Monday, 9 June 2025
อุตสาหกรรม

‘เอกนัฏ’ เผย กระทรวงอุตฯ ยุคนี้ ให้ความสำคัญกับ ปชช. เรื่องมลพิษ ชงแก้กฎหมาย ให้โรงงานต้นเหตุ ต้องจ่ายค่าเยียวยาเอง

(23 มี.ค.67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ กรรมาธิการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 ชี้แจงข้อสงสัยของสมาชิกเกี่ยวกับการชดเชยราคาอ้อยสดว่า ถ้าสามารถเพิ่มราคาน้ำตาลในประเทศได้ก็จะสามารถเก็บเงินเข้ากองทุน ไม่ต้องเป็นภาระนำงบกลาง ซึ่งเป็นภาษีของประชาชนมาใช้ สามารถนำเงินส่วนนี้ไปจ่ายชดเชยราคา ในการตัดอ้อยสดได้เลย

สำหรับ สำหรับงบการอบรมของกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและเหมืองแร่ (กพร.) ความเป็นจริงกพร. ได้รับงบน้อยมาก การรับรู้ของประชาชน และผู้ประกอบการเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจเหมืองแร่ในประเทศยังน้อยมากไม่ควรปรับลดงบลงมา แต่ควร เพิ่มงบให้ด้วย เพื่อให้ข้าราชการในกพร. สามารถออกไปเผยแพร่องค์ความรู้ให้กับกลุ่มผู้ประกอบการได้มากกว่านี้ ให้พวกเขาได้ร่วมรักษาผลประโยชน์ของประเทศ

นายเอกนัฏ กล่าวว่า กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมปัจจุบันภารกิจน้อยไป มีการแยกงานบางส่วนไปอยู่กับสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ สสว. ซึ่งมีกองทุนอยู่ด้วย ถ้าให้มีการนำเงินไปอุดหนุนปัจจัยการผลิตตามที่สมาชิกขอ ก็แทบจะไม่ใช่ภารกิจของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม แต่ภารกิจสำคัญของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมคือการออกไปพัฒนา เพิ่มประสิทธิภาพให้ความรู้กับกลุ่มผู้ประกอบการ และพัฒนาสินค้าต้นแบบ

อย่างไรก็ตาม การจะไปคำนวณว่าใช้เงินต้นทุน ในการพัฒนาผู้ประกอบการต่อหัวเท่าไหร่ อาจจะเป็นมุมที่บิดเบือนวัตถุประสงค์การใช้เงินในก้อนนี้ ได้รับการยืนยันจากกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมว่า เงินทั้งหมดที่ใช้ในการพัฒนาองค์ความรู้สินค้าต้นแบบ จะทำให้เพิ่มมูลค่าได้ 7,000 กว่าล้านบาท จึงอยากให้สมาชิกได้มองอีกมุมหนึ่ง อย่ามองแต่เรื่องค่าใช้จ่ายรายหัว ให้มองมูลค่าที่เพิ่มจากการทำภารกิจของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม

สำหรับ โครงการดีพร้อมชุมชน นายเอกนัฏ ชี้แจงว่า อาจเป็นความเข้าใจผิดในโครงการที่เคยมีปัญหาในอดีต แต่ภารกิจเหล่านั้น ปัจจุบันแทบไม่ได้ทำแล้ว ปัจจุบันนี้งบของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม งบที่ได้มาส่วนใหญ่จะนำไปเพิ่มมูลค่าให้กับกลุ่มผู้ประกอบการและสินค้ามากกว่า ตัวเนื้องานของกลุ่มเสริมส่งเสริมใช้ผู้เชี่ยวชาญที่มีคุณภาพเน้นการออกไปพัฒนามากกว่า

นายเอกนัฏ กล่าวถึงความต้องการที่จะให้ตั้งงบประมาณเพื่อเยียวยาปัญหาจากกากอุตสาหกรรม และมลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรมว่า น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รมว.อุตสาหกรรมให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก งานหลักของกระทรวงอุตสาหกรรมคือการเพิ่มอุตสาหกรรมของประเทศ แต่สิ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าคือคุณภาพชีวิตของประชาชน การทำมาหากินการค้าขายหรือการสร้างมูลค่าอุตสาหกรรมต้องไม่ไปทำลาย หรือทำร้ายพี่น้องประชาชน

“ความจริงเราไม่ต้องใช้งบประมาณแม้แต่บาทเดียวไม่ต้องมาหากรรมาธิการงบประมาณเพราะรมว.อุตสาหกรรม ให้ความสำคัญกับการแก้กฎหมาย เพื่อให้โรงงานและกลุ่มผู้ประกอบการที่สร้างปัญหาให้ประชาชนเป็นผู้รับผิดชอบ ไม่ต้องมาใช้เงินภาษีของประชาชนในการเยียวยา มีการแก้กฎหมายให้ผู้ประกอบการที่ สร้างมลพิษเป็นผู้รับผิดชอบ แต่ปัญหาที่เกิดก่อนการแก้กฎหมาย เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นฉุกเฉินไม่มีการตั้งงบไว้ในปี 2567 หวังว่าสัญญานี้ส่งไปถึงรัฐบาลควรตั้งงบกลางมาแก้ปัญหาในกรณีฉุกเฉิน ด้วย”นายเอกนัฏ กล่าว

