Sunday, 20 April 2025
เอไอเอส

AIS แจงหลังข้อมูลลูกค้าหลุดแสนราย ยัน ไม่กระทบการดำเนินธุรกิจของบริษัท

AIS แจ้งพบเหตุคอมพิวเตอร์ของพนักงานที่ทำหน้าที่ในช่วง Work from Home ถูกบุกรุกด้วยมัลแวร์ และคนร้ายนำข้อมูลออกไปเผยแพร่ใน Dark Web ประมาณ 100,000 รายการ

18 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา 15.05 น. นายปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหาร กลุ่มลูกค้าทั่วไป เอไอเอส เปิดเผยว่า บริษัท ได้ตรวจสอบพบว่า มีผู้ละเมิดข้อมูลผู้ใช้บริการ ประมาณ 100,000 รายการ อันประกอบด้วย ชื่อ-นามสกุล, เลขบัตรประจำตัวประชาชน, วัน-เดือน-ปีเกิด และหมายเลขโทรศัพท์

โดยไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับธุรกรรมทางการเงินใดๆ และนำไปเผยแพร่อยู่บน Dark Web ซึ่งหลังจากพบกรณีนี้ บริษัทฯ ก็ได้ร่วมกันกับผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์เร่งตรวจสอบหาสาเหตุอย่างเร่งด่วน พร้อมกับแจ้งไปยัง สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) และ กสทช. รวมถึงแจ้งไปยังลูกค้ากลุ่มดังกล่าวผ่านทาง SMS เพื่อให้รับทราบและระมัดระวังต่อไป โดยกรณีดังกล่าว ไม่กระทบกับระบบรักษาความปลอดภัยและการดำเนินธุรกิจของบริษัท”

AIS ขออภัยพร้อมชดเชย กรณี AIS Play ล่ม ทำลูกค้าอดชมถ่ายทอดสดเกมแดงเดือด

หลังเกิดเหตุการณ์ AIS Play ล่ม ทำให้เหล่าแฟน ๆ ไม่สามารถรับชมถ่ายทอดสด The MATCH Bangkok Century Cup 2022 ระหว่าง “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พบกับ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ผ่านทางช่องทาง AIS Play ได้

ล่าสุด ทาง AIS ก็ออกมาขออภัยในความไม่สะดวกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากการรับชมการถ่ายทอดสดศึกแดงเดือด ในช่วงเวลา 20.00 น. ของคืนวันอังคารที่ 12 ก.ค.65 เนื่องจากมีลูกค้าใช้บริการและให้ความสนใจเข้ารับชมเป็นจำนวนมาก

โดยออกประกาศระบุว่า

“12 กรกฎาคม 2565 เวลา 23.30 น.
เอไอเอส ขออภัยและขอชดเชยลูกค้า กรณีการถ่ายทอดสด THE MATCH Bangkok Century Cup 2022 ผ่านทาง AIS PLAY เอไอเอส ใคร่ขออภัยในความไม่สะดวกที่เกิดขึ้นจากการรับชมการถ่ายทอดสดศึกแดงเดือด ในช่วงเวลาประมาณ 20.00 น. ของคืนวันอังคารที่ 12 กรกฎาคม 2565 เนื่องจากมีลูกค้าให้ความสนใจเข้ารับชมเป็นจำนวนมาก

ท่าอากาศยานนานาชาติ อู่ตะเภา ระยอง-พัทยา และ เอไอเอส ผนึกกำลังต่อเนื่องพัฒนา Smart Terminal นำร่องเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)

ท่าอากาศยานนานาชาติ อู่ตะเภา ระยอง-พัทยา ร่วมกับ เอไอเอส  นำเทคโนโลยีดิจิทัล พัฒนา Smart Terminal เพื่อสนับสนุนการพัฒนา ระบบคมนาคมขนส่ง ด้วยนวัตกรรมใหม่ ต่อเนื่อง ช่วยเสริมการพัฒนาให้เป็นท่าอากาศยานนานาชาติเชิงพาณิชย์ที่ทันสมัย ในช่วงก่อนการสร้างและเปิดใช้อาคาร 3 ให้เป็นสนามบินเชิงพาณิชย์ลำดับแห่งที่ 3 ของกรุงเทพมหานครในอนาคต ที่จะเชื่อมโยงการขนส่งผู้โดยสารและสินค้ากับสนามบินดอนเมืองและสนามบินสุวรรณภูมิ ตามแผนพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ Eastern Economic Corridor (EEC) หนึ่งในแผนยุทธศาสตร์สำคัญภายใต้นโยบาย Thailand 4.0

