Monday, 30 June 2025
เพนกวิ้น

'ดร.อานนท์' เล่าบรรยากาศ เจอ 'เพนกวิ้น' ที่ศาล เดียวดายหน้าบัลลังก์ ไร้เงากองเชียร์เหมือนก่อน

(29 เม.ย. 65) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กว่า กองเชียร์สามกีบที่หายไป ปล่อยให้เพนกวิ้นเดียวดายหน้าบัลลังก์ศาล 

ผมไปศาลอาญารัชดาเช้านี้ คดี มาตรา 112 ที่เพนกวิ้นเป็นจำเลย เคยไปมาหลายครั้งแล้ว แต่เพนกวิ้นไม่มาศาล อ้างว่าป่วย แต่มีใบแพทย์จากกรมราชฑัณฑ์ว่าไม่ป่วย และแต่ก่อนทุกครั้งที่ไปจะมีมวลชนสามกีบมากมาย ตำรวจต้องกั้น และต้องดูแลความปลอดภัยขั้นสูงสุด ตรวจสแกนบัตรประชาชนอย่างละเอียด และห้ามม็อบสามกีบเข้ามาในเขตรั้วศาล แต่วันนี้เงียบเหงามาก ม็อบสามกีบไม่มี ตำรวจไม่มา ไม่ได้กั้นอะไร และเพนกวิ้นก็มาแบบเงียบๆ กับน้องสาวและทนายอย่างเดียวดายหน้าบัลลังก์ ไม่เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมาครับ

จบการรายงานข่าว


ที่มา : https://www.facebook.com/784302727/posts/10160138108707728/

‘ศาลอุทธรณ์’ พิพากษายืน จำคุก ‘เพนกวิ้น-อั๋ว’ 2 เดือน กรณีจัดกิจกรรม #Saveวันเฉลิม ปี 63 ผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ 


(5 ก.พ.67) ที่ศาลแขวงปทุมวัน ถ.นครไชยศรี ศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำ 653/2566 ที่พนักงานอัยการสูงสุดเป็นโจทก์ฟ้องนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิ้น จำเลยที่ 1 และน.ส.จุฑาทิพย์ ศิริขันธ์ หรือ อั๋ว จำเลยที่ 2 แกนนำกลุ่มราษฎร เป็นจำเลยในความผิดต่อพ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินกรณีเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 63 จำลยได้จัดกิจกรรม #Saveวันเฉลิม ทวงความเป็นธรรมให้กับการบุคคลสูญหายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ บริเวณหน้าหอศิลป์กรุงเทพ

คดีนี้ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าจำเลยทั้งสอง มีความผิดตามพ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 มาตรา 9(2),18 ประกอบมาตราประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 จำคุกจำเลยทั้งสอง คนละ 2 เดือน ปรับคนละ 10,000 บาท จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 368 วรรคหนึ่ง อีกกระทงหนึ่งปรับ 2,000 บาท รวมจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 2 เดือนรวมปรับ 12,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษมีกำหนด 2 ปี

จำเลยทั้งสองยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหาแล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่าจำเลยทั้งสอง ร่วมกันจัดให้มีกิจกรรมซึ่งมีประชาชนเข้าร่วมจำนวนมากในลักษณะมั่วสุมประชุมกันหรือมีโอกาสติดต่อสัมผัสกันได้ง่ายโดยได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ฝ่าฝืนข้อกำหนดออกตามมาตรา 9 แห่งพ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯหรือไม่ 

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ในทำนองว่า โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานพิสูจน์ว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้ลงข้อความใน เฟซบุ๊ก ทั้งไม่ได้ตรวจสอบว่าใครเป็นแอดมินเพจ เฟซบุ๊ก ชื่อบัญชี สหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทย จำเลยทั้งสองปรากฏตัว ณ สถานที่นัดหมายเนื่องจากพบเห็นข้อความทางเฟซบุ๊ก ดังกล่าวซึ่งเป็นการสื่อสารทางอินเตอร์เน็ตที่ประชาชนทั่วไปเข้าถึงได้ เห็นว่าโจทก์มีตำรวจเป็นพยานยืนยันว่า พบจำเลยทั้งสองนำภาพผู้ลี้ภัยวางไว้ที่บริเวณผู้ชุมนุม จำเลยทั้งสอง พูดปราศรัยห่างจากผู้ชุมนุมประมาณ 1 เมตร ผู้ชุมนุมยืนติดกันไม่เว้นระยะห่างไม่มีจุดคัดกรอง ไม่มีเจลแอลกอฮอล์ จำเลยทั้งสองกล่าวปราศรัยถึงวัตถุประสงค์ของการจัดกิจกรรมครั้งนี้