'กนอ.' มอบส่วนลดพิเศษกระตุ้นเศรษฐกิจ ดึงลงทุนนิคมฯ ภาคใต้ ในส่วน Rubber City

การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) จัดมาตรการส่งเสริมการขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมภาคใต้ ส่วนของพื้นที่ Rubber City เสนอโปรโมชันเด็ดเปิดจองที่ดินรับส่วนลดสูงสุดถึงร้อยละ 5 หวังดึงดูดการลงทุน กระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ภาคใต้

(10 เม.ย.67) นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า กนอ. จัดมาตรการส่งเสริมการขายที่ดินนิคมอุตสาหกรรมภาคใต้ จังหวัดสงขลา ในส่วนพื้นที่ Rubber City มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม 2567 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2567 โดยผู้ประกอบกิจการใหม่ จะได้รับส่วนลดร้อยละ 3 ของอัตราราคาขายที่ดิน และผู้ประกอบกิจการเดิม จะได้รับส่วนลดร้อยละ 5 ของอัตราราคาขายที่ดิน 

สำหรับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ผู้ประกอบกิจการใหม่และผู้ประกอบกิจการเดิม จะได้รับมาตรการส่งเสริมการขายที่ดิน ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ดังนี้...

1) ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน หรือทำสัญญาซื้อขายที่ดินเพื่อประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม ตามแบบที่ กนอ. กำหนด 

2) ชำระค่ามัดจำไม่น้อยกว่าร้อยละ 15 ของมูลค่าที่ดินในวันทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน โดยค่าที่ดินส่วนที่เหลือต้องชำระภายใน 30 วัน หลังจากได้รับหนังสือแจ้งจาก กนอ. 

3) แจ้งเริ่มประกอบกิจการภายใน 3 ปี นับแต่วันที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ที่ดินเพื่อประกอบกิจการจาก กนอ. 

4) ห้ามขายหรือโอนที่ดินบางส่วนหรือทั้งหมดภายใน 9 ปี นับจากวันที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ที่ดินเพื่อประกอบกิจการจาก กนอ. เว้นแต่ได้รับอนุญาตจาก กนอ. ทั้งนี้ ไม่นับรวมถึงกรณีการควบรวมกิจการ หรือกรณีผู้ขออนุญาตใช้ที่ดินเพื่อประกอบกิจการที่เป็นบุคคลธรรมดามีการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลขึ้นใหม่ภายหลังได้แจ้งกับ กนอ. ไว้แล้วเป็นลายลักษณ์อักษร และผู้ขออนุญาตใช้ที่ดินดังกล่าวถือหุ้นในนิติบุคคลที่จัดตั้งใหม่ไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของทุนจดทะเบียน 

และ 5) กรณีผู้ประกอบกิจการใหม่หรือผู้ประกอบกิจการเดิม ไม่ปฏิบัติตามข้อใดข้อหนึ่งที่กำหนดไว้ ให้ถือว่ามาตรการส่งเสริมการขายที่ดินทั้งหมดเป็นอันยุติ ผู้ประกอบกิจการใหม่หรือผู้ประกอบกิจการเดิม ต้องชำระค่าที่ดิน ค่าบำรุงรักษาสิ่งอำนวยความสะดวก และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ทั้งหมดให้แก่ กนอ. โดยมีผลย้อนหลังนับตั้งแต่วันทำสัญญาจะซื้อจะขายหรือสัญญาซื้อขายที่ดินกับ กนอ. และต้องชำระให้แล้วเสร็จภายในเวลาที่ กนอ. กำหนด

“Rubber City เป็นทางเลือกใหม่ที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างมากในขณะนี้ โดยมีความได้เปรียบในด้านทำเลที่ตั้งในจังหวัดสงขลา ซึ่งถือเป็นศูนย์กลางการค้าขนาดใหญ่ และเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญทางเศรษฐกิจ และยังมีโครงสร้างพื้นฐานและการคมนาคมขนส่งที่มีประสิทธิภาพเชื่อมโยงทั้งภายในและต่างประเทศ ที่สำคัญ ยังเป็นศูนย์กลางแหล่งผลิตยางพาราและตลาดการค้ายางที่สำคัญของประเทศอีกด้วย” นายวีริศ กล่าว

สำหรับนิคมอุตสาหกรรมภาคใต้ จังหวัดสงขลา ในส่วนพื้นที่ Rubber City ตั้งอยู่ในพื้นที่ตำบลฉลุง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เนื้อที่ 1,043 ไร่ เป็นพื้นที่เขตอุตสาหกรรมทั่วไป 582 ไร่ พื้นที่พาณิชยกรรม 35 ไร่ และพื้นที่ระบบสาธารณูปโภคและพื้นที่สีเขียว 426 ไร่ ปัจจุบันมีผู้ประกอบกิจการแล้ว 12 ราย ใช้พื้นที่รวม 64 ไร่ ประกอบด้วย นักลงทุนไทย ร้อยละ 56 นักลงทุนมาเลเซีย ร้อยละ 21 นักลงทุนญี่ปุ่น ร้อยละ 4 และนักลงทุนอื่นๆ อาทิ อังกฤษ ไต้หวัน ปานามา ร้อยละ 19 ทั้งนี้ นิคมอุตสาหกรรมภาคใต้ จังหวัดสงขลา ในส่วนพื้นที่ Rubber City ยังคงเหลือพื้นที่ขาย/ให้เช่า อีก 468 ไร่

ทั้งนี้ นักลงทุนที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการได้รับสิทธิประโยชน์ตามมาตรการข้างต้นได้จากประกาศและมาตรการส่งเสริมการเช่าที่ดินได้ที่ [email protected] หรือที่โทรศัพท์ 0-2253-0561 ต่อ 1148 ,2124 ,2123 และ 1195 