โดยล่าสุดได้มีการลงนาม MOU ความร่วมมือต่อเนื่องในการนำดิจิทัลเทคโนโลยีเข้ามาพัฒนาและเสริมขีดความสามารถของท่าอากาศยานอู่ตะเภา เพื่อยกระดับสู่ Smart Terminal อย่างเต็มรูปแบบ ตอบสนองกับนโยบายของภาครัฐ ในการเป็นประตูหน้าด่านในการเปิดประเทศ ส่งเสริมทั้งอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ขนส่ง คมนาคม ให้แข็งแกร่ง โดยได้รับเกียรติจาก พลเรือเอกวรพล ทองปรีชา ผู้อำนวยการการท่าอากาศยานอู่ตะเภา และคุณศรัณย์ ผโลประการ หัวหน้าฝ่ายงานผลิตภัณฑ์โทรศัพท์เคลื่อนที่ กลุ่มลูกค้าทั่วไปเอไอเอส ร่วมลงนาม พลเรือเอก วรพล ทองปรีชา ผู้อำนวยการ การท่าอากาศยานอู่ตะเภา กล่าวว่า “การท่าฯ มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งในการร่วมมือกับภาคเอกชนในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลที่สร้างสรรค์ด้วยคนไทย เข้ามายกระดับการให้บริการและการบริหาร ท่ากาศยานอู่ตะเภาให้ทันสมัย เป็นอาคารผู้โดยสารอัจฉริยะ หรือ Smart Terminal  อันสอดคล้องตามแนวนโยบายดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจและสังคม (Digital Economy) ของรัฐบาล ตามเจตนารมณ์ของรัฐบาล เพื่อช่วยต่อยอดท่าอากาศยานอู่ตะเภาให้เป็นสนามบินพาณิชย์แห่งที่ 3 ของกรุงเทพมหานคร ที่เป็นส่วนหนึ่งของแผนงานเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เชื่อมโยงการขนส่งผู้โดยสารกับสนามบินดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อเป็นAviation Hub ในภูมิภาคนี้”

‘กสทช.’ ไฟเขียว!! ‘เอไอเอส’ ซื้อหุ้น ‘แจสฯ-3BB’ ชี้!! ยกเป็นแนวทางเดียวกับการควบบริษัท ‘ทรู-ดีแทค’

บอร์ด กสทช. ไฟเขียว เห็นชอบหลักการ กรณี  ‘เอไอเอส’ ซื้อหุ้น แจสฯ - 3BB ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกับ ‘ทรู-ดีแทค’ เบื้องต้น เตรียมดันเข้าที่ประชุมบอร์ด 

(19 เม.ย.66) นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รักษาการแทนเลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการเข้าซื้อหุ้นในบริษัท ทริปเปิลที บรอดแบนด์ จํากัด (มหาชน) หรือTTTBB และซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต จัสมิน หรือ JASIF ว่า 

กระบี่-เจ้าสัวสมชัย เอไอเอส advance info service จำกัด พร้อมสาธุชน ร่วมบุญกฐินสมทบทุนสร้างพระธาตุมหาเจดีย์วัดคลองท่อม จังหวัดกระบี่ ยอดกฐิน 5 ล้านกว่าบาท

วันที่ 27 พฤศจิกายน 2561 ณ วัดคลองท่อม ตำบลคลองท่อมใต้ อำเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่ มีการจัดทอดกฐินสามัคคี เพื่อสร้างพระธาตุวัดคลองท่อม พระครูสถิตนราธิการ เจ้าคณะตำบลคลองท่อมใต้ เจ้าอาวาสวัดคลองท่อม ฝ่ายสงฆ์ ประธานกฐินโดย คุณ สมชัย เลิศสุทธิวงศ์ ประธานกรรมการ การบริหาร บริษัทแอดวานซ์อินโฟเซอร์วิสจำกัด(มหาชน) พร้อมด้วยคุณอังศวี สิทธิโชคสุขสกุล และครอบครัว คุณโกสินทร์ อัศววิริยะกิจและครอบครัว คุณอนุวัฒน์ บุษรานิพรรณ์และครอบครัว คุณชนิสรา อัครหิรัญกุลและครอบครัว เป็นประธานกฐินร่วม นายพิริยะศรีสุขสมวงศ์นายกเทศมนตรีตำบลคลองท่อมใต้ ข้าราชการตำรวจทหาร ท้องถิ่นอบต. พร้อมด้วยพุทธศาสนิกชนที่มีความศรัทธา หลั่งไหลมาร่วมงานกันอย่างเนืองแน่น แม้ในช่วงเช้าจะมีฝนตกลงมาอย่างหนักแต่พุทธศาสนิกชนและผู้มีจิตศรัทธาก็ยังคงมาร่วมบุญกันอย่างหนาแน่น 

