Wednesday, 14 May 2025
เหยียดสีผิว

เมื่อครูยึดขนบปฏิบัติจนขาดความยืดหยุ่นและเมตตา  ส่วนพ่อแม่ก็ยัดเยียดความเกลียดชังให้ลูกตั้งแต่เด็ก

ไม่ร้องเพลงชาติ อาจเจอครูแจ้งจับ

เมื่อไม่นานมานี้ มีคดีน่าสนใจคดีหนึ่ง นั่นคือครูอเมริกันแจ้งตำรวจให้มาจับนักเรียนของตัวเอง ด้วยข้อหาประหลาดว่า “นักเรียนรายนี้ไม่ยอมร้องเพลงชาติ”

ความน่าสนใจของเรื่องนี้คือเด็กนักเรียนที่เปรี้ยวใส่กฎระเบียบโรงเรียนอายุแค่ 11 ขวบเท่านั้น และเป็นเด็กผิวดำแอฟริกัน-อเมริกัน 

ครูสาวในโรงเรียนลอว์ตัน ไชลส์ มิดเดิล อคาเดมี รัฐฟลอริดา โทรเรียกตำรวจมาจับเด็กนักเรียนชายวัย 11 ขวบ เพราะนักเรียนคนนี้ไม่ยอมยืนตรงเคารพธงชาติ โดยให้เหตุผลว่าการเคารพธงชาติเป็นการเหยียดผิว และเพลงชาติมีเนื้อหาที่เต็มไปด้วยการดูหมิ่นแอฟริกันอเมริกัน

กรณีนี้กลายเป็นประเด็นถกเถียงในโซเชียลมีเดีย ว่า เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นอะไร? และจบลงอย่างไร?

ตามเนื้อข่าว เมื่อครูอเมริกันถามนักเรียนว่า...

“ทำไมจึงไม่ไปอยู่ที่อื่น หากว่าที่นี่เลวร้ายเกินทน”

คำถามแบบนี้ฟังดูคุ้นๆ หูอีกแล้ว แต่เด็กสวนกลับไปทันควันว่า...

“พวกเขา (หมายถึงคนผิวขาว) นำผมมาที่นี่”

เดี๋ยวนะ...หนู สงสัยพ่อแม่เปิดหนังเรื่อง ‘รูทส์’ ให้ดูตั้งแต่เกิดเลยล่ะมั้ง คือตอบเอาจริงเอาจังไปมั้ยน่ะ แม้ว่าจะเป็นเรื่องจริงก็ตามที

เมื่อเรื่องนี้แพร่กระจายไปทั่วประเทศ ความเห็นของฝรั่งอั้งม้อออกไปในแนวว่า พ่อแม่เด็กเสี้ยมให้ลูกเกลียดชังทุกสิ่งทุกอย่างในอเมริกา 

หลายคนมองว่าครูทำเกินกว่าเหตุ เรื่องแค่นี้ไม่น่าต้องโทรเรียกตำรวจมาจับเด็กที่อายุแค่ 11 ขวบเลย แต่ควรใช้หลักความเมตตาอบรมสั่งสอนดีๆ ซึ่งครูสาวส่ายหน้าท่าเดียว เพราะนอกจากพูดจาท้าทายแล้ว เด็กชายคนนี้ยังมีอาการต่อต้านทุกคนอย่างชัดเจน เช่น ขู่ทำร้ายครูและไม่ยอมออกจากห้องเรียน

ไม่ว่าข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไร เด็กผิวสีรายนี้ก็ถูกส่งไปสถานสงเคราะห์สำหรับเยาวชน หรือเทียบง่ายๆ คือบ้านเมตตาบ้านกรุณาของเราอะไรทำนองนั้นนั่นแหละ

โฆษกของเขตการศึกษาโพล์ค เคาน์ตี พับลิก สกูลส์ แถลงการณ์ว่าเด็กชายถูกจับ เพราะทำให้ระบบของโรงเรียนยุ่งเหยิง และปฏิเสธที่จะทำตามคำสั่งโรงเรียน ไม่ได้ถูกจับเพราะไม่ยอมทำความเคารพธงชาติ 

