Sunday, 8 June 2025
เที่ยวลาว

'โซเซียลลาว' รุมสวด!! ระบบจองตั๋วรถไฟลาว-จีน คนลาว-นักท่องเที่ยว 'จองยาก - โดนโก่งราคา'

เพจ Biz Lao ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับระบบจองตั๋วรถไฟลาว-จีน จากโซเชียลลาว ในเชิงตำหนิและตักเตือน ไว้ว่า...

ป่านพุ่นหว่า...
มันขนาดนี้เลยหรือนี่...

ไปรอตั้งแต่ 4 โมงเช้า สรุปไม่ได้ตั๋ว...
ดูสภาพ มีแต่เอเย่นต์รับจองปี๋กันเอง ยาวเป็นกิโล

คนที่ไปจองเองกับนักท่องเที่ยว ไม่มีเลย

ไม่ตำหนิ คนไปจอง ตำหนิผู้บริหาร ระบบที่ล้าสมัย 

น่าจะจองระบบออนไลน์ ใครอยากจองก็จองไปเลย

เห็นนักท่องเที่ยวไทยโพสต์ในกลุ่ม ถูกโก่งค่าตั๋วสูงมาก ถึง 3-4 เท่า 

คัดย่อ...หนึ่งเสียงจากหลาย ๆ เสียงจากภาพการจองตั๋วรถไฟเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2565

เมื่อระบบการจองเป็นเช่นนี้...และกระแสเที่ยวลาวด้วยรถไฟลาวจีน ยังปรากฏต่อเนื่อง

จริง ๆ ... เราจะไปเที่ยวลาว หรือ อยากไปนั่งรถไฟกันแน่?

ถ้าอยากไปเที่ยวลาวก็ไปเลย การเดินทางก็ไปง่าย สะดวก นะ และหลายแห่งก็ไม่ต้องนั่งรถไฟลาวจีน ก็ได้

ชมความสวยงามธรรมชาติสดชื่น ผู้คนสดใส เที่ยวอย่างมีความสุขในวิถีของเมืองลาวแบบเดิม ๆ ไปก็ได้

เที่ยวปากเซ, ปากซอง, คำม่วน, นากาย, หลักซาว, 
สะหวันนะเขต, เมืองเฟือง, วังเวียง, ไชสมบูน 
มันก็พบความงดงามได้เช่นกัน

ไปด้วยรถ หรือ เครื่องบิน มอเตอร์ไซค์ ก็ได้เนาะ แล้วแต่เราเองเลย บนเส้นทาง ไปเที่ยวลาวได้เช่นกัน
 

สาวไทย มึน!! โดนโขกค่าชุดตักบาตรกว่า 600 บาท หลังเจอมนุษย์ป้าสปป.ลาวสวมรอยแทนของรร.

สาวนักท่องเที่ยวชาวไทย โพสต์เตือนภัยตักบาตรที่หลวงพระบาง สปป.ลาว หลังเจอมนุษย์ป้าสวมรอยวางชุดตักบาตรแทนของโรงแรม ตักบาตรเสร็จโดนโขกเงินไปกว่า 600 บาท

กำลังเป็นประเด็นร้อนในโซเชียล เมื่อนักท่องเที่ยวไทยเดินทางไปเที่ยวที่ สปป. ลาว และตั้งใจจะตักบาตรข้าวเหนียวที่หลวงพระบาง จึงให้ทางที่พักช่วยเตรียมของไว้ให้ ก่อนจะโดนมนุษย์ป้ามาสวมรอยวางชุดตักบาตรให้หน้าที่พัก สุดท้ายเหมือนโดนปล้นหมดเงินกับค่าชุดตักบาตร 2 ชุดไปกว่า 600 บาทไทย!