มีการจัดตั้งโรงทานสำหรับผู้ที่มาร่วมบุญกฐิน พุทธศาสนิกชนที่นำปัจจัยและองค์กฐินมาร่วมแห่รอบพระอุโบสถครบ 3 รอบพร้อมขบวนฟ้อนรำและกลองยาวโดยมีพระครูสถิตนราธิการเจ้าคณะตำบลคลองท่อมใต้เจ้าอาวาสวัดคลองท่อมพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์ร่วมรับองค์กฐินและปรับประพรมน้ำมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคล พร้อมด้วยพุทธศาสนิกชนทั้งนอกและในพื้นที่เข้าร่วมพิธีเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ปัจจัยทั้งสิ้นเป็นเงิน 5,154,105 บาท  ซึ่งการทอดกฐินครั้งนี้เพื่อสมทบทุนสร้างพระธาตุเจดีย์วัดคลองท่อม ต่อไป

ทั้งนี้พิธีทอดกฐินหรือทำบุญกฐินเป็นประเพณีทำบุญของชาวคลองท่อมที่ยึดถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติหรืองานบุญประจำปีหลังเทศกาลการออกพรรษาโดยจะมีชาวบ้านร่วมทำบุญบริจาคปัจจัยเปิดโรงทานทำอาหารคาวหวานเลี้ยงสาธุชนเป็นจำนวนมากเพื่อรองรับสาธุชนที่มาร่วมบุญในครั้งนี้และได้สืบสานทำนุบำรุงศาสนสถานและสืบทอดบริวารพระพุทธศาสนาที่เป็นศาสนาประจำท้องถิ่น ต่อไป

ผนึกพลัง ตำรวจ - เอไอเอส เปิดยุทธการทลายเครือข่าย “แก๊งตระเวนลักแบตเตอรี่สำรองเสาสัญญาณโทรศัพท์มือถือ”

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.สมประสงค์ เย็นท้วม ผบช.ภ.2, พล.ต.ต.ฉัตรชัย สุรเชษฐพงษ์ รอง ผบช.ภ.2, พล.ต.ต.ธีระชัย ชำนาญหมอ ผบก.สส.ภ.2, พ.ต.อ.พัฒนา ปรีชานันท์ รอง ผบก.สส.ภ.2, พ.ต.อ.พัลลภ สุภิญโญ รอง ผบก.สส.ภ.2, พ.ต.อ.วราวุธ เจริญชนม์ รอง ผบก.สส.ภ.2, พ.ต.อ.กฤตยา เลาประสพวัฒนา รอง ผบก.สส.ภ.2, พ.ต.อ.เอนก บุตรอินทร์ รอง ผบก.สง.ก.ต.ช. ปฏิบัติราชการ บก.สส.ภ.2

