Wednesday, 14 May 2025
อินฟลูเอ็นเซอร์

อินฟลูฯ สาวชาวจีน อวดรวยใช้เงินวันละ 8 แสน กระตุกรัฐบาลจีนหันมาปราบ ‘ลัทธิบูชาเงิน’

อินฟลูเอนเซอร์สาวชาวจีนรายหนึ่งผู้มียอดติดตามในแอปโต่วอิน (ติ๊กต็อกเวอร์ชันจีน) มากกว่า 3 ล้านคน นามว่า หวังเฉิงเฉิง (王澄澄) ได้กล่าวว่า เธอใช้จ่ายเงินวันละเป็นจำนวนมหาศาล และโพสต์ภาพการเดินทางโดยเฮลิคอปเตอร์ จากนั้นเธอก็ถูกชาวเน็ตโจมตีและแอนตี้อย่างหนัก อีกทั้งยังถูกสื่อของรัฐบาลจีนวิจารณ์อีกว่าส่งเสริม ‘ลัทธิบูชาเงิน’ ที่ให้ผู้คนใช้เงินจำนวนมากในการซื้อความสุขให้ตัวเอง

ก่อนหน้านี้ หวังเฉิงเฉิง อินฟลูเอนเซอร์สาววัย 31 ปีรายนี้ ได้โพสต์อวดในบัญชีโต่วอินของเธอว่า เธอเป็นเจ้าของคฤหาสน์หรูขนาด 400 ตารางเมตร ขับรถหรูโรลส์-รอยซ์ ใช้เงินมากกว่า 150,000 หยวน (ประมาณ 8 แสนบาท) ต่อวัน นั่งเฮลิคอปเตอร์ตำรวจในการเดินทางทุกๆ วัน และเธอยังอ้างอีกว่าพ่อของเธอเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูง ทำให้ชาวเน็ตหลายคนตั้งคำถามว่า เธอมีสิทธินั่งเฮลิคอปเตอร์ตำรวจได้อย่างไร และมีการใช้อำนาจของรัฐบาลในทางที่ผิดหรือไม่ จนในที่สุดบัญชีโต่วอินของเธอถูกแบนหลังจากเรื่องอื้อฉาวปะทุขึ้นไม่นาน

หวังเฉิงเฉิงอาศัยอยู่ในเมืองเสิ่นหยาง มณฑลเหลียวหนิง ทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน ตำรวจประจำเมืองเสิ่นหยางจึงออกมาเปิดเผยว่า เฮลิคอปเตอร์นี้เป็นของบริษัทเอกชนและให้ตำรวจท้องที่เช่าโดยเฉพาะเท่านั้น โดยหญิงสาวรายนี้ใช้เพื่อถ่ายทำวิดีโอเท่านั้น และไม่มีสิทธิใช้นั่งเพื่อการเดินทางส่วนตัวได้

และเพื่อคลายความสงสัยให้สาธารณชน ตำรวจเมืองเสิ่นหยางได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงว่า พ่อของหวังเฉิงเฉิงเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับล่างที่เกษียณอายุแล้ว อีกทั้งผู้จัดการของบริษัทเอกชนที่เป็นเจ้าของเฮลิคอปเตอร์ลำนี้ก็ถูกไล่ออกด้วย เนื่องจากปล่อยปละละเลยให้หวังเฉิงเฉิงใช้เฮลิคอปเตอร์ลำดังกล่าวถ่ายทำวิดีโอของเธอ

บิ๊กโจ๊ก ย้ำ ผู้กำกับทุกท้องที่ ต้องแข่งกับตัวเอง ทำสงครามกับความรู้สึกของประชาชน ท้องที่ใดทำให้ประชาชน มีเหตุมาบอกผู้กำกับ ไม่ต้องพึ่งเพจ อินฟลูเอ็นเซอร์ หากทำได้ถือว่ารบชนะ ย้ำ จุดแตกหักของตำรวจอยู่ที่โรงพัก

วันนี้พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ลงตรวจเยี่ยมบำรุงขวัญตำรวจในพื้นที่สถานีตำรวจภูธรทุ่งลุง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ตามนโยบายของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ต้องการให้กำลังพลมีขวัญและกำลังใจในการปฎิบัติหน้าที่ โดยเฉพาะสถานีตำรวจภูธรตามแนวชายแดน

ซึ่งนอกจากจะเยี่ยมบำรุงขวัญและมอบสิ่งของเป็นขวัญและกำลังใจแล้วรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติยังได้ประชุมมอบนโยบายให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจโดยเฉพาะผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธร โดยย้ำว่าจากนี้ไปผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรซึ่งรับภาระหน้าที่มากำกับดูแลโรงพัก จะต้องปรับตัวเร่งการทำงานสร้างความเชื่อมั่น ไม่ต้องรอให้ผู้เดือดร้อนไปพึ่งพาสื่อ เพจ หรืออินฟูลเอ็นเซอร์ ถึงจะสามารถแก้ปัญหาคดีได้