เรื่องราวดังกล่าวถูกโพสต์ในเฟซบุ๊กกลุ่ม 'เที่ยวลาว' โดยสมาชิกกลุ่มชื่อบัญชี Phinyada Sirisakorn ที่ได้มาแชร์ประสบการณ์ 'การตักบาตรข้าวเหนียว' ที่หลวงพระบาง สปป.ลาว โดยได้โพสต์เรื่องราวสรุปใจความว่า

เธอได้ไปเที่ยวและพักที่หลวงพระบาง และได้ตกลงให้ทางที่พักเตรียมชุดตักบาตรข้าวเหนียวให้ 1 ชุด เป็นเงิน 60,000 กีบ (ประมาณ 140 บาท) แต่ถึงเวลาตอนเช้าเธอเตรียมจะใส่บาตร และเห็นว่ามีการเตรียมของวางไว้ให้แล้วที่หน้าที่พักแล้ว แต่มีด้วยกัน 2 ชุด เธอจึงไม่ได้คิดอะไรและทำการตักบาตรจนพระหมด

เมื่อเสร็จเรียบร้อยได้มีชาวบ้านเข้ามาเรียกเก็บเงินค่าของตักบาตรทั้งข้าวเหนียว ข้าวหลาม ขนมห่อ ๆ รวมแล้วเกือบ 300,000 กีบ ซึ่งตีเป็นเงินไทยได้ถึง 600 บาทเลยทีเดียว!

โดยเธอได้ออกมาแชร์ประสบการณ์เตือนภัยพร้อมกับบอกว่าทางพนักงานโรงแรมรู้สึกเสียใจที่เกิดเหตุการณ์ขึ้น และได้บอกว่าชาวบ้านมาสวมรอยวางของเช่นนี้ทำให้เสียชื่อที่พักเช่นกัน และพนักงานจะพาเธอไปแจ้งความไว้ แต่ตัวเธอไม่ติดใจและคิดว่าเป็นการทำบุญไปแทน

สำหรับข้อความจากโพสต์ต้นทาง ระบุว่า 

ขออนุญาตเตือนภัยได้ไหม??
ในฐานะนักท่องเที่ยวคนหนึ่ง

ขอตั้งชื่อเรื่องว่า “การตักบาตรที่แสนเจ็บปวด” 😭
เป็นทริปเที่ยว สปป ลาว ของครอบครัวเราครั้งแรก

เริ่มจากเรามาจากเวียงจันทร์ วังเวียง
ละมาจบด้วยหลวงหลวงพระบาง

ตลอดทั้งทริปเจอผู้คนน่ารัก ช่วยเหลือแนะนำทุกอย่าง
อาจมีบางคน ที่เกินไปบ้าง แต่ในราคาที่เราพอรับได้
ก็ปล่อยผ่าน ไม่ได้อะไร…

เรื่องบันเทิงได้เริ่มขึ้น เมื่อวานเราเข้าพัก ที่หลวงพระบาง
ที่พักของเราสามารถเดินลงมาตักบาตรข้าวเหนียวตอนเช้าได้เลย
เราได้ถามน้องพนักงานว่า ว่าชุดตักบาตรตักบาตร
ซื้อที่ไหนได้ ตอนเช้ามีขายไหม??
น้องก็แจ้งว่าที่พักมีขายชุดละ 60,000 กีบ
มีข้าวเหนียวและขนม 3 อย่าง
เราก็โอเค รับ 1 ชุด น้องบอกเดี๋ยวเตรียมไว้หน้าโรงแรม
ตี 5.30 น. พี่ลงมาใส่บาตรได้เลย มีพระเดินผ่านตรงนี้

เช้าวันนี้ เราก็ลงมาใส่บาตร
พนักงานโรงแรมไม่มี ณ เวลานั้น ประตูที่พักก็ปิดอยู่
แฟนเราก็เปิดกลอนที่ลอคที่พักไว้!!
เห็นมีชุดใส่บาตรตั้งไว้
เราก็คิดว่า เป็นของที่โรงแรมที่เราสั่งไว้ 1 ชุด
แต่มีตั้งไว้ 2 ชุด แฟนเราก็แบบ คนละชุดก็ได้
ก็คง 120,000 กีบ แหละ แต่มีชาวบ้านหิ้ว โน่นนี่
มาตั้งเราก็บอกไม่เอา เค้าก็ยัดเยียดสุดฤทธิ์ สุดเดช
มีวางไว้ตรงข้างหน้าเราด้วยนะ แต่เราไม่ได้เอาของเค้านะ
เรากับแฟนก็ใส่บาตร จนพระหมด
ในส่วนที่เราคิดว่า รร. เตรียมไว้ให้!!!!

