุมและการบังคับใช้กฎหมาย เช่น การควบคุมการโฆษณาที่จะระบุว่าใครทำอะไรได้บ้าง และลดโทษต่อการกระทำผิดต่อการโฆษณาของประชาชนทั่วไป การห้ามผู้มีชื่อเสียงโฆษณา รวมทั้งการควบคุมตราเสมือน การให้อำนาจผู้ขายในการขอดูบัตรประชาชนเพื่อตรวจสอบอายุและตรวจสอบอาการของคนเมา การเพิ่มความร่วมรับผิดทางแพ่งต่อผู้ขายที่ฝ่าฝืนกฎหมายและผู้ซื้อที่ก่อความเสียหายแก่บุคคลภายนอก มีการเพิ่มโทษปรับสูงขึ้นจากเดิม 5 เท่า กรณีขายให้เด็กและคนเมา 

การให้กระทรวงสาธารณสุขของบประมาณจากหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องกับการบำบัดได้ พร้อมกับเพิ่มอำนาจของเจ้าหน้าที่ให้สามารถตักเตือนระงับการโฆษณา พักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตขายสุราและสั่งปิดกิจการที่ใช้กระทำความผิดได้ ประเด็นที่ตนและกรรมาธิการฝ่ายรณรงค์เป็นห่วงมากที่สุดและขอสงวนความเห็นไว้คือ การเข้ามาเป็นคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของตัวแทนผู้ประกอบการ ผู้ผลิต ผู้นำเข้า หรือผู้ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จำนวน 1 คน และผู้แทนองค์กรการค้า จำนวน 3 คน  เพราะคณะกรรมการชุดนี้จะมีบทบาทสำคัญมากในการออกกฎหมายลูกต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับนโยบายการควบคุมสุรา อาจมีปัญหาเรื่องการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ทั้งนี้ ผู้แทนจากองค์กรการค้าเป็นที่ปรึกษาคณะกรรมการ นโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติอยู่แล้ว สามารถแสดงความเห็นได้จึงไม่ควรมาเป็นกรรมการควบคุมอีก

ด้าน ศ.ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ ผู้อำนวยการหลักสูตรนิติศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต คณะนิติศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ กล่าวว่าเหตุผลในการตรากฎหมายฉบับนี้คือแอลกอฮอล์ก่อให้เกิดปัญหาทางสุขภาพ ครอบครัว อุบัติเหตุและอาชญากรรมซึ่งมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมจึงเป็นการควบคุมไม่ใช่การส่งเสริม ภาพรวมของร่าง พ.ร.บ. ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่อยู่ระหว่างดำเนินการแก้ไขถือว่าดีขึ้นในบางประเด็น เช่น การควบคุมการโฆษณาที่มีความชัดเจนเรื่องการควบคุมแบรนด์เสมือน แต่ก็ยังข้อมีห่วงใย โดยเฉพาะการเปิดช่องให้ตัวแทนเอกชน ไม่ว่าจะเป็น สภาอุตสาหกรรม สภาหอการค้า สมาคมด้านการท่องเที่ยว และตัวแทนผู้ประกอบการธุรกิจแอลกอฮอล์เข้ามาเป็นคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 

ซึ่งมีโอกาสที่คนกลุ่มนี้จะเจือสมผลประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งหากเทียบกับ พ.ร.บ. ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 ฉบับเดิมกำหนดชัดเจนว่า ห้ามไม่ให้เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในคณะกรรมการฯควบคุมฯอย่างเด็ดขาด การเขียนข้อยกเว้นเปิดทางให้ตัวแทนภาคเอกชนซึ่งมีส่วนได้ส่วนเสียกับธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้ามาเป็นคณะกรรมการฯ เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม และโดยความเป็นจริง แม้จะอ้างว่าเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียก็ควรเข้ามาแค่การแสดงความคิดเห็นและให้ข้อข้อเท็จหรือข้อเสนอแนะที่จำเป็นแต่ไม่ควรจะเข้ามาเป็นคณะกรรมการ ในส่วนของสภาผู้แทนราษฎร หากสามารถแก้ไขคุณสมบัติของผู้ที่จะเข้ามาเป็นคณะกรรมการโดยไม่อิงกับกลุ่มทุนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ก็จะเป็นเรื่องที่ดีและเป็นไปตามหลักการที่ดี แต่หากไม่สามารถทำได้ก็ไม่ต่างจากการตีเช็คล่วงหน้านั่นเอง หรือหากจะเข้ามาก็ต้องมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบกับผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการดื่มแอลกอฮอล์ด้วย