‘รัดเกล้า’ เผย!! ครม.ไฟเขียวขยายเวลา 2 โครงการใหญ่ชลประทาน เหตุเพราะปัญหาและอุปสรรคจากสถานการณ์โควิด19

(11 พ.ค.67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม. เมื่อวันที่ 7 พ.ค.ที่ผ่านมา มีมติอนุมัติขยายระยะเวลาดำเนินโครงการตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอขออนุมัติขยายระยะเวลาดำเนินโครงการชลประทานขนาดใหญ่ จำนวน 2 โครงการ สาเหตุเนื่องจากปัญหาและอุปสรรคจากสถานการณ์ Covid - 19 ที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินจำกัดการเคลื่อนย้ายการเดินทางให้อยู่ในวงจำกัด ส่งผลให้ผู้รับจ้างประสบปัญหาขาดแคลนวัสดุก่อสร้างเครื่องจักร เครื่องมือไม่เพียงพอ และไม่สามารถเคลื่อนย้ายแรงงานเข้าสถานที่ก่อสร้างได้ นอกจากนี้ ในส่วนของโครงการอ่างเก็บน้ำคลองหลวงฯ ยังมีสาเหตุมาจากสภาพภูมิประเทศ และการใช้ประโยชน์ที่ดินเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม จึงมีความจำเป็นที่ต้องแก้ไขแบบก่อสร้างเพื่อให้มีความสอดคล้องกับสภาพการใช้ประโยชน์ที่ดินในปัจจุบัน และลดผลกระทบกับประชาชนในพื้นที่ ประกอบกับในขั้นตอนการจัดหาที่ดินมีเจ้าของทรัพย์สินบางส่วนไม่ยอมรับราคาค่าทดแทนทรัพย์สินที่ภาครัฐกำหนดและไม่ยินยอมให้เข้าใช้พื้นที่ รวมถึงที่ดินบางแปลงติดปัญหาเรื่องข้อกฎหมาย ซึ่งจากปัญหาอุปสรรคดังกล่าว กษ. โดยกรมชลประทานจึงได้อนุมัติให้มีการขยายอายุสัญญาและอนุมัติงดค่าปรับจากการแก้ไขแบบแก้ไขสัญญา และให้ได้รับสิทธิ์กำหนดอัตราค่าปรับร้อยละ 0 ตามมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการในช่วงแพร่ระบาดโรค Covid - 19 ของทั้ง 2 โครงการด้วยแล้ว

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากข้อเท็จจริงและสภาพปัญหาดังกล่าว กษ. (กรมชลประทาน) จึงมีความจำเป็นต้องขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการชลประทานขนาดใหญ่ภายใต้กรอบวงเงินโครงการเดิมจำนวน 2 โครงการ ได้แก่ (1) โครงการอ่างเก็บน้ำคลองหลวง จังหวัดชลบุรี เสนอขออนุมัติขยายระยะเวลาจากเดิม 14 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2553–2566) เป็น 17 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2553–2569) และโครงการกิ่วคอหมา จังหวัดลำปาง จากเดิม 19 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2548–2566) เป็น 22 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2548–2569) 

“โครงการชลประทานขนาดใหญ่เป็นไปเพื่อใช้เป็นแหล่งน้ำ ทั้งสำหรับพื้นที่เพาะปลูก การอุปโภค บริโภค การอุตสาหกรรม ปศุสัตว์ รักษาสมดุลของระบบนิเวศ และเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ รวมทั้งยังสามารถใช้เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ได้ในอนาคตอีกด้วย” รองโฆษกฯ กล่าว

IWRM ลงนามขายน้ำให้นิคม TFD รองรับกลุ่มอุตสาหกรรม PCB มูลค่ากว่า 1,500 ล้านบาท

PCB พร้อม...น้ำพร้อม!!  บริษัท เจซีเค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (JCK) ผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรม TFD ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายน้ำเพื่ออุตสาหกรรม กับ บริษัท อินดัสเตรียล วอเตอร์ รีซอร์ส แมนเนจเม้นท์ จำกัด (IWRM) ผู้ให้บริการน้ำแก่นิคมอุตสาหกรรม TFD 2 และส่วนขยาย เพื่อเสริมสร้างเสถียรภาพทางด้านน้ำ และสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ใช้น้ำของนิคมฯ ในระยะยาว

นายธนวัฒน์ สันตินรนนท์ กรรมการ IWRM เปิดเผยว่า การลงนามในสัญญาซื้อขายน้ำเพื่ออุตสาหกรรมครั้งนี้ เพื่อรองรับความต้องการใช้น้ำของกลุ่มอุตสาหกรรม PCB ในพื้นที่นิคมTFD 2 และส่วนขยาย ปริมาณสูงสุด 20,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน หรือประมาณ 7.3 ล้าน ลูกบาศก์เมตรต่อปี  โดยมีระยเวลาของสัญญา 25 ปี มูลค่ากว่า 1,500 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถเริ่มส่งน้ำให้แก่นิคมฯ ภายในไตรมาสแรกของปี 2568

นิคมอุตสาหกรรม TFD 2 มีเนื้อที่กว่า 1,000 ไร่ ปัจจุบันพื้นที่ได้รับการจัดสรรหมดเป็นที่เรียบร้อย และมีแผนจะขยายพื้นที่เพิ่มเติมอีกไม่น้อยกว่า 800 ไร่ โดยลูกค้าส่วนใหญ่ของนิคมฯ เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมในอนาคต (New S-curve) ซึ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ได้รับการส่งเสริมจากสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี)  

