Tuesday, 29 April 2025
สั่งอาหาร

‘หญิงจีน’ ช็อก!! เจอบิลค่าอาหารกว่า 2 ล้านบาท หลังโพสต์รูปติด ‘คิวอาร์โค้ด’ แล้วเจอชาวเน็ตแกล้งสั่ง

หญิงชาวจีนแชร์ประสบการณ์ถูกแจ้งบิลค่าอาหาร 430,000 หยวน หรือราวๆ 2.1 ล้านบาท หลังจากที่เธอเผลอโพสต์รูปที่มี ‘คิวอาร์โค้ด’ สั่งอาหารลงในสื่อออนไลน์ จนทำให้ชาวเน็ตจำนวนมากแกล้งใช้มันกดสั่งเมนูต่างๆ ในชื่อของเธอ

เมื่อไม่นานนี้ หญิงจีนสกุล ‘แซ่หวัง’ คนนี้เล่าว่า เธอตั้งใจโพสต์รูปอาหารที่เธอกับเพื่อนไปนั่งรับประทานด้วยกันที่ร้านหม้อไฟแห่งหนึ่ง เมื่อวันที่ 23 พ.ย.ที่ผ่านมา แต่ไม่ทันสังเกตว่ามีคิวอาร์โค้ดที่ถูกแปะอยู่ข้างๆ โต๊ะ สำหรับกดสั่งอาหารและชำระเงินติดอยู่ในรูปด้วย

แม้เธอจะโพสต์รูปลงใน ‘WeChat Moments’ ซึ่งถูกตั้งค่าให้มองเห็นได้เฉพาะเพื่อนเท่านั้น แต่ปรากฏว่ามีคนจำนวนมากเริ่มนำโค้ดไปใช้กดสั่งอาหาร

หวัง เพิ่งมารู้ตัวว่า ‘พลาด’ ไปแล้ว หลังพนักงานของร้านเดินมาขอคำยืนยันว่า “เธอต้องการสั่งอาหารมูลค่า 430,000 หยวนจริงหรือไม่?”

หวัง ตัดสินใจลบโพสต์ดังกล่าวทันที แต่ยังคงมีออเดอร์ถูกสั่งในนามโต๊ะของเธอไม่หยุด ซึ่ง หวัง เข้าใจว่าคงจะมีใครสักคนดาวน์โหลดภาพดังกล่าวไปแล้ว ก่อนที่เธอจะลบมันทิ้ง

จากภาพสกรีนช็อตที่ หวัง นำมาแชร์เป็นอุทาหรณ์ ออเดอร์ที่พวกชาวเน็ตตะลุยสั่งในนามของเธอประกอบด้วยเลือดเป็ดสด 1,850 ชิ้น, ปลาหมึก 2,850 จาน และกุ้งบดอีก 9,990 จาน ซึ่งแต่ละจานก็มีสนนราคาหลายสิบหยวน

โชคยังดีที่ทางร้านไม่ได้บังคับให้ หวัง ต้องจ่ายเงินตามออเดอร์เหล่านั้น โดยหลังจากที่ทราบว่ามีความผิดพลาดเกิดขึ้น พนักงานก็ได้ย้ายเธอกับเพื่อนไปนั่งโต๊ะใหม่ และมองข้ามออเดอร์ทั้งหมดที่ถูกสั่งเข้ามาเพิ่ม

หวัง ยอมรับว่านี่เป็นบทเรียนราคาแพงสำหรับเธอ พร้อมเตือนให้ทุกคนตระหนักถึงเรื่องความปลอดภัยของข้อมูล และใช้ความระมัดระวังมากขึ้นก่อนจะโพสต์ภาพหรือข้อมูลต่างๆ ลงในสื่อออนไลน์

‘หลิน เสี่ยวหมิง’ ทนายความจากบริษัทกฎหมาย ‘Sichuan Yishang Law Firm’ ให้สัมภาษณ์กับสื่อจีนว่า เนื่องจาก ‘ออเดอร์ปลอม’ ที่ถูกส่งเข้ามาไม่ได้เกิดจากเจตนาของ หวัง ดังนั้น จึงถือว่าเป็น ‘โมฆะ’ และร้านอาหารที่เผชิญปัญหาลักษณะนี้มีสิทธิ์ปฏิเสธออเดอร์ หรือแม้กระทั่งฟ้องเรียกเงินจากชาวเน็ตเหล่านั้น หากทำให้ทางร้านเกิดความเสียหาย

ไรเดอร์มาส่งอาหาร แต่ลูกค้าอยู่บนเครน สูงเท่าตึกหลายชั้น เลยรับของกันแบบใหม่ ไม่ธรรมดา ฮากัน!! สนั่นโซเชียล