​รศ.ดร.วิทย์ วิชัยดิษฐ นักวิชาการ ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) กล่าวว่า เป็นห่วงเรื่องการโฆษณาตามมาตรา 32 ที่ว่า เว้นแต่เป็นการสื่อสารทางวิชาการให้แก่สมาชิกในวงจำกัด ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดโดยคำแนะนำของคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่อาจทำให้เกิดช่องโหว่ทางกฎหมายได้ นอกจากนี้ ยังไม่ครอบคลุมการสื่อสารโดยใช้อัลกอริทึมคอมพิวเตอร์ หรือระบบ AI แทนการใช้มนุษย์ การส่งโฆษณาแบบจำเพาะรายบุคคลและการดำเนินการของผู้ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ภายนอกราชอาณาจักร โดยเฉพาะ พฤติกรรมเลียนแบบจากสื่อต่างๆ ในกรณีของซีรีส์เกาหลี การนำเสนอพฤติกรรมการดื่มแอลกอฮอล์ อาจเปลี่ยนทัศนคติของคนดูให้มองว่าการดื่มเป็นเรื่องปกติ เพราะนักแสดงทำหน้าที่เป็นแบบอย่างที่ทรงอิทธิพล หากคนดูเชื่อว่าดื่มแอลกอฮอล์แล้วช่วยให้ตนกระชับความสัมพันธ์กับเพื่อนฝูงและมีความสุขได้เหมือนกับที่เห็นในสื่อคนดูดังกล่าว ก็จะมีโอกาสทำพฤติกรรมเลียนแบบมากขึ้น มาตรา 32 บังคับใช้เฉพาะสื่อจากประเทศไทยและการเซ็นเซอร์การดื่ม ไม่สามารถทำได้โดยสมบูรณ์ในสื่อออนไลน์ มีการใช้ซีรีส์เกาหลีเป็นกรณีศึกษา 

โดย นักวิจัยด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพในสหรัฐฯ วิเคราะห์เนื้อหาซีรีส์เกาหลี 6 เรื่อง พบว่ามีภาพหรือการกล่าวถึงแอลกอฮอล์ทุก 12 นาที มีการกล่าวถึงความสำคัญในเชิงพิธีกรรมของแอลกอฮอล์ มีการดื่มเกินขนาดดื่มแก้เครียด ดื่มเพื่อสร้างความสัมพันธ์เมาแล้วมีความสุข แสดงผลกระทบจากความเมาที่ไม่ตรงกับความจริง มีภาพผู้ชายดูแลผู้หญิงที่เมา และไม่แสดงภาพหรือผลกระทบของการดื่มแล้วขับ การศึกษาผลกระทบต่อคนดูในประเทศอิสราเอลและอินโดนีเซียโดยทางออนไลน์ จำนวน 638 คน พบว่า กลุ่มที่ติดซีรีส์เกาหลีมีโอกาสดื่มโซจู ดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 3 เดือน และดื่มหนักในช่วง 12 เดือนมากกว่ากลุ่มที่ไม่ติดซีรีส์

นพ.วิธู พฤกษนันต์ คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ประเด็นที่น่าสนใจและจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อสังคมไทยในร่างพระราชบัญญัติฉบับใหม่นี้ คือ ความรับผิดของผู้ประกอบธุรกิจจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในร่างกฎหมายมีการกำหนดความรับผิดทางแพ่งของผู้ประกอบธุรกิจจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในกรณีที่มีการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้กับผู้รับบริการที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์ หรือผู้มีอาการมึนเมา และต่อมาผู้รับบริการดังกล่าวไปกระทำความผิดที่เป็นผลเกี่ยวเนื่องมาจากการดื่มแอลกอฮอล์ เช่น เมาแล้วขับ ทำให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่น ซึ่งเป็นไปตามมาตรา 29 ที่จะถูกแก้ไขใหม่ เรื่องความรับผิดตามมาตรานี้ อาจดูเป็นเรื่องแปลกใหม่ในสังคมไทย แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความรับผิดดังกล่าวมีผลบังคับใช้ตามคำพิพากษาของศาลสูงในประเทศแคนาดาและสหรัฐอเมริกามาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2516 และ 2541 ตามลำดับ 