“ย้ำผู้กำกับสถานีตำรวจทุกแห่ง ต้องสร้างความศรัทธาให้ประชาชนให้ได้ ใครเป็นผู้กำกับที่ไหนต้องต่อสู้กับตัวเอง ทำให้ประชาชนในพื้นที่ทุกชุมชน ทุกตำบลทุกหมู่บ้าน ในพื้นที่ของของตนเอง มีเหตุต้องมาบอกผู้กำกับ มีเหตุต้องนึกถึงผู้กำกับ ไม่ใช่มีเหตุต้องไปบอกเพจต่างๆ สื่อสารมวลชนต่างๆ โซเชียลมีเดียต่างๆ  ผู้กำกับใด ทำได้แบบนี้ถือว่ารบชนะ ต่อความไม่ไว้วางใจของประชาชน แล้วท่านจะภูมิใจ เมื่อไหร่ ตำรวจทำงานแล้วประชาชนเขาจะรู้เอง”

รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติยอมรับว่า ที่ผ่านมาคนที่กำกับดูแลและแก้ปัญหาโดยบังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาดก็คือเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ที่ผ่านมาเกิดปัญหารอยต่อ ระหว่างตำรวจกับประชาชน ที่มีผลมาจากความเชื่อมั่นต่อการปฎิบัติหน้าที่ ทำให้ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนหันไปพึ่งสื่อและเพจ เพื่อให้มาจี้คดี เมื่อเป็นข่าวถึงจะมีการขับเคลื่อนในการปราบปรามหรือจับกุม

แต่จากนี้ไปผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรทุกแห่งจะต้องปรับตัว จะเป็นฝ่ายรอรับไม่ได้ต้องทำงานในเชิงรุก นั่นหมายความว่าเมื่อมีการเข้ามาแจ้งความ นอกจากจะ “ขึ้นโรงพัก ไม่ต้องฝาก” แล้ว จะต้องเร่งทำคดีแบบปิดให้ครบจบให้ไว เพื่อลดข้อกังขาและคลายความสงสัย อย่าเก็บข้อมูลไว้เมื่อเกิดปัญหาเพราะจะกลายเป็นว่าร่วมกันปกปิด และหากยิ่งคดีล่าช้าจะกลายเป็นการสมยอมหรือถูกมองว่ามีการเรียกรับผลประโยชน์ เหมือนหลายคดีที่ผ่านมา

รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยังย้ำด้วยว่า การดำเนินการในเชิงรุกไม่จำเป็นต้องรอเงื่อนไขเวลา สามารถทำได้ทันที แม้จะต้องเหนื่อยมากขึ้น แต่หากมีการกวดขันที่เด็ดขาดและดำเนินคดีอย่างรวดเร็ว คนที่คิดจะก่อคดีหรือทำไม่ดี ก็จะค่อยๆ ลดลงภาระงานก็จะลดตามลงไปด้วย

‘โอปป้าเกาหลี’ สะท้อนมุมมองดรามา 'ชาลี-กามิน' สงสาร 'ชาลี' สงสารความมีน้ำใจของคนไทย

เมื่อวานนี้ (5 ก.ย. 67) บัญชีติ๊กต๊อก (TikTok) ที่ใช้ชื่อว่า ‘ruengnok18053’ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘พี่เรือง-น้องนก’ ซึ่งเป็นบัญชีของสาวไทยที่ได้แต่งงานกับหนุ่มเกาหลีอาศัยอยู่ในไทย โดยได้ลงคลิปคอนเทนต์รีแอคชันของ ‘พี่เรือง’ ผู้เป็นสามีชาวเกาหลีที่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกรณีดาราหนุ่ม ‘แน็ก ชาลี ปอทเจส’ ที่ประกาศแยกย้ายกับ ‘กามิน’ แฟนสาวชาวเกาหลี 

สำหรับเนื้อหาของคลิปเริ่มต้นที่ ‘พี่เรือง’ ดูคลิปเต้นของกามิน ก่อนจะปิดไปด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย จากนั้น ‘น้องนก’ ซึ่งเป็นภรรยาก็ได้ถามว่า “ถ้าอยากจะคอมเมนต์กามิน อยากจะคอมเมนต์ว่าอะไร?”