พอพระหมดแล้ว โห!! นึกว่าโดนโจรปล้นนน บ้าบอมาก 😵
เจ๊คนนึง บอกค่าข้าวหลาม 1 ชุด
มีประมาณ 6-7 กระบอก 100,000 กีบ
ป้าอีกคนบอก ค่าข้าวเหนียวห่อ ๆ 200.-
มีไม่ถึง 10 ห่อ 🙄🙄🙄
แฟนเราก็เอออ ควักจ่าย
คิดว่ารวมค่าข้าวเหนียวกระติ๊บ หมดแล้ว!!
ไม่จ้าาา ป้าบอกค่าข้าวเหนียว 3 กระติ๊บ 80,000 กีบ
เราก็บอก เราใส่ไปแค่ 2 นางบอกเอา 60,000 ก็ได้
เหตุการณ์เกิดขึ้น ไวและงงมากกก เออคิดว่าหมดละจริงๆ

กำลังจะเดินขึ้นห้องพัก ป้าอีกคนบอก
ยังไม่จ่ายค่าขนมห่อป้า😵😵😵
มีฟันโอ อยู่ 10 ซอง 2 ถาดได้ ป้าคิด 80,000 กีบ
อ่ะหือ ซื้อบ้านเราอันละ 2.- 20 อัน แค่ 40.- ป้าคิดมา 160
จะบ้าตายรายวันมากกก 😵‍💫🤢🤢
ตักบาตรราคาแพงมว๊ากก 🙄🙄🙄
เจอแบบนี้ คือ หมดอารมณ์เที่ยวต่อ

'กรณ์' รีวิว!! เที่ยวทีละก้าวใน 'โบลาเวน' สปป. ลาว 'ลุยป่า-ปีนต้นไม้' พากายขึ้นรอดูดาวบนฟากฟ้า

(12 พ.ย.66) นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว 'กรณ์ จาติกวณิช - Korn Chatikavanij' ระบุว่า...

ผมไปเดินป่าโบลาเวน สปป. ลาว กับเพื่อนสองคน ส่วนหนึ่งเพราะอยากไปมานานแล้ว ส่วนหนึ่งเพราะตระหนักว่าหากไม่ไปตอนนี้สภาพร่างกายเรา (และเพื่อนร่วมเดินทางวัยเดียวกัน) อีกไม่นานจะสู้ไม่ไหว

เราสามคนคบกันมานานกว่า 40 ปี ทริปแบบนี้ ไปกับคนที่รู้ใจกันและมีกำลังวังชาพอๆ กันน่าจะทำให้ราบรื่นสบายใจขึ้น

ผมเป็นคนอาสาจัดและวางแผน และโชคดีที่มีเพื่อนรุ่นน้องเป็นคนอุบล คุณโจ้ Joe Code ธานิน เจ้าของโรงแรม Yuu Hotel อยู่กลางเมือง (โรงแรมโปรดผมเลย) และผมโชคดีที่พอโทรไปถามน้องเขาว่าแนะนำอะไรได้มั้ย โจ้ตอบสวนกลับมาเลยว่า ‘ผมเพิ่งไปมา…’ 

สุดท้ายได้ไกด์ กำหนดวันกันเรียบร้อย เราบินนกแอร์มาลงอุบล ซึ่งเครื่องนกแอร์ออกช้าไปชั่วโมงกว่า ทำให้เราได้เริ่มการเดินทางนี้ด้วยการนวดเท้าหน้าเกตเที่ยวบินเรา (หมอนวดบอกว่ารายได้ดีก็เพราะนกแอร์เนี่ยแหละ…😅)

พอมาถึงอุบล เพื่อนมารับ พาเราไปกินข้าวเย็นร้านญี่ปุ่นชื่อ Oshinei ซึ่งเจ้าของเป็นเชฟชาวอุบลคนดังชื่อเชฟบุญธรรม เป็นเชฟกระทะเหล็ก ประสบความสำเร็จอย่างมาก ตอนนี้มีประมาณ 30 สาขาทั่วประเทศ และสนใจที่จะใช้ประสบการณ์ของเขาช่วยขยายโอกาสให้ผู้ริเริ่มกิจการอาหารเจ้าอื่น

จากนั้นเราเข้านอนที่ Yuu hotel  นอนห้อง family ซึ่งมี 5 เตียง และออกแบบน่ารักมาก แต่บรรยากาศสำหรับเรา 3 คนคือเหมือนกลับไปอยู่ dorm สมัยเรียน (ต่างกันที่มีทีวีขนาด 50 นิ้ว และสิ่งอำนวยความสะดวกอีกเพียบ)