หากจะถามว่าการที่เด็กไม่เคารพธงชาติมีความผิดไหม ถ้ายึดตามตัวบทกฎหมายอเมริกัน คงต้องตอบว่าไม่ผิด ตามกฎหมายพลเมืองสหรัฐฯ ว่าด้วยบทข้อแก้ไขที่ 1 ที่เรียกว่า The First Amendment ห้ามโรงเรียนบังคับให้เด็กนักเรียนต้องกล่าวปฏิญาณต่อธงชาติสหรัฐฯ หรือเคารพธงชาติ  

แต่ในความเป็นจริง เคยเกิดคดีอื้อฉาวที่ครูโรงเรียนมัธยมคนหนึ่งใช้ด้ามธงชี้กระดานดำประกอบการสอน ผลคือ ครูคนนั้นถูกไล่ออกจากโรงเรียนทันที

เด็กผิวสีอ้างว่าไม่อยากร้องเพลงชาติและเคารพธงชาติ เพราะเป็นเรื่องการเหยียดผิว ซึ่งก็ไม่ใช่อีกนั่นแหละ เนื้อหาเพลงชาติอเมริกาที่เรียกว่า ‘เดอะสตาร์สแปงเกิลด์แบนเนอร์’ หรือแปลง่ายๆ ว่า ‘ธงดาราประดับ’ มีที่มาจากบทกวี Defence of Fort M'Henry หรือการพิทักษ์ป้อมแมคเฮนรี่ แต่งโดยฟรานซิส สก็อตต์ คีย์ ผู้เป็นทั้งทนายและกวี  

แรงบันดาลใจนั้นมาจากธงชาติอเมริกา สะพัดเหนือป้อมเมื่อฝ่ายอเมริกันได้ชัยชนะ ในยุทธการบัลติมอร์ ปี ค.ศ. 1812 ต่อมานำมาทำเป็นเพลงชาติและใช้ชื่อว่า ‘เดอะสตาร์สแปงเกิลด์แบนเนอร์’

เด็กนร.เชื้อสายจีนโดนด่าหยาบเหยียดผิวบนรถบัสในนิวซีแลนด์ แถมยังถูกตี 'เลือดอาบหน้า-ฟันหัก' โดยปราศจากการยั่วยุใดๆ 

(2 ก.ค.67) รายงานข่าวระบุว่า มีผู้เห็นเหตุการณ์แค่คนเดียวที่เข้าขัดขวางเหตุทำร้ายร่างกายที่มีแรงจูงใจจากการเหยียดเชื้อชาติ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเวลา 9.00 น.ของวันศุกร์ (28 มิ.ย.67) ทำให้เด็กชายฟันหลุด 3 ซี่และหักอีก 2 ซี่ พร้อมกับมีเลือดอาบใบหน้า

"ผมกำลังขึ้นรถบัสไปแพนมัวร์ และรถเพิ่งแล่นผ่านปากูรันกา พลาซา ตอนที่ผู้หญิงคนหนึ่งเริ่มด่าทอดูถูกเหยียดหยามผม และจากนั้นก็เริ่มทำร้ายร่างกายผมในทันที" เด็กนักเรียนชายซึ่งไม่มีการเปิดเผยชื่อให้สัมภาษณ์กับนิวซีแลนด์ เฮรัลด์

สื่อมวลชนรายงานว่า ผู้หญิงรายนี้เริ่มตะโกนด่าหยาบคายเหยียดผิวใส่เด็กชายชาวนิวซีแลนด์เชื้อสายจีน ก่อนใช้เหล็กเล่นงานเด็กโดยปราศจากการยั่วยุใด ๆ "ผมแค่ฟังเพลงอยู่เฉย ๆ เขี่ยโทรศัพท์เล่น และจากนั้นมันก็เกิดขึ้น เธอลุกขึ้นและทำร้ายผม"