'บ.มะกัน' ชู 'อิฐดินเหนียว' พลังงานสีเขียวทางเลือกใหม่ เจาะภาคอุตสาหกรรม ชี้!! แค่ก้อนเดียว ก็เก็บพลังงานได้มากเท่าชุดแบตฯ Tesla Model X

(11 ก.ย. 67) สำนักข่าววีโอเอ รายงานว่า ‘บริษัท รอนโด เอ็นเนอร์จี’ (Rondo Energy) ในเมือง ‘อาลาเมดา’ (Alameda) รัฐ ‘แคลิฟอร์เนีย’ ได้มีการเสนอแนวคิด ‘แบตเตอรีดินเหนียว’ เป็นทางเลือกใหม่ที่อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมสำหรับภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐอเมริกาและของโลก

‘จอห์น โอดอนเนล’ ซีอีโอ บริษัท รอนโด เอ็นเนอร์จี อธิบายว่า “ภาคการผลิตใช้พลังงานของโลกมากที่สุด ความร้อนที่ใช้ในการผลิตสินค้า คิดเป็นหนึ่งในสี่ ของ (พลังงาน) ที่ได้จากถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติทั้งหมดในโลก”

อีกทั้งยังมีความคิดเห็นว่า พลังงานหมุนเวียนจากลมและแสงอาทิตย์เป็นพลังงานที่ผลิตได้ไม่คงที่ จึงมีแนวคิดที่จะนำวัสดุที่ผู้คนต่างละเลยอย่าง ‘อิฐดินเหนียว’ มาทำหน้าที่เป็นแบตเตอรีกักเก็บความร้อน คล้ายกับโรงงานมีแผงลวดทำความร้อนแบบเครื่องปิ้งขนมปังฝังเอาไว้

โอดอนเนล เล่าย้อนว่า ดินเหนียวเหล่านี้เป็นวัสดุที่โลกใช้มานานกว่า 200 ปีแล้วถือว่า นำเอาวัสดุที่เคยเป็นที่นิยมจากยุค 80 มาใช้ผลิตในโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานสำหรับยุคปัจจุบันในศตวรรษที่ 21

สำหรับหลักการของ ‘แบตเตอรีดินเหนียว’ นั้น ภายในจะมีลวดเหล็กในการสร้างและเหนี่ยวนำความร้อน ส่วนก้อนอิฐถูกออกแบบมาให้มีรูปทรงที่ซับซ้อนเพื่อกระจายความร้อนอย่างสม่ำเสมอและกักเก็บพลังงานไว้นานหลายวัน

พร้อมกันนั้น โอดอนเนลยังอธิบายเสริมว่า “อิฐ (ดินเหนียว) เพียงก้อนเดียว จะเก็บพลังงานได้มากเท่ากับชุดแบตเตอรีของ เทสลา โมเดล เอ็กซ์ (Tesla Model X)” ซึ่งในการสร้างคลังกักเก็บพลังงานหนึ่งจุด จะใช้อิฐดินเหนียวซ้อนกันประมาณ 3,000 ชิ้น

คลังกักเก็บความร้อนจากก้อนอิฐสามารถทำให้อากาศมีอุณหภูมิสูงกว่า 1,000 องศาเซลเซียสซึ่งภาคธุรกิจสามารถนำความร้อนดังกล่าวไปใช้ได้ในการผลิตอาหาร เชื้อเพลิงและผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ได้

ทั้งนี้ ผลงานแบตเตอรีดินเหนียวของบริษัท Rondo Energy ถูกนำไปใช้ครั้งแรกเมื่อปี 2023 ที่โรงงานเชื้อเพลิงชีวภาพ ในรัฐแคลิฟอร์เนีย

โอดอนเนลกล่าวทิ้งท้ายว่า การทดแทนระบบเผาไหม้ด้วยการใช้พลังงานจากลมและแสงแดดจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนที่เกี่ยวเนื่องกับการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพได้ถึงครึ่งหนึ่ง

ในเวลานี้ โรงงานฐานการผลิตขนาดใหญ่สำหรับแบตเตอรี่ก้อนอิฐตั้งอยู่ในประเทศไทย ขณะที่ บริษัทแห่งนี้มีแผนการสร้างโรงงานแบตเตอรีที่ใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ และกำลังอยู่ในกระบวนการเจรจากับบริษัท EDP ผู้ผลิตพลังงานหมุนเวียนรายใหญ่ เพื่อจะทำหน้าที่จัดหาพลังงานความร้อนที่ไร้ก๊าซคาร์บอนให้กับภาคอุตสาหกรรมต่อไปด้วย

ซึ่งทั้งหมดนี้ได้ชี้ให้เห็นว่า แนวคิดพลังงานจากอิฐดินเหนียวธรรมดา ๆ นั้นอาจกำลังก้าวขึ้นมาเป็นความหวังของอนาคตของพลังงานสะอาดโลกครั้งใหม่ได้แล้ว

💜3 ภารกิจ รมต.ขิง เดินหน้าทำทันที ก้าวสู่ยุค ‘ปฏิรูปอุตสาหกรรม’

วันแรกในกระทรวงอุตสาหกรรมของรัฐมนตรีหน้าใหม่อย่าง ‘ขิง เอกนัฏ พร้อมพันธุ์’ ได้ประกาศเป้าหมายของการนั่งเก้าอี้นี้อย่างชัดเจนว่าจะเข้าสู่ยุค ‘ปฏิรูปอุตสาหกรรม’ (Industry Reform) 