เช้าเราออกเดินทางไปช่องเม็ก เพื่อเข้าลาว ที่ด่านจะมีหนุ่มสาวชาวลาวมาขาย SIM card ของลาว เราก็อุดหนุนกันไปคนละ 150 บาท (แต่พอถึงป่าก็ไม่มีสัญญาณใดๆ อยู่ดี😅)

พอข้ามแม่น้ำโขงไปได้ไม่นานโชเฟอร์เริ่มลดสปีดลงเหลือประมาณ 40กม./ชม.เพราะเราเข้าสู่โซนด่านตำรวจลาว แต่แล้วก็ถูกเรียกอยู่ดี ป่วยการเถียงกับเขา โชเฟอร์ต้องจ่ายไปประมาณ 50,000 กีบ (100 บาท) ตามระเบียบ 

ทางผ่านเราได้ชมคฤหาสน์ของคุณนายดาว เจ้าของกาแฟดาว ชื่อดังของลาว ที่พูดถึงเพราะบ้านแกใหญ่มาก! 

และสุดท้ายก็ไปถึงหมู่บ้านหนองหลวง ซึ่งเป็นจุดเริ่มเดินของพวกเรา เราพบไกด์มาจากปากเซ และลูกมือเป็นคนพื้นเมืองปากซอง 

ก่อนเริ่มเดินไกด์ให้เราใส่อุปกรณ์การเดินพะรุงพะรังเพื่อความปลอดภัย ผมยอมรับว่า ตอนนั้นผมรู้สึกว่ามันมากเกินไป กับเพียงการเดินป่าของเราจะอะไรกันนักหนา…หารู้ไม่ว่าเราจะต้องพึ่งพาอุปกรณ์ในทุกรายละเอียดมากแค่ไหน และภายใน 15 นาทีหลังการออกเดินทาง!

ถ้าพูดตามตรง พวกผมไม่ได้ทำการบ้านกันมามากมาย เรารู้ว่ามีนํ้าตกสวย มีการนอนบนเรือนไม้บนต้นไม้สูง (มาก) แต่ไม่ได้รู้ว่าสภาพการเดินจะท้าทายทั้งขาลง (วันแรก) และขาขึ้น ไม่ได้รู้ว่าจะต้องโหน zip line ข้ามเหวไปมาเกือบ 20 ครั้ง ไม่รู้ว่าต้องไต่หน้าผา และยังมีที่ยากที่สุดสำหรับผมคือ การเดินข้ามสะพานเส้นลวด ไม่ว่าจะเป็นลวดเดี่ยวหรือลวดห่วง ซึ่งทำให้เข้าใจอย่างลึกซึ้งสองอย่าง 

คือ 1. ‘ทีละก้าว’ แปลว่า ห้ามคิดมากกว่านั้นจริงๆ 2. เมื่อก้าวไปแล้วการถอยหลังไม่เป็นอ็อปชัน การทำสิ่งง่ายๆ เช่นยกขาซ้ายเพื่อก้าวไปข้างหน้า เพื่อเหยียบห่วงลวดบนสะพานเส้นต่อไป กลายเป็นการต่อสู้กับจิตใจตนเอง และเป็นการก้าวข้ามความกลัว ที่ต้องอาศัยความตั้งใจมหาศาล

จริงๆ ถึงแม้เราอยู่ในที่ลาดชันมากๆ และการพลาดพลั้งเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แต่ระบบ safety infrastructure ที่เขาลงเอาไว้นั้นดีมาก ทำให้เรามั่นใจได้ว่า จะอย่างไรก็ไม่ถึงตาย แต่หากพลาดต้องมีเจ็บ แม้เพียงแค่ข้อเท้าแพลง จะต้องทุลักทุเลกันทั้งคณะแน่นอน

ส่วนความเหนื่อยนั้น เหนื่อยจริง (วันเดินขึ้น หัวใจผมเต้นเฉลี่ย 120 นานอยู่กว่า 2 ชั่วโมง โดยพีคประมาณ 150) วันแรกเป็นการลงเขาเป็นหลัก เหนื่อยอีกแบบเทียบกับการขึ้น แต่เราก็ไปถึงที่พักได้อย่างไม่ต้องรีบ จุดไฟ ต้มน้ำ แม่ครัวเริ่มทำอาหาร เราเตรียมที่นอน และได้ชาร์จโทรศัพท์เพราะจะมีการใช้เครื่องปั่นไฟอยู่หนึ่งชั่วโมงครึ่ง