เด็กชายรายนี้พำนักอยู่ในนิวซีแลนด์มานานกว่า 7 ปีแล้ว หรือครึ่งหนึ่งในชีวิตของเขา ในขณะที่เขาเผยว่านับเป็นครั้งแรกที่ถูกทำร้ายร่างกายอันเนื่องจากแรงจูงใจเหยียดผิว "ผมฟันหลุด 3 ซี่ และอีก 2 ซี่หัก ผมยังไม่อาจซ่อมฟันได้ในตอนนี้ จำเป็นต้องรอให้แผลหายดีก่อน"

แม้มีผู้คนอยู่บนรถบัสมากกว่า 10 ราย แต่มีบุคคลเพียงรายเดียวที่เข้าขัดขวางเหตุทำร้ายร่างกาย "สุภาพบุรุษวัย 75 ปี ที่อยู่ข้างหลังช่วยผมไว้ เขาช่วยควบคุมผู้หญิงคนนั้นและเข้ามาขัดขวาง" เด็กชายเล่า

จากนั้นผู้หญิงรายนี้ก็กระโดดลงจากรถที่ป้ายรถเมล์วิลเลียมส์ อีฟ ในปาคูรันกา ก่อนวิ่งหนีไป "เราตะโกนใส่คนขับอย่าเปิดประตู แต่เขาเปิดประตูและเธอหนีไปได้"

เด็กชายรายนี้เชื่อว่าผู้หญิงที่ก่อเหตุน่าจะมีอายุราว 40 ปี รูปร่างใหญ่และแต่งกายชุดดำล้วน "ผมรู้สึกกลัว คราวนี้เป็นแค่ท่อนเหล็ก แต่คราวนี้ใครจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น บางทีอาจเป็นมีดก็ได้" เขากล่าว

ทั้งนี้ เด็กชายผู้เป็นเหยื่อหวังว่าบอกเล่าเรื่องราวของเขาในครั้งนี้จะเป็นตัวกระตุ้นให้ผู้คนเข้าขัดขวางการทำร้ายร่างกาย และช่วยเหลือคนที่ถูกทำร้าย ทั้งนี้เขาไม่คิดว่าตำรวจจะหาตัวผู้หญิงรายนี้พบ ในขณะที่ตำรวจยอมรับว่าพวกเขายังอยู่ระหว่างสืบสวนเรื่องนี้อยู่

เจมส์ แมปป์ เจ้าหน้าที่ตำรวจระดับอาวุโส เปิดเผยว่าผู้หญิงที่ทราบชื่อรายนี้ขึ้นไปบนรถบัส ก่อนก่อเหตุลงมือทำร้ายเหยื่อด้วยวัตถุหนึ่ง "มันเป็นการทำร้ายร่างกายโดยปราศจากการยั่วยุ ส่งผลให้เหยื่อได้รับบาดเจ็บบริเวณใบหน้าอย่างรุนแรง"

"เราทราบดีถึงความหวาดกลัวและความกังวลต่อเหตุการณ์ร้ายต่าง ๆ เช่นนี้ในชุมชน และเรายังคงเดินหน้าไล่ตามทุกเบาะแสที่จะนำมาซึ่งการนำตัวบุคคลรายนี้มาลงโทษ ตำรวจไม่อดทนต่ออาชญากรรมเช่นนี้ หรือการก่อความหวาดกลัวในชุมชนของเรา ขณะเดียวกัน เราก็กำลังมอบแรงสนับสนุนแก่เหยื่อ และขอรับประกันกับชุมชนว่า เรากำลังทำงานอย่างหนักเพื่อนำตัวบุคคลรายนี้มาลงโทษ"

ด้านโฆษกการขนส่งโอ๊คแลนด์ บอกว่าพวกเขารู้สึกเสียใจที่ได้ยินข่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์อันน่าสะเทือนใจที่เกิดขึ้น "ความปลอดภัยของทุกคนที่ใช้บริการเครือข่ายการขนส่งของเรา คือลำดับความสำคัญสูงสุดของเรา เรายืนยันว่าเราทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว และเราเข้าใจว่าผู้ปฏิบัติการรถบัสได้มอบคลิปวิดีโอแก่ตำรวจไปแล้ว"