พร้อมด้วยชุดสืบสวน บก.สส.ภ.2 ทำการสืบสวนเนื่องจากได้รับแจ้งว่ามีเหตุคนร้ายตระเวนลักทรัพย์แบตเตอรี่(ลิเธียม)ที่ติดตั้งกับเสาสัญญาณโทรศัพท์มือถือของบริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวิร์ค จำกัด ในกลุ่ม เอไอเอส จำนวนหลายท้องที่ในพื้นที่ภาคตะวันออก ซึ่งเป็นพื้นที่รับผิดชอบของ กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 จากการประสานของมูลจาก บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวิร์ค จำกัด ว่าในห้วงระยะเวลา ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2566 ถึงปัจจุบัน พบว่าเกิดเหตุคนร้ายได้ตระเวนก่อเหตุในลักษณะเดียวกัน กว่า 150 ครั้ง ได้ทรัพย์สินเป็นแบตเตอรี่ ไม่ต่ำกว่า 300 ลูก ทำให้บริษัทได้รับความเสียหายคิดเป็นมูลค่าความเสียหายมากกว่าสิบล้านบาท คนร้ายได้ตระเวนลักทรัพย์ในพื้นที่หลายจังหวัดในภาคตะวันออก โดยเลือกพื้นที่ห่างไกลและไม่ค่อยมีกล้องวงจรปิด ออกตระเวนลักทรัพย์อย่างต่อเนื่อง และจากแผนประทุษกรรมการก่อเหตุพบว่าคนร้ายเป็นผู้มีความรู้ความชำนาญเกี่ยวกับระบบเสาสัญญาณโทรศัพท์เป็นอย่างดี ซึ่งคาดว่าคนร้ายเป็นกลุ่มคนที่เคยประกอบอาชีพเกี่ยวกับการติดตั้งระบบในเสาสัญญาณโทรศัพท์

ด้านนายสมภพ กิตติวิรุฬห์วัฒน รักษาการหัวหน้างานปฏิบัติการภูมิภาค-ภาคตะวันออก เอไอเอส กล่าวว่า “จากกรณีที่มีมิจฉาชีพขโมยแบตเตอรี่ สถานีฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ ของเอไอเอส ในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลกระทบกับความเสี่ยงของการให้บริการสัญญาณเครือข่ายอย่างยิ่ง เนื่องจากทำให้สถานีฐานขาดระบบสำรองแหล่งพลังงาน อันอาจทำให้ไม่สามารถให้บริการสัญญาณได้ตามปกติ ดังนั้นทีมวิศวกร และฝ่ายกฎหมายของเอไอเอส จึงเดินหน้าทำงานสืบสวนในเชิงลึกร่วมกับตำรวจ โดยกองบังคับการสืบสวน สอบสวนตำรวจภูธร ภาค 2 มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อติดตามกลุ่มมิจฉาชีพและสามารถเข้าจับกุมรายใหญ่ได้ในครั้งนี้ ซึ่งในนามของเอไอเอส ต้องขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกท่านอย่างยิ่ง ที่ให้ความสำคัญกับคดีนี้ ทั้งนี้เชื่อมั่นว่า ในพื้นที่อื่นๆ หากมีการผนึกกำลังร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชนในลักษณะนี้ จะทำให้สามารถติดตามจับกุม และนำทรัพย์สินกลับมาเพื่อให้สามารถส่งมอบสัญญาณเครือข่ายได้อย่างมีคุณภาพต่อไป อย่างไรก็ตามหากประชาชนพบเหตุต้องสงสัย สามารถแจ้งมาที่บริษัทฯ หรือ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตลอดเวลาเช่นกัน”

สำหรับ แบตเตอรี่ลิเธียม ที่ได้ทำการติดตั้งกับเสาสัญญาณโทรศัพท์ มีไว้สำหรับเป็นกระแสไฟฟ้าสำรองกรณีหากมีเหตุไฟฟ้าดับ แบตเตอรี่จะทำงานจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับเสาสัญญาณโทรศัพท์ทำให้ประชาชนที่มีพื้นที่การใช้งานบริเวณเสาสัญญาณนั้นๆ ยังสามารถใช้สัญญาณโทรศัพท์ในการติดต่อสื่อสารได้ บริษัทจึงต้องใช้แบตเตอรี่ลิเธียมที่มีกำลังวัตต์สูง เพื่อสำรองกระแสไฟฟ้าให้เพียงพอที่จะทำให้สัญญาณโทรศัพท์ไม่ขัดข้องในกรณีที่ไฟฟ้าดับ โดยในเสา 1 ต้น จะติดตั้งประมาณ 2-3 ลูก ราคาอยู่ที่ประมาณ ลูกละ 40,000 บาท ซึ่งแบตเตอรี่ลิเธียม ประเภทนี้จะไม่ได้มีการนำมาขายตามท้องตลาด ทางบริษัทนำเข้าแบตเตอรี่ จะจำหน่ายให้กับบริษัทที่จะต้องนำไปใช้งานจริงเท่านั้น