โดยการเข้าสู่ยุคปฏิรูปอุตสาหกรรม ‘ขิง เอกนัฏ’ จะได้ใช้ 3 ยุทธศาสตร์ย่อย มุ่งเน้นแก้ Pain Point ของอุตสาหกรรมไทย ได้แก่ 

1. จัดการกากอุตสาหกรรมตกค้างทั้งระบบอย่างเข้มงวด

2. ปกป้องอุตสาหกรรมไทยจากการทุ่มตลาด: ช่วยผู้ประกอบการรายย่อย ที่รับผลกระทบจากการทะลักเข้าของสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน และยกระดับขีดความสามารถSMEไทย

3. สร้างอุตสาหกรรมแห่งอนาคต สร้าง new S-Curve กับประเทศผ่านหลากหลายอุตสาหกรรม อาทิ สินค้าเกษตรเทคโนโลยีสูง พลาสติกชีวภาพ โอลีโอเคมี น้ำมันเชื้อเพลิง ยานยนต์ EV เซมิคอนดักเตอร์ อุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ

นอกจากเป็นการแก้ Pain Point ของอุตสาหกรรมไทยแล้ว ยังเป็นการปรับให้องค์กรพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงของโลกและของไทย ไม่ว่าจะเป็น SDG, การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอีกด้วย 

จับตา ‘ละครสั้น’ Soft Power มาแรงจากดินแดนมังกร อุตสาหกรรมแสนล้าน ชง พัฒนาคุณภาพการถ่ายทำ-เนื้อเรื่อง

(22 ต.ค. 67) ทุกวันนี้น้อยคนที่จะหนีจาก ‘ละครสั้นจีน’ พ้น เพราะว่าละครสั้นจีนตามติดไปแทบจะทุก ๆ แพลตฟอร์มวิดีโอ

และด้วยทั้งพล็อตเรื่องและโครงเรื่องที่เรียบง่าย แต่สั้น-กระชับ น่าติดตามจึงทำให้มีแฟนคลับละครสั้นจีนอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว 

โดยละครสั้นจากประเทศจีนได้รับความนิยมอย่างมากในตลาดต่างประเทศ ตามข้อมูลจาก iiMedia Research ระบุว่า ในปี 2566 ขนาดตลาดละครสั้นออนไลน์ในจีนอยู่ที่ 37,390 ล้านหยวน เพิ่มขึ้นถึง 267.65% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า รวมทั้งคาดการณ์ว่าภายในปี 2570 อัตราการเติบโตจะเพิ่มขึ้นสูงถึง 100,680 ล้านหยวน

และจากข้อมูลพบว่าเมื่อปี 2566 การถ่ายทำละครสั้นและขนาดเล็กของจีนที่ได้ขึ้นทะเบียนกับหน่วยงานทางการที่เกี่ยวข้องของจีน มีจำนวน 3,574 เรื่อง และจำนวน 97,327 ตอน 

โดยลักษณะของละครสั้นจีน หรือที่มีอีกหลายชื่อ เช่น Micro-Drama, Short Play นั้นจะมีความยาวต่อตอนสั้นมาก คือไม่เกิน 2 นาที โดย 1 เรื่องมีไม่เกิน 100 ตอน สามารถรับชมจนจบเรื่องในเวลาเพียงประมาณ 2-3 ชั่วโมงเท่านั้น 

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ละครสั้นและขนาดเล็กเป็นกระแสที่มาแรงในสื่อออนไลน์จีน เนื่องจากไลฟ์สไตล์ของผู้คนในปัจจุบันเปลี่ยนไปตามความเร่งรีบของสังคม ละครสั้นและขนาดเล็กจึงตอบโจทย์ของผู้ชมละครยุคใหม่ 

ประกอบกับผู้จัดทำละครสามารถผลิตละครออกมาในตลาดได้ง่ายและรวดเร็วขึ้นเพื่อเป็นตัวเลือกให้กับผู้ชม เนื่องจากต้นทุนการถ่ายทำไม่สูง เนื้อหาสั้นกระชับ แต่ทั้งนี้เนื้อหาของละครและคุณภาพของละครต้องถูกใจผู้ชมถึงจะสามารถแข่งขันได้ โดยปัจจุบันเนื้อเรื่องละครสั้นมีการสอดแทรกเรื่องการท่องเที่ยว ด้านศิลปวัฒนธรรม ตลอดจนด้านธุรกิจ อีคอมเมิร์ซ ซึ่งนำประโยชน์การต่อยอดไปยังธุรกิจสาขาอื่นๆ 

ทั้งนี้ ละครสั้นคือถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการพัฒนาธุรกิจละครไทย และเป็นอีกหนึ่งซอฟต์พาวเวอร์ที่สำคัญในการส่งเสริมวัฒนธรรม การท่องเที่ยว การค้าและการลงทุนสู่ต่างประเทศ รวมถึงเป็นโอกาสในการประชาสัมพันธ์สินค้าไทยไปสู่ต่างประเทศอีกช่องทางหนึ่งด้วย

ไม่ใช่แค่กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ที่เห็นโอกาสในกระแส ‘ละครสั้น’ เท่านั้น โดยในประเทศจีนเองเริ่มลงทุนและทำการตลาดในต่างประเทศมากขึ้น ทำให้กระแสละครสั้นจีนได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วไปทั่วทุกมุมโลก