โดยสามีชาวเกาหลี ได้มีความเห็นว่า ตนรู้สึกโกรธมาก และคิดว่าทำไมกามินถึงทำแบบนี้? ทำไมไม่มีความรู้สึกผิดต่อคนไทยที่เคยรักและชื่นชมเธอเลย กลับลงคลิปเต้นเหมือนต้องการเยาะเย้ยคนไทย ซึ่งตนมองว่า ดูเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมเป็นอย่างมากที่เธอเลือกทำร้ายความรู้สึกของคนไทยแบบนี้

"ผมรู้สึกโกรธมากนะ ดูเหมือนกามินอาจจะเข้าใจผิด เหมือนเธอจะคิดว่าตัวเองจะอยู่เกาหลีตลอดไป" 

พี่เรือง บอกอีกว่า "กามินโชคดีมาก ไม่ใช่แค่เรื่องเงินนะ เนื่องจากคนไทยหลายคนชอบกามิน ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย ทำไมกามินถึงไม่รู้ตัวเองว่า เธอมาถึงจุดนี้ (จุดที่มีชื่อเสียง) ได้ยังไง? ทำไมคนไทยชอบกามิน? ทำไมคนไทยถึงคอยให้กำลังใจกามิน? คนไทยให้ทุกอย่าง ทั้งความรู้สึก แม้กระทั่งเงินทองแบบที่ไม่ได้หวังผลตอบแทน แถมยังให้กำลังใจนับตั้งแต่ตอนที่เธอไลฟ์คนเดียว ซึ่งไม่มีคนดูเลย”

นอกจากนี้ พี่เรือง ยังให้มุมมองอีกว่า กามินอาจต้องการแค่ชื่อเสียงและฐานแฟนคลับตัวเองเพิ่มเท่านั้น แต่เมื่อได้ทุกอย่างแล้ว กลับลืมตัวและยอมทิ้งสิ่งที่คนไทยให้ไปจนหมด กามินควรจะต้องขอโทษคนไทย และชี้แจงความจำเป็นที่ตัวเองจะต้องอยู่เกาหลีอย่างจริงใจ ซึ่งตนเชื่อว่าคนไทยย่อมต้องเข้าใจและยังคงสนับสนุนเธอต่อไปแน่ 

“ทำไมเธอไม่ขอโทษคนไทย ก็แค่พูดว่า ‘ขอโทษนะคะ โปรดเข้าใจฉันได้ไหม? ฉันเป็นคนเกาหลี ฉันอยากอยู่เกาหลี จะต้องอยู่เกาหลี ขอโทษนะคะ’ พูดแค่นี้ก็ได้ คนไทยก็เข้าใจใช่ไหม? คนไทยก็โอเค”

ทั้งนี้ เมื่อทุกครั้งที่พวกเขา (พี่เรือง-น้องนก) นั่งดูคลิปกามินด้วยกัน ก็นึกตั้งข้อสังเกตว่า หากกามินต้องการจะอยู่และใช้ชีวิตในประเทศไทยจริงๆ เธอก็น่าจะต้องพยายามทำตัวเองให้สนุกสนานและมีความสุขเวลาใช้ชีวิตอยู่ในไทย แต่ดูเหมือนเธอจะตั้งหน้าตั้งตาหาเงินตลอดเวลา

ท้ายสุด พี่เรือง ได้ทิ้งท้ายด้วยว่า เขาสงสารแน็กชาลี และเป็นกำลังใจให้ดาราหนุ่มก้าวผ่านเรื่องนี้ไปได้ ก่อนจะจบคลิปว่า "แน็กชาลี สู้ๆ นะครับ"

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดวันนี้ (6 ก.ย. 67) ทางกามินได้มีการออกมาไลฟ์ชี้แจงประเด็นดังกล่าวว่า ที่เธอกลับเกาหลีกะทันหัน เพราะเป็นการตัดสินใจของชาลี และได้ตัดสินใจเลิกกันตั้งแต่วันที่ 18 ส.ค.67 แล้ว ที่เลือกมาทำงานในไทยเป็นเพราะความรักล้วนๆ พร้อมกับมั่นใจว่าไม่เคยดูถูกคนไทยว่าหลอกง่าย ไม่ได้หอบเงินหนี หากทำจริงเธอยอมเดินเข้าคุก อีกทั้งไม่ได้เป็นคนทำบ้านของชาลีไฟไหม้ และที่ให้แน็กจ่ายค่าปรับเพราะผิดสัญญางานจ้างก็ไม่เป็นความจริง ยืนยันว่าทุกอย่างระหว่างเธอกับแน็กชาลีจบลงด้วยดี

สุดท้ายไม่ว่าเรื่องนี้จะจบลงอย่างไร ก็ขอให้คนไทยติดตามกันด้วยวิจารณญาณ จะดีที่สุด...


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top