หากร่างกฎหมายฉบับนี้ มีการบังคับใช้ จะส่งผลให้ผู้ประกอบธุรกิจจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศไทย เช่น ร้านอาหารมีความระมัดระวังมากขึ้นในการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้กับลูกค้า ทั้งที่เป็นผู้เยาว์และผู้ที่มีอาการมึนเมา เพราะอาจตกเป็นจำเลยร่วมในคดีแพ่งด้วย ส่วนประเด็นที่ยังต้องผลักดันกันต่อไปคือ การห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้กับสตรีมีครรภ์ เพราะยังไม่บรรจุเข้าไปในร่างพระราชบัญญัติฉบับใหม่นี้ได้ หลักฐานทางวิชาการส่วนใหญ่เห็นพ้องต้องกันว่าแอลกอฮอล์ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อทารกในครรภ์ เพราะอาจทำให้เกิดการแท้งลูก ตายคลอด พิการแต่กำเนิด หรือคลอดออกมาแล้วยังส่งผลต่อพัฒนาการของเด็กที่ช้าลงกว่าปกติ จึงเป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องเข้าไปดำเนินการออกมาตรการในทางกฎหมายเพื่อห้ามไม่ให้สตรีมีครรภ์บริโภค รวมถึงห้ามผู้ที่เกี่ยวข้องจำหน่ายจ่ายแจกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้กับสตรีมีครรภ์ และมีบทลงโทษกรณีฝ่าฝืนด้วย และเป็นเรื่องที่ผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องต้องร่วมผลักดันกันต่อไป

ทั้งนี้ สื่อมวลชนและผู้เข้าร่วมเสวนาส่วนใหญ่มีความเห็นร่วมกันว่าที่จะเสนอให้ตัวแทนสมาคม/องค์กรภาคเอกชนที่เข้าร่วมไปเป็นคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จะต้องมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบในทางแพ่ง หากเกิดปัญหากับผู้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามมา แม้ในฝั่งรัฐบาลจะตัดทิ้งประเด็นนี้ออกไปจากร่างกฎหมายฉบับนี้ไปแล้วก็ ก็ยังสามารถแก้ไขได้ในชั้นการพิจารณาของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร์

ศ. ดร. พญ.สาวิตรี อัษณางค์กรชัย ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) กล่าวว่า อยากให้สื่อมวลชนและสังคมไทยช่วยกันส่งเสียงดังๆ ไปถึงสภาผู้แทนราษฎรให้มองเห็นว่าสังคมได้หรือเสียอะไร ภาระที่รัฐบาลและสังคมไทยจะแบกรับจากผลพวงจากกฎหมายฉบับนี้คืออะไร ทั้งนี้อยากย้ำว่ากฎหมายฉบับนี้ไม่ได้ร่างขึ้นมาเพื่อส่งเสริมสนับสนุนให้มีการดื่มสุรา เป็นถูกสร้างขึ้นมาเพื่อควบคุมการดื่มสุรา ส่วนนายอภิวัชร์ เกตุทัต ประธานมูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ (มสส.) กล่าวว่าการดื่มเแอลกอฮอล์ส่งผลต่อปัญหาสังคม เศรษฐกิจ และสุขภาพของผู้ดื่ม การเสวนาในวันนี้ ทำให้พวกเราได้รู้เท่าทันและนำไปสื่อสารในสังคมวงกว้าง โดยเฉพาะกลุ่มเด็กและเยาวชน เพื่อให้พวกเขาได้เตรียมความพร้อมทั้งทางด้านสติปัญญา รวมถึงพัฒนาร่างกายและสุขภาพเพื่อสร้างประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติต่อไป

ทรัมป์ขู่เก็บภาษี 200% แอลกอฮอล์นำเข้าจากยุโรป ฝรั่งเศสไม่ยอมจำนนเตรียมปะทะทางการค้า เพื่อปกป้องไวน์และแชมเปญ

(14 มี.ค. 68) สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า โดนัลด์ ทรัมป์  ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ขู่ที่จะเก็บภาษี 200% จากไวน์ แชมเปญ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อื่นๆ ที่นำเข้าจากสหภาพยุโรป (EU) เนื่องจากสหภาพยุโรปไม่ยกเลิกการเก็บภาษี 50% ต่อสุรานำเข้าจากสหรัฐฯ