คืนนี้เป็นคืนแรกในรอบนานมากที่ปลอดอินเตอร์เน็ตและสัญญาณโทรศัพท์ ผมได้นอนดูดาวเต็มท้องฟ้า และค่อยๆ ไต่บันไดปีนต้นไม้ขึ้นไปนอนกับเพื่อนๆตอนประมาณ 3 ทุ่มกว่า…

'ยูทูบเบอร์หนุ่ม' ยอมใจ!! ไม่มีเงิน ไม่มีการรักษา ประสบการณ์สุดเลวร้ายหลังประสบอุบัติเหตุแรงในลาว

(12 ธ.ค.66) จากช่องยูทูบ ‘Wepergee’ ซึ่งเป็นช่องเกี่ยวกับสายท่องเที่ยว ที่เน้นการผจญภัยในประเทศต่างๆ เพื่อสำรวจเนื้อแท้ด้านวัฒนธรรม การใช้ชีวิต ในมิติที่ทุกคนอาจจะไม่เคยรับรู้ หรือสัมผัสมาก่อน ได้โพสต์คลิปวิดีโอตอนใหม่ ชื่อ ‘เกิดอุบัติเหตุในลาวเสียเงินเท่าไหร่? ที่นี่เงินสำคัญกว่าชีวิต’ โดยเจ้าของช่อง ‘คุณแบงค์’ ได้มาเล่าประสบการณ์หลังเกิดอุบัติเหตุในประเทศลาว ที่หลวงพระบาง ที่ดูเหมือนจะไม่ร้ายแรงนัก แต่กลับสาหัสเอาการเลยทีเดียว เพื่อเป็นอุทาหรณ์และเป็นประโยชน์สำหรับใครที่อยากจะเดินทางไปเที่ยวลาวหรือประเทศอื่น ๆ ในเรื่องของ ‘อุบัติเหตุ’ โดยระบุว่า… 

จริง ๆ แล้วผมคิดว่ามันไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไร ไม่ได้มีความคิดจะรอดหรือไม่รอด และผมรู้ตัวว่าตัวเองไหว ณ ตอนนั้น แต่หลังจากเกิดอุบัติเหตุสิ่งที่มันเกิดขึ้นกับร่างกายมีมันเยอะมาก ๆ เริ่มจากเลือดออกใต้เยื่อบุสมอง เพราะว่ารถชนประสานงากับรถมอเตอร์ไซค์ และจริง ๆ จะผ่าตัดสมองด้วย แต่คุณหมอเขาอัดยาเยอะมากในระหว่าง 2 อาทิตย์ที่อยู่โรงพยาบาล แล้วทีนี้คุณหมอเขาพยายามเทสร่างกาย เทสสมอง จึงบอกว่าตอนนี้พ้นขีดอันตรายแล้ว ดังนั้น จึงไม่ต้องผ่าตัดสมองแล้ว 

ซึ่งในส่วนที่เกิดขึ้นเยอะที่สุดจะเกี่ยวกับใบหน้าทั้งหมดเลย อย่างเช่น กะโหลกหน้าร้าว กรามร้าว จมูกหัก และวันนี้ผมก็เพิ่งจะไปถอดสิ่งที่คุณหมอเขาจัดกระดูกใหม่ให้ แต่ไม่ได้เสริม ถัดมามีเรื่องฟัน ซึ่งมันไม่ได้หักแต่ว่ามันบิ่น แล้วก็ฟันห่างออกหมดเลย และยังมีสิทธิ์ที่รากฟันจะตายได้ อีกทั้งในระหว่างนี้จะไม่สามารถเคี้ยวอาหารได้เป็นเวลา 1 เดือน และอีกอย่างนึงคือเกี่ยวกับจมูกหลังจากที่มันหัก ผมไม่ได้กลิ่นเลย หลังจากเกิดอุบัติเหตุจนตอนนี้มาก็ประมาณ 2 อาทิตย์แล้ว แต่ปากยังรับรสชาติได้อยู่ จึงได้สอบถามคุณหมอว่ามีโอกาสที่จะกลับมาได้กลิ่นเหมือนเดิมไหม ซึ่งคุณหมอตอบว่ายาก…ดังนั้น ผมอาจจะไม่ได้กลิ่นไปตลอดชีวิต…อันนี้ก็เป็นเรื่องที่จะบอกว่ารับไม่ได้มันก็ใช่ แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะหนักหนาสาหัสขนาดนี้

ถัดมา ตรงจุดที่เกิดอุบัติเหตุขึ้น คือ รถมอเตอร์ไซค์มา 2 ฝั่ง แล้วถนนเป็นแอ่งและเป็นทางโค้ง ซึ่งตอนนั้นผมกำลังไปน้ำตก ขณะช่วงที่ขึ้นเนินนั้น เวลาจะลงก็มีรถคุณลุงท่านนึงขี่มอเตอร์ไซค์มา ซึ่งผมก็เห็นแล้ว แต่ก็เอ๊ะ…ทําไมเขาขับมาแบบไม่เบาเลย ซึ่งเขาก็เห็นว่ารถผมก็มาเหมือนกัน แล้วอีกอย่างที่ลาวเขาใช้เลนส์คนละฝั่งกับที่เมืองไทย ซึ่งตอนนั้นผมก็เริ่มเห็นแล้วว่าคุณลุงขับมาแบบไม่มีหยุด ไม่มีเบาเลย จึงหาแหล่งที่เราจะสามารถหลบได้ แต่ทีนี้ดันหลบไม่พ้น จึงทำให้แฉลบลงข้างทาง แต่คุณลุงท่านนั้น เขาไม่แฉลบไม่ทําอะไรเลย ทีนี้พอผมลงข้างทางไม่พ้น เพราะรถมันประสานงากันก่อน ผมก็โดนจัง ๆ เลยในส่วนของหน้าและกระโหลก เพราะมันปะทะเข้ากับกระจังหน้าของรถมอเตอร์ไซค์ ซึ่งไม่แน่ใจว่าของคุณลุงหรือโดนรถมอเตอร์ไซค์ตนเอง แต่จากภาพที่เห็นมันมีจุดนึงที่ชัดเจนเลยว่าอันนี้คือเลือดของผม ซึ่งคิดว่าตรงนั้นทำให้หัวอาจจะกระแทกด้วย ยอมรับเลยว่าโมโห เพราะลืมตาแทบมองไม่เห็น จึงมีความรู้สึกกลัวตาบอด เพราะตอนนั้นตามันปิดไปหมดเลย แม้จะพยายามลืมแต่มันก็เห็นได้นิดนึง 

แต่สิ่งหนึ่งที่ได้ยินแล้วมันมันคาใจมาตลอดจนถึงทุกวันนี้ คือคุณลุงที่ขับรถเขาตะโกนว่าผมว่า… “จับมันเลย มันเมาแล้วขับ” ทีนี้รถชาวบ้านผ่านมาจึงช่วยกันเรียกรถพยาบาลให้ และยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ช็อกเหมือนกัน คือเขามาถามหาเงินกับผมก่อนเลย ถาม ‘น้องมีเงินไหม มีเงินเท่าไหร่ ถ้าไม่มีเงินพาไปโรงพยาบาลไม่ได้นะ’ ผมก็เลยรีบบอกไปว่ามีเงินอยู่ ซึ่งหากรวมทั้งเงินไทยเงินกีบ จะประมาณ 8,000 บาท และช่วงที่เขามาไม่ได้ถามเลยว่ามีประกันไหมหรือจะทํายังไงเกี่ยวกับอุบัติเหตุครั้งนี้ แต่เขากลับถามหาเงินผมก่อนเลย ซึ่งหลังจากที่เขาเห็นว่ามีเงิน เขาก็หยิบกระเป๋าคาดเอวผมไปค้นคนจนได้เงิน แล้วเขาถึงจะแบบมาช่วยทําแผล ช่วยรักษาพยาบาลเบื้องต้นให้ 