จากการสำรวจพบว่า ละครสั้นที่ได้รับความนิยม มักจะเป็นพล็อตเรื่องมักมีการหักมุม รวมไปถึงเนื้อหาแฟนตาซีเกินจริง ความแค้น และความรัก นอกจากนี้ยังมีการปรับเนื้อหาให้เข้ากับรสนิยมและวัฒนธรรมของผู้ชมในแต่ละประเทศ

ในระยะต่อไปนั้นเพื่อพัฒนาคุณภาพของละครสั้นจีนให้เป็นหนึ่งใน Soft Power ที่ทรงพลังของประเทศ ทางการจีนได้วางแผนให้ผู้ผลิตละคร ทำการซื้อลิขสิทธิ์ของทั้งนวนิยาย มานฮวา ยอดนิยมของจีนมาทำเป็นละครสั้นเพื่อส่งออกวัฒนธรรมไปยังต่างประเทศอย่างจริงจัง 

และจากการสำรวจเบื้องต้นพบว่าลักษณะการจ่ายเงินเพื่อดูในปัจจุบันของละครสั้น ยังเป็นการจ่ายแบบรายตอนในราคาตอนละประมาณ 10 บาท หรือ 2 หยวน หากในอนาคตทางแพลตฟอร์มมีการปรับรูปแบบเป็นแบบ Subscription รายเดือน โอกาสในการทำการตลาดในไทยมีแนวโน้มสดใสมากกว่าในปัจจุบัน 

สำนักพัฒนาเทคนิคศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ จัดงาน 'เรียนรู้ สร้างโอกาส เชื่อมโยงการศึกษากับอุตสาหกรรม'

เมื่อวานนี้ (24 ต.ค.67) เวลา 08.30 – 15.30 น. ณ ห้องบอลรูม 1 ชั้น 3 โรงแรมดิเอมเมอรัลด์ ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพมหานคร สำนักพัฒนาเทคนิคศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ จัดงาน 'เรียนรู้ สร้างโอกาส เชื่อมโยงการศึกษากับอุตสาหกรรม' เพื่อส่งเสริมการเชื่อมโยงการศึกษาและการพัฒนาทักษะของผู้เรียนให้ตรงตามความต้องการของภาคอุตสาหกรรม ตลอดจนสร้างโอกาสการจ้างงานให้แก่ผู้เรียนในอนาคต

​โดยในงานได้รับเกียรติจาก รศ.ดร.ฉัตรชาญ ทองจับ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาเทคนิคศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ เป็นประธานกล่าวเปิด

​พร้อมกันนี้ยังมีการเสวนาพิเศษ ในหัวข้อ 'สร้างโอกาสในการพัฒนาผู้เรียนสู่การเป็นมืออาชีพในอนาคต' มีผู้ร่วมเสวนาจากหลากหลายภาคส่วน ได้แก่ นายนิธิวัชร์ ศิริปริยพงศ์ รองผู้อำนวยการสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน), รองศาสตราจารย์ ดร.สุรพันธ์ ยิ้มมั่น รองอธิการบดีฝ่ายส่งเสริมอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ, นายประทีป จุฬาเลิศ รองผู้อำนวยการสถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออก และ ดร.ปัญญาพล สุพรรณวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอส.เอ็ม.ซี (ประเทศไทย) จำกัด โดยมี ผศ.ดร.ดวงกมล โพธิ์นาค รองผู้อำนวยการฝ่ายบริหารและกิจการพิเศษ สำนักพัฒนาเทคนิคศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และนายจักรพันธ์ ดาปาน อุปนายก และผู้อำนวยการฝ่ายบริหารงานโครงการและความร่วมมือ สมาคมดิจิทัลเพื่อการศึกษาไทย เป็นผู้ดำเนินรายการ

และภายในงานยังมีการเปิดตัว 'ชุดฝึกอบรม TPQI E-Training เพื่อสถานประกอบการ' พร้อมแนะนำ แพลตฟอร์ม E-Workforce Ecosystem Platform (EWE) ที่เป็นแพลตฟอร์มอัจฉริยะในการบริหารจัดการข้อมูลด้านกำลังคนและการพัฒนาสมรรถนะเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต และมีการพิธีมอบโล่เกียรติคุณให้กับหน่วยงานต่าง ๆ ที่สนับสนุนการจัดฝึกอบรมและประเมินสมรรถนะบุคคล รวมถึงการมอบประกาศนียบัตรรับรองคุณวุฒิวิชาชีพอีกด้วย​

การจัดงานครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งโอกาสสำคัญในการเชื่อมโยงการศึกษาเข้ากับภาคอุตสาหกรรม เพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับผู้เรียนและเตรียมความพร้อมในการพัฒนาสมรรถนะของบุคลากรในทุกระดับให้สามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานได้อย่างมีคุณภาพและมีงานทำในอนาคต

คาดจีนต้องการแรงงานอัจฉริยะกว่า 31 ล้านคน ภายในปี 2035 เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมใหม่

รายงานจากมหาวิทยาลัยเหรินหมินแห่งประเทศจีนที่เผยแพร่เมื่อไม่นานนี้ คาดการณ์ว่าความต้องการแรงงานในอุตสาหกรรมการผลิตอัจฉริยะของจีนจะเพิ่มขึ้นสูงกว่า 31 ล้านคนภายในปี 2035 ตามการเติบโตของอุตสาหกรรมดังกล่าว