การตอบโต้ทางการค้านี้เกิดขึ้นหลังจากสหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษี 25% ต่อการนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียม ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2568 ส่งผลให้สหภาพยุโรป ได้ประกาศมาตรการตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ มูลค่า 26,000 ล้านยูโร (ราว 949.78 พันล้านบาท) ซึ่งรวมถึงวิสกี้และเหล้าเบอร์เบิน

ทรัมป์ระบุว่า หากยุโรปไม่ยกเลิกภาษีดังกล่าว สหรัฐฯ จะตอบโต้ด้วยการเก็บภาษี 200% ต่อไวน์ แชมเปญ และผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ทั้งหมดจากฝรั่งเศสและประเทศสมาชิก EU อื่นๆ เขายังกล่าวเพิ่มเติมว่ามาตรการนี้จะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจไวน์และแชมเปญในสหรัฐฯ

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ระบุว่าความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และยุโรปที่ทวีความรุนแรงขึ้นอาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมไวน์และสุราของยุโรป รวมถึงผู้บริโภคในสหรัฐฯ ที่อาจต้องเผชิญกับราคาสินค้าที่สูงขึ้น

โดยตลาดหุ้นยุโรปได้รับผลกระทบจากข่าวดังกล่าว หุ้นของบริษัทผู้ผลิตไวน์และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รายใหญ่ เช่น LVMH, Pernod Ricard และ Rémy Cointreau ต่างปรับตัวลดลงกว่า 3% หลังมีข่าวเกี่ยวกับมาตรการภาษีของทรัมป์

นอกจากนี้ นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่าหากทั้งสองฝ่ายไม่สามารถหาทางออกที่ตกลงกันได้ อาจนำไปสู่สงครามการค้าที่ขยายวงกว้างและส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจโลกในระยะยาว

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าของฝรั่งเศส โลรองต์ แซงต์-มาร์แตง ประณามการกระทำของทรัมป์ โดยระบุว่าฝรั่งเศสจะไม่ยอมจำนนต่อคำขู่และจะปกป้องอุตสาหกรรมของตน

“ฝรั่งเศสจะไม่ยอมจำนนต่อคำขู่ดังกล่าว และเราจะปกป้องอุตสาหกรรมของเราอย่างเต็มที่ การกระทำของสหรัฐฯ ไม่เป็นที่ยอมรับ และเราพร้อมที่จะตอบโต้ด้วยมาตรการที่เหมาะสม” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าของฝรั่งเศส กล่าว 

โฆษกฝ่ายการค้าของคณะกรรมาธิการยุโรป โอลอฟ กิล เรียกร้องให้สหรัฐฯ ยกเลิกภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมทันที และแสดงความพร้อมที่จะเจรจาเพื่อหาทางออกที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย

“ภาษีเหล่านี้ทำให้ทั้งสองฝ่ายต่างสูญเสีย เราควรจะมุ่งเน้นที่การเก็บภาษีที่สร้างประโยชน์ทั้งสองฝ่ายดีกว่า” นอกจากนี้ เขายังเปิดเผยว่าสหภาพยุโรปกำลังเตรียมหารือกับสหรัฐฯ ทางโทรศัพท์ในเร็ว ๆ นี้ นายโอโลฟ กิลล์ โฆษกด้านการค้าของคณะกรรมาธิการยุโรป กล่าว

มูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ (มสส.)จัดประชุมเสวนา เรื่อง “สรุปบทเรียนและก้าวต่อไปของกฎหมายควบคุมแอลกอฮอล์และกาสิโน”

วงเสวนา สรุปบทเรียนควบคุมแอลกอฮอล์และผลักดันตั้งกาสิโน แฉภาคธุรกิจและคนขายเหล้าเอาเปรียบ ย้ำชัดกฎหมายผ่านสภาผู้แทนฯแต่ยังไม่ผ่านวุฒิสภาเจ้าหน้าที่ต้องบังคับใช้กฎหมาย เผยประชาชน 8 กลุ่มต้านกาสิโน เพราะกระทบ สังคม เศรษฐกิจ การเมือง ยืนยันเดินหน้าคัดค้านหาพลังหนุนจากคนรุ่นใหม่ ส่วน บอร์ด สสส.ชี้ อาจส่งผลคนดื่มเหล้ามากขึ้น ภาคีต้องปรับกลยุทธ์ในการทำงานและร่วมมือกันมากขึ้น สื่อมวลชนพร้อมให้ปัญญากับสังคม            