‘ฝรั่ง’ ทักคนเอเชียว่า ‘หนีห่าว’ อาจไม่ได้ตั้งใจจะล้อเลียน แค่ดูไม่ออกว่าเป็นเชื้อชาติไหน แต่ไม่ได้เจตนาจะด้อยค่า

(20 เม.ย. 68) เพจเฟซบุ๊ก ‘Aroonsri Chaiyachatti Harrison’ ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า …

ช่วงนี้ดูเหมือนจะมีประเด็นร้อนเกี่ยวกับการที่ฝรั่งทักคนเอเชียด้วยประโยคภาษาจีนอย่าง “หนีห่าว” กันอีกแล้ว เลยอยากมาเล่าแชร์ประสบการณ์ส่วนตัวนิดนึงค่ะ

ตอนเด็ก ๆ เคยตามคุณพ่อไปอยู่ยุโรป ที่ประเทศหนึ่งในอดีตยูโกสลาเวีย สมัยนั้นชาวยุโรปแถบนั้นไม่ค่อยมีโอกาสได้เจอคนเอเชียตัวจริง ๆ เท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะเห็นแค่ในหนังหรือทีวี พอได้เจอกับของจริง ก็แยกไม่ค่อยออกหรอกค่ะ ว่าใครเป็นคนจีน คนไทย คนญี่ปุ่น หรือฟิลิปปินส์

จริง ๆ แม้แต่เราบางครั้ง ยังแยกไม่ออกเลยว่าฝรั่งที่เจอเป็นคนอังกฤษ อเมริกัน หรือยุโรปชาติไหน ต้องฟังสำเนียงก่อนถึงจะพอเดาได้

ย้อนกลับมาที่ประสบการณ์ตรงย้ายมานิวยอร์ก ตอนเรียนอยู่ก็ทำงานพาร์ตไทม์เป็นบาร์เทนเดอร์ ลูกค้าฝรั่งเข้ามาคุยด้วยบ่อย ๆ ถามว่าเราเป็นคนชาติไหน มีบางคน โดยเฉพาะฝรั่งรุ่นเก่า ๆ ที่ยังใช้คำว่า Oriental ซึ่งสมัยนี้ถือว่าคำนี้ไม่เหมาะสมแล้ว เพราะมันเป็นการเหมารวมคนเอเชียแบบไม่มีความเข้าใจ คล้าย ๆ กับเวลาพูดถึง Oriental rug — มันเป็นภาษาที่สะท้อนยุคสมัยที่ยังไม่เปิดกว้างทางวัฒนธรรมเท่าไหร่

สมัยนััน80s-90s คำถามที่โดนถามบ่อยมากคือ :
What kind of asain are you?
What are you made of? (อันนี้ชอบบบมากตลกดีส่วนใหญ่จะเป็นคำถามจากคนสูงอายุหน่อย เรามักจะตอบกวนๆว่า “Mom and dad of course” 
So you are an Oriental from Thailand?

สรุป :
• “Oriental” ใช้กับวัตถุได้ เช่น “Oriental rug” แต่ไม่ควรใช้กับ “คน” อีกแล้ว
• เวลาฝรั่งพูดแบบนี้ในปัจจุบันอาจโดนมองว่าไม่สุภาพ หรือ outdated มาก ๆ
นอกจากนี้ก็มีบางคนที่แค่ไม่รู้จริง ๆ หรือที่เรียกว่า ignorance ไม่ได้ตั้งใจเหยียด แต่ไม่รู้ว่าคนเอเชียมีหลายเชื้อชาติ หลายภาษา หลายวัฒนธรรม ไม่ได้เหมารวมได้ง่าย ๆ