คนร้ายได้กระทำกันเป็นขบวนการเครือข่าย โดยหลังจากที่คนร้ายได้ทำการลักทรัพย์แบตเตอรี่แล้ว จะรีบนำไปส่งขายให้กับกลุ่มรับซื้อของโจร ในราคาลูกละ 5,000-8,000 บาท จากนั้น กลุ่มคนรับซื้อของโจรจะดำเนินการปลด Alert ในตัวแบตเตอรี่ แล้วนำไปลงขายใน Social ตลาดมืด ในราคาลูกละ 12,000 – 14,000 บ. และหากซื้อจำนวนมากๆ ราคาจะถูกลง ซึ่งตลาดมืดที่มีความต้องการแบตเตอรี่ประเภทนี้สูงที่สุด คือ กลุ่มตลาดที่รับติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ เนื่องจากเป็นแบตเตอรี่ ที่มีกำลังวัตต์สูง ในการเก็บไฟฟ้า รองลงมาจะเป็น กลุ่มเครื่องเสียงรถยนต์ กลุ่มเครื่องเสียงรถแห่ กลุ่มทำเหมืองขุดบิทคอย เป็นต้น

ชุดสืบสวน บก.สส.ภ.2 ได้ รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบและได้ร่วมกันประชุมวางแผนกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายและวิศวกร ของบริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวิร์ค จำกัด เพื่อประสานข้อมูลในการสืบสวนหาตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษ และทำลายเครือข่ายขบวนการลักแบตเตอรี่เสาสัญญาณโทรศัพท์ ในครั้งนี้ ซึ่งชุดสืบสวนสามารถรวบรวมพยานหลักฐาน ขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ต้องหา จำนวน 7 คน และขออนุมัติศาลขอหมายค้นเพื่อตรวจยึดของกลาง อีกจำนวน 8 จุด ซึ่งได้ดำเนินการวางแผน Operation ตั้งแต่ วันที่ 21–23 มิ.ย. 67 ซึ่งรายละเอียดผลการปฏิบัติการ มีดังนี้

จับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ จำนวน 6 ราย ประกอบด้วย

1.นายอัศวิน สงวนนามสกุล

2.นายอิบรอฮีม สงวนนามสกุล

3.นายนาวิน สงวนนามสกุล

4.นายรุ่งอนัน สงวนนามสกุล

5.นายศราวุธ สงวนนามสกุล

6.นายปริวัฒน์ สงวนนามสกุล

7.นายวีระวุฒฺ สงวนนามสกุล หลบหนีการจับกุม

รวมจับกุม 6 คน ตรวจยึดของกลางรวม จำนวน 114 ลูก

ซึ่งการตรวจยึดจากผู้ที่รับซื้อรวมถึงคนกลางที่รับซื้อแบตเตอรี่ซึ่งถูกขายบน Social ด้วยจากการขยายผลพบกลุ่มผู้กระทำความผิดที่เป็นตัวลงมือลักทรัพย์และตัวกลางรับซื้ออีกหลายราย ซึ่งจะได้จับกุมให้หมดทั้งขบวนการและได้ประสานงานกับชุดสืบสวน บก.สส.ภ.3,กก.สืบสวน ภ.จว.นครราชสีมา,กก.สืบสวน ภ.จว.ชลบุรี การตรวจยึดในครั้งนี้

การกระทำของผู้ลงมือและตัวกลางรับซื้อ เป็นความผิดฐานลักทรัพย์/รับของโจร ซึ่งมีอัตราโทษสูงถึง 5 ปี และหากมีพฤติการณ์ลักทรัพย์ อันมีลักษณะเป็นปกติธุระ หรือรับของโจร เฉพาะที่เกี่ยวกับการช่วยจำหน่าย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้ด้วยประการใด ซึ่งทรัพย์ที่ได้มาโดยการกระทำความผิดอันมีลักษณะเป็นการค้า ผู้นั้นกระทำความผิดฐานฟอกเงิน อีกส่วนหนึ่ง ต้องระวางโทษตั้งแต่ 1 ปี ถึง 10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 200,000 หรือทั้งจำทั้งปรับ และจะถูกดำเนินการตามมาตรการยึดทรัพย์

ในส่วนตัวกลางรับซื้อ รับจำหน่าย ได้มีการอายัดบัญชีไว้แล้ว กว่า 1,000,000 บาท และจะถูกดำเนินคดีทุกกรรม เป็นกระทงความผิดไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top