(30 เม.ย.68) ณ ห้อง บุษบงกช บี ชั้น 2 โรงแรมรอยัลริเวอร์  เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร มูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ (มสส.) , เครือข่ายสื่อมวลชนขับเคลื่อนสุขภาวะเพื่อสังคมไทยยั่งยืน (สสสย.) โดยการสนับสนุนของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)  จัดประชุมเสวนา เรื่อง “สรุปบทเรียนและก้าวต่อไปของกฎหมายควบคุมแอลกอฮอล์และกาสิโน” โดยมี นายจิระ ห้องสำเริง สื่อมวลชนอาวุโส เป็นผู้ดำเนินรายการ

นายวิเชษฐ์ พิชัยรัตน์ กรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ด้านการสื่อสารมวลชน  กล่าวเปิดการเสวนาว่า ช่วงนี้ถือเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของภาคีภาคประชาสังคมที่ทำงานรณรงค์และขับเคลื่อนผลักดันนโยบายและกฎหมายที่มีผลกระทบต่อสุขภาพและสังคม การที่ฝ่ายการเมืองเร่งรัดผลักดันแก้ไขพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แก้ไขเนื้อหาหลายประเด็นจะทำให้ความชุกในการดื่มของประชาชนมากขึ้น ส่งผลให้ภาคีต้องปรับแนวทางในการทำงานใหม่ เช่นเดียวกับการที่รัฐบาลพยายามผลักดันเสนอกฎหมายการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรที่มีกาสิโนรวมอยู่ด้วยนั้นได้เกิดปรากฎการณ์ที่ไม่ค่อยได้เห็นมากนักที่ทุกฝ่ายในสังคมได้แสดงพลังคัดค้านแม้แต่พรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคก็แสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยจนทำให้รัฐบาลต้องประกาศถอยชั่วคราว แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเลิกเสนอกฎหมายฉบับนี้เพราะคนในรัฐบาลยังยืนยันว่าจะต้องอธิบายสื่อสารให้คนเข้าใจมากขึ้นก่อน ดังนั้นภาคีปัจจัยเสี่ยงทั้งแอลกอฮอล์ การพนัน จำเป็นต้องร่วมมือกับสื่อสารมวลชนในการให้ความรู้สร้างปัญญาให้กับสังคมและสะท้อนความเห็นของผู้คนทั้งประเทศให้ผู้กำหนดนโยบายได้รับรู้  

นายชูวิทย์ จันทรส ผู้ประสานงานเครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์ กล่าวว่า  ร่างแก้ไขพระราชบัญญัติ ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 สภาผู้แทนราษฎรแล้วขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญของวุฒิสภา คาดว่าจะกลับเข้ามาพิจารณาในวาระ 2-3 ของ สว.ในสมัยประชุมหน้าซึ่งแนวโน้มอาจไม่มีการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาในร่างที่ผ่านสภาผู้แทนฯ แล้ว เช่น กำหนดให้มีผู้แทนผู้ผลิต นำเข้า ขาย เครื่องดื่มแอลกอฮอล์หนึ่งคนเป็นกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์  แต่หากมีวาระพิจารณาที่มีส่วนได้เสียต้องออกจากที่ประชุม 

ซึ่งจุดนี้ในกฎหมายเดิมไม่มี  ส่วนคณะกรรมการควบคุมฯ จังหวัดและกทม.มีการเพิ่มผู้แทนสภาเด็กและเยาวชนและเพิ่มนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นรองประธานคณะกรรมการจังหวัดด้วย นอกจากนี้มีการผ่อนปรนให้ขายและดื่มได้ในสถานที่ราชการได้ กรณีจัดกิจกรรมพิเศษโดยต้องขออนุญาตเป็นครั้งคราว มีการยกเลิกประกาศคณะปฎิวัติ ฉบันที่ 253 เรื่องกำหนดเวลาขายสองช่วงเวลา คือ 11.00-14.00  และ 17.00-24.00 น. แม้จะยกเลิกประกาศฉบับนี้ไปแล้วแต่ประกาศสำนักนายกฯที่กำหนดเวลาขายไว้สองช่วงเวลาเช่นกันยังคงอยู่ เรื่องนี้เป็นการเข้าใจผิดคิดว่ายกเลิกแล้ว ส่วนการห้ามขายให้เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปีและคนเมา มีการตรวจบัตร  ตรวจอาการคนเมา  และเพิ่มความรับผิดของผู้ขายหากรู้ว่าเป็นเด็กหรือคนเมาแล้วยังขายให้จนไปเกิดความเสียหายต่อชีวิตร่างกายทรัพย์สินผู้อื่นผู้ขายต้องรับผิดทางแพ่งด้วย เพิ่มโทษปรับที่หนักขึ้นจาก 20,000 เป็น 100,000 บาทอีกด้วย  