วันจันทร์ (13 ม.ค. 68) ไซแอนซ์ แอนด์ เทคโนโลยี เดลี เผยว่ารายงานแนวโน้มการจ้างงานผู้มีความสามารถในพลังการผลิตใหม่ที่มีคุณภาพฉบับแรกของจีน มีวัตถุประสงค์สำรวจกลุ่มบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะอย่างเป็นระบบ และให้ข้อมูลอ้างอิงแก่บริษัทการผลิตสำหรับการคัดเลือกและบ่มเพาะบุคลากรที่มีทักษะ

รายงานระบุว่าบุคคลที่ดำรงตำแหน่งอย่างหัวหน้าทีม ช่างเทคนิค และผู้ตรวจสอบคุณภาพในบริษัทการผลิตอัจฉริยะ ซึ่งเป็นกลุ่มแรงงานที่ต้องอาศัยความรู้เฉพาะด้าน กำลังกลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญต่อการเปลี่ยนผ่านในภาคการผลิต โดยแรงงานกลุ่มนี้มีลักษณะสำคัญหลายประการ ซึ่งรวมถึงการทำงานหลักในสภาพแวดล้อมการผลิต ความสามารถการเรียนรู้ที่โดดเด่น ศักยภาพการเติบโตในสายอาชีพที่สูง และระดับรายได้และสถานะทางสังคมที่ดี

นอกจากนั้น แรงงานประเภทนี้ยังมีความสามารถหลักในด้านต่างๆ เช่น การเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ การเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ การบูรณาการเทคโนโลยีที่หลากหลาย และทักษะการสื่อสาร

จ้าวจง หัวหน้าคณะแรงงานและทรัพยากรมนุษย์ของมหาวิทยาลัยฯ กล่าวว่าผู้มีความสามารถกลุ่มดังกล่าวที่เพิ่มขึ้นจะช่วยสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านและการยกระดับทางอุตสาหกรรม ซึ่งมีส่วนส่งเสริมสำคัญต่อการพัฒนาทางสังคมและเศรษฐกิจ

รายงานเผยว่าจีนมีความต้องการแรงงานที่ต้องอาศัยความรู้เฉพาะด้านราว 25 ล้านคนในปี 2022 และคาดการณ์ว่าความต้องการตำแหน่งแรงงานประเภทนี้ พร้อมด้วยข้อกำหนดวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีหรือสูงกว่า จะเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 28 ในปี 2022 เป็นร้อยละ 57 ภายในปี 2035

‘เอกนัฏ’ ชี้เงินทุนสร้างแต้มต่อธุรกิจไทยปรับตัวยั่งยืน พร้อมผลักดันพ.ร.บ.กากอุตสาหกรรมฉบับแรกของไทย

“เอกนัฏ“ ชี้เงินทุนสร้างแต้มต่อธุรกิจไทย สู่การเปลี่ยนแปลงยั่งยืน สร้างการแข่งขัน ลุยปราบปรามศูนย์เหรียญ จัดการปัญหาสิ่งแวดล้อม ผลักดันพ.ร.บ.กากอุตสาหกรรมฉบับแรกของไทย

(28 เม.ย. 68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “เพิ่มขีดความสามารถ อุตสาหกรรมไทยด้วยการเงินสีเขียว-พลังงานสะอาด” ในงานเสวนา “เดลินิวส์ ทอล์ก 2025” 'Sustain Daily Talk 2025' หัวข้อ 'Sustainable Green Finance โอกาส และความท้าทาย ณ โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพฯ โดยระบุว่า การเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมไปสู่โลกสีเขียว สิ่งที่ขาดอยู่คือเรื่องเงินทุน เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งต้องพึ่งพาเงินทุนมาลงทุน เช่น พึ่งพาตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในการลงทุน และเงินทุนจากธนาคารเอกชน ธนาคารของรัฐ เพื่อให้ผู้ประกอบการระดมทุน

ทั้งนี้ตลอดระยะเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา ได้เห็นสัญญาณสำคัญทั่วโลก จากสัญญาณความขัดแย้ง ทั้งสงครามการค้า ภูมิรัฐศาสตร์ สภาพภูมิอากาศ ไม่ว่าจะน้ำท่วมในภาคเหนือของไทยในพื้นที่ที่ไม่เคยท่วมมาก่อน และในต่างประเทศหิมะตกกลางทะเลทราย และเรื่องสงครามการค้าหนักที่สุด จากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ พยายามประกาศขึ้นภาษีนำเข้าประเทศคู่ค้า

สิ่งที่ไม่แน่นอนคือ ความแน่นอนว่าตอนนี้คือตกอยู่ในสภาวะความไม่แน่นอนทุกวัน สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งสงครามเศรษฐกิจและสงครามการค้าของโลก รวมทั้งปรากฎการณ์ภูมิอากาศ จากโลกร้อน แต่สิ่งที่เป็นปัญหาไม่ใช่แค่แผ่นดินไหว แต่คือตึกถล่ม เป็นปัญหาส่งสัญญาณว่าไทยไม่มีความพร้อมรับมือกับแผ่นดินไหว และภัยธรรมชาติ กลายเป็นสิ่งที่ส่งมาถึงสังคม และรัฐบาลว่า ที่ผ่านมาไม่เคยปฏิรูปปรับโครงสร้างระบบเศรษฐกิจของไทย และวันนี้ระบบเศรษฐกิจยืนอยู่บนขา หรือเสาที่ไม่แข็งแรงเหมือนตึกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.)