ไม่เพียงเท่านั้น…ถัดมาอีกสิ่งหนึ่งที่ช็อก มันทําให้ผมสลบไปเลย…คือตรงหน้าผากผมมันแตก ตอนนั้นเขาก็หยิบเข็มมาผมจําได้เลยเห็นเข็มเล่มใหญ่มาก ซึ่งเขาบอกว่าหัวคุณต้องเย็บตรงนี้ เพราะเลือดมันออกเยอะ ผมจึงบอกพี่ช่วยซับเลือดไปก่อนได้ไหม เข็มขนาดนี้ไม่ไหว ผมตายแน่นอน… แค่ตรงนี้ก็เจ็บไม่รู้จะยังไงแล้ว ตาก็ลืมไม่ขึ้น หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้ฟัง เขาก็เอาเข็มจิ้มเข้าไปตรงแผล และหลังจากนั้นผมสลบไปเลย ตื่นมาอีกทีคือโรงพยาบาล

หลังจากที่ตื่นมาจากโรงพยาบาล ยอมรับเลยผมไม่เคยเจอเหตุการณ์ที่เกิดอุบัติเหตุแล้วสลบคาไปเลย โดยตอนนั้นยังรู้ตัว ยังพอมีสติอยู่ แต่พอเข็มมันทิ่มเข้าไปแล้ว ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทําไมมันสลบ แต่ก็ยังดีที่เขามาช่วย ไม่อย่างงั้นคงสลบอยู่ตรงนั้น และอีกอย่างนึงตรงที่เกิดเหตุมันเป็นทางกลับจากน้ำตก มันก็จะมีแต่ป่า แต่สิ่งที่รับไม่ได้จริง ๆ คือคุณลุงเขามาปรักปรำ หาว่าผมเมาเหล้าแล้วขับรถ 

สุดท้ายคุณลุงเขาก็เรียกเงินผมอีกด้วย เป็นจำนวน 20,000 บาท แต่ก็จบกันที่ 18,000 บาทแทน ซึ่งเขาก็เอาไป แต่เชื่อไหมว่าคุณลุงเขาไม่เป็นอะไรเลย… ทั้งที่ผมเองก็ใส่หมวกกันน็อคด้วย ยังเป็นถึงขนาดนี้ หลังจากที่จ่ายคุณลุง ค่าทำขวัญเสร็จ ก็ต้องมาจ่ายค่ารถเช่ามอเตอร์ไซค์อีกประมาณ 12,000 หรือ 15,000 บาท ซึ่งตรงนี้ในส่วนค่าทําขวัญกับค่ามอเตอร์ไซค์หมดไปประมาณ 35,000 บาทหรือ 32,000 บาทนี่แหละ ซึ่งจําตัวเลขที่แม่นยําไม่ได้

***นอกจากนี้ ยังมีเรื่องพีคอีก…หลังจากที่มาโรงพยาบาล คุณหมอก็พยายามทํา CT Scan ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย แต่กว่าจะได้ทําในแต่ละอย่าง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าที่ประเทศนี้เขาเป็นแบบนี้รึเปล่า ก่อนที่จะทำอะไร จะพยายามขอเงินทุกอย่าง และต้องเป็นเงินสดด้วย ผมนอนจนปวดหลัง จากการที่เย็บแผล หน้าก็ปวดไปหมด ปวดจนกินแค่ยาพาราก็เอาไม่ไหวแล้ว ดังนั้น ผมเลยขอยาแก้ปวดแบบฉีดได้ไหมแทน แต่พยาบาลกลับถามว่ามีเงินไหม? ถ้ามีเงินก็จะไปเอายามาฉีดให้ ถ้าไม่มีเงินก็ทำไม่ได้ เช่นเดิม…ผมเลยตอบไปว่ามีเงิน แต่คือตอนนี้ลุกไปไม่ได้ แล้วที่โรงพยาบาลก็ไม่สามารถรูดบัตรได้ด้วย จะให้คนไปกดก็กดไม่ได้ เพราะตู้ ATM เป็นไรไม่รู้ ซึ่งผมก็พยายามขอร้องให้ช่วยรักษาก่อน เพราะเรื่องเงินผมไม่มีปัญหาเลย ออกจากโรงพยาบาลเคลียร์ให้ได้แน่นอน จะเอาพาสปอร์ตหรืออะไรไว้ก็ได้ แต่เขาก็ยังยืนยันว่าไม่ได้ ต้องมีเงินและต้องเป็นเงินสดเท่านั้น ซึ่งตอนนั้นก็พยายามอธิบายต่อไปว่าอยากให้ดูสภาพตนก่อน ยังไงก็จ่ายแน่นอน แต่อยากให้รักษาก่อน เพราะว่าไม่อยากอยู่ที่นี่นาน เดี๋ยวก็ต้องกลับประเทศแล้ว