ผู้ประสานงานเครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์กล่าวอีกว่า มีการเพิ่มเติมให้ขายโดยเครื่องขายอัตโนมัติได้ ตามหลักเกณฑ์วิธีการที่กำหนดเช่น ตรวจอายุผู้ซื้อ ช่วงเวลา สถานที่ตั้ง และดูอาการเมาของผู้ซื้อด้วย ส่วนในเรื่องการโฆษณาโดยหลักการบุคคลทั่วไปสามารถแสดงผลิตภัณฑ์ได้หากไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ทางการค้า การโฆษณาทำได้แค่ให้ความรู้ข่าวสาร ประชาสัมพันธ์ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดเท่านั้น ไม่ใช่โฆษณาอะไรก็ได้ เรื่องนี้ต้องไปออกกฎหมายลูกอีกว่าจะคุมเข้มแค่ไหน ส่วนเรื่องตราเสมือนที่เคยใช้กันเพื่อหลบเลี่ยงกฏหมาย เช่นน้ำดื่ม โซดา มีการห้ามการโฆษณาที่ทำให้เข้าใจหรือสื่อไปถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ต้องโฆษณาแบบตรงไปตรงมาเท่านั้น เพิ่มอำนาจตักเตือนให้พนักงานเจ้าหน้าที่ในความผิดครั้งแรกที่ไม่ร้ายแรง มีการปรับเป็นพินัย กรณีความผิดเล็กน้อย รวมถึงการเพิ่มอำนาจให้ปิดสถานที่ ระงับการเผยแพร่สื่อโฆษณา พักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตขายหากพบความผิดตามกฎหมายนี้ ในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมาพบว่า มีธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ร้านเหล้าผับบาร์ ฉวยโอกาสทำผิดกฎหมาย ซี่งเราได้รวบรวมข้อมูลเตรียมไปร้องเรียนต่อคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จึงขอย้ำว่ากฎหมายฉบับเดิมยังบังคับใช้อยู่ เจ้าหน้าที่รัฐต้องบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่ให้จริงจัง หลังจากนี้ ภายในระยะเวลา 1 ปี หากฎหมายบังคับใช้แล้ว จะต้องไปจัดทำกฎหมายระดับรองอีกจำนวน 38 ฉบับ

นายธนากร คมกฤส เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน (มรพ.) กล่าวความคืบหน้าการคัดค้านร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร ที่มีกาสิโนรวมอยู่ด้วยว่าสิ่งที่ทั้งรัฐบาลและประชาชนต่างต้องเรียนรู้และตระหนักในช่วงเหตุการณ์ที่ผ่านมาคือคนที่ออกมาค้านจำนวนไม่น้อยเป็นพลังเงียบที่มีอยู่จริง และจะแสดงพลังเมื่อถึงเวลาอันสมควร สรุปได้ว่ามีประมาณ 8 กลุ่ม คือ 1. กลุ่มคปท. ศปปส. กองทัพธรรม ซึ่งถูกมองว่าเป็นกลุ่มที่ต้องการขับไล่รัฐบาล 2. เครือข่ายภาคประชาสังคม นำโดยมูลนิธิรณรงค์หยุดพนันและ 100 องค์กร ซึ่งมีมูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะรวมอยู่ด้วย มีจุดยืนคือให้มีมาตรการและกลไกที่ชัดเจนในการควบคุม แก้ปัญหาปัญหาและลดผลกระทบทางสังคม   3.กลุ่มแพทย์และบุคลากรสาธารณสุข เช่น ชมรมแพทย์อาวุโสและบุคลากรทางการแพทย์ ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์ กลุ่มแพทย์จากมหาวิทยาลัยต่างๆ  