บางครั้งก็มีเจอแบบไม่โอเค เช่น แซวทำตาเฉียงเลียนแบบคนจีน ทั้งที่เราไม่ใช่คนจีนก็ตาม ซึ่งตรงนี้มันก็สะท้อนว่าเขายังไม่เข้าใจเรื่องความหลากหลายของเอเชียดีนัก

แต่ในหลาย ๆ ครั้ง ฝรั่งที่ทักเราเป็นภาษาจีน ก็อาจจะเป็นแค่การพยายามจะเชื่อมต่อ อยากทักทายด้วยคำไม่กี่คำที่เขาพอรู้ อาจเพราะเพิ่งเคยมาเที่ยวเอเชียครั้งแรก แล้วตื่นเต้น อยากสื่อสารกับคนท้องถิ่น แม้จะผิดภาษา แต่เจตนาก็ไม่ได้มุ่งร้ายอะไร

สุดท้ายแล้ว เราว่ามันอยู่ที่ “เจตนา” ค่ะ
ถ้าไม่ได้ตั้งใจเหยียด ดูถูก หรือทำให้รู้สึกด้อยค่า ก็คงไม่จำเป็นต้องซีเรียสเกินไป

เพราะบางที แม้แต่คนไทยเองก็มีหน้าตาหลากหลาย บางคนดูเหมือนจีน บางคนดูเหมือนแขก หรืออื่น ๆ ซึ่งแม้แต่เราเองยังแยกไม่ออกในบางครั้ง แล้วจะคาดหวังให้ฝรั่งที่ไม่คุ้นชินกับความหลากหลายของเอเชียแยกออกเป๊ะ ๆ คงเป็นเรื่องยาก

แต่แน่นอนว่า ถ้ามันเลยเถิดไปจนถึงการล้อเลียนหรือทำให้อีกฝ่ายรู้สึกถูกด้อยค่า นั่นก็ถือเป็นปัญหาจริง ๆ และเข้าใกล้เรื่อง cultural appropriation มากขึ้น — คือการเอาวัฒนธรรมของคนอื่นมาใช้ผิดที่ผิดทาง ไม่ให้เกียรติ หรือทำให้มันดูตลกไป ซึ่งเรื่องแบบนี้ก็ควรถูกพูดถึงและทำความเข้าใจกันให้มากขึ้นเช่นกันค่ะ

บางครั้งในชีวิตเราก็เลี่ยงไม่ได้หรอกค่ะ ที่จะต้องเจอกับคนที่มีทัศนคติไม่ดี เหยียดเชื้อชาติ หรือพูดจาไม่เหมาะสมกับเราโดยตรง ไม่ว่าด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม

ถ้าคุณรู้สึกว่าคำพูดหรือท่าทีของเขาเป็นการเหยียดเราจริง ๆ สิ่งที่ง่ายที่สุด และทรงพลังที่สุดที่คุณทำได้… คือ “ยิ้ม” ค่ะ

ใช่ค่ะ - แค่ยิ้ม

เพราะบางทีความสุภาพ และความสงบนิ่งของเราเองนั่นแหละ ที่จะทำให้คนที่เหยียดเรารู้สึกละอายใจในพฤติกรรมของตัวเอง โดยที่เราไม่ต้องลดตัวลงไปตอบโต้ด้วยความโกรธหรือความเกลียดชัง

การยิ้ม ไม่ได้แปลว่าเรายอมรับการกระทำของเขา
แต่เป็นการแสดงให้เห็นว่า เรา “เหนือกว่า” การเหยียดนั้นมากแค่ไหน

ในโลกที่เต็มไปด้วยความเข้าใจผิดและอคติ
การรักษาความสงบภายในใจ และตอบกลับด้วยความสุภาพ
คือการต่อสู้ที่สง่างามที่สุด

อย่าลืมสิว่าประเทศเราคือสยามเมืองยิ้ม 
ด่ากลับเป็นภาษาไทยด้วยรอยยิ้มค่ะ   ทำบ่อยมากเวิร์คทุกครั้ง ด่าสามีด้วยรอยยิ้มนางยังไม่โกรธ 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top