จากนั้นเขาไปคุยปรึกษากับแผนก แล้วก็เอาใบสัญญามาให้เซ็นต์ว่าการรักษาต้องจ่ายอะไรงี้นะ ซึ่งตอนนั้นเซ็นต์ไม่ไหว ลุกนั่งยังไม่ได้เลย ตอนนั้นผมนอนลากอยู่กับเตียง ตาก็ปิดอยู่ สุดท้ายเขาก็เลยเอาที่แสตมป์มือ เพื่อที่จะเอามาเป็นสัญญาในการรักษา

ดังนั้น ถ้าเกิดว่าใครไปเที่ยวลาว ต้องฟังประสบการณ์ในการเกิดอุบัติเหตุของผมไว้นะครับ…และหลังจากที่ผมได้รบกวนคนที่โรงพยาบาล เพื่อถามว่าแถวนี้มีใครรับโอนเงินไทยไหม เพราะจะได้โอนเงินไทยเพื่อขอแลกเป็นเงินกีบมาจ่ายค่ารักษาตรงนี้ ไม่งั้นเขาก็ไม่ยอม ทางโรงพยาบาลจึงช่วยหา สุดท้ายก็หาจนเจอและก็ได้รักษา

หลังจากรักษาเบื้องต้นเสร็จ คุณหมอก็บอกว่ามีเลือดออกใต้เยื่อบุสมอง กระโหลกร้าว เขาขอไม่รักษา เพราะไม่อยากเสี่ยง เลยให้กลับประเทศให้ได้ไวที่สุด เพราะที่นี่ไม่มีอุปกรณ์ที่เพียงพอจะรักษาเคสแบบนี้ พอได้ยินดังนั้นจึงหาวิธี เพราะผมก็อยากกลับไทยให้ได้ไวที่สุด จนสุดท้ายก็ได้ประสานงานกับทีมงานผมที่ฝั่งไทย และได้ติดต่อรถพยาบาลจากทั้งฝั่งลาวและฝั่งไทย โดยนั่งรถตู้พยาบาลจากหลวงพระบางมากลับมาที่กรุงเทพฯ เกือบ 24 ชั่วโมง ส่วนค่ารถตู้ที่จ่ายไปทั้งหมดประมาณ 52,000 บาท ตัวเลขอาจจะผิดพลาดไปในหลักพัน จึงขอตีเป็นกลม ๆ ประมาณนี้

ถัดมายังมีเรื่องพีคอีก ประกันการเดินทางที่ผมซื้อมารายปี มันไม่รับรองอุบัติเหตุที่เกี่ยวกับมอเตอร์ไซค์ ทีนี้ก็เป็นเป็นเรื่องที่ช็อกที่ต้องจ่ายคนเดียว…ส่วนในเรื่องของค่าการรักษา ก็มีบางส่วนที่ประกันเขาช่วยประสานงานให้ ก็ถือว่าฟาดเคราะห์ไป…

ดังนั้น หากใครจะไปเที่ยวที่ไหน อยากจะให้ดูประกันการเดินทางให้ดี ต้องอ่านกรมธรรม์เกี่ยวกับเรื่องอุบัติเหตุ ต้องให้รับรองทุกอย่างเลย ดังนั้น อยากให้ทุกคนคอยระวัง ถึงแม้เมื่อเราคิดว่ายังไงอุบัติเหตุมันไม่เกิด แต่ประกันการเดินทางก็เป็นสิ่งที่สําคัญมากเลยจริง ๆ ขนาดผมมีสุดท้ายก็ต้องเสียค่ารักษาพยาบาลเป็นแสนเลย…

อันนี้ก็เป็นประสบการณ์ในการเที่ยวลาว จึงอยากให้ทุกคนระวังตัวไปไหนมาไหนใช้สติให้ได้มากที่สุด… ซึ่งจากประสบการณ์นี้ผมก็ไม่อยากจะโทษใคร ถือเป็นจุดซวย ๆ ของชีวิตอย่างน้อยก็ไม่ถึงตาย แต่ก็รอดมาได้…


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top