4. คณาจารย์และศิษย์เก่ามหาวิทยาลัย เช่น 99 นักวิชาการที่เคยคัดค้านเรื่องนี้เมื่อปีที่แล้ว 5.องค์กรด้านการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมเช่นสภาการศึกษาคาทอลิคแห่งประเทศไทย  สภาคริสตจักรในประเทศไทย พุทธสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ สมาคมสถาบันศึกษาปอเนาะจังหวัดชายแดนใต้ กับเครือข่ายสภาวัฒนธรรมทั่วประเทศ 6. ภาคธุรกิจ สมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวบางจังหวัด 7.เครือข่ายแรงงาน   สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ สมาพันธ์สมานฉันท์แรงงานไทย และ 8.กลุ่มด้านนิติบัญญัติ อดีตสมาชิกวุฒิสภา 189 คน อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) 102 คน ชมรมสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) 2550 ที่สำคัญหลายพรรคการเมืองแสดงจุดยืนชัดเจน เช่น พรรคไทยสร้างไทย พลังประชารัฐ ประชาชาติ ส่วนพรรคประชาชน ภูมิใจไทยยังไม่แสดงท่าทีชัดเจน ที่น่าสนใจคือวุฒิสภาจำนวนมากเริ่มมีท่าทีคัดค้านมากขึ้น

เลขาธิการมรพ.กล่าวต่อว่าเหตุผลผู้ที่คัดค้านเพราะเห็นผลกระทบ 3 ด้านคือด้านสังคม เช่น ปัญหาอาชญากรรม ธุรกิจสีเทา และความปลอดภัยในสังคม ผลกระทบทางสุขภาพจากการเสพติดพนัน ความเครียด ผลกระทบต่อกลุ่มเปราะบางโดยเฉพาะเด็กและเยาวชน ด้านเศรษฐกิจเห็นว่าไม่มีความไม่จำเป็นต้องมีกาสิโนเพราะประเทศไทยมีสิ่งดีๆอยู่มากมาย ความไม่คุ้มค่าของการลงทุน เป็นการเอื้อประโยชน์กลุ่มทุนทำให้ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจขยายวงกว้างมากขึ้น ด้านการเมือง เช่นไม่ได้อยู่ในนโยบายที่หาเสียงในช่วงเลือกตั้ง ร่างกฎหมายขาดความรัดกุม ความไม่เชื่อมั่นในการบังคับใช้กฎหมายและการทุจริตคอรัปชั่น ที่ผ่านมาภาคประชาชนพยายามสื่อสารให้ข้อมูลมาตลอดทั้งบทเรียนจากต่างประเทศ ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการมีกาสิโน  

อย่างไรก็ตามพบว่าข้อมูลข่าวสารยังคงกระจุกตัวอยู่ที่ส่วนกลางประชาชนในต่างจังหวัดยังรับรู้เรื่องนี้มากนัก คนที่ออกมาคัดค้านก็เป็นคนรุ่นเก่าเป็นหลักส่วนเยาวชนคนรุ่นใหม่ยังออกมาไม่มากนัก สิ่งที่จะทำต่อไปของภาคประชาชนคือ เรียกร้องให้ทำประชามติ ขณะนี้มีรายชื่อสนับสนุนแล้วประมาณ 55,000 รายชื่อ การเปิดพื้นที่สานเสวนารับฟังความเห็นคนรุ่นใหม่ การสานพลังทุกกลุ่มที่ออกมาคัดค้านในเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการศึกษาช่องทางในการฟ้องร้องตามกฎหมาย หากรัฐบาลดึงดันที่จะเดินหน้ากฎหมายฉบับนี้ต่อ

ด้านสื่อมวลชนที่เข้าร่วมการเสวนา เห็นด้วยว่า จะต้องเผยแพร่ข้อมูลความคืบหน้าของทั้งสองประเด็นให้สังคมส่วนใหญ่ได้รับทราบอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการสื่อสารและหาเสียงสนับสนุนจากคนรุ่นใหม่ ให้แสดงบทบาทและมีส่วนร่วมในการคัดค้านและสะท้อนความคิดเห็นไปสู่รัฐบาลได้มากขึ้น ส่วนนายอภิวัชร เกตุทัต ประธานมูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ (มสส.) ได้สรุปว่า ทาง มสส. และ สสสย. พร้อมที่จะมีบทบาทในการสนับสนุนการทำงานของภาคีแอลกอฮอล์ และการพนันในการขับเคลื่อนเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top