พฤติกรรมของจำเลยทั้งสอง บ่งชี้ว่ามีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมชุมนุมโดยเฉพาะจำเลยที่2 เป็นประธานสหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทยย่อมมีน้ำหนักรับฟังมั่นคงว่าจำเลยทั้งสองรู้เห็นและมีส่วนร่วมกับการจัดกิจกรรมชุมนุมดังกล่าว ที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่าจำเลยทั้งสองปรากฏตัว เนื่องจากเพราะเป็นข้อความที่ประชาชนทั่วไป สามารถเข้าถึงได้การที่จำเลยทั้งสอง นำภาพผู้ลี้ภัยทางการเมืองมาวางบริเวณผู้ชุมนุมและปราศรัยเกี่ยวกับผู้ลี้ภัยอันเป็นปกติวิสัยของบุคคลที่เห็นข้อความเชิญชวน แต่รายงานสืบสวนเอกสารในตอนท้ายที่ระบุว่า “โปรดเตรียมดอกไม้เพื่อร่วมทวงความเป็นธรรมให้ผู้ลี้ภัยทางการเมือง” ซึ่งปกติวิสัยของบุคคลทั่วไปเห็นข้อความดังกล่าว และประสงค์จะเข้าร่วมก็เพียงแต่นำดอกไม้มาเท่านั้น ไม่มีเหตุให้นำภาพของผู้ลี้ภัยทางการเมืองมาชุมนุมและขึ้นกล่าวปราศรัยด้วย

การที่จำเลยทั้งสองนำภาพผู้ลี้ภัยทางการเมืองมาวางและกล่าวปราศรัยเกี่ยวกับผู้ลี้ภัยจึงไม่ใช่ปกติวิสัยของคนที่เห็นข้อความเชิญชวน การกระทำเช่นนั้นที่จำเลยอุทธรณ์ว่า โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานพิสูจน์ว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้ลงข้อความเฟซบุ๊ก ทั้งไม่ได้ตรวจสอบว่าใครเป็นแอดมินของเพจเฟซบุ๊กดังกล่าว อุทธรณ์จำเลยทั้งสอง ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

มีปัญหาวินิจฉัยอุทธรณ์จำเลยที่2 ว่ามีความผิดฐานไม่ผิดตามคำสั่งพนักงานสอบสวนที่สั่งให้พิมพ์ลายนิ้วมือโดยไม่มีเหตุหรือข้อแก้ตัวอันสมควรประมวลกฎหมายอาญามาตรา 368 หรือไม่

จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ว่าพนักงานสอบสวนมีคำสั่งให้จำเลยที่ 2 พิมพ์ลายนิ้วมือไม่ใช่เพื่อการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อหาตัวผู้กระทำความผิดไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 132 (1) การที่จำเลยที่ 2 ปฏิบัติตามคำสั่งแล้วจึงไม่มีความผิดนั้น

ศาลอุทธรณ์เห็นว่าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 132 ให้อำนาจพนักงานสอบสวนตรวจผู้เสียหาย เมื่อผู้นั้นยินยอมหรือตรวจตัวผู้ต้องหา ตรวจสิ่งของ หรือทางที่อันจะสามารถใช้เป็นพยานหลักฐานได้ข้อเท็จจริงจากพยานเบิกความว่าพยานได้จัดให้จำเลยที่ 2 พิมพ์ลายนิ้วมือเพื่อตรวจว่าจะมีการเพิ่มโทษหรือไม่ แต่จำเลยที่ 2 ไม่ยินยอมโดยพยานเบิกความตอบทนายจำเลยที่ 2 ค้านว่าการขอตรวจลายนิ้วมือจำเลยที่ 2 เพื่อนำไปตรวจหาประวัติอาชญากรบ่งชี้ชัดว่าพนักงานสอบสวนสั่งจำเลยที่ 2 พิมพ์ลายนิ้วมือเพื่อจะได้ทราบว่าจำเลยที่ 2 เคยต้องโทษมาก่อนอันเป็นเหตุให้เพิ่มโทษตามกฏหมายหรือไม่ คำสั่งของพนักงานสอบสวนจึงชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 2 จึงมีความผิดฐานไม่ปฏิบัติตามคำสั่งพนักงานสอบสวนที่สั่งให้พิมพ์ลายนิ้วมือโดยไม่มีเหตุหรือข้อแก้ตัวอันสมควรที่ศาลชั้นต้นพิพากษานั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองทุกข้อฟังไม่ขึ้น จึงพิพากษายืน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top