นายเอกนัฏ กล่าวว่า อย่าเพิ่งกังวล เพราะมีทางออก โดยมองว่าระบบเศรษฐกิจต้องปรับเปลี่ยน และมีเงินทุนเข้ามาช่วย แต่ช่วงที่ผ่านมาไทยได้เปิดรับเทคโนโลยีที่ไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเข้ามาในไทย ด้วยการที่เปิดรับธุรกิจต่างประเทศแต่ไม่มีการกำกับดูแล และเข้ามาทำลายธุรกิจของคนไทย

ทั้งนี้ แต้มต่อต้องดูมูลค่าของสินค้า ดูการลงทุนว่าแบบไหนดี เพื่อทำให้ไทยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศเพิ่มขึ้น ช่วยสนับสนุนการค้าขายในไทย ส่งเสริมนวัตกรรมเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ต้องทบทวนนโยบายใหม่ ส่งเสริมให้บริษัทต่างชาติเข้ามาลงทุน เป็นประโยชน์กับคนไทยและธุรกิจไทยหรือไม่

“เหล็กเป็นแค่ตัวอย่างสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน แม้ที่ผ่านมาพยายามออกมาตรฐานเหล็กหลายประเภท แต่ก็ได้หลบเลี่ยงการนำเข้าเหล็กผ่านการนำเหล็กหลายประเภทรวมกันเพื่อนำเข้า ซึ่งในประเทศไทยยังไม่มีเกณฑ์ควบคุมว่าได้มาตรฐานหรือไม่ และมีการนำเข้ามามากกว่า 6 แสนตันในปี 67 จนเป็นสาเหตุหนึ่งทำให้ตึกสตง.ถล่มตอนแผ่นดินไหว เพราะเหล็กไม่ได้มาตรฐาน”

นายเอกนัฏ กล่าวว่า อีกหนึ่งภารกิจคือจัดการกับอุตสาหกรรมศูนย์เหรียญ ซึ่งถือเป็นวาระสำคัญของประเทศชาติ จัดการกลุ่มสีเทาและสีดำออกไป และต้อนรับธุรกิจสีขาว จึงจะทำให้ธุรกิจของไทยเจริญเติบโต เนื่องจากที่ผ่านมามีการแข่งขันไม่เป็นธรรม เพราะธุรกิจกลุ่มนี้พยายามลดราคาตีตลาด นำสินค้าด้อยคุณภาพมาลดราคา เช่น เหล็กไม่ได้คุณภาพมาอยู่ในตึกสูงหลายแห่ง เพื่อต้องการลดต้นทุน ลดคุณภาพ และเกิดการสูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ตามในเรื่องปราบปรามศูนย์เหรียญ นอกจากจะสร้างปัญหาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังมีเรื่องการจัดการของเสีย ซึ่งที่ผ่านมาได้ลักลอบนำของเสียออกมา เช่น ซินเคอหยวน นำเข้าฝุ่นแดง ฝุ่นดำ มากองไว้ให้เกิดมลพิษ โดยกระทรวงอุตสาหกรรมต้องการจัดการกับเหล็ก ล้อยาง ศูนย์เหรียญ และให้บีโอไอปรับเงื่อนไขการส่งเสริมการลงทุน ให้สะดวก สะอาด โปร่งใส

นอกจากนี้ต้องปฏิรูป ปฏิวัติ และปรับตัว เช่น การมีเงินทุนจากธนาคาร ส่งเสริมให้ติดโซลาร์เซลล์ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ เพราะมีราคาถูกลง และไทยเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่ใช้แสงอาทิตย์ผลิตไฟฟ้า โดยแก้กฎหมายให้อุตสาหกรรมติดโซลาร์ไม่ต้องขอ รง.4 เช่นเดียวกับบ้านเดี่ยว และภาคธุรกิจ ติดโซลาร์ไม่ต้องขอหน่วยงานใดๆ ทำให้ธุรกิจเอสเอ็มอีสามารถลดค่าไฟและลดต้นทุนได้

ขณะเดียวกันการเปลี่ยนจากรถยนต์สันดาปภายใน เป็นรถฟ้า (อีวี) โดยภาคอุตสาหกรรมไทยกำลังไปอีวี แต่ผู้ผลิตชิ้นส่วนสันดาปภายในต้องปรับเปลี่ยน ถ้าผลักดันไปสู่ดิจิทัลทุกอย่างต้องใช้เงินเพื่อไปสู่การปรับตัวโลกยุคใหม่ และไม่เชื่อว่าสิ่งที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ทำอยู่ คือการสร้างกำแพงภาษี ท้าทายตลาดเสรี และละเลยความไม่สนใจต่อภาวะการเปลี่ยนไปของสิ่งแวดล้อม เชื่อว่าต้านทานอำนาจธรรมชาติไม่ได้

นายเอกนัฏ กล่าวว่า สิ่งที่แก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมได้คือการออกกฎหมายมาเพิ่มเติม เช่น ร่างพ.ร.บ.จัดการกากอุตสาหกรรม ขณะนี้เตรียมเปิดรับฟังความคิดเห็น และนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี(ครม.) ก่อนจะเสนอเข้าสู่สภาฯ ซึ่งถือเป็นพ.ร.บ.จัดการกากอุตสาหกรรมฉบับแรกของไทย พร้อมกับสิ่งสำคัญคือเงินทุนจากกองทุนความยั่งยืนให้กับธุรกิจขนาดเล็ก ส่งเสริมสร้างแต้มต่อ เข้าสู่อุตสาหกรรมใหม่ เชื่อว่าในอีก 1-2 ปี จะสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนให้ธุรกิจไทยมีขีดความสามารถทางการแข่งขันบนเวทีโลก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top