(20 ต.ค. 67) ส่งอาหารธรรมดาโลกไม่จำ!! ไรเดอร์มาส่งอาหาร แต่ลูกค้าอยู่บนเครน สูงเท่าตึกหลายชั้น เลยรับของกันแบบใหม่ ทำชาวเน็ตแห่แซว ไม่ได้ 5 ดาว เพราะส่งไม่ถึงมือ

ผู้ใช้ติ๊กต็อกบัญชี pramot.007.mcfly ซึ่งเป็นไรเดอร์ ได้โพสต์คลิปวิดีโอขณะไปส่งอาหารให้ลูกค้ารายหนึ่ง ทำเอาชาวเน็ตถูกใจ จนคลิปกลายเป็นไวรัล

โดยคุณปราโมทย์ได้ไปส่งอาหารที่บริเวณอาคารก่อสร้างแห่งหนึ่ง ซึ่งลูกค้าที่สั่งไม่ใช่คนทั่วไป แต่เป็นช่างที่กำลังนั่งอยู่บนเครนสูงเทียบเท่าตึกหลายชั้น เมื่อไปถึง ลูกค้ารายนี้ก็ทำการปล่อยสายเกี่ยวลงมาให้คุณปราโมทย์ผูกอาหารส่งขึ้นไป

คลิปวิดีโอนี้มีคนเข้ามาดูมากกว่า 500,000 ครั้ง พร้อมเข้ามาแสดงความคิดเห็นกันอย่างล้นหลาม หลายคนบอกว่า ‘นี่แหละวิถีคนไทย อะไรก็ได้’

มีไรเดอร์คนอื่นมาเล่าถึงประสบการณ์การส่งอาหารแปลกๆที่เคยเจอ คนหนึ่งบอกว่า “ของผมลูกค้าขับแม็คโครเอาบุ้งกี๋กวักเรียก ผมกลั้นขำแทบแย่” บ้างก็เข้ามาแซวว่า “นี่ไง ลูกค้าระดับสูง” หรือ “จริงๆเขาให้มัดตัวเองแล้วส่งขึ้นไปรึเปล่า”

‘สตม.’ แกะรอยรวบ!! หนุ่มจีนแปลงกาย เปลี่ยนชื่อสกุล สวมสัญชาติวานูอาตู ท้าทายระบบไบโอเมตริกซ์ สุดท้ายพบเป็นผู้ร้ายหนีคดียักยอกเงิน 1.1 หมื่นล้าน

(22 มี.ค. 68) จากกรณีที่ พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช.สตม. และ พล.ต.ต.ปรัชญา ประสานสุข รอง ผบช.สตม. สั่งการให้หน่วยงานในสังกัด ยกระดับการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม โดยเฉพาะความผิด ที่เกี่ยวกับคนเข้าเมือง และชาวต่างชาติที่มีลักษณะเป็นอาชญากร หรือเป็นสมาชิกองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ โดยสั่งการและกำชับให้เพิ่มความเข้มในการ ตรวจสอบบังคับใช้กฎหมาย  โดยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ที่รับผิดชอบงานสืบสวนเน้นลงพื้นที่สืบสวนหาข่าวอย่างต่อเนื่อง

โดยตั้งแต่ช่วงต้นเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา สตม. มีการเรียกประชุมชุดสืบสวนในการลงพื้นที่สืบสวน หาข่าว หลังได้รับข้อมูลจากสายลับว่ามีเป้าหมาย บุคคลต่างด้าวสัญชาติจีนชื่อนายจางเหว่ย (นามสมมติ) ลักลอบหลบหนีเข้าเมือง หรือกระทำความผิดอื่นๆ ตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมืองฯ และมาหลบซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานครชั้นใน หลังได้รับสั่งการดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองชุดสืบสวน ได้นำข้อมูลโดยเฉพาะใบหน้าของเป้าหมายมาตรวจสอบกับฐานข้อมูลไบโอเมตริกซ์ พบความน่าสงสัยคือข้อมูลเชิงไบโอเมตริกซ์ของ features ต่างๆ ในใบหน้าของนายจางเหว่ย ไปสอดคล้องตรงกันกับ บุคคลต่างด้าวอีกคนหนึ่ง คือนายตู้หนาน สัญชาติวานูอาตู ซึ่งเป็นประเทศหมู่เกาะเล็กๆในแถบโอเชียเนีย ชุดสืบสวนลงความเห็น ร่วมกันว่า นายจางเหว่ย กับนายตู้หนาน เป็นบุคคลคนเดียวกัน จึงได้แบ่งหน้าที่เฝ้าสังเกตการณ์และมอนิเตอร์ระบบการแจ้งที่พักอาศัย และระบบการขอต่อวีซ่าของคนต่างด้าว ตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง

จนกระทั่งเมื่อวันที่ 12 มี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันที่ครบกำหนดอนุญาต ของนายตู้หนาน ไม่พบว่ามีการยื่นคำร้องขออยู่ต่อ ในราชอาณาจักรแต่อย่างใด นอกจากนี้ชุดสืบสวนยังพบ ความเคลื่อนไหวโดยมีการเช็คอินโรงแรมหรูแห่งหนึ่งย่านราชประสงค์ จึงนำกำลังไปตรวจสอบและเฝ้าสังเกตการณ์โดยกระจายกำลังบริเวณ โถงล็อบบี้และหน้าลิฟต์ของโรงแรม แต่คนต่างด้าวระมัดระวังตัว และไม่ยอมลงจากห้องดังกล่าว แต่จะใช้วิธีสั่งอาหารขึ้นไป เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องมีการสับเปลี่ยนกำลังในการเฝ้าสังเกตการณ์อย่างต่อเนื่องเรื่อยมา

จนกระทั่งวันที่ 21 มี.ค. เวลาประมาณ 14.30 น. เจ้าหน้าที่พบบุคคลต่างด้าวรายหนึ่ง มีตำหนิรูปพรรณตรงกับที่สายลับให้ข้อมูล จึงแสดงตัวขอตรวจสอบหนังสือเดินทาง คนต่างด้าวซึ่งพยายามสื่อสารกับเจ้าหน้าที่ด้วยภาษาจีน ให้การในเบื้องต้นว่าตนไม่ใช่คนจีน และหนังสือเดินทางของตนหาย ต่อมาให้การกลับไปมาว่าจริงๆแล้วตนเป็นคนสัญชาติวานูอาตู พร้อมแสดงรูปถ่ายหนังสือเดินทางวานูอาตู เจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลพบว่าผู้ถูกจับชื่อ นาย ตู้หนาน อายุ 30 ปี สัญชาติวานูอาตู ประเภทวีซ่านักท่องเที่ยว (60 วัน) ปัจจุบันการอนุญาตสิ้นสุดลงแล้ว เจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาแก่ผู้ถูกจับว่า “เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด” และเจ้าหน้าที่ได้แจ้งสิทธิ์ของผู้ถูกจับให้ทราบแล้ว และได้แจ้งให้ทราบถึงการถูกจับกุมแล้ว จากนั้นจึงควบคุมตัวผู้ถูกจับทำบันทึกจับกุมส่ง พงส.ดำเนินคดีตามกฎหมาย

อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ยังไม่ปักใจเชื่อเกี่ยวกับหนังสือเดินทางวานูอาตูที่นายจางเหว่ย อ้างว่าทำหายไป เจ้าหน้าที่จึงได้ประสานข้อมูลกับองค์กรบังคับใช้กฎหมายระหว่างประเทศ จนได้ข้อมูลยืนยันว่า บุคคลต่างด้าวรายดังกล่าว เป็นบุคคลเดียวกับนายจางเหว่ย (นามสมมติ) บุคคลต่างด้าวสัญชาติจีน ที่ก่อนหน้านี้ช่วงปี 2567 ได้ร่วมกับพวก ก่อคดียักยอกเงินจากบริษัทก่อสร้างชื่อดังในมณฑลซานตง ที่ตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศจีน รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 2,400 ล้านหยวน หรือประมาณ 11,000 ล้านบาท จึงได้ใช้ระบบตรวจพิสูจน์อัตลักษณ์ไบโอเมตริกซ์ ตรวจเปรียบเทียบ ผลการตรวจสอบพบเป็นบุคคลเดียวกันจริง ซึ่ง สตม.จะได้แจ้งข้อมูลดังกล่าวไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไปเพื่อนำตัวนายจางเหว่ยไปดำเนินคดีตามกฎหมาย

ด้าน พล.ต.ต.ปรัชญา ประสานสุข รอง ผบช.สตม. บอกว่า ปฏิบัติการดังกล่าวเป็นผลสืบเนื่อง มาจากการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศตรวจคนเข้าเมือง และระบบไบโอเมตริกซ์ เป็นเครื่องมือช่วยเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงาน รวมไปถึงเบาะแสสำคัญ จากการแจ้งของพี่ประชาชน จนนำไปสู่ความสัมฤทธิ์ผลในการจับกุม คนร้ายข้ามชาติรายสำคัญที่หลบหนีคดี และใช้ประเทศไทยเป็นที่ซ่อนตัวในครั้งนี้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top